ตายแล้วไปไหน ภาค 2 หน้า 2

กลับหน้าแรก     กลับหน้าสารบัญ     ภาคที่หนึ่ง     

ภาคที่สอง หน้า ๑     ภาคที่สอง หน้า ๒     ภาคที่สอง หน้า ๓     ภาคที่สอง หน้า ๔      ภาคที่สาม

ภาคที่สอง (หน้าที่ ๒)

ข้อพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิดใหม่

สัมภเวสี

       สัมภเวสี เป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นหลักยืนยันว่า คนเราตายแล้วเกิดใหม่จริง แต่มีชาวพุทธจำนวนไม่น้อย ไม่เข้าใจสภาพอันแท้จริงของสัมภเวสี และยังมีความเข้าใจแตกต่างกันในกลุ่มชาวพุทธบางนิกาย ฉะนั้น เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเรื่องหนึ่ง เพราะเกิดขึ้นกับทุกชีวิต

       สัมภเวสี หมายถึงสัตว์โลกที่ยังแสวงหาที่เกิด คือยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยใหญ่อยู่ เมื่อยังไม่สำเร็จพระอรหันต์ตราบใด ก็ยังเป็นสัมภเวสีอยู่ตราบนั้น แต่สัมภเวสีนี้ ยังมีชาวพุทธอยู่จำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่า ได้แก่สัตว์ที่ยังท่องเที่ยวแสวงหาที่เกิดอยู่ คือ ยังไม่ทันเกิดในภพใดภพหนึ่ง หลังจากที่ตายไปแล้ว โดยเฉพาะชาวพุทธฝ่ายมหายานบางนิกาย เชื่อว่าผู้ที่ตายแล้วจะต้องอยู่ในอันตรภพ (ระหว่างภพ) เป็นเวลา ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง ๑ เดือนบ้าง เพื่อรอคอยปฏิสนธิ จึงจะไปเกิดในกำเนิดทั้ง ๔ กำเนิดใดกำเนิดหนึ่งได้ สัตว์ที่อยู่ในอันตรภพนี้ คือสัมภเวสี เพราะยังแสวงหาภพที่เกิดอยู่ ความเชื่อเรื่องอันตรภพนี้ก็ยังมีอยู่ แม้ในหมู่ชาวพุทธไทยบางท่าน ทั้งนี้เพราะได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนามหายานนิกายมนตรยาน ซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ในประเทศไทย ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗

       แต่ตามหลักความจริงในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแล้ว สัตว์ที่อยู่ในอันตรภพนี้ไม่มีเลย เพราะเมื่อความตายบังเกิดขึ้น จิตเคลื่อนไปปฏิสนธิจิตก็ปรากฏในทันที จิตหรือวิญญาณจะเที่ยวเร่ร่อนอยู่โดยไม่มีรูปร่างหรือไม่มีภพที่เกิดนั้น ไม่มีเลย เพราะจิต*นั้นจะต้องอาศัยร่างเป็นที่อยู่ ( * นี้หมายถึงจิตของผู้ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกามภพ และรูปภพเท่านั้น ส่วนผู้ที่ไปเกิดในอรูปภพหรืออรูปพรหมนั้น ไม่มีรูป มีแต่นามคือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) ดังคำบาลีว่า "คูหาสยํ จิตนี้มีถ้ำคือกายเป็นที่อาศัย" เช่นเดียวกับกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะต้องอาศัยวัตถุอันเป็นแหล่งที่อยู่ที่เกิดของมัน จะอยู่โดยตัวของมันเองโดยไม่อาศัยสสารชนิดใดชนิดหนึ่งไม่ได้ ถ้าหากว่าผู้ตายแล้วจะต้องไปรออยู่ในอันตรภพ ก็เท่ากับว่าภพหรือภูมิที่เกิดของสัตว์ มีเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่ง ซึ่งเดิมมีอยู่ ๓๑ ภูมิ ก็จะต้องเป็น ๓๒ ภูมิ แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ภูมิที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี ๓๑ คือ อบาย ๔ สวรรค์ชั้นกามาพจร ๖ รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔ และมนุษย์โลก ๑ เท่านั้น ฉะนั้น ผู้ที่ตายแล้ว ถ้ายังมีกิเลสก็ต้องเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่งทันที ดังพระบาลีว่า "สุตฺตปฺปพุทฺโธ วิย เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น" ไม่มีการรอหาที่เกิด แต่การที่จะไปเกิดในภพใดในที่ใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับแรงเหวี่ยงของกรรมที่ส่งไป ฉะนั้น การที่คนบางคนพบเห็นว่า ญาติคนนั้นคนนี้ตายไปแล้ว มาปรากฏตัวให้เห็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็หมายถึงว่า เขาได้ไปเกิดแล้วในภพใหม่ แต่เป็นกำเนิดของโอปปาติกะ คือ อาจจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือเป็นเทวดาจำพวกใดจำพวกหนึ่งก็ได้ ซึ่งกำเนิดพวกนี้เป็นอทิสสมานกาย มองดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น จะปรากฏแก่เราได้ ก็เมื่อเขาทำกายให้หยาบด้วยประสงค์จะแสดงหรือบอกให้ผู้ที่เขาต้องการจะให้รู้ได้ทราบเท่านั้น

       เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ จะขอนำเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เรื่องหนึ่งมาเป็นหลักฐานยืนยันประกอบ เพื่อสนับสนุนหลักธรรมในพระพุทธศาสนาข้อนี้

       เรื่องมีอยู่ว่า ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งอายุประมาณ ๒๑ ปี ขอสมมติชื่อว่า ชุลีนาถ บ้านอยู่กรุงเทพฯ ได้ไปทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งที่อ้อมน้อย สมุทรปราการ วันหนึ่งในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ขณะที่เธอทำงานอยู่ที่โรงงานแห่งนั้น เวลาพักกลางวัน เธอได้ออกจากโรงงานไปทานอาหาร ได้เดินข้ามถนนสายหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับโรงงาน และได้ถูกรถยนต์ชนขณะข้ามถนน มีอาการสาหัส แล้วมีคนนำส่งโรงพยาบาลศิริราช แต่เธอได้ขาดใจตายที่โรงพยาบาลศิริราชนั่นเอง เพราะมีอาการสาหัสมาก แต่ทางบ้านก็ยังไม่ทราบถึงการจากไปของเธอ

