ตายแล้วไปไหน ภาคที่ 2 หน้า 1

กลับหน้าแรก     กลับหน้าสารบัญ     ภาคที่หนึ่ง     

ภาคที่สอง     ภาคที่สอง หน้า ๒     ภาคที่สอง หน้า ๓     ภาคที่สอง หน้า ๔      ภาคที่สาม

ภาคที่สอง (หน้า ๑)

ข้อพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิดใหม่

      ในเรื่องตายแล้วเกิดใหม่นี้ ผู้เขียนมีข้อพิสูจน์อยู่ ๗ อย่าง ว่าตายแล้วเกิดจริง ซึ่งมีหลักฐานปรากกอยู่จริงในปัจจุบัน โดยไม่ต้องอ้างคัมภีร์หรือตำรา หรือโดยไม่ต้องอ้างว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลายตรัสไว้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็สามารถยอมรับเหตุผลตามความเป็นจริงได้ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดและภพภูมิต่างๆ ที่ยืนยันไว้ตามหลักพระพุทธศาสนานั้น เป็นกฏของธรรมชาติ และเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติของมัน เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม กฏธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้ก็มีอยู่แล้วอย่างนี้ หรือพระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้หรือไม่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่แล้วตามธรรมชาติของมัน แต่ว่าพระพุทธเจ้าเมื่อทรงเห็นแล้วก็ได้ตรัสยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้มรอยู่จริง 

      ข้อพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิด เท่าที่ค้นพบและมีหลักฐานยืนยันให้เชื่อถือได้ในปัจจุบัน มีอยู่ ๗ อย่าง คือ

       ๑. คนระลึกชาติได้ ซึ่งข้อพิสูจน์นี้มีตัวอย่างนับเป็นพันๆ เรื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

       ๒. คนผีเข้า ซึ่งมีตัวอย่างปรากฏอยู่มากในปัจจุบัน ถ้าวิญญาณไม่มีแล้ว ผีจะมาเข้าคนได้อย่างไร

       ๓. เทวดาเข้าทรง มีเรื่องเทวดาที่มาปรากฏแก่คนคนอยู่มากในปัจจุบัน และที่เข้าทรงในมนุษย์ก็มีอยู่มาก อันเป็นเครื่องยืนยันว่า โอปปาติกะกำเนิด อันอยู่ในภพภูมิหรือสวรรค์นั้นมีอยู่จริง

       ๔. การสะกดจิต ข้อนี้ในวงการแพทย์ปัจจุบันใช้กันมาก ถ้าจิตหรือวิญญาณไม่มีแล้ว จะมีการสะกดจิตได้อย่างไร

       ๕. การสะกดจิตย้อนภพ ซึ่งกรณีเช่นนี้ค้นพบครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ทำให้สืบประวัติย้อนหลังไปถึงชาติก่อนได้เป็นอย่างดี

       ๖. เด็กอัจฉริยะ ซึ่งมีตัวอย่างมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่นเด็กที่อายุยังน้อย สามารถคำนวณเลขที่ยากๆ ได้อย่างอัศจรรย์ สามารถแต่งกาพย์ กลอน หรือเล่นดนตรีได้ไพเราะอย่างน่าพิศวง และบางคนก็สามารถพูดภาษาอันตนไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน หรือเรียนมาแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มีความสามารถเหนือเด็กทั่วไปในวัยเดียวกันเป็นอย่างมากในเรื่องนั้นๆ อันแสดงให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้ตนได้เคยเรียนมาแล้วเมื่อชาติก่อน เมื่อมาเกิดในชาติใหม่จึงมีความสามารถติดมาอย่างอัศจรรย์

       ๗. เด็กฝาแฝด คือเด็กฝาแฝดนี้ แม้จะเกิดมาเหมือนกันทั้งด้านร่างกาย กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม แต่คู่แฝดมักจะมีอุปนิสัยใจคอ ความเฉลียวฉลาดและชะตาชีวิตแตกต่างกัน อันแสดงให้เห็นว่าเขาเคยเกิดมาแล้วเมื่อชาติก่อน ได้เคยสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน ผลที่แสดงออกมาในชาตินี้จึงไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่มีกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน

       เพื่อจะให้เข้าใจเรื่องตายแล้วเกิดชัดเจนยิ่งขึ้น จึงได้นำเรื่องจริงที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันมาแสดงไว้เท่าที่สามารถรวบรวมมาได้ ขอให้ท่านผู้สนใจได้อ่าน พร้อมด้วยการใช้วิจารณญาณประกอบ ดังต่อไปนี้

การระลึกชาติได้

       เรื่องนี้ มาจากการสอบถามและสอบสวนความเป็นมา โดย ดร.สตีเวนสัน เกิดขึ้นในประเทศศรีลังกา การระลึกชาตินี้ เป็นชีวิตของเด็กชายผู้หนึ่งมีนามว่า เอช เอ วิชรัตนี เกิดที่ตำบลอุคคัลโตตะ ลังกา เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นบุตรของนาย เอช เอ ติเลรัตนี ฮามี และนางรัตรัน ฮามี

       ตั้งแต่แรกเกิด ปรากฏว่ามีรอยเหมือนแผลเป็นอยู่ที่หน้าอกเบื้องขวา ใต้กระดูกไหปลาร้า เป็นรอยบุ๋มลงไปประมาณ ๒ นิ้ว และแขนขวาของเด็กผู้นี้ลีบพิการ แขนข้างขวาสั้นกว่าแขนข้างซ้ายซึ่งเป็นแขนดี แขนขวาลีบเล็กกว่าธรรมดาครึ่งหนึ่ง และนิ้วมือของมือขวาพิการอีกด้วย คือทุกๆ นิ้วของมือข้างขวาสั้นกุด มีข้อเพียงข้อเดียว นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนางติดกันด้วย มีหนังยึดไว้ ส่วนนิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยแยกออกได้ นายวิชรัตนี ใช้มือข้างขวาเพียงจับปากกาหรือดินสอเขียนหนังสือได้เท่านั้น แต่จะใช้งานหนักกว่านี้ไม่ไหว เป็นว่ามือข้างขวาแทบจะใช้การอะไรไม่ได้เลย ดร.สตีเวนสัน สอบถามเรื่องนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ เด็กชายวิชรัตนี อายุได้ ๑๔ ปีแล้ว

       รอยคล้ายแผลเป็นที่อกข้างขวา และมือขวาพิการของนายวิชรัตนีนี้ มีมูลเหตุดังจะได้เล่าต่อไปนี้

       พอเด็กชายวิชรัตนีอายุได้ ๒ ขวบเศษเดินได้ ก็มักจะพูดกับตัวเองอยู่บ่อยๆ มารดาเห็นผิดสังเกตก็ฟังดู ได้ยินแสียงบ่นว่าที่แขนขวาพิการก็เพราะเมื่อชาติก่อนได้ฆ่าเมียไว้ เด็กก็ได้กล่าวถึงเรื่องราวที่ได้ฆ่าภรรยาไว้มากมาย ซึ่งนางไม่เคยรู้เรื่องเลย จึงได้ถามสามีดู

       นายเอช เอ ติเลรัตนี จึงได้บอกว่า เด็กคงจะเล่าถึงชาติก่อน เรื่องนายรัตรัน ฮามี ผู้เป็นน้องชายของนายเอช เอ ติเลรัตนี ได้ฆ่าภรรยาของตน ต้องโทษประหารชีวิต เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ แล้วมาเกิดเป็นเด็กนี้

       นายติเลรัตนี เล่าว่า แกได้เคยบอกภรรยาตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ ว่า น้องชายมาเกิดเป็นลูก เพราะสังเกตเห็นว่า เด็กคนนี้หน้าตาเหมือนนายรัตรัน และผิวคล้ำเหมือนนายรัตรัน ส่วนบุตรคนอื่นๆ นั้น ผิวค่อนข้างขาว แต่นางไม่สนใจ มาได้ยินเด็กเล่าถึงชาติก่อนจึงได้ถามสามีขึ้น ภริยานายติเลรัตนี ไม่เคยรู้เรื่องน้องชายสามีฆ่าคนและถูกประหารชีวิตมาก่อนเลย เพราะนางแต่งงานกับนายติเลรัตนี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ หลังจากเรื่องฆ่ากัน ๘-๙ ปี ที่เกิดเหตุก็ห่างไกลจากบ้านนางมาก นางไม่เคยได้ยินเรื่องราวเลย ทั้งสามีก็ไม่เคยเล่าให้ฟังทาก่อนเลย

       เด็กชายวิชรัตนี ชอบพูดเรื่องชาติก่อนมาก บิดาห้ามไม่ให้พูดก็ไม่ใคร่ฟัง บางทีก็พูดคนเดียว แต่ชอบพุโเมื่อคนมาทักเรื่องแขนพิการ เด็กเล่าได้ละเอียดลออกับมารดาของแก มักจะเล่าเป็นตอนๆ วันนี้พูดถึงเรื่องตอนหนึ่ง วันต่อๆ ไปก็พูดถึงตอนอื่นๆ แม้มารดาได้คะยั้ยคะยอเธอไม่ให้พูด เด็กก็ชอบพูด

       เมื่อเด็กอายุได้ ๕ ขวบ ความทราบถึงพระภิกษุอนันท์เมตไตรยะ ศาสตราจารย์ฝ่ายพุทธปรัชญาวิทยาลัยลังกาปริเวณะ เมืองโคลัมโบ ได้มาสอบถามเรื่องราวประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๔-๒๔๙๕ ต่อจากนั้นเมื่อเด็กอายุได้ ๕ ขวบเศษก็ค่อยๆ เลิกพูดถึงชาติก่อน เว้นแต่เมื่อใครทักถามขึ้นจึงจะเล่าให้ฟัง

       ได้กล่าวแล้วว่า ดร.สตีเวนสัน ได้สอบถามเรื่องนี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ เด็กชายวิชรัตนี ก็ยังระลึกได้อยู่ ดร.สตีเวนสันได้ตรวจสอบหลักฐานทางคดีตลอดถึงบุคคลอื่นๆ ที่รู้เห็นชาติก่อนของเด็กชายวิชรัตนี เป็นด้งนี้

