กฏแห่งกรรม ตอนที่ 1

ตอนที่ ๑

กรรมจำแนกสัตว์

     กฏแห่งกรรมเป็นกฏธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าสร้างขึ้น แต่เป็นกฏที่มีอยู่แล้ว

อันชีวิตของเราทุกคนนั้น ถูกควบคุมไว้ด้วย กฏแห่งกรรม ไม่มีใครมาควบคุมชีวิตของเรา

      เมื่อว่าตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ชีวิตของเราทุกคน ไม่ว่าจะเสื่อม จะเจริญ จะสุข จะทุกข์ จะก้าวหน้า จะถอยหลัง จะอายุสั้น จะอายุยืน ขึ้นอยู่กับกรรมคือการกระทำของเราเองทั้งสิ้น ไม่ใช่ขึ้นอยู่ที่อำนาจดวงดาว ไม่ใช่อำนาจพระเจ้า ไม่มีอำนาจสิ่งภายนอกอื่นใด ที่จะมาดลบันดาลชีวิตของเราให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ นอกจาก กฏแห่งกรรม

      แม้การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เพราะกฏแห่งกรรม และการที่เราได้ปฏิบัติธรรม เช่นได้มาฝึกกรรมฐาน ก็เพราะกรรมดลบันดาลให้เรามาฝึกกรรมฐาน หรือการที่เราฝึกจิตได้ดีมีผล มีจิตใจสงบตามสมควรนั้น ก็คือกรรมที่เราสั่งสมไว้ดลบันดาลให้เราประสบสิ่งเหล่านั้น หาใช่เกิดขึ้นโดยเหตุบังเอิญไม่

     เราต้องทำความเข้าใจในหลักพระพุทธศาสนาว่า พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาแห่งหลักธรรม ในพุทธศาสนานั้นเราเชื่อกฏแห่งกรรม

     คำว่า "กรรม" เป็นภาษาสันสกฤต ซึ่งมาจากศัพท์เดิมว่า "กรฺมะ" แต่คนไทยออกเสียง กรฺมะ ไม่ชัด ออกเสียง ร กล้ำไม่ชัด จึงออกเสียงเป็น "กรรม" ถ้าภาษาบาลีใช้คำว่า "กัมมะ" (ตัว ม ม้าสองตัว)

     คำว่า "กรรม" แปลว่า "การกระทำ" กรรมนี้เป็นคำกลางๆ ถ้าหากว่าเป็นการกระทำดี ท่านเรียกว่า กุศลกรรม ถ้าหากว่าเป็นการกระทำชั่ว ท่านเรียกว่า อกุศลกรรม

     บางคนเข้าใจผิดในเรื่องกรรมนี้ เพราะภาษาไทยตามที่ชาวบ้านพูดและเข้าใจกันในปัจจุบัน ทำให้ความหมายคลาดเคลื่อนไป เช่นถ้าใครได้ประสบสิ่งไม่ดีก็พูดกันว่า นั้นแหละกรรมของเขา ถ้าใครประสบสิ่งที่ดีก็บอกว่า นั้นแหละบุญของเขา

     แท้ที่จริงคำว่า "กรรม" นั้นเป็นคำกลางๆ ใช้ได้ทั้งทางที่ดีและทางที่ไม่ดี ถ้าเป็นกรรมดีท่านเรียกว่า กุศลกรรม ถ้าเป็นกรรมไม่ดีท่านเรียกว่า อกุศลกรรม บางคนประสบเหตุร้าย ก็มีบางคนพูดว่านั้นคือกรรมของเขา ก็ถูก แต่เป็นกรรมไม่ดี แต่ถ้าเป็นกรรมดีนั้นก็คือกรรมของเขาเหมือนกัน เช่น เรามานั่งกรรมฐานได้ผลก็กรรมของเรา คือกรรมดีของเราที่ทำให้เรานั่งได้ผล

     กฏแห่งกรรมกล่าวไว้ย่อๆ ว่า "ผู้ที่ทำดีย่อมได้รับผลดี ผู้ที่ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ไม่เร็วก็ช้า" คำว่า "ไม่เร็วก็ช้า" นี้ ต้องใส่เข้ามาด้วย เพราะกรรมบางอย่างให้ผลเร็ว กรรมบางอย่างให้ผลช้า กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ผลของกรรม

     อันโชคดีหรือโชคร้ายที่เราได้ประสบอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรืออำนาจดวงดาวใดๆ เลย แท้ที่จริงขึ้นอยู่กับผลกรรมที่เราได้สั่งสมไว้ในอดีตติดตามมาให้ผลในปัจจุบันนั้นเอง และการที่เราจะได้รับความสุขหรือความทุกข์อยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับกรรมที่เราได้สร้างไว้ในปัจจุบันอย่างเดียว อาจจะขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตด้วย เราต้องยอมรับอดีตชาติ ต้องยอมรับการกระทำของเราในวัน ในเดือน ในปีและในชาติที่ผ่านมาว่าเป็นสิ่งที่เราทำไว้เอง และสิ่งที่เราทำในปัจจุบันเราก็ต้องยอมรับด้วยว่า นั้นคือสิ่งที่ดลบันดาลชีวิตของเราให้เป็นไปในอนาคต และเป็นไปตามกฏแห่งกรรมนั้น

     แท้ที่จริง กฏแห่งกรรมในพระพุทธศาสนานั้น ตรงกับกฏของ Newton คือกฏ กิริยา (Action) และปฏิกิริยา (Reaction) ของนิวตัน แต่กฏนี้เป็นกฏทางด้านวัตถุ มีกฏเกณฑ์อยู่ว่า เหมือนกับลูกฟุตบอลที่ขว้างลงไป ถ้าขว้างลงแรงมันก็กระดอนมาแรง ถ้าขว้างลงเบามันก็กระดอนมาเบา กรรมที่เราทำก็เหมือนกัน ถ้าทำกรรมดีลงไป สิ่งตอบสนองมาก็เป็นกรรมดี ถ้าทำกรรมไม่ดีลงไป สิ่งที่ตอบสนองมาก็คือกรรมไม่ดี นี้เป็นกฏทางด้านจิตใจ