       ในวันนั้น พอตกตอนเย็นครั้นสิ้นแสงตะวัน วิญญาณของเธอก็กลับมาที่บ้าน อาจจะเป็นเพราะห่วงแม่ โดยมาปรากฏในรูปร่างเดิมของนางสาวชุลีนาถนั่นเองและได้ไปนั่งถ่ายปัสสาวะอยู่ในที่ไม่สมควรจะถ่ายปัสสาวะ อาหญิงของเธอเห็นเข้าจึงได้ดุว่า ที่นั้นไม่สมควรถ่ายปัสสาวะ วิญญาณนี้ก็ไม่พูดอะไร เมื่อลุกขึ้นแล้วก็เดินขึ้นบนบ้าน เดินสวนกับมารดาของเธอเอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วผ่านเข้าห้องนอน มารดาเข้าใจว่าเธอเข้าไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว หลังจากกลับมาจากที่ทำงาน แล้วมารดาของเธอก็ได้ลงมาข้างล่าง

       อีกสักครู่หนึ่งต่อมา ก็มีคนจากโรงพยาบาลศิริราชมาบอกข่าวเรื่องการตายของนางสาวชุลีนาถให้มารดาของเธอทราบ แต่มารดาของเธอไม่เชื่อ และได้กล่าวยืนยันว่าลูกสาวของตนได้กลับมาบ้านแล้ว อาหญิงเขาก็ดุเอาเมื่อก่อนจะขึ้นบ้าน และได้เดินสวนทางกับตนไปเข้าห้องเมื่อครู่นี้เอง เข้าใจว่ามาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวในห้อง ชายผู้มากับข่าวก็กล่าวยืนยันเช่นกันว่า "ผมมาจากโรงพยาบาลศิริราชที่เก็บศพของนางสาวชุลีนาถ เพื่อมาบอกข่าวให้ทางบ้านทราบ"

       มารดาของนางสาวชุลีนาถก็ยังไม่เชื่อ แต่เพื่อให้แน่ใจจึงได้ตามขึ้นไปดูในห้อง และได้เห็น น.ส.ชุลีนาถลูกสาวนอนคลุมโปงอยู่ในห้อง โดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเลย ด้วยความแปลกใจนางจึงได้เรียกลูกสาวออกมา และเมื่อ น.ส. ชุลีนาถลุกขึ้นออกมายืนอยู่ตรงหน้ามารดาก็ไม่พูดอะไร แต่ปรากฏว่ามีเลือดไหลอาบหน้า และเปื้อนไปทั่วทั้งร่าง เมื่อมารดาของเธอเห็นเข้าเช่นนั้น ก็ตกใจเป็นลมล้มลงสลบไป ภาพนั้นก็หายไปทันที

       เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งอาหญิงของนางสาวชุลีนาถได้เล่าให้ท่านเจ้าคุณรูปหนึ่ง ในวัดโสมนัสวิหารทราบ และขณะนี้กระดูกของนางสาวชุลีนาถ ก็ถูกนำมาบรรจุไว้ที่พระวิหารวัดโสมนัสวิหาร แม้ในวันทำบุญบรรจุกระดูกนั้น มารดาของเธอก็ยังเศร้าโศกเสียใจถึงกับเป็นลมไปอีก เพราะมีความรักและอาลัยในลูกสาวของตนคนนี้มาก

       เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ตายไปแล้วและสามารถมาปรากฏตัวให้ทราบเช่นนี้ คนโดยทั่วไปเรียกกันว่า สัมภเวสี แท้ที่จริงเขาเกิดในภพใหม่แล้ว แต่เกิดในกำเนิดแห่งโอปปาติกะ คือ เกิดผุดขึ้น มีรูปร่างสมบูรณ์ในทันที ถึงจะเกิดอยู่ไม่นานแล้วต้องเคลื่อนไปเกิดในภูมิใหม่อีกต่อไป ก็ชื่อว่าเกิดแล้ว และเขาสามารถแสดงร่างเก่าให้ปรากฏแก่ญาติพี่น้องมิตรสหายเป็นต้นได้ เรื่องทำนองเดียวกันนี้ หรือมีลักษณะคล้ายเรื่องนี้ ปรากฏว่ามีเกิดขึ้นบ่อยในประเทศไทย แม้ในประเทศตะวันตกก็มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่รูปร่างที่แท้จริงของเขาเป็น อทิสสมานกาย คือ มีร่างกายไม่ปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาเนื้อ ท่านผู้ได้ทิพยจักษุเท่านั้นจึงสามารถมองเห็นกายของผู้ที่เกิดอยู่ในโอปปาติกะกำเนิดได้ แต่บางคนไปเกิดในโอปปาติกะกำเนิดไม่นานเพียง ๗ วันเท่านั้น แล้วก็เคลื่อนไปเกิดในภูมิใหม่อีก เช่น ไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์หรือเทวดาชั้นสูง เป็นไปตามอำนาจพลังของกรรมที่ตนได้ทำเองไว้ส่งให้ไปเกิด

       เพื่อความเข้าใจชัดในเรื่องสัมภเวสีตามหลักพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท จึงขอนำคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์มากล่าวไว้ในที่นี้ คือ พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสัตว์ที่มีชื่อว่า สัมภเวสี และสัตว์ที่ชื่อว่า ภูตะ ไว้ในอรรถกถาคัมภีร์ขุททกนิกาย ชื่อปรมัตถโชติกา หน้า ๒๗๗ ตอนอธิบายบาลี เมตตสูตร ข้อที่ว่า ภูตา วา สมฺภเวสี วา สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา ขอสัตว์ทุกจำพวกทั้งที่เป็นภูตะ ทั้งที่เป็นสัมภเวสี จงถึงความสุขเถิด" โดยแยกอธิบายออกเป็น ๓ นัย ดังนี้

              ๑. คำว่า ภูตะ หมายถึงสัตว์ที่เกิดแล้ว คือเกิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว คำว่า ภูตะ นี้ เป็นชื่อของพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้ที่เกิดเสร็จแล้วนั่นเอง จึงไม่มีการนับว่าจักเกิดต่อไปอีก ส่วนเหล่าสัตว์ที่ยังแสวงหาภพอยู่ชื่อว่า สัมภเวสี คำว่า สัภเวสี นี้ เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนทั้งหลาย ผู้ยังแสวงหาภพที่เกิดอยู่อีกต่อไป (คือผู้ที่ต้องเกิดอีกต่อไป) 