       ชาติก่อนเด็กชายวิชรัตนี เป็นน้องชายนายติเลรัตนี ซึ่งเป็นบิดาของ ด.ช.วิชรัตนี ชื่อนายรัตรัน ฮามี เป็นชาวนาอยู่ที่ตำบลอุคคัลโตตะ มีภรรยาแล้ว ภรรยาตาย ตกเป็นพุ่มหม้าย เด็กชายวิชรัตนีจำชื่อภรรยาคนที่ตายไม่ได้

       ต่อมา เขาได้เข้าสู่พิธีแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่ง ชื่อ โพธิมณิเก อยู่ตำบลนาวเนลิยะ พิธีแต่งงานกระทำ ณ บ้านเจ้าสาว แล้วได้เกิดฆาตกรรมที่บ้านเจ้าสาวนี้

       เด็กชายวิชรัตนี บอกกับบิดา ตนได้ฆ่าภรรยาด้วยมือของเขาเอง

       ความจริงจะใช้คำว่า ภรรยา ไม่ถูกนัก เพราะพิธีแต่งงานยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ ด้วยยังไม่ได้ส่งตัวเจ้าสาว ฝ่ายเจ้าสาวขออยู่ที่บ้านเดิม ไม่ไปอยู่กับเจ้าบ่าว

       ใกล้จะถึงเวลาส่งตัว เจ้าบ่าวได้ไปยังบ้านเจ้าสาว อ้อนวอนให้เจ้าสาวไปอยู่กับเขาที่บ้าน ฝ่ายเจ้าสาวไม่ยอม จะไปอยู่ที่บ้านของตน

       เจ้าบ่าวสงสัยอยู่แล้วว่า เจ้าสาวคงมีคู่รักติดพัน เป็นชายอยู่ในบ้านของนางเอง ชื่อโมหัตติ ฮามี และสงสัยว่าชายผู้นี้คงจะยุแหย่ไม่ให้นางไปอยู่กับเขา

       เมื่อนางปฏิเสธ เขาก็เดินกลับบ้าน ซึ่งอยู่ห่างประมาณ ๘ กิโลเมตร มาถึงบ้าน เขาก็เอากริชไปลับที่หลังบ้านใต้ต้นส้ม แล้วกลับไปยังบ้านนาง

       เด็กชายวิชรัตนี ยังชี้ที่ที่ตนลับกริชให้มารดาดู

       ก่อนจะไปฆ่าเจ้าสาว เขายังขอยืมเงินพี่ชายจำนวน ๕๐ รูปี ไปใช้หนี้สร้างบ้าน ซึ่งเขาเป็นหนี้อยู่ให้เสร็จสิ้นไป

       มาถึงบ้านเจ้าสาวมองเห็นชายซึ่งเขาคิดว่าเป็นคนรักของเจ้าสาว เขาคิดว่าเพราะเจ้าคนนี้นี่เอง เจ้าสาวจึงไม่ไปอยู่กับเขา เขาจึงตรงเข้าไปแทงเจ้าสาวที่เหนือหน้าอกข้างขวา

       เขาถูกชายผู้นั้นทุบตีด้วย

       ในการต่อสู้คดี เขาสู้ว่า ได้เกิดทะเลาะวิวาทต่อสู้กันขึ้น โดยฝ่ายเจ้าสาวเป็นผู้ก่อเหตุก่อน เพื่อนของเจ้าสาวเป็นผู้จับตัวเขาไว้ไม่ให้หนี เขาจึงเกิดโทสะแทงนางโดยมิได้ตั้งใจจะฆ่านางเลย

       ฝ่ายพวกเจ้าสาวให้การว่า เขาเป็นผู้แทงนางก่อน แล้วพวกของนางจึงเข้าตีเขา

       ศาลรับฟังฝ่ายโจทก์ พิพากษาให้ประหารชีวิต ให้ตายตกไปตามกัน

       พอศาลพิพาหษาแล้ว นายติแลรัตนีก็ไปเยี่ยมน้องชายของเขา เขาบอกว่า เขาไม่กลัวตายหรอก เขารู้แล้วว่าเขาจะต้องตาย เขาเป็นห่วงแต่พี่ชายเท่านั้น นายติแลรัตนีบอกว่าน้องชายเป็นคนว่าง่าย

       เรื่องที่ฆ่าเจ้าสาวของตนนั้น ด.ช.วิชรัตนี บอกว่า ตอนนั้นเคืองมาก อดใจไว้ไม่ไหว ไม่คิดเลยถึงโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ เด็กบอก ดร.สตีเวนสันว่า ที่ถูกแขวนคอนั้น ศาลตัดสินถูกต้องแล้ว ส่วนเรื่องเหตุผลที่ฆ่าภรรยาเป็นการถูกต้องสมควรหรือไม่ แม้ชาตินี้เขาก็คิดว่าที่ฆ่าผู้หญิงผู้ไม่ตามสามีไป เป็นการถูกต้องแล้ว

       เด็กเล่าว่า ก่อนเขาจะถูกแขวนคอตามคำพิพากษา ๕ วัน พี่ชายของเขาคือ นายเอช เอ ติเลรัตนี ได้ทำบุญให้แก่เขา เด็กจำได้ว่า มีการเลี้ยงพระจำนวน ๑๐ องค์

       ตอนที่ทำบุญเลี้ยงพระให้เขานี้เอง เขาได้บอกกับพี่ชายว่า เขาจะกลับมาเกิดอีก เด็กบอก ดร.สตีเวนสันว่า เขาพูดกับพี่ชายว่า จะมาเกิดเป็นลูกชายของพี่

       ตอนถูกประหารชีวิต เด็กเล่าดังนี้

       ก่อนการแขวนคอเขาตอนหนึ่งว่า มีการถ่วงกระสอบทราย ณ ที่ตะแลงแกง ซึ่งเรื่องนี้เป็นความจริง ก่อนประหารชีวิต ๑ วัน จะต้องมีการทดสอบความเหนียวของเชือกและความแข็งแรงของขื่อ โดยวิธีเอาทราย ๑ กระสอบแขวนขึ้นถ่วงทดลองก่อน

       ก่อนการแขวนคอ มีพระภิกษุ ๑ รูป มาภาวนาให้เขา ก่อนจะกระตุกเชือกประหาร เจ้าหน้าที่เอาถุงผ้าสีดำมาครอบศีรษะ

       ตอนกระตุกเชือกรัดคอ เขาคิดถึงพี่ชายของเขาคนเดียวเท่านั้น แล้วรู้สึกว่าคอของเขาถูกรัดแน่น แล้วรู้สึกตัวว่าตัวของเขาตกลงไปกลางหลุมเพลิง

       ต่อจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีก จนมารู้สึกตัวเมื่ออายุได้ ๒ ขวบกว่า พ่อของเขาชาตินี้ก็คือพี่ชายของเขาในชาติก่อนนั่นเอง

       เขาบอกด้วยว่า ตอนเขาถูกประหารแขวนคอ เขาอายุได้ ๒๓ หรือ ๒๔ ปี

       เรื่องการจดจำสิ่งของได้ ของเด็กชายวิชรัตนี มีอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งควรจะเล่าก่อนจบ คือก่อนจะเกิดเรื่องฆ่าเจ้าสาว นายรัตรัน ฮามี ได้เอาเข็มขัดหนังไปฝากไว้กับน้า ดูเป็นลางชอบกล เมื่อนายรัตรันตายแล้ว น้าก็เอาเข็มขัดหนังนั้นให้แก่บุตรชายของตัวใช้คาดเอว พอเด็กชายวิชรัตนี อายุได้ ๖-๗ ขวบ พบลูกพี่ลูกน้องคนนี้ เห็นเข็มขัดเข้าก็จำได้ได้ว่าเป็นของตัวเอง

       เด็กชายวิชรัตนี บอกกับ ดร.สตีเวนสันว่า ความจดจำชีวิตในชาติก่อนของเขาแม้เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี จะเลือนลางไปบ้าง แต่เขาจดจำเรื่องราวในปีชีวิตสุดท้ายก่อนของเขาได้ชัดเจนกว่าชีวิตในปัจจุบันของเขาเมื่อ ๑๐ ปีก่อนนั้นเสียอีก

       เรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นการรายงานผลการวิจัยเกี่ยวกับการระลึกชาติได้ของ ดร.สตีเวนสัน ผู้ที่สนใจในการวิจัยสรุปผลในการระลึกชาติได้จากหลายชีวิตมาเสนอท่านผู้อ่าน ๑ เรื่องในจำนวนอีกหลายเรื่อง

การระลึกชาติ*

ของ ด.ช.ชนัย ชูมาลัยวงศ์

(* เรื่องนี้ เป็นการค้นคว้ารวบรวมของศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโลบล จากหนังสือระลึกชาติของท่าน)

       หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับที่ ๗๔๒๓ วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๑ ได้ลงข่าวว่า ได้พบเด็กระลึกชาติรายใหม่ อายุเพียง ๓ ขวบ หนียายออกจากบ้านไปหาครอบครัวเมื่อชาติก่อน เผยความหลังชาติก่อนเป็นครู ถูกคนร้ายยิงตาย มีลูก ๕ คน เมียเก่าและลูกได้ยินเรื่องราวถึงกับตะลึง เพราะรู้เรื่องชาติก่อนได้ถูกต้อง เพื่อนเก่าเป็นตำรวจก็อัศจรรย์ใจ เมื่อเด็ก ๓ ขวบทักทายว่า จำได้ไหม แล้วเล่าความหลังให้ฟัง