     ตามกฏแห่งกรรมนั้น คนเราไม่อาจจะหวังผลดีของสิ่งที่ยังมาไม่ถึง คือ สิ่งไหนที่ยังมาไม่ถึงเราจะไปเล็งผลไวไม่ได้ หรือเราทำชั่วไว้แล้วเราจะวิ่งหนีจากผลกรรมชั่วที่เราทำไว้ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น มันต้องถึงกาลเวลาของมันจึงจะเป็นไปตามกฏธรรมชาติของมัน

     เฉพาะในตอนนี้จะขอย้ำในข้อที่ว่า "ทำไม คนเราจึงเกิดมาแตกต่างกัน ?" คำตอบนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในจูฬกัมมวิภังคสูตร ซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์มัชฌิมนิกายว่า เพราะกรรมจำแนกจึงทำให้สัตว์แตกต่างกัน โดยตรัสว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชฺชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย ซึ่งแปลว่า "กรรมย่อมจำแนกสัตว์โลกให้แตกต่างกันคือเลวทรามหรือประณีต"

 

     กรรมจำแนกสัตว์ให้ปราณีตและเลวทราม

    ในข้อนี้มีเรื่องปรากฏอยู่ในคัมภีร์อรรถกถาของคัมภีร์พระสูตรนี้ ซึ่งในที่นี้จะนำมากล่าวแต่โดยย่อว่า ทำไม คนเราจึงเกิดมาแตกต่างกัน

     กล่าวกันว่า ในสมัยที่พระพุทธเจ้าของเรายังทรงพระชนม์อยู่นั้น ณ เมืองสาวัตถี อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นโกศล มีพราหมณ์คนหนึ่งร่ำรวยมาก เป็นถึงขั้นเศรษฐีทีเดียว พราหมณ์คนนั้นคือ โตเทยยพราหมณ์ เขามีบุตรชายคนเดียวชื่อ สุภมาณพ พราหมณ์คนนี้มีทรัพย์มหาศาล คือมีถึง ๘๗ โกฏิ ก็นับว่าร่ำรวย เป็นพราหมณ์มหาศาล แต่พราหมณ์คนนี้ไม่เคยทำบุญเลย บ้านอยู่ไม่ไกลจากวัดพระเชตวันนัก เขาไม่เคยใส่บาตรเลยแม้แต่ทัพพีเดียว ไม่เคยยกมือไหว้พระสงฆ์เลย แม้พระพุทธเจ้าเขาก็ไม่นับถือ ดอกไม้สักกำมือหนึ่งก็ไม่เคยถวายพระ เขาเป็นคนประหยัดมาก

     เป็นที่น่าสังเกตว่าคนประหยัดมักจะรวย คือ คนขึ้เหนียวนั้นรายจ่ายไม่ค่อยเอา เอารายรับอย่างเดียว บางคนจึงพูดว่า รายได้ไม่สำคัญ สำคัญที่รายเหลือ คือแม้ได้มากแล้วแต่ถ้าไม่เหลือก็ไม่สำคัญ

     เพราะฉะนั้น โตเทยยพราหมณ์ ได้สอนลูกถึงวิธีที่จะทำให้ร่ำรวย โดยกล่าวไว้ว่า

อญฺชนานํ ขยํ ทิสฺวา อุปจิกานญฺจ อาจยํ

มธูนญฺจ สมาหารํ ปณฺฑิโต ฆรมาวเส.

ซึ่งแปลว่า

"คนฉลาดเห็นความสิ้นไปของยาหยอดตา

ความก่อขึ้นของตัวปลวกทั้งหลาย และการประมวลมาซึ่งน้ำผึ้งของตัวผึ้งทั้งหลาย แล้วพึงอยู่ครองเรือน"

 อ่านว่า => อัน-ชะ-นา-นัง- ขะ-ยัง- ทิดสะ-วา- อุ-ปะ-จิ-กา-นัน-จะ- อา-จะ-ยัง- มะ-ธู-นัน-จะ- สะ-มา-หา-รัง- ปัณ-ฑิ-โต- ฆะ-ระ-มา-วะ-เส.

       พราหมณ์นี้สอนลูกว่า "ลูกเอ๋ย เจ้าจงดูตัวอย่างยาหยอดตานะลูก ยาหยอดตานี้มันลงทีละหยด ๆ ในที่สุดก็หมดได้ ทรัพย์ของเราก็เหมือนกันจ่ายไปทีละกากนิก ทีละกหาปณะ ในที่สุดก็หมดถ้ามันไม่เพิ่มเข้ามา" แล้วสอนต่อไปว่า "เจ้าจงดูตัวอย่างปลวกซิลูก ปลวกนั้นนำดินมาด้วยปากทีละนิด ๆ ในที่สุดก็มีมากได้ และเจ้าจงดูตัวอย่างผึ้งซิลูก ตัวผึ้งนั้นมันขยัน มันนำน้ำผึ้งมาจากเกษรดอกไม้ทีละนิด ๆ แล้วทำเป็นน้ำผึ้งในรังได้มาก เจ้าจงเอาตัวอย่างผึ้ง"

     การสอนแบบนี้เขาสอนดีมาก โดยทั่วไปคนอินเดียเขาขี้เหนียว สอนกันอย่างนี้ แต่ว่าพราหมณ์นี้ไม่ทำบุญเลย เรื่องทำบุญไม่เอา เขาขี้เหนียว แต่เขาอาจจะทำบุญในศาสนาพราหมณ์ของเขาบ้างก็ได้

     วันหนึ่ง พราหมณ์นั้นป่วยหนักแล้วก็ตายไป เมื่อจะตายนั้นเขาหวงทรัพย์มาก เพราะมีทรัพย์สมบัติมาก เขาบอกลูกชายไม่ทัน มีทรัพย์สมบัติบางส่วนที่ฝังไว้ บอกลูกไม่ทัน คนในสมัยโบราณโดยเฉพาะในอินเดียนั้นโดยมากเขาฝังทรัพย์ไว้ เรียกว่า นิธิ = ขุมทรัพย์ เพราะกลัวโจรปล้นหรือขโมย เมื่อฝังไว้แล้วโจรก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ปล้นในบ้านก็เอาไปไม่ได้ พราหมณ์นี้ก็ฝังทรัพย์เอาไว้แต่ลืมบอกลูก เมื่อใกล้ตาย ด้วยอำนาจความเป็นห่วงทรัพย์ เมื่อตายแล้วจึงไปเกิดเป็นลูกหมาอยู่ในบ้านนั้น