              ๒. อีกประการหนึ่ง ในบรรดากำเนิดทั้ง ๔ (คือพวกที่เกิดในไข่หนึ่ง พวกที่เกิดในครรภ์หนึ่ง พวกที่เกิดในเถ้าไคลหนึ่ง พวกที่เกิดผุดขึ้นหนึ่ง) พวกสัตว์ที่เกิดในไข่และสัตว์ที่เกิดในครรภ์ชื่อว่า สัมภเวสี ตราบเท่าที่ยังไม่ทำลายกระเปาะไข่และยังไม่ทำลายรกออกมา ต่อเมื่อสัตว์เหล่านั้นทำลายกระเปาะไข่หรือทำลายรกออกมาข้างนอกได้แล้ว จึงชื่อว่า ภูตะ ส่วนพวกสัตว์ที่เกิดในเถ้าไคลและพวกสัตว์ที่เกิดผุดขึ้น (โอปปาติกะ) ชื่อว่า สัมภเวสี ในขณะแห่งปฐมจิต (คือจิตดวงแรกที่มาปรากฏในภพนั้น) ชื่อว่า ภูตะ นับตั้งแต่จิตดวงที่ ๒ เป็นต้นไป

              ๓. อีกประการหนึ่ง จำพวกสังเสทชสัตว์ (สัตว์ที่เกิดในเถ้าไคล) และจำพวกโอปปาติกสัตว์ (พวกที่เกิดผุดขึ้น) ก็ชื่อว่า สัมภเวสี ตราบเท่าที่ตนยังไม่เคลื่อนไปจากอิริยาบทที่ตนเกิดสู่อิริยาบทอื่น ต่อจากนั้นไป (คือเมื่อเปลี่ยนไปสู่อิริยาบทอื่นแล้ว) จึงชื่อ ภูตะ

       ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ จัดเป็นสัมภเวสีทั้งสิ้น และเป็นเครื่องยืนยันว่า คนเราตายแล้วเกิดใหม่จริง.

ผีผ่าตัด*

( * เรื่องนี้คัดมาจากหนังสือพิมพ์รายวัน "แนวหน้า" ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๑๐๖๗ วันอาทิตย์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๐๐)

       จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง วิญญาณของศัลยแพทย์ที่ตายไปแล้วเมื่อ ๖๙ ปีก่อน ได้กลับมาสิงในร่างของหมอคนหนึ่งที่ประเทศบราซิล ช่วยผ่าตัดรักษาคนไข้ฟรีๆ

       เป็นเรื่องวิญญาณของศัลยแพทย์คนหนึ่งที่ตายไปแล้ว ๖๙ ปีก่อน แต่ยังคงปรารถนาจะรับใช้ประชาชน ด้วยการเข้าสิงร่างของหมอคนหนึ่ง แล้วทำการผ่าตัดรักษาคนไข้

       หมอคนที่ว่านี้ชื่อ ดร. อดอล์ฟฟริตซ์ เป็นศัลยแพทย์ชาวเยอรมัน ซึ่งมีความสามารถในการผ่าตัดอย่างสูง แต่ถึงแก่กรรมเมื่อปี ๒๔๕๗ ที่เอสโทเนีย ในยุโรป

       ตอนแรกวิญญาณของหมอฟริตซ์ ได้เข้าสิงในร่างของชาวนาบราซิลคนหนึ่งชื่อ โฮ่เซ่ เดอ ไฟรตัส เมื่อปี ๒๔๙๓ ทำให้นายไฟรตัสแปรสภาพจากชาวนาธรรมดาๆ เป็นหมอที่สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างมหัศจรรย์ แต่นายไฟรตัสก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปเมื่อปี ๒๕๑๔

       มาบัดนี้ วิญญาณของหมอฟริตซ์ ได้เข้าไปสิงอยู่ในร่างของ ดร. เอ็ด สัน เออ ไควโรซ แห่งโรงพยาบาลเมือง เรซิเฟ่ ประเทศบราซิล

       หมอไควโรซ เลยกลายสภาพเป็นหมอสองร่างในร่างกายเดียวกัน กล่าวคือ แทบตลอดทั้งวันเขาจะเป็นสูตินารีแพทย์ธรรมดาๆ ของบราซิล แต่แล้วในวันหนึ่งของสัปดาห์ ร่างของเขาจะถูกหมอฟริตซ์ยืมไปใช้ และกลายเป็นศัลยแพทย์ที่สามารถผ่าตัดได้รวดเร็วเป็นสายฟ้าแลบ

       คือ สามารถผ่าตัดรักษาคนไข้ได้ถึง ๖๐ คน ในชั่วเวลาเพียงไม่ถึง ๕ ชั่วโมง และยังสามารถทำงานผ่าตัดที่ยังต้องใช้ความละเอียดลอออย่างสูง เช่น การผ่าตัดตาหรือกระดูกสันหลัง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาสลบ หรือยาระงับปวด ไม่จำเป็นต้องใช้ห้องผ่าตัดที่ฆ่าเชื้อ และไม่ต้องใช้อุปกรณ์ผ่าตัดที่พิเศษใดๆ

       แต่คนไข้ของเขาทั้งหมดไม่เคยเกิดโรคแทรกซ้อน และบอกว่าระหว่างการผ่าตัดรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยหรือไม่เจ็บเลย แถมผลการรักษาก็สำเร็จในอัตราที่สูงมาก

       เรื่องเหล่านี้ยืนยันโดย ดร. อมิลคาร์ เลโอ ศาสตราจารย์แผนกพยาธิวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยของรัฐของบราซิล ที่เมืองพาไรบา ซึ่งได้บอกว่า การผ่าตัดของ ดร. ฟริตซ์ ในร่างของไควโรซ ได้รับความสำเร็จระหว่างร้อยละ ๙๕ - ๑๐๐ %

       ดร. โฮเซ่ ซานโตส ศาสตราจารย์แผนกรังสีวิทยาของวิทยาลัยแห่งรัฐเมืองเซกิเป ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกรังสีของโรงพยาบาล ซานตาอิซาเบล ในเมืองอะราคาจู เป็นผู้ที่คอยเฝ้าดูรายการผีผ่าตัดที่ว่านี้เป็นประจำ

       ดร. ซานโตส บอกว่า "ผมได้เฝ้าดูการผ่าตัด ๒ ราย รายแรก ชายแก่อายุ ๙๐ ปี คนหนึ่ง ได้รับการผ่าตัดเนื้อในตา และเพื่อนของชายชราผู้นี้อีกคนหนึ่งก็ได้รับการผ่าตัดรักษาโรคเข่าอักเสบเรื้อรัง ผมยืนยันได้ว่า มันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เล่นกล" และกล่าวเสริมอีกว่า "คนที่มือผ่าตัดคือวิญญาณของหมอฟริตซ์"