       เด็กระลึกชาติรายใหม่ที่จำความชาติปางก่อนได้ถูกต้อง คือ ด.ช. ชนัย ชูมาลัยวงศ์ เดี๋ยวนี้อายุ ๑๐ ขวบ (พ.ศ.๒๕๒๑) บุตรของนายเบิ้ม หรือคำรณ นางสมคิด อยู่บ้านเลขที่ ๑๘๙ หมู่ที่ ๑ กิ่งอำเภอวังทรายพูน จังวัดพิจิตร นายเบิ้มผู้เป็นพ่อมีอาชีพเป็นช่างตัดผม แม่ตัดเย็บเสื้อผ้า ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ พักอยู่ที่บ้านเลขที่ ๒๐ ฎ ซอยโลหิตสุข ถนนดินแดง แขวงห้วยขวาง เขตพญาไท กทม. แต่ ด.ช. ชนัย อาศัยอยู่กับยายที่พิจิตร ชื่อนางพรม เบ็ญทอง อายุ ๖๗ ปี พักอยู่ที่ ๖๐๘ หมู่ที่ ๑ ตำบลทัพคล้อ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ ร.ร.วัดเขาทราย อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร

       นางพรม เบ็ญทอง ผู้เป็นยาย ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐว่า มารู้ว่า ด.ช. ระลึกชาติได้ ก็เพราะ ด.ช. ชนัย ได้เล่าเรื่องแต่ชาติปางก่อนให้ยายฟังว่า เมื่อชาติก่อนตัวเองเป็นครูชื่อ "บัวไข หล่อนาค" สอนประจำอยู่ที่โรงเรียนท่าบ่อ ตำบลบางหว้า อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร จากนั้น ด.ช. ชนัย ยังได้เล่าว่า แต่เดิมตนมีพ่อชื่อนายเขียน แม่ชื่อนางยวง แล้วยังมีภรรยาชื่อนางสวน มีลูกกับนางสวน ๕ คนด้วยกัน เป็นหญิงสามชายสอง คนโตชื่อ น.ส. บรรจง หรือติ๋ม คนที่สองชื่อ น.ส. เบญจา หรือต๋อย ทั้งสองคนนี้เป็นฝาแฝด คนที่สามชื่อ นายณรงค์ คนที่สี่ชื่อ นายบุญเทียม และคนสุดท้องชื่อ น.ส. น้ำค้าง

       ด.ช. ชนัย ชูมาลัยวงศ์ หรือนายบัวไข หล่อนาค เมื่อชาติก่อน ได้เล่าเหตุการณ์ที่ตนต้องตายว่า ขณะนั้นภรรยาในชาติก่อน คือนางสวน ได้ตั้งท้องลูกสาวคนเล็ก คือ น.ส.น้ำค้างได้ ๓ เดือน นายบัวไขได้ขี่รถจักรยานจะไปสอนหนังสือที่โรงเรียน ได้ถูกคนร้ายไม่ทราบว่าเป็นใครลอบยิงข้างหลัง ซึ่งแผลเป็นรอยกระสุนยังติดตัวมาถึงชาตินี้ โดยถูกลอบยิงจากท้ายทอยทะลุหน้าผาก

       ฝ่ายผู้เป็นยายคือนางพรม เมื่อรับฟังเรื่องราวจากหลานชายวัย ๓ ขวบ ในตอนแรกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อยู่มาวันหนึ่ง ด.ช. ชนัย ได้พยายามหนีออกจากบ้านขึ้นรถประจำทางจากตำบลทับคล้อ อำเภอตะพานหิน ไปที่อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร เพื่อเยี่ยมครอบครัวของนางสวนภรรยาในชาติก่อน นางพรมจึงต้องตามไปด้วย เมื่อพบกันและเล่าความหลังให้ฟัง ก็ปรากฏว่าฝ่ายครอบครัวของนางสวนเชื่อสนิทว่า ด.ช. ชนัย คือนายบัวไขในชาติก่อน นอกจากนี้ ด.ช. ชนัย ยังสอบถามนางสวนว่า ของมีค่าที่ให้เก็บไว้ในชาติก่อนนั้นยังอยู่ดีหรือ ซึ่ง ด.ช. ชนัย หมายถึงปืนสองกระบอกพร้อมกับบอกที่ซ่อนของ ซึ่งสมาชิกในครอบครัวเมื่อได้รับคำบอกเล่า ถึงกับตะลึง

       ผู้สื่อข่าวไทยรัฐรายงานว่า เมื่อ ด.ช. ชนัยได้พยหน้ากับ จ.ส.ต. สนาน เจ้าหน้าที่ตำรวจแห่ง ส.ภ.อ.เมืองพิจิตร ซึ่งเดิม จ.ส.ต. สนาน เป็นเพื่อนสนิทของนายบัวไข ทันทีที่พบหน้า ด.ช. ชนัยก็เอ่ยปากทักว่า

       "เฮ้ย หนานยังอยู่สบายดีหรือ จำเราได้ไหม เราบัวไขเพื่อนเก่าของนายไงล่ะ"

       จ.ส.ต. สนานถึงกับตะลึงไปเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเด็กอายุ ๓ ขวบจะเป็นเพื่อนของตน เมื่อสอบถามเรื่องความหลังซึ่งกันและกัน ด.ช. ชนัย ก็เล่าความหลังได้ถูกต้องทุกอย่าง และเมื่อถามถึงอาหารการกินที่ชอบ ด.ช. ชนัย ก็บอกว่า

       "ชอบไข่ดาวกับข้าวหลาม"

       ซึ่งทุกคนยอมรับว่านายบัวไขเมื่อชาติก่อนชอบอาหารเช่นนั้นจริงๆ และแม้ในชาตินี้ ด.ช. ชนัย ก็ยังชอบอาหารชนิดนี้ นอกจากนี้ จ.ส.ต. สนาน รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของนางสวนทุกคน รวมทั้งลูก ๆ ทุกคนของนายบัวไขในชาติก่อน ต่างก็ยอมรับว่า ด.ช. ชนัยผู้นี้คือพ่อของตนในชาติก่อนจริง และปัจจุบัน ด.ช. ชนัย ยังไปมาหาสู่กับครอบครัวนี้โดยสนิทสนม

       ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ ถาม ด.ช. ชนัย ซึ่งปัจจุบันอายุ ๑๐ ขวบ ในทำนองกระเซ้าว่า

       "ถ้ามีคนมาสู่ขอนางสวนภรรยาเก่าในชาติก่อนของ ด.ช. ขนัย จะว่ายังไง"

       ด.ช. ชนัย ไม่ตอบ แต่แสดงอาการหึงหวงเห็นได้ชัด และไม่พอใจต่อคำถามนี้มาก แต่ได้หัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกไว้

       เรื่องที่เล่ามาข้างบนนี้ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้มีโอกาสไปสอบสวนพบปะกับครอบครัวของ ด.ช. ชนัย ชูมาลัยวงศ์ ทั้งในปัจจุบันและชาติก่อนด้วยตนเองก็ดี แต่บังเอิญมีสมาชิกของชมรมกฏแห่งกรรม คือ คุณประสิทธิ์ การุณยวณิช ผู้จัดการสหธนาคาร จำกัด สาขาจังหวัดชลบุรี และคุณสงบ แจ่มพัฒน์ หรือ "อนามิส" แห่งหนังสือ รายสัปดาห์ "บางกอก" ทั้งสองท่านนี้ได้เดินทางไปจังหวัดพิจิตรด้วยรถยนต์ส่วนตัวของคุณประสิทธิ์ พร้อมด้วยคนขับ เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้ไปพบนาวพรม เบ็ญทอง ยาย และ ด.ช. ชนัย พบพ่อ-แม่-นายเขียนและนางยวง และภรรยา-นางสวนและลูกๆ ในชาติก่อน ได้สัมภาษณ์อย่างละเอียดลออได้ความตรงกัน และยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมยืนยันอีกหลายอย่าง แสดงว่า ด.ช. ขนัย ชูมาลัยวงศ์ นั้นเป็นคุณครูบัวไข หล่อนาค มาเกิดใหม่แน่นอน

       ต่อไปนี้จะขอนำข้อความที่น่าสนใจ ที่คุณประสิทธิ์ การุณยวณิช ได้ไปสัมภาษณ์ ยาย, พ่อ, แม่, และภรรยาในชาติก่อน มาเพิ่มเติมอีกสักหน่อย

       ตอนที่นางพรม เบ็ญทอง-ยาย ได้พาเด็กชายชนัยไปพบ พ่อ-แม่ ในชาติก่อน ด.ช. ชนัยเป็นผู้บอกนำทาง เมื่อไปทางถนนใหญ่แล้ว ก็ชี้ให้เข้าตรอกซอยจากถนนใหญ่อีกไกลกว่าจะถึงบ้านพ่อแม่เขา เมื่อไปถึงเขาก็เดินนำเข้าไปในบ้านซึ่งมีคนนั่งอยู่หลายคน ทั้งคนอายุมากและเด็กๆ ด.ช. ชนัยก็ตรงเข้าไปกราบชายอายุมากคนหนึ่งและหญิงอีกคนหนึ่งแล้วก็ร้องไห้ พูดว่า

       "พ่อจ๋า แม่จ๋า ลูกมาหา ลูกคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่มาก"

       ชายหญิงมีอายุทั้งสองที่เด็กอ้างว่าเป็นพ่อแม่ในชาติก่อนก็ตกตะลึงงง และสงสัย เพราะจู่ๆ ไม่ทันรู้ตัวก็มีเด็กเข้ามากราบแล้วร้องไห้เรียก พ่อ แม่ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นเด็กและยายมาก่อน ส่วนยายเองก็ตื่นเต้น เพราะว่าที่นั่นมีผู้ใหญ่อยู่บนเรือนหลายคน ทำไมเด็กอายุแค่นั้น (๓ ขวบ) จึงไปเจาะจงว่าคนนั้นคนนี้เป็นพ่อเป็นแม่มาแต่ชาตอก่อน เด็กบอกว่าเป็นครูบัวไขมาเกิด ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่แน่ใจว่าจะเป็นครูบัวไขลูกของตัวมาเกิด แต่เมื่อเห็น แผลเป็น เหมือนครูบัวไขลูกชาย ที่ถูกยิงจากท้ายทอยทะลุออกหน้าผาก ก็ชักจะมีน้ำหนักพอที่จะเชื่อ