     ลูกหมานั้นโตขึ้นตามลำดับ สุภมาณพเห็นลูกหมาเกิดใหม่เป็นลูกหมาน่ารัก ไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเกิดเป็นหมา ก็เอามาเลี้ยงไว้ด้วยความรัก คือ คนที่เคยเป็พ่อเป็นลูกกันในชาติก่อนนั้นย่อมเกิดความรักกันได้ง่าย เพราะลูกหมาเป็นสัตว์น่ารักอยู่แล้ว เขาเลี้ยงอย่างพิเศษ คือเลี้ยงลูกหมาตัวนี้อย่างดี ให้กินน้ำนมคลุกน้ำผึ้ง เวลานอนก็ไม่ให้นอนบนที่นอนธรรมดา แต่ยกไปนอนบนที่นอนอันเป็นศิริ ที่ตัวเองนอนทีเดียว ให้คนเลี้ยงดูอย่างดี (แบบคนในปัจจุบันเลี้ยงหมาฝรั่ง) หมดเงินไปเท่าไร สุภมาณพก็ยอม

     วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลกเพื่อจะแสดงธรรม เมื่อทรงตรวจดูไปในตอนใกล้รุ่ง พระญาณของพระองค์ก็แผ่ไป สุภมาณพนี้เข้าไปในข่ายพระญาณของพระองค์ว่า ถ้าพระองค์มายังบ้านสุภมาณพนี้จะเกิดอะไรขึ้น พระองค์ก็ย้อนดูไปว่ามีเรื่องนั้นๆ จะเกิดขึ้น แล้วสุภมาณพนี้จะได้นับถือพระพุทธศาสนา ส่วนพราหมณ์ซึ่งไปเกิดเป็นหมานั้นจะต้องตายไปตกนรกเพราะกรรมของตน

     ปกติพระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จไปบินฑบาต จะต้องมีพระอานนท์ตามเสด็จ แต่ในวันนั้นไม่มีพระอานนท์ เสด็จแต่ผู้เดียว ออกไปบิณฑบาตไปประทับยืนอยู่หน้าบ้านของสุภมาณพนั้น วันนั้นสุภมาณพไม่อยู่ออกไปนอกบ้านด้วยธุระบางอย่าง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับยืนอยู่หน้าบ้านของสุภมาณพนั้นก็ไม่มีใครเขาใส่บาตร เพราะเขาไม่นับถือพุทธศาสนา พระพุทธองค์เสด็จไปประทับยืนอยู่ที่หน้าบ้าน ทรงถือบาตร ก็ไม่ได้ทรงมุ่งหมายว่าจะบิณฑบาต มุ่งแต่แสดงธรรมเท่านั้น

     ในบ้านนั้น ลูกหมานั้นเห็นพระพุทธเจ้ามาประทับยืนอยู่ ก็เห่า แสดงความไม่พอใจที่มีพระมายืนอยู่หน้าบ้าน พระพุทธเจ้าเมื่อทอดพระเนตรเห็นลูกหมานั้นเข้ามา ก็ตรัสว่า "โตเทยยพราหมณ์ เจ้าเมื่อชาติก่อนดูหมิ่นเราจึงเกิดเป็นลูกสุนัข ชาตินี้เจ้ามาดูหมิ่นเราอีก เจ้าตายจากที่นี้แล้วจะไปเกิดในนรก"

     ลูกหมานั้นฟังเสียงพระพุทธเจ้า ฟังเข้าใจ จึงได้วิ่งคอตกเข้าไปในบ้าน แทนที่จะไปนอนที่นอนอันสวยงามของตนที่สุภมาณพผู้เป็นนายจัดให้ แต่กลับไปนอนบนกองขี้เถ้าที่กลางเตาไฟ คนใช้พยายามดึงจับขึ้นไปนอนที่บนเตียงพิเศษที่นายจัดไว้ก็ไม่ยอม ได้ไปนอนที่เดิมนั่นเอง

     พระพุทธเจ้าตรัสแล้วก็เสด็จไปยังวัดพระเชตวัน สุภมาณพกลับมาจากธุระ มาเห็นลูกหมาของตนไปนอนอยู่บนกองขี้เถ้าในเตาไฟก็ดุคนใช้ ไม่พอใจพูดว่า "ทำไม ใครเอาลูกหมาของฉันมาอยู่บนกองขี้เถ้าในเตาไฟนี่ ?"

คนไช้บอกว่า "มันมานอนเอง พยายามยกขึ้นมันก็ไม่ไป"

สุภมาณพ ถามว่า "เพราะเหตุใด ?"

คนใช้บอกว่า "วันนี้พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับยืนอยู่หน้าบ้าน ลูกหมานี้ไปเห่า พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้น ๆ แล้ว ลูกหมานี้พอฟังเข้า ก็มานอนบนกองขี้เถ้านี้ ยกขึ้นไปเท่าไรก็ไม่กลับไปที่เดิม"

     สุภมาณพ พอได้ฟังคนใช้รายงานอย่างนั้นก็โกรธทันที หาว่าพระพุทธเจ้าดูหมิ่นพ่อของตนว่าพ่อของตนเกิดเป็นหมา แท้ที่จริงพ่อของตนนั้น พวกพราหมณ์ทายว่าไปเกิดในพรหมโลกขณะนี้ ไม่ใช่เกิดเป็นหมา พระพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพ่อของตนเกิดเป็นหมา

       สุภมาณพ เมื่อโกรธแล้วก็ไปวัดพระเชตวัน ไปต่อว่าพระพุทธองค์ทีเดียว เมื่อไปถึงก็ยืนไม่ไหว้ ได้ทูลถามว่า "พระองค์ไปที่บ้านของข้าพระองค์ใช่ไหมวันนี้ ?" พระพุทธเจ้าบอกว่า "ใช่"

       สุภมาณพ แล้วพระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่าบิดาของข้าพระองค์ไปเกิดเป็นหมา รู้ได้อย่างไร ? เป็นการดูถูกบิดาของข้าพระองค์ พวกพราหมณ์บอกว่าบิดาของข้าพองค์นี้เกิดในพรหมโลก ไม่ใช่เกิดเป็นหมาอย่างนี้"

     พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สุภมาณพ ถ้าเธอต้องการจะรู้ มีข้อพิสูจน์จะเอาไหม ?" ทูลตอบว่า "เอา" พระพุทธเจ้าถามว่า "มีทรัพย์สมบัติของบิดาอยู่บ้างไหมที่บิดาของเธอเมื่อใกล้ตายนั้นไม่ได้บอกเอาไว้ ?"  สุภมาณพทูลว่า "มี"

     พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้าเธอต้องการพิสูจน์เรื่องนี้ ทดสอบก็ได้ วันนี้เธอกลับไป จากนี้แล้วให้เอาลูกสุนัขของเธอกินอาหารให้อิ่มด้วยข้าวมธุปายาส มีน้ำน้อย เมื่ออิ่มแล้วให้มันนอนสักครู่หนี่ง พอนอนแล้วจงไปกระซิบที่ใกล้หู ถามว่า นี่ พ่อ ทรัพย์สมบัติที่ฝังไว้นั้น ฝังไว้ที่ไหน ? แล้วสุนัขตัวนี้จะวิ่งไปที่ฝังทรัพย์ แล้วเอาเท้าหน้าตะกายที่ฝังทรัพย์ เจ้าก็จงให้คนขุดลงไปเถิด จะรู้เองว่าจริงหรือไม่จริง"

     สุภมาณพ ได้ฟังดังนั้นก็นึกกระหยิ่มอยู่ในใจว่า "เออ ทีนี้ละถ้าเราพิสูจน์แล้วไม่จริง เราจะโพนทะนาให้ทั่วเมืองเลยว่า สมณะองค์นี้พูดโกหก แต่ถ้าเกิดจริงขึ้นมาเราก็ได้ทรัพย์ ไม่ได้ขาดทุนตรงไหน เพราะฉะนั้นเขารีบกลับไปบ้าน ไปทำตามที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกไว้ คือ ให้ลูกสุนัขของตนกินข้าวมธุปายาสมีน้ำน้อย อิ่มแล้วให้นอน พอนอนแล้วไปกระซิบที่หูถามว่า ทรัพย์ฝังไว้ที่ยังไม่ได้บอกอยู่ที่ไหน สุนัขนั้นพอถูกถามอย่างนั้นก็รู้ทันทีเลยว่า "โอ้ ลูกของเรานี้รู้แล้วว่าเรามาเกิดเป็นสุนัข" ก็หอนขึ้นแล้ววิ่งไปที่ฝังทรัพย์ เอาเท้าหน้าทั้งสองตะกายไปที่ฝังทรัพย์ เพราะการที่ตัวเองมาเกิดเป็นหมานี้เพราะเป็นห่วงทรัพย์นั่นเอง เป็นห่วงอยู่มาก (เป็นที่น่าสังเกตว่าคนที่ตายแล้วเป็นห่วงทรัพย์บางคนเกิดเป็นงู บางคนเกิดเป็นหมาอยู่ในบ้านนั้น บางคนไปเกิดเป็นคนใช้ หรือเกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่บุญแต่กรรม ไม่ได้ไปเกิดไกลเพราะเป็นห่วงทรัพย์)

     เมื่อสุนัขไปตะกายที่นั้น สุภมาณพก็ให้คนขุดลงไปตรงนั้น พอขุดลงไป น่าพิศวงแท้ของที่พบนั้นของมีค่าทั้งสิ้น คือ จานทองคำมีค่าหนึ่งแสนกหาปณะ รองเท้าทองคำค่าหนึ่งแสนกหาปณะ พวงมาลัย พวงดอกไม้ทองคำมีค่าหนึ่งแสนกหาปณะ แล้วเงินเหรียญอีกหนึ่งแสนกหาปณะ สุภมาณพพอเห็นเข้าอย่างนั้นก็อุทานในใจทันทีเลย "อื้อฮือ พระพุทธเจ้าทรงทราบได้อย่างไร สิ่งที่ภพชาติปิดไว้ก็ยังทรงทราบได้ ฉะนั้น พระองค์ไม่ใช่พระธรรมดาแน่แล้ว ต้องเป็นผู้ตรัสรู้แน่นอน เพราะสิ่งที่ภพชาติปิดบังไว้ก็ยังทรงทราบได้" ทีนี้ ชักเลื่อมใสแล้ว

     สุภมาณพ จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ทีนี้ยกมือไหว้แล้วทูลถามว่า "ถ้าความดีความชั่วมีจริงอย่างนี้ ทำไมคนเราเกิดมาจึงไม่เหมือนกัน" ปัญหาที่สุภมาณพถามนั้นเป็น ๑๔ ข้อ แต่จัดเป็น ๗ คู่ เขาทูลถามปัญหาเกี่ยวกับกฏแห่งกรรมทั้งสิ้น

    คู่ที่ ๑ ถามว่า ทำไมคนบางคนเกิดมาอายุสั้น บางคนอายุยืน ?

    คู่ที่ ๒ ถามว่า ทำไมบางคนมีโรคภัยไข้เจ็บมาก บางคนไม่ค่อยมีโรคภัยไข้เจ็บ ?

    คู่ที่ ๓ ถามว่า ทำไมบางคนรูปไม่สวยผิวพรรณทราม แต่บางคนเกิดมามีรูปสวย ?

    คู่ที่ ๔ ถามว่า ทำไมบางคนมีศักดิ์ต่ำหรือไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ แต่บางคนเกิดมามีศักดิ์สูงคือมียศตำแหน่งสูง ?

    คู่ที่ ๕ ถามว่า ทำไมบางคนยากจน บางคนร่ำรวย ?

    คู่ที่ ๖ ถามว่า ทำไมบางคนเกิดในสกุลต่ำ บางคนเกิดในสกุลสูง ?

    คู่ที่ ๗ ถามว่า ทำไมบางคนเกิดมาโง่ บางคนเกิดมาฉลาด ?