       การผ่าตัดเนื้อในตานั้น ตามปกติแล้ว จะต้องใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาที และจะต้องใช้ยาระงับปวด แต่หมอฟริตซ์ในร่างของหมอไควโรซ ใช้เวลาเพียง ๒๘ - ๓๐ วินาทีเท่านั้นเอง ก็สามารถตัดเอาเนื้อเยื่อออกไปได้ แถมยังไม่ต้องใช้ยาระงับปวดด้วย

       หมอไควโรซเล่าว่า วิญญาณของหมอฟริตซ์เริ่มติดต่อพูดจากับเขาครั้งแรกตอนก่อนที่เขาจะตัดสินใจเรียนหมอ หลังจากนั้นอีกสามปีต่อมา ก็เร่มเข้าสิงในร่างของเขา และทำการผ่าตัด

       หมอฟริตซ์จะขอยืมร่างกายของหมอไควโรซทุกๆ วันพุธ ระหว่างเวลา ๙ โมงเช้าถึง ๒ โมงเย็น

       การรักษาจะเริ่มโดย หมอไควโรซจะเข้าทรง ตาค่อยๆ ลอย พร้อมกับบุคลิกต่างๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เสียงที่เคยนุ่มนวลกลับกระด้างแบบสำเนียงชาวเยอรมัน

       จากนั้นก็ลงมือตรวจและรักษาคนไข้อย่างรวดเร็ว คนไข้แต่ละคนจะใช้เวลาเพียง ๕ วินาที ถึง ๕ นาที ก็เสร็จเรียบร้อย

       คนไข้ส่วนใหญ่ที่ไปให้ผีรักษาดังว่านี้ ส่วนใหญ่เป็นคนยากจน และเขาก็ไม่เก็บเงินค่ารักษาจากใคร

       ตัวอย่างการรักษาที่มีพยานรู้เห็นก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ รูซ เบเรีย เดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปหา โดยใช้ไม้เท้าพยุง ผีหมอฟริตซ์ จับปุ๊บก็บอกปั๊บว่า เป็นเนื้องอกในกระดูก แล้วก็จัดการนวดขาข้างขวาของเธอก่อนจะเอาเข็มเล่มยาวเฟื้อยแทงเข้าไป เวลานานถึง ๔ นาทีเต็มๆ ที่เลือดผสมน้ำหนองไหลออกมาตามรูเข็ม

       พอผีหมอฟริตซ์ถอนเข็ม ผู้หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นยืน และก็เดินออกไปอย่างปกติ ไม่แสดงอาการเจ็บปวดอะไรอีกต่อไปเลย

       เธอบอกว่า "รู้สึกจั๊กจี้นิดหน่อยระหว่างการรักษาค่ะ โอ้ สบายเหลือเกิน"

       คนไข้อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ชื่อ มาการิดา ซานโตส เข้าไปรักษา หมอบอกให้ถอดผ้าออกนอนคว่ำ ตรวจอาการแล้วบอกว่า ข้อต่อกระดูกสันหลังห่างผิดปกติ และเริ่มจะเป็นมะเร็ง จากนั้นก็ใช้มีดทำครัวธรรมดาและผ่าตัดทันที

       คนที่ยืนดูถามว่า รู้สึกอย่างไร เธอบอกว่า "ไม่รู้สึกอะไรเลย และก็ไม่กลัวด้วย"

       คนไข้รายที่สาม ชื่อนาง เซนี ธาเวธ หมอผีฟริตซ์ตรวจแล้วบอกว่าเป็นเนื้องอกกำลังอักเสบ ในรูจมูกข้างขวา จากนั้นก็เอากรรไกรผ่าตัดแหย่เข้าไปในรูจมูกสุดด้าม แล้วก็หมุนกรรไกรไปรอบๆ เสร็จแล้วก็ถอนกรรไกรออกมาพันด้วยผ้าก๊อซ แล้วแหย่เข้าไปใหม่ ก็มีเลือดเต็มผ้าก๊อซผืนนั้น

       แต่เหลือเชื่อจริงๆ นางเซนีบอกว่า "ไม่เห็นเจ็บอะไรเลย และรู้สึกสบายที่สุด"

       หมอเปาโล แรงเกล ซึ่งประจำอยู่ที่โรงพยาบาลเรซิเฟ่ บอกนักข่าวว่า เขาได้ไปดูการผ่าตัดของผีหมอฟริตซ์เป็นประจำ

       "ตอนแรกรู้สึกตกใจจนบอกไม่ถูก ที่มีการผ่าตัดโดยไม่ใช้ยานอนหลับหรือยาระงับปวด และก็ไม่มีเครื่องมืพิเศษ หรือมีใครเป็นผู้ช่วย ยิ่งไปกว่านั้น ที่น่าประหลาดที่สุดคือ คนไข้กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย เลือดที่ออกจากการผ่าก็มีเพียงนิดเดียว หลังจากการผ่าตัดแล้ว คนไข้ก็ไม่มีโรคแทรกซ้อนเลย เออ แปลกจริงๆ" หมอเปาโลกล่าว

       นักข่าวได้ขอสัมภาษณ์ผีหมอฟริตซ์ถึงกรรมวิธีในการรักษาว่ามีใครช่วยหรือเปล่า

       ผีได้ตอบผ่านปากหมอไควโรซว่า.....

       "มีคนช่วย เวลาหมอตรวจคนไข้ก็จะมีผีของหมอคนอื่นๆ มาช่วยตรวจ หมอเลยสามารถรู้อาการของคนไข้ โดยแทบจะไม่ต้องเอ่ยปากถามไงล่ะ"

ผีเอลวิสกลับบ้าน*

(* เรื่องนี้คัดมาจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖ ซึ่งแปลมาจากนิตยสาร เอ็นไควเรอร์)

       เรื่องผีๆ สางๆ วิญญาณเจ้าป่าหรือผู้วิเศษ ใช่จะเชื่อเถือกันเฉพาะประเทศด้อยพัฒนาทางแถบเอเซียเท่านั้น

       ประเทศที่เจริญทางด้านวัตถุมีเทคโนโลยีสูงส่งไร้เทียมทาน ชนิดคอมพิวเตอร์จะครองโลกแล้ว อย่างประเทศอเมริกาก็เชื่อถือกันอย่างมาก

       เรื่องวิญญาณประหลาดที่จะเล่าให้ฟังนี้ เป็นวิญญาณที่มาปรากฏตัวของอดีตนักร้อง ราชา ร็อค แอนด์ โรล เอลวิส เพรสลี่ย์ ผู้โด่งดังในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่จะต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์วงการเพลง โดยที่ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดชื่อเสียงของเขาจะเลือนหายไปจากความทรางจำของแฟนเพลง 