       ตอนที่ยายพา ด.ช. ชนัยไปพบพ่อแม่อีกครั้งหนึ่งตามนัด มีผู้คนทั้งหญิงชายเด็กผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ พ่อแม่ นั่งคอยอยู่ในบ้านก่อนแล้ว เพื่อเป็นพยานช่วยกันพิสูจน์เรื่องครูบัวไขกลับชาติมาเกิดจริงหรือไม่ ญาติผู้หนึ่งได้ถามขึ้นว่า

       "เราอ้างว่าเป็นครูบัวไขน่ะ จำเมียของเราได้ไหมว่าชื่ออะไร"

       ด.ช. ชนัยก็หันไปมองเมียแล้วตอบทันทีว่า

       "ชื่อสวนนะซิ"

       เสียงพึมพำพึงเกิดขึ้น ต่วก็แปลกใจที่เด็กบอกได้ถูกต้อง ต่อมาแม่เขาก็นำของใช้ของธรรมดาหลายอย่างปนกันมาให้ดูแล้วบอกว่า

       "อะไรเป็นของลูกเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ยังจำได้ไหมหยิบให้แม่ดูซิ"

       เด็กก็หยิบดูแล้วว่า "นี่เป็นของผม นี่ไม่ใช่ของผม โน่นก็เป็นของผม"

       เสร็จแล้วเขาก็จูงมือแม่เขาเดินดูในบ้าน แล้วก็ชี้ว่า

       อ้ายตรงนี้ของๆ ผมตั้งอยู่ที่นี่มันหายไปไหน ตรงโน้นของผมตั้งอยู่หายไปไหน หนังสือของผมอยู่ในตู้มันหายไปไหนหมด"

       เมียในชาติก่อนเขาก็ตอบว่า "เมื่อเจ้าของไม่อยู่ฉันก็ให้เขาไปซิ จะได้เป็นประโยชน์กับผู่อื่นต่อไป"

       เมื่อ ด.ช. ชนัยได้ยินเช่นนั้นก็พูดว่า

       "เมื่อให้ไปแล้วก็แล้วไปนะ"

       ต่อมาแม่เขาก็ถามขึ้นอีกว่า

       "แล้วอะไรของลูกที่นึกออว่ายังมีอะไรบ้าง"

       เด็กก็บอกว่า "พระของผมยังมีอยู่พวงหนึ่ง"

       แม่ถามว่า "พระของลูกมีกี่องค์"

       เด็กบอกว่า "พระของผมมีอยู่ ๓ องค์ เป็นพระเครื่องนางพญา"

       คราวนี้พวกที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนแอบกระซิบถามเมียเมื่อชาติก่อน ว่าจริงไหมที่เขาพูด เมียเขาก็บอกว่าเป็นความจริงทุกอย่าง

       คราวนี้มีผู้ถามว่า "ก่อนที่ครูจะถูกยิงตายวันนั้น ครูทำอะไรบ้าง พอจะนึกออกไหม"

       ด.ช. ชนัย บอกว่า

       "เช้าวันนั้นผมก็ซักผ้าก่อน แล้วผมก็ถอดพระที่ห้อยคอไว้ที่โต๊ะ แล้วก็ไปอาบน้ำ เสร็จแล้วก็มากินข้าวแล้วก็แต่งตัวถีบจักรยานไปโรงเรียน วันนั้นผมลืมพระไว้ ไม่ได้ห้อยคอติดตัวไปด้วย ปืนสั้นที่เคยพกก็ไม่ได้พกไป วันที่ผมถูกยิงไม่ได้เอาติดตัวไปเลย ถ้าผมไม่ลืมเอาไปด้วย เมื่อถูกยิงตายก็คงไม่มีอะไรเหลือ

       พ่อในชาติก่อนของเด็กได้ถามขึ้นว่า

       "ปืนอะไรที่ลูกมี"

       เด็กก็ตอบว่า "ก็ปืนสั้น ปืนยาวอย่างละกระบอก"

       พ่อแม่และเมียต่างก็รับว่าจริง ตอนนั้นทั้งพ่อแม่และเมียและญาติต่างก็เช็ดน้ำตา บางคนก้มหน้าสะอึกสะอื้น

       ญาติที่สนใจถามว่า

       "ที่หนูอ้างว่าเป็นครูบัวไขถูกยิงตายกลับชาติมาเกิดคงจะรู้เรื่องวันที่ถูกยิงได้ดี ถูกยิงเวลาเช้าไปโรงเรียน หรือบ่ายกลับจากโรงเรียน"

       เด็กตอบว่า "เขายิงเวลาที่ฉันถีบจักรยานที่จะไปโรงเรียน"

       แล้วมีผู้ถามต่อไปว่า "เมื่อครูตายแล้วเขาเอาศพครูไปเผาที่วัดไหน"

       เด็กตอบว่า "เขาก็เอาไปเผาที่วัดตะพานหินนะซิ"

       ต่อจากนั้นแม่เขาก็ไปหยิบเข็มขัดที่เป็นช่องสำหรับใส่ลูกปืนคาดเอว ๕-๖ สาย ทำเหมือนจะเสี่ยงทายแล้วพูดว่า

       "เข็มขัดกระสุนเหล่านี้ หากลูกจำได้ว่าอันไหนเป็นของลูกก็หยิบขึ้นมา ถ้าหยิบไม่ถูกจำไม่ได้ก็เป็นอันว่าไม่ใช่ลูกของแม่"

       ตอนนั้นยายของเด็กรู้สึกตื่นเต้นใจคอไม่สบาย เพราะกลัวว่าหลานชายจะหยิบผิดจำไม่ได้ และกลัวเขาจะหาว่ายายพาหลานมาหลอกลวงเขา ทำให้คิดวุ่นวาย ใจเต้น คอยจ้องตาดูว่าเด็กจะหยิบถูกหรือผิด เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ แต่เมื่อเด็กมองดูแล้วก็ไม่ได้ชักช้าเสียเวลา หยิบเข็มขัดสายหนึ่งยังมีลูกกระสุนเสียบอยู่ ๓ ลูก ออกมาชูขึ้นบอกว่า

       "แม่ เข็มขัดลูกปืนเส้นนี้เป็นของฉัน"

       เมื่อผู้เป็นแม่ในชาติก่อนเห็นเช่นนั้นก็ร้องไห้โฮ และพวกญาติที่นั่นก็ร้องไห้ตามไปด้วยหลายคน ส่วนยายที่ใจกำลังเต้นตุกตักอยู่นั้นก็ค่อยโล่งอกหายใจทั่วท้อง เมื่อพ่อแม่เขารับว่าถูกต้องแล้ว เป็นครูบัวไขมาเกิดแน่ แล้วแม่ก็ร่ำครวญว่า

       "พุทโธ่เอ๋ย ลูกของแม่ ญาติของเราก็มีถมเถไป ทำไมลูกจึงไม่มาเกิดในสายญาติของเราละลูก ทำไมต้องไปเกิดทางไกลอย่างนี้"

       ด.ช. ชนัย ได้ตอยว่า "เราจะเลือกเกิดไม่ได้หรอกแม่ แล้วแต่ผู้จัดการบันดาลให้เราเกิด เราขัดคำสั่งเขาไม่ได้ เขาสั่งให้เราเกิดที่ไหน เราก็ต้องเกิดที่นั่น ถ้าหลบไปเกิดที่อื่น ไม่ช้าเขาก็เอาตัวกลับไปอีก เราก็ต้องรับโทษ"

       ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงเมียในชาติก่อนเขาพูดอย่างเยาะๆ ว่า

       "เกิดมาชาตินี้จะเจ้าชู้มีเมียมากอีกไหม"

       เด็กได้ตอบว่า "ฉันเข็ดแล้วไม่เอาอีก" แล้วเล่าให้เมียฟังว่า

       "เขาบังคับทำโทษให้ฉันแก้ผ้าหมด เหลือแต่ตัวเปล่าล่อนจ้อน เขาพาไปที่สระบัวกว้างใหญ่ เขาให้ฉันเดินลัดบุกฝ่าดงบัวเหมือนทำโทษที่ฉันเจ้าชู้มีเมียมาก ฉันได้รับความลำบากมาก กว่าจะเดินฝ่าดงบัวออกมาได้ เมื่อพ้นแล้วเขาก็ให้ใส่เสื้อผ้า มีคนมาประกบคุมตัวอยู่สิงข้าง พาฉันให้เดินมาพักหนึ่งแล้ว เขาก็บอกว่า ให้ไปเกิดได้ เขาส่งได้แค่นี้ ฉันก็มาเกิดตามที่เขาสั่งที่เขาเกณฑ์ให้เกิด แล้วฉันก็หมดความรู้สึก"

       อีกตอนหนึ่งที่นับว่าสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง วิญญาณ คือการที่ คุณประสิทธิ์ การุณยวณิช ได้สัมภาษณ์ ด.ช. ชนัย ซึ่งข้าพเจ้าได้คัดเอามาบางตอน

       ประสิทธิ์ "วันที่หนูก่อนจะถูกยิงนั้น มีความรู้สึกอย่างไรบ้างที่ผิดปกติกว่าวันธรรมดา"

       ชนัย "วันที่ผมตาย ผมลืมไม่ได้แขวนพระติดตัวไปด้วย ธรรมดาผมไม่เคยลืม ปืนสั้นที่ผมเคยพกก็ไม่ได้พก เมื่ออาบน้ำกินข้าวเสร็จก็รีบแต่งตัว คว้าจักรยานถีบออกจากบ้าน เคราะห์ดีครับที่ผมไม่ได้ห้อยพระและพกปืนไป ไม่เช่นนั้นเมื่อผมถูกยิงตาย มันคงเก็บเอาไปหมด"

       ประสิทธิ์ "แล้วหนูรู้จักชื่อเสียงตัวคนร้ายที่ยิงหนูไหม แล้วเวลาตายรู้สึกอย่างไรบ้าง ใจวูบไปเลยหรือเจ็บปวดสาหัสก่อนตาย หรือเหมือนหลับไปเฉยๆ"