        เป็นปัญหา ๗ คู่ รวม ๑๔ ข้อ

     พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบสุภมาณพ โดยทรงขยายความกฏแห่งกรรมไว้ในจูฬกัมมวิภังคสูตรค่อนข้างยาว แต่ในที่นี้ขอกล่าวเพียงโดยย่อ 

     คู่ที่ ๑ การที่คนเราเกิดมามีอายุสั้น ก็เพราะเมื่อชาติปางก่อนเป็นคนชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่มีศีล ๕ ด้วยอำนาจผลของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำให้เขาไปตกนรกหมกไหม้ เสวยทุกข์อยู่ เมื่อหมดกรรมนั้นก็มาเกิดเป็นมนุษย์ เศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ทำให้เขาอายุสั้น เพราะเขาเคยฆ่าสัตว์

     ส่วนคนที่เกิดมาอายุยืนก็เพราะเมื่อชาติก่อนโน้นเขาเป็นคนมีศีล ๕ มีศีลธรรม เมื่อเขาตายจากมนุษย์โลกก็ไปเกิดที่ดีมีความสุข เช่นไปเกิดในสวรรค์ เมื่อพ้นจากภูมินั้นแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ บุญของเขายังหนุนอยู่ทำให้เขาอายุยืน

     คู่ที่ ๒ การที่บางคนเกิดมามีโรคภัยไข้เจ็บมาก ก็เพราะเมื่อชาติก่อนนั้นเป็นคนชอบเบียดเบียนสัตว์ ทรมานสัตว์ กักขังสัตว์ คือทำร้ายคนอื่น สัตว์อื่นให้เดือดร้อนให้ทรมาน ให้เจ็บให้ป่วย เมื่อเขาตายไปก็ไปตกนรก เมื่อพ้นจากนรกแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เศษกรรมนั้นยังมีอยู่ทำให้เขาเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ค่อยมีความสุข

     ส่วนคนที่เกิดมาไม่ค่อยมีโรคภัยไข้เจ็บ หรือไม่มี ก็เพราะชาติก่อนนั้นเขาเป็นคนมีเมตตาต่อสัตว์ไม่เบียดเบียนสัตว์ เอ็นดูสัตว์ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย มีศีลธรรม มีเมตตากรุณา เมื่อเขาตายจากไปก็ไปเกิดในที่ดีมีความสุข เช่นเกิดในสวรรค์ เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์เขาจึงมีสุขภาพดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ

     คู่ที่ ๓ ถามว่าทำไมบางคนเกิดมารูปไม่สวย พระองค์ตรัสว่า คนบางคนขี้โกรธ มีความโกรธเป็นเจ้าเรือน เมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดในสถานที่ลำบาก เมื่อกลับจากสถานที่นั้นมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นคนหน้าตาไม่สวยงาม เป็นคนขี้เหร่ เพราะชาติก่อนเป็นคนขี้โกรธ

     ส่วนคนที่เกิดมารูปสวย เพราะชาติก่อนเป็นคนมีเมตตากรุณา ไม่ขี้โกรธ เมื่อเขาไปเกิดในสวรรค์แล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เขาจึงมีหน้าตาสวยงาม รูปหล่อ รูปสวย เพราะมีเมตตา เป็นคนไม่ขี้โกรธ

     คู่ที่ ๔ ถามว่า ทำไมคนบางคนเกิดมามีวาสนาน้อย ไม่มียศมีตำแหน่งกับเขา เป็นคนต่ำต้อย ก็ตอบว่า เพราะเมื่อชาติก่อนเขาเป็นคนริษยาคนอื่นเขา เมื่อใครเขาได้ดีทนอยู่ไม่ได้ ริษยาเขา เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดมาในชาติปัจจุบันจึงเป็นคนมีศักดิ์ต่ำ ไม่ค่อยมียศ ไม่ค่อยมีตำแหน่ง ถ้ามียศตำแหน่งก็มักจะอยู่ในตำแหน่งต่ำอยู่เสมอ เพราะเป็นคนริษยาเขา

     ส่วนคนที่เกิดมาได้รับตำแหน่งสูง เพราะเมื่อชาติก่อนนั้นไม่ริษยาคนอื่นเขา ใครได้ดีก็พลอยยินดีกับเขา จึงเกิดมาได้ตำแหน่งสูง เพราะไม่ริษยาเขา

     คู่ที่ ๕ ถามว่า ทำไมคนบางคนเกิดมายากจน ก็ตอบว่า เพราะชาติก่อนเขาเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ไม่รู้จักบริจาคทาน จึงเกิดมายากจน ส่วนคนที่เกิดมาร่ำรวย ได้พ่อแม่ร่ำรวย เกิดมาในสกุลที่ร่ำรวย ก็เพราะว่าชาติก่อนนั้นเขาเป็นคนที่บริจาคทาน ยินดีในการบริจาค ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว

     คู่ที่ ๖ ถามว่า ทำไมคนบางคนเกิดในสกุลต่ำ ก็ตอบว่า เพราะชาติก่อนคนประเภทนี้เป็นคนไม่อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ เป็นคนแข็งกระด้าง เมื่อตายไปก็ไปเกิดในสถานที่ลำบาก เช่นนรก เป็นต้น เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วจึงเกิดในสกุลต่ำ เช่นในสกุลจัณฑาล หรือเป็นพวกชาวประมง เป็นพวกที่แร้นแค้น ลำบากเดือดร้อน

     ส่วนคนที่เกิดในสกุลสูงนั้นตรงกันข้าม เขาเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ต่อสมณพราหมณ์ ต่อผู้ประพฤติดี เมื่อตายไปก็ไปเกิดในที่ดี มีสวรรค์ เป็นต้น เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นคนที่เกิดในสกุลสูง เช่น สกุลกษัตริย์ สกุลเศรษฐี หรือสกุลเจ้านาย เป็นต้น

     คู่ที่ ๗ ถามว่า ทำไมคนบางคนจึงเกิดมาโง่ ก็ตอบว่า เพราะเมื่อชาติก่อนนั้นเป็นคนไม่เข้าไปไต่ถามหาความรู้ต่อสมณพราหมณ์ ต่อผู้ประพฤติดี ผู้รู้คุณธรรม จึงเป็นคนโง่ ชาติปัจจุบันจึงเป็นอย่างนั้น 

     ส่วนคนที่เกิดมามีปัญญาฉลาด เพราะเข้าไปไต่ถามหาความรู้ต่อสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดี ถามถึงบาปบุญคุณโทษ เป็นต้น เพราะฉะนั้น เขาจึงเกิดมามีปัญญา