       วิญญาณของเอลวิส ได้ปรากฏร่างขึ้นที่คฤหาสน์เกรซแลนด์ ต่อหน้าอดีตภรรยา ลูกสาว น้าสาว และบรรดานักท่องเที่ยวที่ตีตั๋วเข้าไปชมความโอฬารในบริเวณคฤหาสน์ของอดีตนักร้องก้องโลกคนนี้

       เอลวิส ได้ปรากฏในร่างชุดขาวมีแสงเรืองๆ รอบตัว สีขาวเป็นสีที่เขาโปรดปรานและมีลักษณะอ่อนโยน ยิ้มแย้มด้วยความรักและเป็นมิตร

       บรรดาญาติมิตรสหาย ผู้คนที่ได้เห็นวิญญาณของอดีตราชาร็อค ยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน วิญญาณเอลวิสจะปรากฏให้ผู้คนเห็นแทบทุกอาทิตย์ที่คฤหาสน์เกรซแลนด์ หลังจากที่เริ่มทำการเปิดคฤหาสน์ให้คนเข้าชม พนักงานภายในคฤหาสน์เล่าให้ฟังและเล่าต่อไปว่า

            "วิญญาณของเขาปรากฏร่างบ่อยและถี่ยิบยิ่งขึ้น   เมื่อลูกสาวเพียงคนเดียวที่เขารักมากที่สุดคือ ลิซ่า  มารี  เพรสลี่ย์ กลับมาพักที่คฤหาสน์เกรซแลนด์

       ว่ากันว่าในด้านส่วนตัวของเอลวิสเอง เมื่อขณะที่มีชีวิตอยู่นั้น ก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะเชื่อถือในเรื่องของวิญญาณ และการตายแล้วเกิด สามารถกลับมาได้อยู่

       "ฉันยังจำได้ดี เอลวิสเคยบอกไว้ว่า ถ้าเขาตายจากโลกนี้ไปแล้ว เขาจะทำหน้าที่เป็นเทวดาคอยคุ้มครองลูกรัก ลิซ่า มารี ตลอดไป" แม่เลี้ยงของเอลวิส เล่าเรื่องราวให้ฟัง

       พริสซิล่า ม่ายสาวอดีตภรรยาของเอลวิส ก็เล่าให้บรรดาเพื่อนฝูงฟังว่า ตัวเองก็เคยประสบกับวิญญาณเอลวิสอย่างจังเบอร์ ในขณะที่นอนหลับสนิทในเที่ยงคืนวันหนึ่ง เธอแว่วเสียงม้าในคอกร้อง เมื่อสะดุ้งตื่นมองไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นเอลวิสในชุดขาวเรืองๆ ที่คอกม้า ซึ่งเป็นสถานที่เอลวิสโปรดปรานมาก สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่

       ทางด้าน ลิซ่า มารี ลูกสาวคนเดียวซึ่งเป็นลูกรักสุดสวาทขาดใจ และเป็นทายาทสาวที่รับมรดกมหาศาลแทบจะนับค่าไม่ถ้วนมาจากเอลวิส ก็เล่าเรื่องวิญญาณของพ่อให้กับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนฟัง

       "ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมบ้านที่เกรซแลนด์ ลิซ่ามีความรู้สึกว่า เอลวิสได้เฝ้าดูแลใกล้ตัวตลอดเวลา และบางครั้งก็เห็นพ่ออยู่ในชุดขาวยิ้มแย้ม และบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งสิ้น พ่ออยู่กับหนูตลอดไปทีนี้"

       โดยเฉพาะคืนวันหนึ่ง ลิซ่าตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นเอลวิสยืนอยู่ปลายเท้าข้างเตียง มองมายังเธอด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมกับบอกว่า

       "ไม่ต้องกลัวลูกรัก..... พ่ออยู่ที่นี้ ..... พ่ออยู่ที่บ้าน"

       การพูดของเอลวิสที่บอกต่อเธอนั้น เหมือนกับเนื้อเพลง "แดดดี้-โฮม" อันเคยโด่งดังเพลงหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อร้อง "Don't be afraid 

baby..... daddy's home daddy's home..... ด้อนทฺ บี อะเฟร็ด เบบี้..... แดดดี้' โฮม แดดดี้'โฮม....."

       นอกจากนี้ยังมีผู้ที่พบกับวิญญาณเอลวิสมากมาย ซึ่งล้วนแต่ผู้ที่บอกเล่าที่เชื่อถือได้ทั้งสิ้น อาทิ เดลต้า เมล์ บิกก์ น้าสาวเอลวิส ซึ่งปัจจุบันนี้ เป็นผู้ดูแลคฤหาสน์เกรซแลนด์ หรือนัยหนึ่งยังคงทำหน้าที่เป็นแม่บ้านดูแลรักษาผลประโยชน์ของคฤหาสน์แห่งนี้

       เดลต้า เมล์ บิกก์ เล่าว่า เคยเห็นวิญญาณเอลวิสด้วยตนเองสองครั้ง ครั้งแรกเห็นเอลวิสในชุดขาวที่สวนข้างๆ รูปปั้นพระเยซูหินอ่อนโบกมือไปมา หันหน้ามาทางคฤหาสน์

       ส่วนครั้งที่สอง เอลวิสปรากฏตัวในชุดขาวสวยงามเช่นเคย แต่คราวนี้เขารูปร่าง หนุ่ม หล่อ แข็งแรงและยิ้มแป้น หนนี้เธอได้ยินเสียงพูดด้วย โดยเอลวิสพูดว่า

       "ขอให้ทุกคนไม่ต้องห่วง ข้าพเจ้ากลับมาเกรซแลนด์ เพื่อดูแลสถานที่อันเป็นที่รักของพวกเรา ข้าพเจ้ารักพวกเราทุกคนที่นี้ และต้องการให้พวกเราทุกคนรับรู้ไว้ว่า ข้าพเจ้าจากพวกเรามาด้วยความสงบและสันติสุข"

       แม้กระทั่งบรรดาทัวริสต์ (นักท่องเที่ยว) หลายต่อหลายคน ซึ่งได้มีโอกาสเยี่ยมชมคฤหาสน์แห่งนี้ ต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ได้พบเห็นวิญญาณอดีตราชาร็อค แอนด์ โรล บ่อยครั้ง 

       เพนนี่ ลีวิทท์ จากคานาดา เล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้นว่า ขณะที่เขาเดินชมสมบัติในคฤหาสน์ ซึ่งเป็นเวลาเย็นมากแล้ว เขาเหลือบตาขึ้นมองเพดาน ก็ปรากฏเงารางๆ ในชุดขาวของเอลวิส ส่งยิ้มให้ พร้อมทั้งเสียงแผ่วๆ แว่วมาว่า

       "ข้าพเจ้าอยู่นี้ ทุกอย่างเป็นปกติดี"

       ส่วนพนักงานในคฤหาสน์ไม่ต้องพูดถึง ทุกคนได้พบเห็นสิ่งแปลกๆ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสียงหรือแสงเรืองประหลาด แต่ทุกคนก็หามีความกลัวไม่ เพราะทราบดีว่า เอลวิสมีแต่ความรัก ปรารถนาดีกับทุกคน.