       ชนัย "ไม่หรอกครับ คนยิงไม่รู้จักว่าเป็นใคร เพราะเขายิงผมข้างหลัง ไม่รู้ตัวเวลาตาย รู้สึกวิญญาณผมออกจากร่างแล้ว ผมยังมองเห็นตัวเองนอนอยู่บนถนน ขายังสั่นกระดิกๆ เลือดออกทางแผล ถูกยิงตรงหัวไหลนองถนน"

       ประสิทธิ์ "เมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้วล่องลอยไปอยู่ที่ไหน พบปะอะไรบ้าง หนูยังจำได้ไหม ก่อนจะกลับมาเกิดใหม่ มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง"

       ชนัย "วิญญาณผมเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ สนเวียนไปหลายแห่ง จะไปไหนบ้างเวลานี้ผมจำไม่ได้ ผมลืมไปหมดแล้วครับ"

       ตามที่ ด.ช. ชนัย อ้างว่าเมื่อถูกยิงตายอยู่บนถนน วิญญาณได้ออกจากร่างแล้ว ยังมองเห็นตัวเองนอนอยู่บนถนน ขายังสั่นกระดิดๆ เลือดออกทางแผลที่ถูกยิงตรงหัวไหลนองถนน นี้ตรงกับการศึกษาค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เกี่ยวกับการตายแล้วรู้สึกอย่างไรกับผู้ที่ได้ตายไปแล้ว โดยแพทย์รับรองว่าตายแน่ เพราะ หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ และ กระแสคลื่นสมองก็ไม่มี และภายหลังได้ฟื้นขึ้นมาอีก กลับมีชีวิตต่อไปได้ แล้วได้เล่าเรื่องต่างๆ ที่ได้ปรากฏและพบเห็นขณะที่วิญญาณได้ออกจากร่างไปนั้น นักวิทยาศาสตร์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายแพทย์ที่ควรจะกล่าวชื่อ คือ แพทย์หญิงเอลิซาเบธ คืบเลอร์-รอสส์ (Dr. Elisabeth Kubler-Ross) ซึ่งได้เขียนลงในหนังสือเรื่อง ความตายและกำลังตาย (On Death and Dying) และอีกคนหนึ่ง คือ ดร. เรย์มอนด์ เอ มูดี (Dr. Raymond A Moody Jr.) ท่านผู้นี้เป็น ดร. ทางปรัชญา และภายหลังได้เรียนต่อทางแพทย์ จนได้รับ M.D. จากมหาวิทยาลัย เวอร์จิเนัย สหรัฐอเมริกา. ท่านผู้นี้ได้กล่าวถึง ชีวิตภายหลังการมีชีวิตอยู่ (Life After Life) ในหนังสือเรื่อง การคำนึงถึงเรื่องชีวิตภายหลังการมีชีวิตอยู่ (Reflections on Life After Life) ได้ศึกษามานานถึง ๑๒ ปี ทั้งสองท่านนี้ได้พบว่ามีหลายต่อหลายรายด้วยกัน มีความรู้สึกว่าได้ล่องลอยออกจากร่าง และมองเห็นตัวเอง ทั้งได้ยินผู้คนที่มาแวดล้อมพูดจากันทุกอย่าง กระทำการแก้ไขเพื่อให้ฟื้น บางรายลอยไปในอุโมงค์มืดตื้อแล้วไปสู่ที่สว่างสวยงาม พบเพื่อนฝูงผู้คนที่ได้ตายไปแล้วมาต้อนรับ และชวนอยู่ด้วย บางรายเล่าว่า ความตายเป็นความสุขและความหวัง และไม่มีสักรายเดียวที่จะกลัวว่าจะตายอีก

       นอกจากท่านทั้งสองนี้ ยังมีอีกท่านหนึ่งชื่อ คาร์ลิส โอซิส (Karlis Osis) เป็นนักจิตวิทยา สมาชิกของสมาคมค้นคว้าทางจิตของอเมริกา ในกรุงนิวยอร์ค. ท่านผู้นี้ได้สัมภาษณ์นายแพทย์จำนวน ๘๗๗ คน ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการรักษาพยาบาลดูแลคนป่วยหนักที่กำลังจะสิ้นชีวิต. คนป่วยเหล่านี้มีมากต่อมากที่เล่าว่า มีคนมาคอยรับจะเอาชีวิตไป ทั้งนี้ตรงกับของเราที่ว่ามียมทู๖มาคอยรับเอาวิญญาณไป. นี่เฉพาะผู้ที่จะสิ้นชีวิตโดยสิ้นอายุขัย ไม่เกี่ยวกับผู้ที่ตายโดยยังไม่ถึงอายุขัย เช่นพวกตายโหง อย่างครูบัวไข หล่อนาค เป็นต้น. ทางพุทธศาสนาเราก็กล่าวว่า เมื่อสิ้นใจก็เกิดใหม่ทันที เป็นโอปปาติกะ ซึ่งจะไปสู่อบายภูมิหรือสวรรค์ภูมิ ขึ้นอยู่กับกรรมของตนที่ได้สร้างไว้

       การระลึกชาติของ ด.ช. ชนัย ชูมาลัยวงศ์ นับว่าเป็นการพิสูจน์เรื่อง "การเวียนตายเวียนเกิด" ค่อนข้างจะสมบูรณ์ดีมาก เพราะได้รับการยืนยันจากหลายแหล่งด้วยกัน คือ 

       ๑) จากปากคำของ ด.ช. ชนัย ชูมาลัยวงศ์ เอง

       ๒) จากนางพรม เบ็ญทอง ยายของเด็ก

       ๓) จากนายเขียน และนางยวง หล่อนาค และพ่อแม่ของเด็กในชาติก่อน

       ๔) จากนางสวน หล่อนาค ภรรยาครูบัวไข

       ๕) จาก จ.ส.ต. สนาน เพื่อนสนิทของครูบัวไข

       ๖) จาก น.ส. ติ๋ม และต๋อย หรือ น.ส. บรรจง และ น.ส. เบ็ญจา หล่อนาค บุตรสาวฝาแฝดของครูบัวไข        ๗) จากทรัพย์สินของใช้ของครูบัวไขหลายอย่าง ซึ่ง ด.ช. ชนัย จำได้อย่างแม่นยำ

       ๘) จากแผลเป็นที่ถูกยิงตายจากท้ายทอยทะลุออกทางหน้าผาก ซึ่งติดตัว ด.ช. ชนัย มาในชาตินี้ด้วย

       ๙) จากปากคำของ นายคำรณ หรือ "เบิ้ม" และนางสมคิด ชูมาลัยวงศ์ พ่อและแม่ของ ด.ช. ชนัย ในปัจจุบันนี้

วิญญาณพยาบาท

       ณ หมู่บ้านตำบลหนึ่ง อันตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของทะเลสาบ ในท้องที่อำเภอสทิงพระ จ.สงขลา เมื่อประมาณ ๔๕ ปีล่วงมาแล้ว ได้มีเหตุการณ์ซึ่งไม่น่าคาดฝันบังเกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่ง ณ หมู่บ้านแห่งนี้

       เรื่องมีอยู่ว่า นายขวัญแก้ว สุบินรัตน์ ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว วันหนึ่งได้ล้มป่วยลง และได้ป่วยมาหลายวันมีอาการค่อนค้างน่าวิตก มีแต่ลูกเท่านั้นคอยพยาบาลอยู่ เพราะเมียของนายขวัญแก้ว คือ นางสั้นเนี่ยว ไปอยู่ ณ ที่อื่น ดังนั้นลูกจึงไห้จดหมายไปถึงแม่ เพื่อมาช่วยพยาบาลพ่อ แต่นางสั้นเนี่ยงก็หามาไม่ คงมีเรื่องไม่พอใจกับสามีอยู่จึงไม่ยอมมา จนในที่สุด เมื่อนายขวัญแก้วป่วยหนักถึงแก่กรรมลง แม้กระนั้นนางสั้นเนี่ยวก็ไม่ยอมมาในงานศพ แม้แต่วันเผาก็ไม่มา แต่เมื่อถึงวันทำบุญตักบาตร นางสั้นเนี่ยวจึงมาในงาน

       ในวันทำบุญตักบาตร ซึ่งจัดทำบุญกันขึ้นที่บ้านของผู้ตายนั่นเอง เมื่อพระสงฆ์ที่นิมนต์มาในงานกำลังสวดมนต์ถึงบทพาหุง ญาติพี่น้องและชาวบ้านซึ่งมาร่วมทำบุญในงาน ก็กำลังเตรียมตัวใส่บาตรตามธรรมเนียมที่นิยมกันว่า เมื่อพระสวดถึงบทพาหุงก็ให้เจ้าภาพหรือผู้มาร่วมในงานใส่บาตร แต่ในวันนั้น ทุกคนต่างก็รอให้นางสั้นเนี่ยวซึ่งเป็นเจ้าภาพใส่บาตรก่อน ทันใดนั้นเอง เหตุการณ์อันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น นางลัดเนี่ยว ซึ่งเป็นลูกสาวของนายขวัญแก้วและนางสั้นเนี่ยว ได้ลุกขึ้นทำผ้านุ่งถกเขมรหยักรั้งเข้ามา ทำท่าทางเหมือนผู้ชาย แล้วร้องขึ้นว่า "อี่สั้นเนี่ยว มึงอย่าใส่บาตรให้กู กูไม่กินของมึง มึงอย่าใส่ อย่าใส่" แต่คนที่มาในงานซึ่งไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็บอกว่าใส่เถิด ครั้รนางสั้นเนี่ยวตรงเข้าจะใส่บาตรอีก นางลัดเนี่ยวก็ตรงเข้าไปหานางสั้นเนี่ยวเงื้อมือจะตบ พร้อมร้องสำทับขึ้นว่า "อี่สั้นเนี่ยว มึงอย่าใส่บาตร ถ้าใส่กูตบ" นางสั้นเนี่ยวจึงชะงักมือยืนงง