     นี้คือปัญหา ๑๔ ข้อ ๗ คู่ ที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบสุภมาณพ สุภมาณพได้ฟังแล้วก็เลื่อมใส ได้ประกาศตัวนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ส่วนสุนัขนั้นเมื่อตายแล้วไปเกิดในนรก

     จากเรื่องนี้จะชี้ให้เห็นว่า คนเราแต่ละคนที่เกิดมาไม่เหมือนกันนี้ เพราะกรรมเป็นตัวบันดาล ไม่ใช่พระเจ้าบันดาล ไม่ใช่อำนาจดวงดาว แต่บางคนบอกว่าเพราะดวงไม่ดี กลับไปเชื่อดวง แท้ที่จริง กรรมที่เราทำไว้เองในอดีตต่างหากมันดลบันดาลมา แล้วเราจะแก้จะแก้กรรมเหล่านี้โดยเฉพาะในด้านไม่ดีได้อย่างไร คำตอบก็คือ ทำกรรมดีเข้าไปมากๆ ในที่สุดกรรมที่ไม่ดีทั้งหมดก็จะจางแล้วหายไป แล้วก็สามารถจะพบความสุขได้ในที่สุด

     วิธีแก้กรรมชั่ว

     เมื่อปี ๒๕๒๘ ผู้เขียนไปให้การอบรมกรรมฐานที่จังหวัดราชบุรี วันเปิดการอบรมเป็นวันที่ ๘ เดือนพฤษภาคม ฝนตกหนัก ที่กล่าวกันว่าฝนพันปีจึงจะมีครั้งหนึ่งในกรุงเทพฯ วันนั้นฝนตกหนัก ข้าพเจ้า (ผู้เขียน) ได้เปิดอบรมกรรมฐานรุ่นแรกที่ราชบุรี ในการเข้ารับการฝึกอบรมครั้งนั้น ได้มีสุภาพสตรีคนหนึ่งเข้าอบรมด้วย เขาป่วยมา คงเป็นโรคกรรมในชาติก่อนแน่นอน คือปวดหัวอยู่เป็นประจำ หาทางแก้ไขมานานก็ยังไม่ได้ผล ไปหาหมอที่ไหนก็แก้ไม่ตก ถ้าไปทำกรรมฐานที่ไหนก็ยิ่งปวดเข้าไปอีก เขาบอกว่าไปทำกรรมฐานกลับมายิ่งปวดหัวมาก ขณะนั่งๆ อยู่เหมือนมีเข็มเสียบข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้าง ตามเนื้อตามตัวปวดไปหมด แต่อุบาสิกาคนนี้ชอบทำบุญ ชอบมาวัด คิดว่าจะหาทางให้มันหายมันก็ไม่หาย

       วันนั้นเขาคิดว่าข้าพเจ้าไปสอนกรรมฐาน เขาคงพบอาจารย์ที่สามารถแนะนำได้ ก็เข้ามาฝึกด้วย พอเข้ามาฝึกแล้ว วันแรกข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ผู้เข้าฝึกรุ่นนั้นประมาณ ๕๐ คน เพราะสถานที่จำกัดด้วย เขามาวันแรกมึนหัวไปหมดเลยเขาทำไม่ได้กลับไป วันที่สองจึงไม่ได้มา ข้าพเจ้าทราบเข้าก็สั่งไปบอกว่า "มาซี จะแนะนำให้ ไม่ทันพบอาจารย์เลย กลับเสียก่อนแล้ว" เขาก็มาอีก แต่วันที่สองข้าพเจ้าเข้ากรุงเทพฯ เสีย ไม่ทันได้คุยกัน เขามาวันที่สองก้มึนหัวมาอีก กลับไป วันที่สามข้าพเจ้าบอกให้เขามาพบใหม่ เมื่อเขามาแล้วก็เลยได้สนทนากัน วิธีแนะนำอุบาสิกาคนนี้ซึ่งเป็นผู้มีกรรมเก่าแน่นอน โดยใช้หลักปัจจุบันเข้าแก้ นับเป็นเรื่องแปลก ในปัจจุบันนี้เขาหายสบายขึ้นมากแล้ว เขาดีใจมาก จะเล่าให้ฟังว่าใช้วิธีนั้นแก้อย่างไรต่อกรรมเก่าของเขา

     เขาเป็นสุภาพสตรี อายุประมาณ ๓๕ ปี มากับหลานสาวอายุราว ๓๐ ปี เขาบอกว่าเคยไปหาหมอดู ไปหาเจ้าเข้าทรง คนทรงบอกว่าในตัวเขานี้มีองค์ คือเทพแทรกอยู่สององค์ ทำให้ปวดหัวมาก เขาถามข้าพเจ้าว่า "มันจริงหรือเปล่า ท่นอาจารย์ ที่คนทรงบอกว่ามีองค์แทรกอยู่ในร่างกายของดิฉัน ๒ องค์

     ข้าพเจ้าบอกว่า เรื่องนี้เมื่อว่าตามหลักพุทธศาสนาเราแล้ว เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อว่าจะมีองค์อะไรมาแทรก เทวดาอะไรจะมาแทรกในตัวเรา จะมาอยู่ในตัวเราทำไม ปกติว่าใครก็ตามถ้าทำบุญแล้วก็หวังไปเกิดในที่ดี เช่นคนที่ทำบุญไปเกิดเป็นเทวดา เขามีสถานที่สงบสุขของเขาบนสวรรค์ แล้วใครบ้างที่อยากจะมาสิงอยู่ในร่างมนุษย์ เพราะร่างมนุษย์มันเหม็น เพราะฉะนั้น เรื่องเทพเข้ามาสิงในร่างนี้ไม่ใช่หรอก (อาจมีบ้างในบางคน แต่เป็นครั้งคราว ไม่ใช่ประจำ)

     การที่เราเจ็บปวด อย่าได้คิดว่ามีเทวดามาแทรกเรา กรรมของเราเอง ขอแยกให้ทราบว่า มนุษย์เรานี้มีกรรมอยู่ ๒ ชนิด คือ:-

        (๑) กรรมในอดีต

        (๒) กรรมในปัจจุบัน

     กรรมนั้นมี ๒ อย่าง คือ กรรมดี และกรรมชั่ว กรรมดีนั้นเราไม่ต้องแก้มันเพราะมันดีอยู่แล้ว ในที่นี้จะพูดถึงกรรมชั่วเท่านั้น เพราะมันให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน

     กรรมในอดีตนั้นเราจะแก้อย่างไร เราจะทำอย่างไร ? ขอพูดถึงกรรมในอดีตก่อน ที่คุณปวดหัวไม่หาย ปวดไปทั่วร่างกายมาถึง ๒๐ ปีกว่านี้ ชาติก่อนคุณต้องทำอะไรสักอย่าง เช่น ตีหัวแมว หรือว่าตีหัวปลา หรือไปเสียบสัตว์อะไรเข้า มันถึงปวดไม่หยุดอย่างนี้

     วิธีแก้ทำอย่างไร ? วิธีแก้กรรมเก่าขอให้ใช้หลักการทางพระพุทธศาสนา ๓ วิธี คือ :-

     (๑) ทำดีเข้าไป เพราะขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วมันเหมือนยาพิษ อันยาพิษนั้นถ้ามันร้ายแรงอยู่ เรากินเข้าไป ตายเลย แต่ถ้ายาพิษนั้นเราใส่น้ำเข้าไปเป็นตุ่มๆ ยาพิษนั้นก็ไม่ร้ายแรง อาจเป็นยาธรรมดาไปเลย กรรมชั่วที่ติดตามเรามาก็เหมือนกัน เราทำความดีไว้มากๆ ในที่สุดพลังมันก็อ่อนลงๆ ก็ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะว่าอ่อนลงไป เพราะฉะนั้นให้เราไหว้พระสวดมนต์ รักษาศีลและเจริญภาวนาใส่บุญลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดบาปมันจาง ความชั่วนี่มันจางได้ มันจางโดยเราใส่กรรมดีเข้าไป แล้วความทุกข์ความเจ็บปวดมันก็หาย นี้วิธีแก้ข้อที่ ๑

     (๒) พยายามแยกกายกับจิตออกจากกัน ให้ถือว่าปวดก็ปวดแต่กาย อย่าให้ใจเราปวด ให้ทำตามบทสวดมนต์ที่ว่า "อาตุระกายัสสะ เม สะโต <= > เมื่อเรามีกายอาดูร กระวนกระวายอยู่ด้วยทุกขเวทนา จิตตัง อะนาตุรัง ภะวิสสะติ <=> จิตของเราจะไม่อาดูร กระวนกระวายไปตามกาย" แยกกายกับจิตให้ออก ให้ถือว่าปวดก็ปวดแต่กายอย่าให้ใจเราปวด นี้บางทีทั้งกายทั้งใจปวดไปหมดเลย อย่างนี้เราก็แย่ซี ให้มันปวดแต่กายอย่าให้ใจมันปวด แยกให้ออก นี้ประการที่ ๒

     (๓) ใช้วิปัสสนาเข้าไปให้เห็นว่าทั้งกายและใจไม่ใช่ของเรา ขันธ์ ๕ มันเกิดขึ้น ขันธ์ ๕ มันดับไปต่างหาก ตัวเราที่ไหน มันมีธาตุ ๔ มารวมกันแล้วมันแยกจากไป ไหนของเราล่ะ ? ลองไปถามมือเราดูว่ามือของเราหรือเปล่า ? มือมันไม่ได้ตอบเลย มัน ธาตุ ๔ มารวมตัวกันต่างหาก เราไปตู่เอาเองว่า เป็นของเรา แท้ที่จริงไม่ใช่ของใคร จึงไม่มีใครแก่ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตาย ธาตุ ๔ หรือ ขันธ์ ๕ มันแก่มันเจ็บ มันตาย ต่างหาก เมื่อเราไปยึดมั่นถือมั่นมัน มันก็ยิ่งปวด การยึดมั่นถือมั่นนั้นสร้างความทุกข์ให้เกิดมากขึ้น จงปล่อยวางลงเสียความทุกข์จะได้เบาบางลง

     เพราะฉะนั้น การแก้กรรมเก่านั้นให้แก้ ๓ วิธีนี้

    ทีนี้ แก้ด้วยการแก้ไขข้อบกพร่องผิดพลาดในปัจจุบัน การที่คุณปวด คุณเจ็บไม่สบายอย่างนี้ อย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องอื่นอย่างเดียว ต้องคิดว่า ในปัจจุบันนี้คุณอาจจะรักษาตัวไม่เป็น รักษาสุขภาพไม่เป็น จึงผอมจึงหน้าซีด อาจจะไม่รู้จักรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ที่นอนอาจสกปรก หรือข้าบ้านมีกลิ่นเหม็น วุ่นวาย ที่อยู่ไม่สะดวก ไม่ถูกสุขลักษณะ นอนดึหเกินไป บางคนไปโทษโน่นโทษนี่ แต่ไม่ได้ดูปัจจุบันนี้ด้วย ว่ากรรมในปัจจุบันนั้นเราสร้างอะไรขึ้น เราเป็นอยู่อย่างไร เราต้องแก้ในปัจจุบันด้วย ที่นอนนี้ต้องสะอาด ที่อยู่อาศัยก็ต้องสะอาด ต้องออกกำลังกาย สิ่งแวดล้อมต่างๆ นี่ต้องให้ถูกสุขลักษณะทั้งหมด ลองแก้ในปัจจุบันนี้ดูซี ไปแก้ในเรื่องอื่นอยู่อย่างเดียวมันไม่หาย ต้องแก้ในปัจจุบันด้วย

     อีกประการหนึ่ง ที่คุณนั่งสมาธิแล้วไม่ค่อยได้ผลแล้วปวดหัวนั้น คุณอาจจะทำไม่ถูกวิธี เพราะมองดูแล้วการที่คุณบอกว่าเวลาคุณนั่งสมาธิมึนหัวไปหมด สำหรับเรื่องนี้อาตมาว่า คึณอาจจะนั่งสมาธิไม่เป็น จึงเกิดการปวดหัวขึ้น การปวดหัวหรือการปวดเมื่อยหรือเคล็ดที่ไหล่ที่คอ อาจเนื่องมาจากเหตุ ๓ ประการ คือ :-

     (๑) เกร็งตัว คุณอาจจะเกร็งตัวก็ได้เวลานั่งสมาธิ เช่นบางคนเกร็งจนคอแข็ง เพราะคุณปวดที่หลังด้วยที่ไหล่ด้วย การปวดหลังปวดไหล่ การปวดหลังปวดไหล่นี้แสดงว่าต้องเกร็งตัวแน่ ถ้าไม่เกร็งตัวก็ไม่ปวดหลังปวดไหล่ อย่าเกร็งตัวขณะนั่งสมาธิ

     (๒) บังคับลม เพราะคุณบอกว่าปวดที่หน้าผาก นี้แสดงว่าคุณอาจจะบังคับลมหายใจก็ได้ คือบางคนบังคับลมเวลาหายใจ จึงมีเสียงดังฟืดฟาดๆ มันก็ไม่สบาย ฉะนั้นอย่าบังคับลมขณะนั่งสมาธิ

     (๓) สะกดตนเอง ข้อสำคัญอย่างหนึ่งที่เห็นชัดก็คือ คุณสะกดตัวเองโดยไม่รู้ตัว สะกดอย่างไร ? เพราะว่าเมื่อคุณทำสมาธิ บางครั้งคุณบอกว่ามีแสงออกมาหน่อยๆ แสดงว่าเกิดสมาธิขึ้นแล้วโดยคุณไม่รู้ตัว แล้วในขณะเดียวกันคุณเครียดไปด้วย มันเกิดสะกดตัวเองขึ้น การสะกดตัวเองประเภทนี้ ต้องเปลี่ยนจากจุดที่ปลายจมูกมาไว้ที่อก หรือไปที่ท้องเสีย ให้เปลี่ยนมาเสีย อย่าอยู่ที่เดิม แสดงว่าคุณสะกดตัวเองไปด้วย ขอให้ลองไปทำดูใหม่

     พอเขาไปทำตามที่บอกให้ แล้วมารายงานให้ทราบว่า "ท่านอาจารย์คะ ค่อยยังชั่วขึ้นแล้วคือเบาขึ้นแล้ว แต่มันยังแสบ ยังปวด ยังเจ็บอยู่" ข้าพเจ้าก็บอกว่า "เอาใหม่ คอยสังเกตดูเมื่อไปถึงบ้านแล้วมันยังปวดอีกไหม" เพราะว่าหลังจากทำสมาธิแล้วเขาจะปวดหัวหนักทุกที แต่ในครั้งนี้เมื่อเขาไปที่บ้านก็ค่อยดีขึ้น

     แต่พอเขามาเดินจงกรมมันก็คอยจะล้ม มันเดินไม่ไหว มันมึน จึงมารายงานข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าบอกว่า "เฉพาะของคุณต้องพิเศษ คือเวลาเดินจงกรม ขณะยืนอย่าหลับตา เวลายืนอย่าหลับตา มองให้ไกลๆ เสีย เพราะคุณมักมึน มักสะกดตัวเอง ให้มองไกลๆ อย่ามองใกล้ๆ"

     เมื่อเขาไปทำตามที่แนะนำ มันค่อยดีขึ้นๆ พอวันหลังๆ คือพอวันที่ สาม ความเจ็บปวดก็ค่อยหายไป เขาดีใจมาก ไม่รู้มันหายไปได้อย่างไร

     ทีนี้ ภายหลังเขาพยายามฝึกทำไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้าไปฝึกรุ่นใหม่ที่ราชบุรีอีกรุ่น เขาก็เข้ามาสมทบอีก คราวหลังบอกว่า "ท่านอาจารย์ ดิฉันหายจากโรคอย่างนี้แล้ว เรียกว่าเกือบหมดสิ้นแล้ว" เขาดีใจมากที่หายจากโรคอันทรมานนี้ไปได้

     ข้าพเจ้าก็มานั่งคิดดูว่า คนป่วยมาประมาณ ๒๐ ปี ปวดเจ็บมานาน แล้วเทพอะไรจะมาแทรกอยู่ได้ แต่มาแก้ด้วยวิธีดังกล่าวแล้วทำไมมันหายได้ ก็แสดงว่ากรรมเก่ามันดลบันดาลอยู่ ถ้าเราแก้ด้วยวิธีการอันถูกต้อง ด้วยใช้หลักพุทธศาสนาเข้าแก้ก็ได้ผล เดี๋ยวนี้เขาสบายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ข้าพเจ้าเห็นว่า นี้เป็นวิธีการแก้กรรมทางพุทธศาสนาแบบถูต้อง

     เพราะฉะนั้น ไม่ว่ากรรมอะไรที่มาเผชิญหน้าเรา เราต้องแก้ด้วยการทำความดี ให้ทานบ้าง รักษาศีลบ้าง เจริญภาวนาบ้าง ยิ่งการเจริญภาวนาโรคภัยไข้เจ็บจะลดไว เพราะบุญมันมาก เป็นการแก้กรรมได้อย่างดี บางคนทุกข์มาก ไปเสดาะห์เคราะห์ด้วยวิธีแปลกๆ ก็ไม่หาย แต่ถ้าใช้ลักษณะสมาธิและวิปัสสนานี้เป็นการแก้กรรมที่ได้ผลไวด้วย เราบางคนที่ฝึกจิตจะเห็นชัด เช่น โรคภัยไข้เจ็บลดลงไปทันทีเลย เพราะกรรมนี้เป็นกรรมดีที่สูงมาก การเจริญภาวนานี้เป็นกรรมดีที่สูงมากยิ่งกว่าการให้ทาน กว่าการรักษาศีล ยิ่งขึ้นวิปัสสนาก็ยิ่งสูงกว่าสมาธิเข้าไปอีก

     เพราะฉะนั้น จึงอยากให้ทุกคนสั่งสมกรรมที่เป็นกุศลกรรม แล้วส่วนที่ไม่ดีทั้งหลายจะจางไป ส่วนดีจะเข้ามาแทนที่ แล้วความสุขความเจริญจะเกิดขึ้นแก่เราอย่างแน่นอน เราเชื่อในกฏแห่งกรรม เราเชื่อตามหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แล้วปฏิบัติตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ผลดีจะต้องเกิดกับเราแน่นอน

 

จบตอนที่ ๑