กรรมบันดาล

       "เขาผู้นั้น ขณะนี้กำลังถูกกักขังอยู่ในนรก ถ้าท่านไม่เชื่อ เชิญไปดูได้" เด็กหญิงผู้หนึ่ง ในร่างโอปปาติกะ กล่าวยืนยันกับนายแพทย์ ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

       ข้อความข้างต้นนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ข้าพเจ้า (ผู้เขียน) ได้รับการบอกเล่าเรื่องนี้จากท่านเจ้าคุณรูปหนึ่ง โดยที่นายแพทย์ผู้นี้ซึ่งข้าพเจ้าขอสงวนนามไว้ในที่นี้ เป็นผู้รู้จักคุ้นเคยกับท่านเจ้าคุณ และได้เล่าเรื่องที่บังเกิดขึ้นกับตนเองให้ท่านเจ้าคุณนั้นฟัง ข้าพเจ้าเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง และเป็นการยืนยันสนับสนุนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้บันทึกจากคำบอกเล่าของท่านเจ้าคุณไว้ แล้วนำมาเขียนไว้ในที่นี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า กรรมดีและกรรมชั่วที่บุคคลทำไว้นั้นหาได้สูญหายไปพร้อมกับความตายไม่ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ ขออนุญาตต่อท่านผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ทุกท่านด้วย ในการที่ได้นำเรื่องนี้มาพิมพ์เผยแพร่ ทั้งนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า หลักคำสอนในพระพุทธศาสนานั้นเป็นสัจธรรม สามารถพิสูจน์ได้ แม้กระทั่งยุคปัจจุบัน

       เรื่องมีอยู่ว่า นายแพทย์ผู้นี้ได้เป็นโรคปวดศีรษะมาเป็นเวลา ๒๐ กว่าปี ตั้งแต่ก่อนเป็นนักเรียนแพทย์ แม้เป็นถึงรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้ว โรคนี้ก็ยังไม่หาย แต่อาการปวดศีรษะของนายแพทย์ผู้นี้แปลกกว่าอาการปวดของคนอื่นๆ ทั่วไป คือปวดประมาณ ๔ ชั่วโมงแล้วก็หาย อยู่มาก็ปวดอีก เป็นอยู่อย่างนี้เสมอ จนกระทั่งนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคนี้ประชุมกันจะผ่าตัดมาหลายครั้ง แต่ก็หาสาเหตุไม่พบ จึงต้องล้มเลิกการผ่าตัดไปทุกคราว ครั้งหนึ่งเมื่อคุณหมอผู้นี้ยังเป็นนักเรียนแพทย์อยู่ในต่างประเทศ ก็ได้ปวดศีรษะขึ้นมาอย่างมากเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาเช่นทุกคราว จนคณะอาจารย์และนักเรียนแพทย์ในโรงเรียนแพทย์แห่งนั้นได้ประชุมกันว่าจะผ่าตัด แต่เมื่อตรวจอีกครั้งหลังจากหายปวดแล้ว ก็หาสาเหตุไม่พบ จึงต้องล้มเลิกการผ่าตัด

       เมื่อเรียนจบวิชาแพทย์แล้วก็เดินทางกลับเมืองไทย และโรคปวดหัวก็ยังไม่หาย แต่ก็สามารถเข้ารับราชการและปฏิบัติงานในฐานะเป็นแพทย์ได้เป็นอย่างดีอยู่ ต่อมานายแพทย์ผู้นี้ได้มีโอกาสบวชในพระพุทธศาสนา ๑ พรรษา โดยบวชที่วัดราชาธิวาส กรุงเทพฯ ตามประเพณีของกุลบุตรไทยผู้นับถือพระพุทธศาสนา เพราะคุณแม่ของคุณหมอก็เป็นอุบาสิกาที่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากผู้หนึ่ง ในปีที่บวชนั้น คุณหมอได้มีโอกาสเรียนและฝึกกรรมฐานกับท่านเจ้าอาวาสในสมัยนั้น และทำกรรมฐานได้ผลดีมาก เมื่อปวดศีรษะขึ้นมาทีไร ก็เข้ากรรมฐานระงับปวดได้ทุกครั้งไป จนกระทั่งลาสิกขาออกมารับราชการตามเดิมแล้ว คุณหมอก็ยังทำกรรมฐานอยู่เสมอ เพราะนอกจากจะทำให้จิตใจสงบแล้ว ยังระงับปวดศีรษะได้อย่างชะงัดอีกด้วย ดีกว่ายากินยาฉีดที่เคยรับประทานมาแล้วทุกอย่าง เพราะยานั้นไม่อาจจะทำให้หายปวดศีรษะได้ เมื่อทำกรรมฐานบ่อยและนานปีเข้า จิตก็ได้รับฝึกฝนจนมีความชำนาญ จนถึงกับหลายครั้งที่พวกเพื่อนๆ ขอร้องให้คุณหมอเข้ากรรมฐานดูเลขท้ายล็อตเตอรี่ และปรากฏว่าดูได้ถูกเป็นส่วนมาก ในจำนวน ๑๐ ครั้ง จะดูได้ถูกถึง ๘ ครั้ง นับว่าเป็นสิ่งแปลกมาก จนทุกคนในบ้านกระทั่งลูกๆ และภรรยารู้กันว่า คุณหมอสามารถหลับตาและมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ เช่น วันหนึ่งลูกชายต้องการจะทดลองคุณพ่อของตน จึงได้เอานาฬิกาข้อมือไปซ่อนไว้ใต้หิ้งพระชั้นบนของบ้าน แล้วลงมาบอกคุณพ่อซึ่งนั่งอยู่ที่ห้องชั้นล่างว่า "นาฬิกาหายเสียแล้ว หาไม่พบ" คุณหมอก็หลับตาดู แล้วบอกลูกชายได้ทันทีว่า "ยังไม่หาย อยู่ใต้หิ้งพระนั่นเอง" จึงทำให้คนในบ้านเชื่อถือคุณหมอมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่นั้นมา แต่สำหรับการทำกรรมฐานดูเลขล็อตเตอรี่นั้น ทราบว่าภายหลังท่านเจ้าคุณอาจารย์ของคุณหมอขอร้องให้หยุดเสีย เพราะไม่ใช่แนวทางแห่งความเจริญ และเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่สนับสนุน

       ต่อมานายแพทย์ผู้นี้ ได้รับเลื่อนเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล และต่อมาโรคปวดศีรษะของคุณหมอก็กำเริบหนักขึ้นมาอีก จนไม่สามารถปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลตามปกติได้ และได้เข้าไปพักรักษาตัวแยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช จนคณะแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราชได้ประชุมกันว่าจะผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด แต่เมื่อหายปวดแล้วก็ตรวจละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติในร่างกายเลย จึงไม่ได้ผ่าตัดอีก เมื่อปวดหัวหนักเข้าทีไร คุณหมอก็ต้องใช้กรรมฐานเข้าระงับปวด ปรากฏว่าอาการปวดหายไปในขณะใช้กรรมฐานนั้น แต่ก็ไม่สามารถทำให้หายปวดได้เด็ดขาดตลอดไป เมื่อถึงกำหนดก็ต้องปวดอยู่บ่อยๆ

       วันหนึ่ง ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ๒๕๐๕ ขณะที่คุณหมอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชนั้น ก็นั่งทำกรรมฐาน ส่งจิตไปในอารมณ์กรรมฐาน เพื่อต้องการระงับปวดหัวเช่นเคย ขณะที่กำลังส่งจิตไปนั้น ก็ไปเจอวิญญาณของเด็กหญิงคนหนึ่ง อายุประทาณ ๑๑ ขวบ ซึ่งตายไปแล้วปีกว่า คุณหมอก็ได้สอบถามถึงชื่อ พ่อ แม่ นามสกุล บ้านที่อยู่และอื่นๆ วิญญาณของเด็กหญิงผู้นี้ก็ได้บอกให้ทราบทุกอย่างที่ถาม แต่เป็นการสนทนากันในทางจิต เมื่อออกจากกรรมฐานแล้ว ด้วยความประหลาดใจและอยากทราบข้อเท็จจริง คุณหมอก็ส่งคนให้ไปสืบ และคนที่ไปนั้นได้ไปพบบ้านตำบลที่อยู่ของเด็กหญิงคนนี้ และเมื่อเข้าไปในบ้านก็ได้พบกับแม่ของเธอ เมื่อสืบถามก็ได้ความจริงทุกอย่างตรงตามที่เด็กหญิงคนนี้บอก เด็กหญิงคนนี้ชื่อ พิมพวดี เกิดเมื่อปี ๒๔๙๓ ในกรุงเทพมหานครนี้เอง เป็นลูกของคนมีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนี้มีลูก ๒ คนเท่านั้น* (* เมื่อยังเด็กอยู่ หมอดูเคยบอกคุณแม่ของเธอว่า เด็กคนนี้เป็นเด็กมีบุญมาเกิด ไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกของท่านอยู่นาน ขอให้ท่านยกให้คนอื่นเสีย แต่คุณแม่ของเธอไม่ยอม เพราะพิมพวดีเป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดูมาก) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เด็กคนนี้ได้เสียชีวิตด้วยไข้รากสาด เนื่องจากเป็นผู้มีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู และเป็นที่รักใคร่ของคุณแม่อย่างยิ่ง เมื่อเสียชีวิตพ่อแม่ก็ยังไม่ยอมเผา เพราะยังเป็นห่วงอยู่มาก แต่ก็ได้เอาไปเก็บไว้ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพฯ โดยสร้างศาลาหลังหนึ่งอุทิศไว้เฉพาะเด็กหญิงผู้นี้ พร้อมกับติดรูปภาพของเธอลงบนหินอ่อน ที่ตั้งรูปทำเป็นรูปปราสาทสวยงามมาก ศาลานี้ใช้สำหรับบะเพ็ญกุศลต่างๆ ในงานศพของวัด เขาจึงเรียกศาลานี้ว่า "พิมพวดี" เป็นศาลาที่สดุดตาแขกที่มาในวัด เพราะมีรูปติดอยู่ในลักษณะที่สวยงามและแปลกกว่าที่อื่นใดนั่นเอง และศพของเด็กหญิงคนนี้ก็ยังเก็บอยู่ในศาลานี้ ผู้สนใจย่อมสามารถไปชมได้แม้ปัจจุบัน

       เมื่อคุณแม่ของเธอทราบว่าคุณหมอสามารถสนทนากับลูกสาวของตน ซึ่งตายไปแล้วปีกว่าได้ ก็มีความสนใจเป็นอย่างมาก จึงได้ไปถามความจริงกับคุณหมอ และได้เล่าถึงความพิเศษของเด็กหญิงคนนี้ให้คุณหมอฟังเพิ่มเติมถึงเรื่องที่ไปนิมนต์พระมารับสังฆทาน ในวันครบรอบวันตายของตน คือ วันหนึ่งขณะที่พระวัดเทพศิรินทร์กำลังสนทนากันอยู่ ๓-๔ รูป (หลังจากที่ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรที่พระอุโบสถเสร็จแล้วตอนเย็น) ก็ได้มีเด็กหญิงคนหนึ่ง อายุ ๑๐-๑๑ ปี แต่งชุดนักเรียนได้เดินเข้ามาหา แล้วนิมนต์ให้ไปรับสังฆทานที่บ้านในวันรุ่งขึ้น แล้วก็เดินไป พระท่านเรียกถามว่าไปที่ไหน ก็ไม่ยอมกลับมา เดินพ้นเขตวัดไป วันรุ่งขึ้นพระ ๓-๔ รูปนั้นก็ไม่ได้เตรียมไปรับสังฆทาน เพราะไม่ทราบว่าไปบ้านไหน แต่ก็ได้ออกบิณฑบาตตามปกติ ในจำนวนพระ ๓-๔ รูปนั้น พระรูปหนึ่งพอเดินไปถึงบ้านนี้ เขาก็นิมนต์รับสังฆทาน เมื่อขึ้นไปบนบ้านเห็นรูปเด็กหญิงคนนี้เข้าก็จำได้ จึงได้พูดว่า "เมื่อเย็นวานนี้ หนูคนนี้ไปนิมนต์พวกอาตมามารับสังฆทาน ยังไม่ทันถามรายละเอียดก็เดินเลยไปเสีย"