       ในขณะนั้น นางดวม พานิช ซึ่งเป็นญาติของผู้ตาย เห็นเหตุการณ์ผิดปกตอเช่นนั้น คิดว่า คงเป็นวิญญาณของผู้ตายมาสิง จึงร้องปลอบไปว่า "อย่าทำอย่างนั้นเลยพี่ อายคนเขา" " เออ อี่สั้นเนี่ยวกูไม่ให้ใส่บาตร กูไม่กินของมัน ยังขืนใส่ กูตบจริง กูเสียใจ น้องดวม" นางลัดเนี่ยวซึ่งถูกวิญญาณของพ่อมาสิง พูดพลางร้องให้พรางเพราะความน้อยใจ

       นางดวมผู้เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องกับผู้ตายก็สลดใจไปด้วย จึงพูดขึ้นว่า "ไม่กินของพี่สาวก็กินของลูกหลานเสีย"

       เออ ของลูกหลานกูกิน แต่ของอี่สั้นเนี่ยว อย่าใส่บาตรนะ กูไม่กินของมัน" นางลัดเนี่ยวตอบ

       เมื่อนางสั้นเนี่ยวงดใส่บาตร เหตุการณ์ก็สงบ ทั้งชาวบ้านและพระสงฆ์ต่างก็งงงันในเหตุการณ์นั้นไปตามๆ กัน

       ต่อมา หลังจากวันเกิดเหตุการณ์แปลกนั้นมาราว ๒ ปี นางสั้นเนี่ยวก็ล้มป่วยลงด้วยโรคอย่างหนึ่ง อาการก็ทรุดหนักลงๆ และเหตุการณ์ซึ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีก คือนางลัดเนี่ยว ซึ่งกำลังพยาบาลแม่อยู่กลับหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความเย้ยหยันว่า "เป็นไร อี่สั้นเนี่ยว มึงตายเหมือนกัน ไม่ใช่ตายแต่กู มึงก็ต้องตาย สมกับที่มึงละทิ้งกู มึงต้องตาย ต้องตาย อี่สั้นเนี่ยว กูยังเจ็บใจมึงอยู่ไม่หาย" และนอกจากนี้แล้ว ก็ยังพูดจาถากถางต่างๆ นานา ใครจะพูดจาขอร้องอย่างไรก็ไม่ฟังเสียง จนกระทั่งมีคนไปตามนางดวมผู้เป็นญาติสนิทมาพูดจาขอร้อง เหตุการณ์จึงสงบลง

       เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงที่โยมบิดาของผู้เขียนเล่าให้ฟัง โดยบันทึกเหตุการณ์เอาไว้ เพราะผู้ตายก็เป็นญาติกับโยมบิดาของผู้เขียน และเป็นเรื่องค่อนข้างสะเทือนใจ แม้จะเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ ๔๕ ปีมาแล้วก็ตาม และผู้เขียนยังได้ไปถามนางดวมซึ่งเป็นอาของผู้เขียนเพิ่มเติม ก็ได้รับยืนยันตรงกับที่โยมบิดาของผู้เขียนได้เล่าให้ทราบ

       คนเราทุกคน เมื่อตายแล้วก็ต้องเกิดในทันทีทันใด เหมือนหลับแล้วตื่น แต่จะไปเกิดอยู่ในภูมิใด ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของตนที่ทำเอาไว้ อย่างในกรณีของนายขวัญแก้วนี้ สันนิษฐานว่า อาจจะไปเกิดในภูมิของเทวดา หรือภูมิของอสุรกาย (ผี) ภูมิใดภูมิหนึ่ง ซึ่งเป็นภูมิที่เป็นอทิสสมานกาย คือกายไม่ปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาธรรมดา และเป็นผู้ที่สามารถเข้าสิงในร่างกายของมนุษย์ได้

       อนึ่ง เรื่องนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ตายไปแล้ว ย่อมสามารถรู้เห็นและสามารถรับกุศลผลทานที่ญาติทำและอุทิศให้จากโลกนี้ และข้อที่ที่เราจะพึงสังวรอีกประการหนึ่ง เกี่ยวกับคนที่เจ็บใกล้จะตายก็คือ อย่าทำสิ่งใดให้เป็นที่ขัดใจของผู้นั้น เพราะจะทำให้วิญญาณของผู้นั้นเกิดความไม่พอใจ และผูกพยาบาทขึ้นได้ แม้จะไปเกิดในภพใหม่แล้วก็ตาม

วิญญาณห่วงหลาน*

( * เรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ณ บ้านชะแล้ ต.ชะแล้ อ.เมือง จ.สงขลา เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๒๒ ซึ่งเล่าอัดเทป โดยพระภิกษุผู้อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งอยู่วัดภูตบรรพต (เขาผี)  ต.ชะแล้  อ.เมือง จ.สงขลา และพระครูสัมพิพัฒนวิริยาจารย์ (พัลลภ วลฺลโภ) แห่งวัดราชผาติการาม กรุงเทพฯ ได้เอื้อเฟื้อส่งเทปเรื่องนี้ให้ผู้เขียน เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๒ )

                     "เณร, แม่เฒ่าได้ตายไปแล้ว แต่แม่เฒ่ายังมีความกังวลใจอยู่ จะไปไหนก็ไม่ได้ ยังมีความห่วงใยในอี่สาวกุหลาบอยู่ จะไปเกิด (ในภพอื่น) ก็ไม่ได้ จึงได้ไปพาเณรมาปรึกษา เรื่องสมบัติที่แม่เฒ่าแบ่งไว้ให้ เพราะแม่เฒ่าได้แบ่งไว้ให้ลูกแล้วทั้ง ๔ คน คนละส่วน แต่อีกส่วนหนึ่งแม่เฒ่าได้ยกให้อี่สาวกุหลาบมัน เพราะเป็นเด็กที่กำพร้าแม่มาแต่เล็ก...."

       เรื่องมันแปลก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่เป็นเรื่องจริง ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๒๒ เรื่องมีอยู่ว่า

       นางขุ้ย (ไม่ทราบนามสกุล) อยู่บ้านชะแล้ หมู่ที่ ๕ ต.ชะแล้ อ.เมือง จ.สงขลา อายุประมาณ ๗๕ ปี ได้ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคอะไรไม่ปรากฏ เมื่อต้นเดือนธันวาคม ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นเดือนที่ฝนกำลังตกชุกในภาคใต้ น้ำก็กำลังท่วม ณ บริเวณหมู่บ้านแห่งนั้น ซึ่งอยู่ใกล้ฝั่งทะเลสาบสงขลา ครั้รจะเก็บศพไว้บำเพ็ญกุศลที่บ้านตามประเพณีที่นิยมกันในถิ่นนั้นก็ไม่สะดวก เพราะน้ำท่วม เรือแพก็ขัดข้อง จะนิมนต์พระไปสวดพระอภิธรรมก็ไม่อาจจะไปได้ ลูกหลานและญาติพี่น้องจึงได้ตกลงกันให้เคลื่อนศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดชะแล้ อันเป็นวัดประจำหมู่บ้านแห่งนั้น

       เมื่อลงมติเห็นพร้อมกันแล้ว ก็ได้เคลื่อนศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดชะแล้ ทำพิธีสวดอยู่ ๕ คืน จนกระทั่งถึงวันกำหนดเผา ญาติพี่น้องก็มาเผาศพนางขุ้ยครั้งนี้โดยพร้อมหน้าพร้อมตากัน โดยทำพิธีเผาที่ป่าช้าประจำหมู่บ้านแห่งนั้น

       เนื่องจากนางขุ้ยเป็นคนที่เกิดที่บ้านชะแล้นี้เอง และมีพี่น้องร่วมท้องด้วยกันถึง ๑๒ คน แต่ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ๑๑ คน รวมทั้งนางขุ้ยนี้ด้วย ที่ยังมีชีวิตอยู่เพียง ๑ คน นางขุ้ยจึงมีลูกหลานมาก เมื่อลูกหลานและญาติพี่น้องทั้งที่อยู่ใกล้และไกลมาพร้อมเพรียงกันแล้ว จึงทำให้งานศพนางขุ้ยเป็นงานที่ใหญ่มากงานหนึ่งในตำบลนี้

       ในงานนี้ ญาติพี่น้องได้รวมความเห็นกันว่า จะให้หลานชายนางขุ้ย ผู้เป็นลูกของลูกสาวคนสุดท้องของนางขุ้ยเองบวชหน้าศพ เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้นางขุ้ยผู้เป็นแม่เฒ่า (ยาย) ดังนั้น ญาติพี่น้องจึงได้ให้นายจีน อายุ ๑๘ ปี ซึ่งเป็นบุตรของนางเป็ดได้บวชหน้าศพ

       เมื่อตกลงกันแล้ว ญาติพี่น้องก็ไปจัดซื้อเครื่องบวชมาพร้อม แล้วนิมนต์พระอุปัชฌาย์มาบวชที่วัดชะแล้ โดยบวชเป็นสามเณร เมื่อบวชแล้ว รุ่งขึ้นก็เคลื่อนศพไปป่าช้าเพื่อเผาตามธรรมเนียมในชนบท โดยได้นิมนต์พระจากวัดต่างๆ มาสวดมาติกาบังสุกุลด้วย งานฌาปนกิจศพก็เป็นไปโดยเรียบร้อย ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น

       แต่หลังจากที่เผาศพแล้ว ก็มีเรื่องซึ่งไม่น่าคาดฝันเกิดขึ้นกับสามเณรบวชใหม่ เพราะมีต้นเหตุมาจากพินัยกรรมของนางขุ้ยเอง คือ

       เมื่อประมาณ ๘ ปีที่ล่วงมานี้ นางขุ้ยได้เอาหลานสาวมาเลี้ยงไว้คนหนึ่ง ชื่อ กุหลาบ ซึ่งเป็นลูกของลูกชายคนโตของนางขุ้ย โดยเอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ จนเดี๋ยวนี้มีอายุได้ ๑๕ ปี นางขุ้ยเรียกหลานคนนี้ว่า "อี่สาว" ตามประเพณีการเรียกชื่อหลานของคนในถิ่นนี้ แต่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า กุหลาบ ตามชื่อจริง

       กุหลาบเป็นเด็กดี มีความกตัญญูกตเวที แต่เป็นเด็กกำพร้าแม่มาตั้งแต่อายุ ๓ ขวบ เพราะแม่ของเธอได้ตายไปเมื่อเธออายุได้ ๓ ขวบแล้ว นายหิ้มผู้เป็นพ่อก็มีเมียใหม่ ครั้นจะให้อยู่ที่บ้านด้วยกันก็เกรงว่าจะเกิดขัดใจกับแม่เลี้ยง นายหิ้มจึงตัดสินใจเอากุหลาบมาฝากไว้กับนางขุ้ยผู้เป็นแม่ ตั้งแต่กุหลาบอายุได้ ๘ ขวบ เพราะนางขุ้ยขณะนั้นก็ไม่มีใครจะอยู่ด้วย เนื่องจากลูกๆ ได้แต่งงานและแยกครอบครัวไปอยู่ต่างหากกันหมดแล้ว

       นางขุ้ยมีลูกอยู่ ๔ คน คือ

       คนที่หนึ่งชื่อ นายหิ้ม บิดาของกุหลาบ

       คนที่สองชื่อ นายผิน ปัจจุบันอยู่ ต.ประดู่ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง

       คนที่สามชื่อ นายส้อง มีภรรยาแล้ว อยู่ที่ ต.ชะแล้ หมู่ ๓

       คนที่สี่เป็นหญิงชื่อ นางเป็ด ไปมีสามีอยู่ที่จังหวัดตรัง

       ต่อมา นางขุ้ยป่วย มีอาการค่อนข้างหนัก และรู้สึกตัวว่าจะไปไม่รอดแล้ว จึงให้เรียกลูกทั้ง ๔ คน มาพร้อมกันแล้ว พูดขึ้นว่า "มาพร้อมกันทุกคนแล้วนะลูก แม่นี้รู้ตัวว่าจะไม่รอดแล้ว แม่จึงอยากจะแบ่งสมบัติให้แก่ลูกทั้ง ๔ คน ในขณะที่แม่ยังมีชีวิตอยู่และยังมีสติดีอยู่ สมบัติของแม่ก็มีไม่มาก แต่พอจะแบ่งให้ลูกๆ ได้ ตามที่แม่มี"

       ลูกทั้ง ๔ คน เมื่อแม่พูดขึ้นเช่นนั้นแล้ว ต่างก็ไม่สบายใจที่แม่ผู้บังเกิดเกล้าจะจากไป แต่ก็รู้สึกยินดีที่แม่จะได้แบ่งสมบัติให้เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องยุ่งยากในภายหลัง จึงได้พูดขึ้นว่า "แบ่งเสียให้เรียบร้อยให้สมบูรณ์ ดีแล้วแม่ จะไม่ยุ่งยากในภายหลังเมื่อไม่มีแม่แล้ว"

       นางขุ้ยจึงพูดขึ้นว่า "ที่นา แม่จะแบ่งให้ แปลงไหนจะให้ลูกคนไหนแม่จะบอกไว้ แบ่งให้เท่าๆ กันทั้ง ๔ คน เพื่อไม่ให้ทะเลาะกันในภายหลัง แม่จะทำไว้ให้ถูกต้อง แต่แม่จะแบ่งสมบัติออกเป็น ๕ ส่วน คือ ลูกทุกคนแบ่งให้เท่ากัน ส่วนที่ ๕ นั้นเป็นส่วนผี คือส่วนที่ ๕ เมื่อแม่ตายไปแล้ว แม่จะให้กับกุหลาบมัน เพราะอี่สาวกุหลาบ แม่นำมาเลี้ยงไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย ลูกทุกคนจะเห็นด้วยหรือไม่ กุหลาบนี้เมื่อโตขึ้นแล้วก็ได้เลี้ยงดูช่วยเหลือแม่ ได้หุงข้าวหุงปลา ปฏบัติแม่เจ็บเมื่อไข้ไม่สบาย รวมทั้งอาหารการกินต่างๆ กุหลาบก็เป็นผู้จัดทำ ฉะนั้น นาแปลงนี้ แม่จะให้กับอี่สาวกุหลาบมัน" ลูกทั้ง ๔ คนก็ยินยอมเห็นด้วย

       เมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว ต่อมา นางขุ้ยก็ได้ถึงแก่กรรมลง ลูกหลานญาติพี่น้องได้จัดการศพเรียบร้อยดังกล่าวแล้ว

       เมื่อเผาศพนางขุ้ยเสร็จแล้ว ล่วงมาได้ ๓ คืน พวกลูกๆ ทั้ง ๓ คน (เว้นคนพี่ผู้เป็นพ่อของกุหลาบ) มาปรึกษาเห็นต้องกันว่า "นาแปลงที่เป็นส่วนผีที่จะให้กุหลาบนั้น จะแบ่งให้อีกทำไม ในเมื่อพ่อของกุหลาบก็ได้ส่วนแบ่งแล้ว พวกเรา ๓ คน มาแบ่งกันเองดีกว่า แล้วก็เอามาแบ่งกันเสียเอง ๓ คน

       ส่วนนายหิ้มก็พูดไม่ออก และก็ไม่สนใจ เพราะไม่อยากทะเลาะกับน้องๆ ในฐานะที่เป็นพี่ กุหลาบจึงไม่ได้อะไรเลย ทั้งๆ ที่ได้เลี้ยงดูปฏิบัติย่ามา และย่าก็ได้แบ่งสมบัติไว้ให้ก่อนตาย จึงทำให้ร้อนถึงผีนางขุ้ยผู้ตายไปแล้ว

       หลังจากเผาศพนางขุ้ยแล้วได้ ๓ วัน สามเณรจีนซึ่งบาชหน้าไฟคุณยาย ได้ตั้งใจว่าจะสึกมาก่อนหน้านี้ แต่ยังหาวันดีไม่ได้ ก็ทำให้ไม่สบายใจ ข้าวก็ไม่ยอมฉัน และไม่ยอมสังคมกับภิกษุสามเณรอื่นๆ ด้วย 

       ในกุฏิที่สามเณรจีนอยู่นั้นมีพระเณรอื่นอยู่ด้วย แต่อยู่คนละห้อง ในคืนวันนั้นพระเณรได้ยินประตูห้องสามเณรจีนปิดดังโครม ต่างเข้าใจว่าสามเณรจีนเข้านอน และต่างก็รู้อยู่ด้วยว่าสามเณรจีนไม่ค่อยสบายใจ จึงไม่อยากเข้าไปรบกวนคุยด้วย แต่เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น พระเณรก็ได้ยินเสียงสามเณรจีนเปิดประตูออกจากห้อง ก็พากันสงสัยและเปิดประตูออกมาดู และเข้าไปดูในห้องสามเณรจีนก็ไม่พบ พากันเอาไฟฉายไปค้นหาทั่ววัดก็ไม่พบ ก็สงสัยว่าสามเณรจีนจะไปผูกคอตาย พระเณรจึงพากันนั่งปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกัน

       หลังจากนั้นประมาณ ๑ ชั่วโมง สามเณรจีนก็ขึ้นไปบนวัด เพราะวัดชะแล้ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ซึ่งมีบันไดขึ้นมาทางด้านศาลาการเปรียญ (โรงธรรม) และเมื่อสามเณรจีนไปถึงวัดแล้ว พระเณรในวัดได้ยินเสียงหมาเห่าหอน ไล่ตามไปประมาณ ๒๐ วา พระเณรก็สงสัย แต่พอเงียบเสียงหมา สามเณรจีนก็ถึงห้อง พระจึงเจ้ามาถามว่า "เณรไปไหนมา"

       เมื่อถูกสอบถาม สามเณรจีนก็ได้สติขึ้นมาทันที จึงบอกว่า แม่เฒ่า (ยาย) มาพาไปที่เปลว (ป่าช้า) ก็เดินตามหลังแม่เฒ่าและคุยกันไป ผมสำคัญว่าแม่เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ ผมใจลอยนึกไปว่าแม่เฒ่ายังไม่ตาย พอไปถึงป่าช้า แม่เฒ่าบอกว่า "เณร นิมนต์นั่งลง แม่เฒ่าจะพูดให้ฟัง" ก็เลยนั่งคุยกับแม่เฒ่า โดยหันหน้าไปทางทิศใต้ นั่งใกล้กับแม่เฒ่า แม่เฒ่าได้พูดว่า "เณร, แม่เฒ่าได้ตายไปแล้ว แต่แม่เฒ่ายังมีความกังวลใจ จะไปไหนก็ไม่ได้ ยังมีความห่วงใยในอี่สาวกุหลาบอยู่ จะไปเกิด (ในภพอื่น) ก็ไม่ได้ ก็เลยพาเณรมาปรึกษาเรื่องสมบัติที่แม่เฒ่าแบ่งไว้ให้นั้น เพราะแม่เฒ่าได้แบ่งไว้ให้ลูกทั้ง ๔ คนแล้ว คนละส่วน แต่อีกส่วนหนึ่งแม่เฒ่าบอกแล้วว่ายกให้แก่อี่สาวกุหลาบมัน เพราะเป็นเด็กที่กำพร้าแม่มาแต่เล็ก (ทั้งๆ ที่ตกลงกันแล้ว) แต่เมื่อแม่เฒ่าตายแล้ว ทำไมลูกทั้ง ๓ คน เอาส่วนของกุหลาบมาแบ่งกันเสียเอง ไม่ยอมให้กุหลาบ ทำไมลูกทั้ง ๓ คน จึงมาคิดทรยศโกงของหลาน เรื่องนี้แหละที่แม่เฒ่าต้องเรียกเณรมาปรึกษา ขอให้เณรช่วยไปตามแม่ของเณรมาเร็วๆ ให้เณรไปตามแม่เณรที่จังหวัดตรัง แล้วคืนสมบัติส่วนนี้ให้กุหลาบเสีย มิฉะนั้นแล้วแม่เฒ่าจะมีความกังวลใจอยู่อย่างนี้ ไม่ได้ไปเกิด (ในภพอื่น) แม่เฒ่าจะเฝ้าสมบัติอยู่นี่ พรุ่งนี้ ขอให้เณรรีบไปตามโยมแม่มา"