       คุณแม่ของเธอก็บอกว่า "ท่านคะ เด็กคนนี้จะไปนิมนต์ท่านอย่างไรได้ เธอเสียชีวิตไป ๑ ปีแล้ว ที่ทำบุญสังฆทานในวันนี้ ก็เพื่ออุทิศส่วนบุญให้เธอ เนื่องในวันครบรอบวันตาย ๑ ปีของเธอ"

       เมื่อทราบเข้าดังนี้ พระรูปนั้นก็พิศวงงงงวยในเรื่องที่เกิดขึ้น จะไม่เชื่อสายตาของตนก็ใช่ที่ เพราะที่เห็นนั้น ไม่ใช่เห็นคนเดียว นี้คือความแปลกเรื่องหนึ่งสำหรับเด็กหญิงคนนี้ ที่คุณแม่ของเธอเล่าให้หมอฟัง

       ในขณะที่คุณหมอยังไม่ออกจากโรงพยาบาล เพราะอาการปวดศีรษะยังไม่ทุเลา ทั้งต้องการที่จะค้นหาสาเหตุและรักษาให้หายขาดเสียสักครั้งหนึ่ง และยังสนใจเรื่องของเด็กหญิงผู้นี้อยู่มาก วันหนึ่ง คุณหมอจึงให้เอาเก้าอี้มาตั้งไว้ข้างหน้าตน แล้วเข้ากรรมฐานเชิญวิญญาณของเด็กหญิงคนนี้มาคุย เมื่อคุยกันไปเรื่อยๆ เด็กหญิงผู้นี้ก็บอกว่า เมื่อชาติก่อนเธอเคยเป็นลูกของคุณหมอ เมื่อคุณหมอทราบว่าเด็กคนนี้ระลึกชาติหนหลังได้ จึงได้ถามถึงสาเหตุของการเจ็บป่วยของตน เธอก็บอกว่า "โรคนี้เกิดจากกรรม ไม่ใช่มีสาเหตุมาจากผิดปกติของร่างกาย จึงรักษาไม่หาย ถ้าไม่เชื่อก็พิสูจน์ดูได้" แล้วบอกวิธีพิสูจน์ว่า "ถ้ามียากินหรือยาฉีดที่ระงับปวดในโรงพยาบาลนี้ เมื่อเริ่มปวดศีรษะแล้วให้กินหรือฉีด ถ้าเป็นโรคทางกายก็จะระงับได้ แต่ถ้าเป็นโรคกรรมก็ระงับไม่ได้ แต่อาการปวดนี้ ปวดอยู่เพียง ๔ ชั่วโมงแล้วก็หยุดหากไม่เชื่อแล้วก็ให้ตั้งนาฬิกาดู" คุณหมอก็พิสูจน์ตามนี้ และปรากฏว่าเป็นจริงตามที่เด็กหญิงนี้บอกทุกอย่าง

       ต่อมา คุณหมอก็เข้ากรรมฐานอีกและเชิญวิญญาณนี้มาอีก แล้วถามว่า "การปวดศีรษะของข้าพเจ้านี้เป็นเพราะกรรมอะไร" เธอตอบว่า "เมื่อชาติก่อนที่ท่านเกิดในสมัยรัชกาลที่ ๓ ท่านรับราชการในตำแหน่งราชมัล มีหน้าที่ลงโทษคนผิดให้ยอมรับผิด เช่น ตอกเล็บ บีบขมับ เป็นต้น และท่านได้บีบขมับนักโทษใจแข็งผู้หนึ่งจนตายคามือ เพราะไม่ยอมรับผิด และเขาผู้นั้นขณะนี้ กำลังถูกกักขังอยู่ในนรก ถ้าท่านไม่เชื่อเชิญไปดูได้" 

       "เชื่อแล้ว ไม่อยากไปดู" คุณหมอกล่าวขึ้น

       "ด้วยผลกรรมแห่งนี้ คือกรรมที่บีบขมับนักโทษจนตายคามือ ท่านจึงเกิดโรคปวดหัว" เธอกล่าวสรุป และคุณหมอได้ถามขึ้นต่อไปว่า "กรรมนี้ให้ผลมา ๒๐ ปีกว่าแล้ว เมื่อไรจะหมด " "ต่อจากนี้ไป ๗ เดือน ท่านจะหมดกรรมนี้ และโรคปวดศีรษะก็จะหายไปพร้อมกับการหมดของกรรมนี้" วิญญาณในร่างของเด็กหญิงพิมพวดี กล่าวในที่สุด

       ในเดือนที่คุณหมอนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล และสนทนากับเด็กหญิงคนนี้อยู่นั้น เป็นเดือนกุมภาพันธ์ พอถึงเดือนสิงหาคม อันเป็นเวลาครบ ๗ เดือนพอดีตามที่เด็กบอกไว้ โรคปวดศีรษะของคุณหมอหายดังปลิดทิ้ง ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยจนกระทั่งปัจจุบัน นับเป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว 

       คุณหมอผู้นี้ ขณะที่ปวดศีรษะอย่างหนักจนถึงกับต้องเข้านอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชนั้น ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่นายแพทย์ ในฐานะรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้ จึงได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนี้เสีย และในเดือนสิงหาคมอันเป็นเดือนกำหนดที่คุณหมอหายจากโรคกรรมนี้นั้น คุณหมอได้สร้างพระพุทธรูปขึ้น ๑ องค์ และได้นิมนต์พระไปทำพิธีพุทธาภิเษกที่วัดราชาธิวาส ท่านเจ้าคุณผู้เล่าเรื่องนี้ก็ได้รับนิมนต์ไปทำพิธีพุทธาภิเษกอยู่ในงานนี้ด้วย ทำพิธีอยู่จนเกือบสว่างจึงได้รียกลับวัด และในวันต่อมาท่านจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณหมอให้ผู้เขียนฟัง เมื่อคุณหมอหายจากโรคนี้แล้วก็ได้ออกไปประกอบอาชีพส่วนตัว ตั้งคลีนิคอยู่ที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และยังประกอบอาชีพนี้อยู่จนกระทั่งปัจจุบัน

       เรื่องที่เกิดกับตนเองนี้ ทำให้คุณหมอเชื่อคำสอนทางพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก โดยเฉพาะเรื่องกฏของกรรม และการเกิดใหม่ เพราะการเจ็บป่วยที่คุณหมอได้ประสบมาและสิ้นสุดลงแล้วนั้น เป็นเรื่องของกรรมบันดาล คือ การบันดาลของกรรมที่ตนทำไว้เอง หาใช่การบันดาลของอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ หรือของเหตุภายนอกอย่างอื่นไม่.

อ่านต่อหน้า ๓