       "เมื่อพูดตกลงกันแล้ว แม่เฒ่าก็มาส่งผม และเดินกันมาถึงวัดนี้แหละครับ แม่เฒ่ามาพาผมไปป่าช้าและเดินมาส่งผมถึงวัด ผมก็ยังรู้สึกว่าแม่เฒ่ายังไม่ตาย แต่พอแม่เฒ่ากลับไปแล้วผมกลับได้สติทันที และจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ดังที่เล่ามานี่แหละ" สามเณรจีนพูดในที่สุด

       เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน เมื่อพระเณรได้ฟังดังนั้น ต่างก็พากันขนหัวลุกด้วยความกลัว แล้วพูดว่า "ป้าขุ้ยเป็นผีมีศีลธรรม มีธรรมะ แกแบ่งสมบัติไว้ให้ลูกทุกคนถูกต้องแล้ว"

       ในคืนต่อจากนั้น หมาในวัดพากันเห่าหอนอยู่ที่บันใดทางขึ้นสู่วัดชะแล้อย่างหวาดกลัว (เพราะเสียงหมาเห่าหอนในยามค่ำคืนเช่นนี้ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทยชนบทว่า หมามันเห็นผี มันจึงเห่าหอน และในชนบทแถบนั้นก็ไม่มีไฟฟ้าด้วย) พระเณรต่างพากันกลัวไม่กล้านอน ด้วยคิดว่าผีป้าขุ้ยมาอีกแล้ว สามเณรจีนก็กลัวเช่นกัน จนกระทั่งหมามันหอนเสียงโหยหวนต่อกันลงไปทางเบื้องล่าง อันเป็นทางมุ่งไปยังป่าช้าประจำหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น

       แต่ในคืนต่อมาหลังจากคืนนั้น ผีนางขุ้ยก็มาสิงสามเณรจีนผู้เป็นหลานของตน จึงเกิดเรื่องโกลาหลหนักขึ้น คือ สามเณรจีนร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง พูดบ้าง พระเณรจึงเข้าไปในห้องสามเณรจีนแล้วถามว่า "ทำไมจึงเป็นอย่างนี้"

       สามเณรก็พูดขึ้นว่า "ฉันห่วงสมบัติ เพราะกุหลาบมันไม่ได้ส่วนแบ่ง และฉันอยากจะรู้ว่า ที่ให้เณรไปตามโยมแม่ที่ จ.ตรังนั้น เณรไปแล้วหรือยัง"

       พระเณรได้บอกว่า ฎเณรได้ไปตามแล้ว ป้ากลับเสียเถิด เมื่อเณรได้บวชแล้ว และได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แล้ว มาทำไมอีก"

       ผีนางขุ้ยในร่างของเณรตอบว่า ฉันไม่ไปก่อนละต้น เดี๋ยวก่อน ไปตามลูกฉันมาก่อน ยกเว้นเณรผินเพราะมันอยู่ไกล และขอให้หาหมอผีมาด้วย เพื่อมาไล่ผี เพราะเกรงว่าจะมีผีอื่นมาหลอกหลอนเอาได้" (คำว่า "ต้น" เป็นคำที่ชาวปักษ์ใต้เรียกพระสงฆ์บวชใหม่หรือที่พรรษาน้อยทั่วไป ย่อมาจากคำไทยโบราณว่า "ชีต้น" ส่วนคำว่า "เณร" เป็นคำภาษาใต้ของไทย นอกจากจะหมายถึงสามเณรทั่วไปแล้ว ยังใช้เรียกทิดทุกคนว่า "เณร" อีกด้วย ดังนั้นคำว่า "เณรผิน" ในที่นี้ จึงหมายถึงนายผิน ผู้เป็นลูกชายคนที่ ๒ ของนางขุ้ย ซึ่งอยู่ไกลถึงจังหวัดพัทลุงนั่นเอง)

       ก็ในหมู่บ้านชะแล้นั้น ได้มีผู้ที่เข้าใจเรื่องการไล่ผีอยู่คนหนึ่ง คือ นายเฉี้ยง และนายเฉี้ยงคนนี้เป็นหลานของนางขุ้ยเอง บ้านอยู่ใกล้วัดชะแล้ จึงได้ถูกตามตัวเชิญมาได้สะดวก และผู้ที่มาในครั้งนี้ นอกจากนายเฉี้ยงแล้ว ก็มีคนใกล้เคียงพากันมาดูเหตุการณ์ด้วยจำนวนหลายคน

       นายเฉี้ยง เมื่อมาถึงก็พิจารณาดูแล้วรู้ว่า สามเณรถูกผีเข้าแน่ จึงถามขึ้นว่า "ใครมาหยอกเณร ตายไปแล้วก็ไปสู่ที่สุขเสียซิ อย่ามาพัวพันเกี่ยวข้องอยู่กับพระเณร ไป ไปเสีย"

       ผีนางขุ้ยจึงพูดขึ้นว่า "อ๋อ เณรเฉี้ยง มึงอย่าไล่กู มึงเป็นลูกพี่สาวกู นี่สมบัติกูแบ่งปันให้ถูกต้องแล้ว ภายหลังน้อง ๓ คน มันมายักยอกเอาไป ไม่ให้หลานสาวมัน จะเอาแต่พวกมัน ๓ คน เณรส้องอยู่ไหน มาหรือเปล่า (หมายถึงนายส้อง ลูกชายคนที่ ๒ ของนางขุ้ย)"

       นายเฉี้ยงตอบว่า "นั่งอยู่ข้างนอก" (หมายถึงนั่งอยู่ข้างนอกห้อง)

       "บอกให้เข้ามา กูจะถามเณรส้องมัน" ผีนางขุ้ยกล่าวขึ้น

       เมื่อนายส้องเข้าไปในห้องแล้ว ผีนางขุ้ยในร่างของสามเณรก็พูดขึ้นว่า "บ้านมึงมีอะไรดีนะ กูไปแล้ว กูตั้งใจไปบ้านมึง ไปถึงแล้วได้แต่วนเวียนอยู่ที่ประตูบ้าน กูเข้าไปไม่ได้"

       แล้วนายส้องจึงพูดขึ้นว่า "แล้วทำไม แม่ไม่ไปพูดกับฉันล่ะ"

       ก็กูตั้งใจจะไปพูดกับมึงนั้นแหละลูก แต่กูเข้าไปไม่ได้ มึงใจดำนา แม่แบ่งไว้ถูกต้อง แต่สูไปแบ่งปันกันแต่พวกสู" ผีนางขุ้ยพูด (สู เป็นคำไทยเดิมซึ่งยังใช้พูดกันโดยทั่วไปในชนบทภาคใต้)

       นายส้องพูดว่า "แม่อยากให้ลูกเกิดมามาก สมบัตินิดเดียวจึงปันกันไม่พอ"

       เมื่อได้ฟังดังนั้น ผีนางขุ้ยจึงพูดขึ้นว่า "กูปันให้ลูกแล้ว แต่พวกสูจะเอาเหลือ (เอาเกิน) สูจะเอาให้มาก เมื่อก่อนกูตายก็ได้ถามลูกๆ กันทุกคน เห็นด้วยกันแล้ว" แล้วจึงหันไปถามนายหิ้ม พ่อของกุหลาบซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นด้วยว่า" "เณรหิ้ม มึงจะว่าอย่างไร ลูกมึงที่แม่พามาเลี้ยงไว้ ไม่ได้สมบัติอะไรเลย"

       แต่นายหิ้มไม่ยอมตอบ คงจะพูดไม่ออกในฐานะที่เป็นพี่ และกุหลาบก็เป็นลูกของตนด้วย แล้วผีนางขุ้ยจึงพูดว่า "ถ้ามึงไม่ตอบ กูจะไม่ไปไหน กูจะอยู่ที่นี่"

       เมื่อได้ฟังดังนั้น นายหิ้มก็ได้พูดขึ้นว่า "แม่ไปอยู่ที่ที่สุขเถิดแม่ เขาค่อยแบ่งกันเอง อย่ามาเกี่ยวข้องอยู่เลย"

       ต่อจากนั้น นายเฉี้ยงได้พูดแทรกขึ้นว่า "ถ้าไม่ไป จะเอาดินสอพองมาสัก มันเป็นผีอื่นมาแทรก" (การเอาดินสอพองมาสักหรือขีด เช่น สักหรือขีดรอบข้อมือข้อเท้าของคนที่ถูกผีเข้า พร้อมกับบริกรรมคาถาสำทับลงไป เป็นวิธีการอย่างหนึ่งของหมอผีในการไล่ผี)

       "อย่าสักกูเลย เณรเฉี้ยง กูเป็นน้าสาวมึง มึงอย่าไล่กู" พอพูดเพียงเท่านี้ ผีนางขุ้ยก็ออกจากร่างของสามเณร แล้วสามเณรจีนก็ได้สติ รู้สึกตัวทันที และทุกคนในที่นั้นต่างก็รู้สึกโล่งใจ

       ในที่สุด ได้ทราบว่า ลูกๆ ของนางขุ้ยทั้ง ๓ คนที่ไม่ยอม ก็ต้องแบ่งที่ดินอันเป็นส่วนของกุหลาบให้แก่กุหลาบไปตามคำสั่งของแม่ เพราะเชื่อในเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งเห็นประจักษ์ได้ด้วยตนเองและบุคคลอื่นเป็นอันมาก ทั้งไม่ต้องการให้แม่ของตนซึ่งตายไปแล้วมีความกังวลห่วงใยในเรื่องนี้ จะได้ไปเกิดในสุคติตามความปรารถนาของทุกคน

       เรื่องนี้ เป็นการพิสูจน์การตายแล้วเกิดใหม่ได้ชัดเจนอีกเรื่องหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน.