ตายแล้วไปไหน ภาค 2 หน้า 4

กลับหน้าแรก     กลับหน้าสารบัญ     ภาคที่หนึ่ง     

ภาคที่สอง หน้า ๑     ภาคที่สอง หน้า ๒     ภาคที่สอง หน้า ๓     ภาคที่สอง หน้า ๔      ภาคที่สาม

ภาคที่สอง (หน้าที่ ๔)

เทพเจ้าชักนำสตรีชาวคริสต์

มานับถือพระพุทธศาสนา

          เรื่องนี้เกิดขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี ๒๕๑๕ ต้นเหตุของเรื่องนี้มีอยู่ว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ทางคณะสงฆ์ร่วมกับรัฐบาลไทยได้จัดส่งพระธรรมทูตไป ๔ รูป ซึ่งสำเร็จการศึกษาหลักสูตร ๒ ปี จากสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ให้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย ในจำนวนพระธรรมทูต ๔ รูปนี้มี พระวิธูรธรรมาภรณ์ (วิญญ์ วิชาโน) แห่งวัดบวรนิเวศวิหารอยู่รูปหนึ่ง ที่ทำงานได้ผลดีมาก และยังทำงานพระศาสนาอยู่ในประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่ปี ๒๕๑๒ จนถึงปัจจุบัน มีชาวอินโดนีเซียหันมาสนใจนับถือพระพุทธศาสนามากขึ้น ที่ได้บวชเป็นภิกษุสามเณรก็มากรูป ทำให้เกิดมีวัดทางพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทขึ้นในอินโดนีเซียถึง ๑๕ วัดในปัจจุบัน นับเป็นผลงานที่ควรแก่การสรรเสริญ และควรแก่การอนุโมทนาอย่างยิ่ง ในวงการพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน

          ในปี ๒๕๑๙ ท่านเจ้าคุณพระวิธูรธรรมาภรณ์ ซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยมากกับผู้เขียน ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ให้ชื่อว่า งานพระธรรมทูตและประสบการณ์ทางวิญญาณที่อินโดนีเซีย

          เฉพาะประสบการณ์ทางวิญญาณที่อินโดนีเซีย นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก มีทั้งหมด ๘ เรื่อง ซึ่งท่านได้ประสบมาด้วยตนเอง และมีอยู่หลายเรื่องในจำนวน ๘ เรื่องนี้ ที่ท่านได้เล่าเพิ่มให้ผู้เขียนฟังเป็นพิเศษอีก เนื่องจากผู้เขียนกำลังค้นคว้าเรื่องเหล่านี้อยู่ และมีอยู่เรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้า โดยท่านเล่าให้ฟังว่า

           "ในขณะที่ข้าพเจ้าทำงานธรรมทูตอยู่ที่เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซียนั้น เมื่อประมาณปลายเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้มีชาวคาธอลิคผู้หนึ่ง นำหลานสาวชื่อ ลีบียอง อายุประมาณ ๓๐ ปี นับถือศาสนาคาธอลิคมาตั้งแต่เล็ก ๆ มีความเข้าใจศาสนาคาธอลิคเป็นอย่างดี มาพบข้าพเจ้า น้าของ น.ส. ลีบียอง บอกว่า "หลานสาวของเขาเป็นคนทรงมา ๒ ปี แต่ใจจริงแล้วไม่อยากเป็นเลย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เคยเชิญบาทหลวงมาทำพิธีที่บ้าน ก็ไม่ได้ผล และเวลา น.ส. ลีบียอง ไปโบสถ์ ก็ขอให้บาทหลวงประกอบพิธีบ่อย ๆ ก็ไม่ได้ผล บางครั้งในขณะที่บาทหลวงกำลังประกอบพิธีอยู่ ก็เกิดเข้าทรงขึ้นมาก็มี ทำให้ น.ส. ลีบียอง รู้สึกละอาย           ในขณะที่น้าของ น.ส. ลีบียอง กำลังเล่าให้ฟัง มาถึงตอนนี้ น.ส. ลีบียอง ก็แสดงอาการเข้าทรงขึ้น แต่ไม่มีอาการสั่น เพียงแต่ว่าสีหน้าและลักษณะเปลี่ยนไปเท่านั้น ข้าพเจ้าก็สอบถามเหมือนกับรายอื่น ๆ ดีงที่เคยปฏิบัติมาแล้วในอินโดนีเซีย แต่ในรายนี้ เขาตอบเป็นภาษาอินโดนีเซียไม่ได้ ตอบเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ ฟังคล้ายอินเดียโบราณ คือสำเนียงเหมือนบาลีปนสันสกฤต ไม่ว่าใครจะถามเป็นภาษาอินโดนีเซีย หรือภาษาอังกฤษ ผู้มาเข้าทรงฟังออกทั้งนั้น และเวลาจะตอบก็ตอบเป็นภาษาดังที่กล่าวมาแล้ว ผู้ถามจึงต้องใช้วิธีถาม ตอบรับ ปฏิเสธเอง แต่เขา (น.ส. ลีบียอง) จะบอกว่าใช่ หรือไม่ใช่ ถูก หรือไม่ถูก โดยพยักหน้าบ้าง ใช้มือบ้าง สั่นศีระษะบ้าง จนผู้ถามทุกคนได้รับความเข้าใจ

          หลังจากที่ได้นั่งสนทนากันนานพอสมควร ก็ได้ความว่า ผู้มาเข้าทรงซึ่งเป็นเทพเจ้าชื่อ........ (ฟังไม่ชัด) เกิดในสมัยพระพุทธเจ้า ได้เคยเห็นพระพุทธเจ้า และเคยเรียนกรรมฐานมาด้วย เมื่อถามว่า พระพุทธเจ้ามีลักษณะอย่างไร เขาก็ขอกระดาษแล้วเขียนเป็นรูปพระห่มจีวรเฉวียงบ่า โกนศีรษะคล้ายพระภิกษุให้ดู และเมื่อถามว่า "ทำไมจึงมาเข้าสู่ร่างของคนผู้นี้" ก็บอกและชี้ให้ดูว่า "กระดูกของคนผู้นี้เหมาะสมที่จะขอยืมใช้ก่อน และบอกด้วยว่า ประสงค์จะให้ผู้นี้หันมานับถือพระพุทธศาสนา เพราะเหมาะกับเขา ศาสนาคาธอลิคไม่เหมาะ"

          ร่างทรงทำนิ้วเป็นไม้กางเขนแล้ว ก็ทำมือให้ทราบว่า "คน ๆ นี้ใจแข็ง" (ความจริงก็เป็นเช่นนั้น คือเป็นผู้ที่เคร่งครัดศาสนาผู้หนึ่ง ไปโบสถ์ไม่เคยขาด แต่มาในระยะหลังไม่ค่อยกล้าไป เพราะไปทีไรเป็นถูกเข้าทรงทุกที ในเวลาที่อยู่บ้านบางครั้งในขณะที่ทำงานอยู่ดี ๆ ก็มาเข้าทรง เลยทำให้รำคาญใจ ไม่อยากจะเป็นคนทรง) พอผู้มาเข้าทรงออกแล้ว หน้าตาก็เป็นปกติ

          ข้าพเจ้าตึงถามว่า "ในขณะที่กำลังเข้าทรงนั้น รู้สึกอย่างไรบ้าง" น.ส. ลีบียองบอกว่า "ได้ยินคำพูดที่พูดออกมาหมด แต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร จะกดปากไว้ก็ไม่อยู่ เมื่อออกแล้วก็รู้สึกธรรมดา"

           ครั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้บอก น.ส. ลีบียองว่า "ข้าพเจ้าได้ขอร้องผู้มาเข้าทรง ขออย่ามาเข้าทรงบ่อย ๆ แต่เขาไม่ยอม ขอให้คุณต้อนรับเขาด้วยดีเถิด อะไรที่เขาไม่ชอบ อย่าไปขัดขืนเขา ขอให้ยอมรับความจริงเสีย คือหันมานับถือพระพุทธศาสนานั่นเอง นาน ๆ จะค่อยหายไปเอง" ดู น.ส. ลีบียอง ค่อยสบายใจขึ้น

          รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง เวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกา ได้มีหลานของ น.ส. ลีบียอง มาบอกข้าพเจ้าว่า ลีบียองกำลังเข้าทรงและบอกให้ไปตามพระมา ข้าพเจ้าพร้อมด้วยลูกศิษย์ก็ตามเขาไป พอไปถึงเห็นพี่น้องเขานั่งอยู่หลายคน น.ส. ลีบียองซึ่งกำลังเข้าทรงอยู่ ก็เริ่มจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูป ที่ห้องบูชาพระในบ้านของอาเขา ซึ่งเป็นบิดาของ นายสุรันต์ กัลยาณะ แล้วสวดมนต์ ฟังดูคล้าย ๆ ภาษาบาลีบ้าง ภาษาสันสกฤตบ้าง ส่วนมากไม่รู้เรื่อง เสร็จแล้วก็พูดให้ฟังพร้อมกับทำไม้ทำมือว่า ที่นิมนต์มานี้ก็เพื่อว่าขออย่าได้สงสัยอะไรเลย เขามาจากข้างบนนี้ (ซึ่งหมายถึงเทพเจ้า) ก็เพื่ออนุเคราะห์มนุษย์ เพื่อสั่งสมความดีเท่านั้น

          ข้าพเจ้าจึงได้ลองถามอีกว่า ศีลในพระพุทธศาสนามีกี่ประเภท เขาก็ตอบเป็นคำพูด พร้อมกับยกมือขึ้นแสดง ศีล ๕ ครั้งหนึ่ง ศีล ๘ ครั้งหนึ่ง ศีล ๑๐ ครั้งหนึ่ง พอมาถึงศีล ๒๒๗ ก็ยกมือมาที่ข้าพเจ้าพร้อมกับพูดและทำไม้ทำมือ แสดงว่ามีมาก แล้วยกหัวแม่มือขึ้น ซึ่งแสดงว่า "ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ก็จะดีมาก"

           ข้าพเจ้าได้ถามต่อไปว่า "ท่านเคยพบพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะบ้างไหม" เขาพูดพร้อมแสดง คือแสดงว่า "พระพุทธเจ้าทรงประทับนั่งกลาง พระสารีบุตรนั่งขวา พระโมคคัลลานะนั่งซ้าย" ได้ถามต่อไปว่า "รู้จักพระเจ้าพิมพิสารและนางวิสาขาหรือไม่" เขาก็พยักหน้า แต่พอถามว่า "เคยพบพระเจ้าปเสนทิโกศลหรือไม่" เขาก็พูดและทำมือกางออกสุดแล้วสั่นศีรษะ น่าจะแสดงว่าประเทศอินเดียเป็นประเทศกว้างขวาง ไม่อาจจะรู้เห็นได้ทั่วถึงอะไรทำนองนั้น

          ตอนที่แปลกใจอีกตอนหนึ่ง ก็คือเขาพูดและทำมือบอกว่า ขอให้ทำพิธีพุทธมามกะ และสอนพระพุทธศาสนาให้ น.ส. ลีบียองด้วย ข้าพเจ้าจึงได้ขอร้องว่า "ขออย่าได้รบกวน น.ส. ลีบียองมากนัก" เขาก็พยักหน้า ได้กำหนดวันทำพิธีพุทธมามกะในวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๑๕ เวลา ๑๖ นาฬิกา และข้าพเจ้าได้มอบเหรียญพระพุทธรูปให้ และหนังสือต่าง ๆ ให้ไปอ่าน ในบางโอกาสได้มาเรียนธรรมที่ข้าพเจ้าพร้อม ๆ กับชาวพุทธบ่อย ๆ

          ต่อมา ราวกลางเดือนตุลาคม ญาติ ๆ ของ น.ส. ลีบียอง ได้นำข้าพเจ้าไปที่บ้าน น.ส. ลีบียอง พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า หมู่นี้นาน ๆ จึงจะมีสักครั้ง และมีบ่อยที่เวลาจะนอน เธอมองเห็นคนหลายคนแต่งตัวด้วยผ้าขาวเข้าไปในห้อง มองเห็นชัด แล้วก็หายไปบางครั้งในเวลากลางคืน คนใช้เคยมองเห็นคนร่างใหญ่ยืนอยู่หลังบ้าน พวกญาติของเขาจึงขอให้ช่วยทำพิธีสวดมนต์ให้ ข้าพเจ้าพร้อมด้วยสามเณรวิชัย จากวัดบวรนิเวศวิหาร ก็ได้ทำพิธีให้ โดยได้ปฏิบัติเหมือนดังในประเทศไทย

          ครั้นต่อมา ประมาณเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๕ เขาจะทำบุญบ้านสักครั้ง ข้าพเจ้าจึงบอกว่า "ขอให้รออาจารย์ก่อน จะได้มีพระหลาย ๆ รูป คือในต้นเดือนธันวาคม ท่านเจ้าคุณพระญาณวิริยาจารย์ วัดธรรมมงคลจะมา" เมื่อท่านเจ้าคุณ ฯ ไปถึงอินโดนัเซีย จึงได้ประกอบพิธีทำบุญบ้าน (จำวันไม่ได้) และมีพระเจริญพระพุทธมนต์ ๓ รูป และสามเณร ๑ รูป คือท่านเจ้าคุณพระญาณวิริยาจารย์ พระสุภาโต สามเณรวิชัย และข้าพเจ้า

          หลังจากอนุโมทนาแล้ว ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่อง น.ส. ลีบียอง ให้ท่านเจ้าคุณวิริยาจารย์ฟัง พร้อมกับขอให้ท่านอนุเคราะห์ ท่านก็รับว่า "ได้" ข้าพเจ้าจึงหันไปบอกแก่ น.ส. ลีบียองว่า ท่านอาจารย์องค์นี้จะช่วย ดูเธอรู้สึกดีใจมากและกล่าวคำขอบคุณ ในทันใดนั้นเองก็ถูกเข้าทรงแล้วพูดอะไรไม่ทราบ ท่านเจ้าคุณก็บอกว่า "จะขอรับไปกรุงเทพ ฯ ด้วยกัน จะไปไหม" ก็พยักหน้าบอกว่า "ไป" แต่ได้ยกมือขึ้น ๕ นิ้ว แล้วทำให้เข้าใจว่า ยังมีอีก ๕ คน ที่คอยติดตาม น.ส. ลีบียองอยู่ ก็ขอให้รับไปด้วย" ท่านเจ้าคุณวิริยาจารย์ก็รับว่า "ได้" แล้วบอกว่า "ขอให้เตรียมตัว จะนำไปเดี๋ยวนี้" ตอนนี้ น.ส. ลีบียองหันไปทางโต๊ะบูชาพระแล้วกราบ ๓ ครั้ง แล้วท่านเจ้าคุณ ฯ ก็หลับตาครู่หนึ่งแล้วบอกว่า "เสร็จแล้ว" ต่อจากนั้น ท่านจึงประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ทั้งครอบครัว

          ภายหลังจากนั้นมานับเป็นเวลา ๑ ปีเต็ม ๆ ที่ น.ส. ลีบียองไม่ถูกเข้าทรงอีก แต่ภายหลังจาก ๑ ปี คือตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นต้นมา น.ส. ลีบียอง ได้ถูกเข้าทรงอีกแต่ไม่บ่อยนัก และยังคงเป็นอยู่จนถึงปัจจุบัน

          ในปี ๒๕๒๓ ข้าพเจ้า (ผู้เขียน) ได้เดินทางไปดูงานพระศาสนาในประเทศอินโดนีเซีย ก็ได้ทราบว่า ขณะนี้ น.ส. ลีบียอง หันมานับถือพระพุทธศาสนา และปฏิบัติเคร่งครัดมาก โดยรักษาศีล ๘ เป็นประจำ

          จากเรื่องนี้ชี้ให้เห็นชัดว่า เทวดานั้นมีจริงแน่นอน และสามารถจะดลบันดาลชักนำคนให้มานับถือพระพุทธศาสนาได้จริง ดังเรื่องพระสุธัมโม ภิกษุชาวอินโดนีเซีย และเรื่องของ น.ส. ลีบียอง นี้เป็นตัวอย่าง เพราะฉะนั้น ท่านเจ้าคุณวิธูรธรรมาภรณ์ จึงกล่าวกับผู้เขียนในตอนหนึ่งว่า "ขอให้พวกเรามาช่วยกันทำงานพระพุทธศาสนากันเถิด ในปัจจุบันอย่าว่าแต่มนุษย์เลย ที่ช่วยทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา แม้แต่เทวดาก็ยังมาช่วย"

ประจักษ์พยาน*

เรื่องกรรมและตายแล้วเกิด

( เรื่องนี้ ไดรับความเอื้อเฟื้อจากท่านเจ้าคุณพระศรีกิตติโสภณ (เกียรติ สุกิตฺติ) วัดจักรวรรดิราชาวาส โดยท่านได้แปลถอดความเรื่องนี้มาจากเรื่อง Evidence For Karma And Rebirth ของ Amarasiri Weeraratne ในนิตยสารมหาโพธิ ฉบับเดือนกันยายน ๒๕๑๖.)

          มร. เอดการ์ เคซี่ แห่งมลรัฐเคนทักกี้ อเมริกา ผู้ได้ถึงแก่กรรมไปแล้วเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๕๖ (พ.ศ. ๒๔๙๙) เป็นมนุษย์ผู้มีญาณพิเศษ หรือตาทิพย์แห่งยุคปัจจุบัน ซึ่งได้ใช้ความสามารถในด้านนี้ของตน เพื่อบรรเทาและปลดเปลื้องความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์

          เคชี่ ได้รับสมญาว่า "หมอหลับแห่งอเมริกา" และได้มีคนไข้ทุกประเภทไปขอให้ช่วยรักษา หลังจากที่การรักษาทางอื่นทุก ๆ อย่างบรรดามี ไม่สามารถบำบัดความเจ็บไข้ของตนได้แล้ว

          "หมอเคซี่" ไม่เหมือนแพทย์ทั่วไปทั้งหลาย ตรงที่มีการศึกษาเพียงขั้นมัธยมเท่านั้น และไม่เคยได้รับการศึกษาทางแพทย์จากสำนักศึกษาแห่งใดเลย

          เมื่ออายุ ๒๑ ปี เคซี่ได้จากบ้านเกิดเข้าไปหางานทำในเมือง และได้งานทำทางด้านธุรกิ๗ประกันภัย แต่หลังจากนั้นสองสามปีก็ประสบโชคร้าย ถูกโรคหลอดเสียงในคออักเสบเล่นงานอย่างรุนแรง เป็นผลให้พูดไม่มีเสียง จนต้องทิ้งงานที่ทำอยู่ ไปทำงานอย่างอื่น ซึ่งไม่ต้องใช้เสียงมาก ขณะเดียวกันก็พยายามทุกวิถีทาง เพื่อจะรักษาให้หลอดเสียงที่เสียของตนกลับคืนดีขึ้นมา แต่ก็ปรากฏอีกว่า ไม่มีการรักษาโดยวิธีใดช่วยทำให้ดีได้

          ขณะที่เคซี่อยู่ด้วยความสิ้นหวัง ไม่มีทางรักษาอย่างใดอีกดังกล่าว ก็พอดีมีผู้ชำนาญการสะกดจิตคนหนึ่ง เดินทางไปเผยแพร่วิชาการด้านนี้ ณ เมืองที่เคซี่อยู่ เคซี่จึงได้ไปหาและขอให้ลองใช้วิชาสะกดจิตช่วยรักษาอาการที่ตัวเป็น

           ปรากฏว่า เมื่ออยู่ในภาวะถูกสะกดจิต เคซี่สามารถพูดมีเสียงออกมาเช่นปกติ แต่พอพ้นจากถูกสะกดจิตก็กลับพูดไม่มีเสียงอีกตามเดิม ผู้ชำนาญการสะกดจิตได้พยายามแล้วพยายามอีกเพื่อจะแก้ให้ได้ แต่ก็ไร้ผล

          เพื่อนของเคซี่คนหนึ่งชื่อ เลน ซึ่งเป็นนักสะกดจิตสมัครเล่นและสนใจติดตามเรื่องนี้อยู่ด้วย คิดว่าเมื่อเคซี่สามารถพูดได้ในขณะถูกสะกดจิต เมื่อกลับสู่ภาวะตื่นเป็นปกติแล้วก็น่าจะพูดได้ด้วย จึงตั้งใจที่จะทดลองเรื่องนี้ดูด้วยตนเองอีกที

           เลนจึงดำเนินการสะกดจิตเคซี่ เสร็จแล้วก็ตั้งคำถาม "นี่แกบอกฉันได้ไหม ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดการตีบตันในลำคอของแก และบอกด้วยว่าจะรักษาเจ้าโรคที่เป็นนี้ได้อย่างไร"

           มหัศจรรย์เกินจะกล่าวได้เกิดขึ้น เลนได้รับคำตอบว่า อาการดังกล่าวเป็นภาวะสัมพันธ์ระหว่างจิตและร่างกาย เลือดไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อบางส่วนในลำคอไม่พอ ให้เลนออกคำสั่งเสียในขณะที่ตนยังอยู่ในภาวะถูกสะกดจิต ว่าให้ก่รอุดตันทางเดินของเลือดหายเสีย ให้เลือดเดินได้สะดวก แล้วเมื่อนั้นการรักษาก็จะได้ผล

           เลน ทำตามคำแนะนำ ผลปรากฏว่าชั่วขณะที่เลนจ้องสังเกตุอยู่นั่นเอง ลำคอของเคซี่ก็เปลี่ยนสีเป็นชมพู แล้วก็เป็นแดงอย่างอมเลือดฝาดเต็มที่ เคซี่สามารถพูดได้ด้วยเสียงปกติของตัว และเมื่อตื่นจากการถูกสะกดจิตแล้ว ก็สามารถเรียกสมรรถนะในการพูดกลับมาได้ตามเดิม แล้วหลังจากนั้นได้มีการทำเพิ่มเติมอีกครั้งสองครั้ง ทุกอย่างก็สมบูรณ์เป็นปกติ

          คราวนี้ มาถึงครอบครัวของตัวเลนบ้าง โดยตัวเขาก็มีอาการป่วยเรื้อรังเกี่ยวกับท้องอยู่ ได้ทดลองรักษามาแล้วทุกตำหรับ แต่ก็ไม่ได้ผลเด็ดขาด เลนตั้งใจที่จะปรึกษาเคซี่ระหว่างถูกสะกดจิตดูว่า จะสามารถบำบัดอาการป่วยเจ็บของตนได้ไหม

           เมื่อเลนทดลองทำตามที่คิด ก็ปรากฏว่าเคซี่สามารถบอกวิธีรักษาให้ได้ โดยแนะนำให้บริหารร่างกายอย่างนั้น ๆ ให้รับอาหารพิเศษอย่างนั้น ๆ และใช้ยาประกอบอย่างนั้น ๆ ซึ่งเมื่อเลนทำตามคำแนะนำดังกล่าวก็พบว่าเป็นไปตามคำของเคซี่ คือภายในเวลาเพียงสามสัปดาห์ก็หายขาดจากอาการโรคที่เป็นมาอย่างเรื้อรังนั้น

           คราวนี้เลนได้ประจักษ์ว่า ขณะที่ถูกสะกดจิตเคซี่มีความสามารถมหัศจรรย์ในการรักษา และโดยที่ทราบอยู่ว่า เคซี่เป็นคริสเตียนผู้เคร่งครัดและใจบุญ มีศรัทธาอ่านใบเบิ้ลจากปกหน้าถึงปกหลังทุกปี จึงได้พูดหว่านล้อมขอให้เคซี่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์จำนวนมาก ซึ่งได้รับทุกข์ทรมานเพราะโรคร้ายนานาชนิด และไม่สามารถหาวิธีรักษาอย่างใดอย่างหนึ่งบำบัดได้ โดยขอให้เคซี่รับแนะวิธีรักษาให้แก่คนเหล่านั้น ขั้นแรกเคซี่ไม่ตกลงเนื่องจากไม่เชื่อว่าตนจะมีความสามารถทำเช่นนั้นได้ แต่เมื่อถูกวิงวอนขอร้องหลายครั้งหลายหนเข้า ก็ตกลงรับการทดลองรักษาในรายหนัก ๆ ซึ่งไม่สามารถหาทางรักษาได้แล้วจริง ๆ

           แม้เคซี่จะไม่เคยได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องยาหรือการแพทย์เลย แต่ก็ปรากฏว่าเมื่ออยู่ในระหว่างสะกดจิต เขาสามารถตรวจวิเคราะห์โรคได้อย่างแม่นยำ และใช้ศัพท์เทคนิคต่าง ๆ ที่ในเวลาปกติแล้วเขาไม่เคยรู้เลย

           กล่าวได้ว่า คนไข้ที่เคซี่รักษาหายหมดทุกราย ไม่ปรากฏมีรายใดทรุดลงกว่าเดิมเลย ในบางรายเคซี่จะบอกว่า ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากความเจ็บป่วยนั้นเป็นผลมาจากกรรมแต่ชาติก่อน (หมายเหตุของผู้จัดทำเว็บไซท์ => เรื่องนี้ตรงกับหลวงพ่อวัดปากน้ำและหลวงพ่อปาน ที่ก่อนจะรักษาจะดูเรื่องกรรมเก่าก่อน)เขาสามารถเพียงแต่จะบอกยา ซึ่งอาจช่วยให้บรรเทาลงได้บ้างเมื่อเป็นขึ้นมา เคซี่ไม่รู้เรื่องศาสนาพุทธหรือฮินดูเลย และยิ่งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับทฤษฎีเรื่องกรรมและเรื่องตายแล้วเกิด เมื่อมีผู้เล่าเรื่องให้ฟัง เคซี่ถึงกับตกใจและคิดจะเลิกการรักษาที่ทำอยู่นั้นเสีย ด้วยเห็นว่าการกระทำของตนเป็นเรื่องแอนตี้คริสเตียน แต่เพื่อนฝูงก็สามารถชี้แจงทำความเข้าใจและอ้อนวอนให้เคซี่ให้การรักษาต่อไปจนได้

           ในช่วงเวลา ๔๐ ปี เคซี่รักษาคนไข้หายได้รวมจำนวนประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน

           มีข้อแตกต่างอย่างมากอยู่ประการหนึ่ง ระหว่างเคซี่กับแพทย์ทั้งหลายทั่วไป คือเคซี่ไม่จำเป็นจะต้องได้เห็นคนไข้ โดยคนไข้อาจจะอยู่ห่างออกไปเป็นระยะทางตั้งร้อยไมล์ก็ได้ ที่จำเป็นมีเฉพาะชื่อกับที่อยู่อันถูกต้องของคนไข้ (หมายเหตุของผู้จัดทำเว็บไซท์ => เรื่องนี้ตรงกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ การรักษาคนไข้ของหลวงพ่อ คนไข้ไม่ต้องมาก็ได้ ให้ญาติเขียนชื่อ อายุ ที่อยู่ และโรคที่เป็นใส่กระดาษให้หลวงพ่อ) ซึ่งจะต้องบอกให้เคซี่ทราบ ในเมื่อได้อยู่ในภาวะสะกดจิตแล้ว หากปรากฏว่าคนไข้ไม่อยู่เขาก็จะพักรายนั้นไว้แค่นั้น แล้วตรวจรายอื่นต่อไป

          ตอนจะตรวจรักษา เคซี่ไม่ต้องทำอะไรมาก เขาเพียงแต่เข้าไปในห้อง ถอดรองเท้าและผ้าพันคอออก แล้วเอนตัวลงนอนบนที่นอน หลับตา เอามือประสานกันวางที่หน้าผาก หายใจลึก ๗ ครั้ง แล้วชั่วประเดี๋ยวตาของเขาก็จะรู้สึกว่าสว่าง

           หลังจากนั้นชั่วครู่ ภรรยาหรือเลขานุการของเขาก็จะบอกว่า คราวนี้เขาจะได้เห็นคนชื่อนั้น ๆ อยู่ที่นั้น ๆ ให้เขาตรวจวิเคราะห์โรค และบอกวิธีรักษาที่จำเป็น จากนั้นสองสามนาทีเคซี่ก็จะพูด

           บ่อยครั้งที่เคซี่จะพรรณาสภาพแวดล้อมของที่ ที่เขาพบคนไข้ เช่น เขาจะบอกว่า มีสุนัขสีขาวตัวหนึ่งอยู่ที่มุมห้อง แม่ของตนไข้กำลังสวด (มนต์) อยู่ คนไข้กำลังขึ้นบันไดมา เป็นต้น ข้อระบุของเคซี่ทำนองนี้ พบว่าตรงกับที่เป็นจริงทุกครั้ง จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ถึงความเป็นจริงแห่งพลังตาทิพย์ของเขา

           ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ปรากกเลยว่าการตรวจวิเคราะห์โรค และการสั่งการรักษาของเคซี่ไม่ได้ผล แม้แต่เหล่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อไม่สามารถจะตรวจวิเคราะห์โรคให้ทราบแน่นอนได้ ก็ต้องมาขอพึ่งพลังตาทิพย์ของเคซี่ ที่สถาบันเคซี่ มีประกาศนียบัตรที่นายแพทย์ดังกล่าวออกให้เป็นหลักฐานอยู่เป็นจำนวนมาก

          คนไข้ส่วนใหญ่ของเคซี่ เป็นผู้ได้รับการรักษาอย่างดีที่สุดทางวิทยาศาสตร์มาแล้วต่ไม่ได้ผลเด็ดขาด เคซี่รักษาลมบ้าหมูของพระโรมันคาธอลิครูปหนึ่งให้หายขาดได้ บันทึกรายงานและเอกสารการรักษาสำหรับรายที่อยู่ในลักษณะพิเศษกว่าปกติเช่นนี้ มีอยู่เป็นจำนวนมากที่สถาบันเคซี่

           งานของเคซี่ มีความสำคัญพิเศษสำหรับเราชาวพุทธ โดยที่จะได้พบประจักษ์พยานเกี่ยวกับเรื่องกรรม และตายแล้วเกิดอย่างมากมาย ในการดูด้วยใจหรือตรวจทางในของเคซี่ บางครั้ง เขาบอกว่าความป่วยไข้ของคนไข้บางคนนั้น เนื่องมาจากผลของกรรมในชาติก่อน ดังนั้น จึงไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ การรักษาของเขาเพียงแต่จะช่วยให้อาการบรรเทาลงได้บ้างเท่านั้น บางครั้ง เคซี่ก็ระบุถึงชาติอดีตของคนไข้บางรายด้วย ซึ่งในชาตินั้น คนไข้เหล่านั้นได้ทำกรรมชั่วไว้ อันได้ส่งผลให้พวกเขาประสบทุกข์ทรมานในสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (หมายเหตุของผู้จัดทำเว็บไซท์ => เรื่องนี้ตรงกับหลวงพ่อวัดปากน้ำและหลวงพ่อปาน ที่ก่อนจะรักษาจะดูเรื่องกรรมเก่าก่อน)

          คนไข้รายหนึ่งป่วยด้วยโรคหืด เคซี่บอกว่าเมื่อชาติก่อนเคยโยนลูกแมวให้จมน้ำตาย ชาตินี้จึงต้องได้รับทุกข์ทรมานจากอาการของโรคหืด หายใจไม่ออก

           สามีภรรยาคู่หนึ่ง ประสบปัญหาเกี่ยวกับชีวิตคู่ เคซี่บอกว่าทั้งสองเคยเป็นพระและแม่ชีโรมันคาธอลิคอยู่ที่เกาะอังกฤษ ในชาติดังกล่าวทั้งสองได้ล่วงละเมิดศีลและคำปฏิญาณ ชาตินี้จึงได้รับความเดือดร้อนยุ่งยากเช่นที่เป็นอยู่

           คนไข้เสียตารายหนึ่งได้รับการบอกว่า เมื่อชาติก่อนเขาเป็นสมาชิกชาวป่าเปอร์เซียเผ่าหนึ่ง คนป่าเผ่านี้จะควักลูกตาของเชลยทุกคนที่จับได้ในการสู้รบออก และหน้าที่ควักลูกตาของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายออกดังกล่าวนั้น เป็นของคนไข้รายที่พูดถึงอยู่นี้ ดังนั้นในชาตินี้ เขาจึงได้รับผลกรรมเป็นคนตาบอด

           คนไข้อีกรายหนึ่ง ได้รับการบอกว่าเป็นเพราะเมื่อชาติก่อนเขาได้มีความยินดีปรีดา ในความทุกข์ทรมานของเพื่อนมนุษย์ผู้ต้องตกเป็นเหยื่อ ณ สนามโรมันสเตเดี้ยม ซึ่ง ณ ที่นั้น ผู้ถูกจองจำบางพวกถูกโยนลงไปให้เป็นเหยื่อของสิงโต ในบันทึกของเคซี่ มีกรณีทำนองดังกล่าวนี้อยู่มากมาย

           เคซี่ จะตรวจดูชาติอดีตของเด็ก ๆ แล้วบอกให้พ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นทราบว่า เด็กเคยได้มีความชำนาญมาแล้วทางไหน พร้อมกันนั้นก็จะแนะว่า เมื่อโตขึ้นเด็กควรประกอบอาชีพในแนวที่ตนเคยมีความชำนาญมาแล้ว ผลปรากฏว่า ทุกรายที่ทำตามคำแนะนำของเคซี่ ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม

           จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏนี้ ย่อมเป็นที่แจ้งชัดว่า เรื่องกฏแห่งกรรม และเรื่องตายแล้วเกิด เป็นหลักคำสอนที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง ทั้งประจักษ์พยานสนับสนุนเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริง นอกจากที่มีกล่าวในพระคัมภีร์ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเชื่อด้วยศรัทธา

           บันทึกและเอกสารเกี่ยวกับงานของเคซี่ ยังคงได้รับการเก็บรักษาไว้ ณ สถาบันเคซี่ เวอร์จิเนียบีช อเมริกา นักค้นคว้าทางจิตและผู้ศึกษาเรื่องกรรมกับตายแล้วเกิด พากันไปที่นั่นบ่อย ๆ เพื่อศึกษาบันทึกเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ โมเรย์ เบเรนสไตน์ สนใจเรื่องกรรมและเรื่องตายแล้วเกิด ก็เพราะได้ศึกษาบันทึกของเคซี่ เรื่องนี้ได้กระตุ้นให้เขาพิสูจน์ความจริงของการตายแล้วเกิด ด้วยการสะกดจิตหญิงคนหนึ่ง แล้วให้เธอย้อนระลึกไปถึงชาติในอดีตของเธอ

           ผลของการทดลองดังกล่าวของเบเรนสไตน์ ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันทั่วโลก และได้รับการจัดพิมพ์เป็นหนังสือให้ชื่อว่า "The Search for Bridey Murphy" ซึ่งเป็นหนังสือขายดีที่สุดของอเมริกาในปี ค.ศ. ๑๙๕๖ งานดังกล่าวรับรองความจริงเรื่องตายแล้วเกิดว่า เป็นภาวะที่อาจทดลองพิสูจน์ได้โดยวิธีให้ระลึกชาติด้วยการสะกดจิต จินา เซรามินารา ผู้เขียนเรื่อง "Many MansionsW และ "The World Within" ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งได้ศึกษาบันทึกงานของเคซี่อย่างละเอียด และในหนังสือสองเล่มของเธอ ซึ่งเป็นงานขั้นมาตรฐานเกี่ยวกับเรื่องกรรมและตายแล้วเกิด เธอก็ได้อ้างถึงกรณีของเคซี่บ่อย ๆ

           จำเป็นต้องกล่าวถึงด้วยว่า เคซี่ใช้พลังจิตของเขาเพื่อประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์แต่อย่างเดียว โดยไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะใช้ในทางร้ายหรือผิดศีลธรรม เขาไม่เคยช่วยนักการพนันหรือบอกใบ้ให้พวกนักเลงเล่นม้า เคซี่ไม่ยอมให้เอาเรื่องของตนไปโฆษณาเลยโดยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นทางหนังสือพิมพ์ ทางวิทยุ หรือทางโทรทัศน์ แต่แม้กระนั้นก็เป็นความจำเป็นที่คนไข้จะต้องเข้าคิวรอเป็นเวลาหลาย ๆ เดือน และระยะหลังถึงร่วมปีกว่าจะสามารถกำหนดวันนัดหมายกับเคซี่ได้

           การรักษาของเคซี่ มิได้ใช้ตำรับยาและวิธีการรักษาแบบของตะวันตกเสมอไป ยาของเขาบางขนานพบว่าตรงกับที่มีในตำรับการแพทย์ของยียิปต์โบราณ ทั้งนี้โดนที่ชาติหนึ่งในอดีตเขาเคยเกิดเป็นหมอใหญ่มีชื่อเสียงที่นั่น

           การอ่านชีวประวัติและงานของเคซี่อย่างพินิจพิเคราะห์ สามารถทำให้เราเชื่อได้ในความจริงที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง คือข้อที่ว่า ไม่มีใครมาสู่โลกนี้แบบ "มือเปล่า" อย่างแท้จริง โดยไม่มีทรัพย์สมบัติหรือหนี้สินอะไรติดตัวมาด้วย แต่ละคนนำเอากรรม ทั้งที่เป็นส่วนดีและชั่วของตนติดตัวมา และกรรมนั้นเป็นผู้จำแนกรูปร่าง ลักษณะ อุปนิสัยใจคอ ความชำนาญพิเศษ และอะไรต่ออะไรอื่น ซึ่งเป็นเรื่องลี้ลับเกินกว่าจะอธิบายได้ ไม่ว่าใครจะเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือทั้งสุขทั้งทุกข์ สุดแต่กรณีในชาตินี้ ส่วนใหญ่กำหนดโดยกรรมในอดีตของตน

          พระพุทธดำรัสว่า.... สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นที่พึ่งพำนัก...... ได้รับการยืนยันโดยผลงานของมนุษย์ตาทิพย์ยุคปัจจุบัน คือ เอดการ์ เคซี่ ผู้นี้..... ผู้ซึ่งมิใช่ชาวพุทธ ทั้งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องพุทธศาสนาหรือพระพุทธองค์ ตรงกันข้าม กลับเป้นคริสเตียนผู้เคร่งครัดในศาสนาของตนด้วยซ้ำ.

เด็กอัจฉริยะ

           เด็กอัจฉริยะ คือเด็กที่มีความรู้ความสามารถเกินเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน และยังมีความสามารถเกินผู้ใหญ่ส่วนมากอีกด้วย เด็กประเภทนี้ นักวิทยาศาสตร์ถือว่ามีไอคิวสูง มีสมองดีเลิศ แต่ทำไมจึงแตกต่างจากเด็กทั่วไปมากถึงเพียงนั้น ก็ไม่อาจจะอธิบายได้ชัดเจน จับได้แต่เพียงสาเหตุใกล้ว่าสมองมีไอคิวสูง ไม่อาจจะค้นหาสาเหตุไกลออกไปกว่านี้ แต่ถ้าจะเอาหลักพระพุทธศาสนาเข้ามาอธิบายความเป็นอัจฉริยะของคนเราแล้ว ก็จะทราบได้ทันทีว่า เพราะผู้นั้นเคยศึกษาเล่าเรียนหรือมีความชำนาญในวิชาที่ตนถนัดเหล่านี้มาในชาติก่อนแล้ว เมื่อเขาตายจากชาติที่แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์อีกในชาตินี้ทันที โดยไม่มีการไปเกิดในภพอื่นใดคั่นระหว่าง ความรู้ความสามารถที่จิตของเขาได้เก็บไว้เมื่อชาติก่อน ยังใหม่อยู่ไม่เลือนหายไป พอฟื้นฟูเข้านิดหน่อยก็คล่องแคล่วขึ้นเหมือนเดิมอีก เพราะเคยสั่งสมมาและคล่องแคล่วอยู่แล้วเมื่อชาติก่อน เช่นสมมติว่า เมื่อชาติก่อนผู้นั้นเป็นศาสตราจารย์หรือเป็นอาจารย์ผู้มีความชำนาญพิเศษอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เมื่อเขาตายไปและมาเกิดในชาติปัจจุบัน ความรู้และความชำนาญจึงยังมีอยู่ แต่ที่ต้องลืมไปบ้างก็เพราะภพชาติปิดไว้ แต่เมื่อได้รับทบทวนหรือกระตุ้นเข้านิดหน่อยก็เกิดขึ้นมาได้อีกอย่างรวดเร็ว แถมบางคนยังสามารถพูดภาษาต่างประเทศที่ตนยังไม่เคยเรียนมาก่อนในชาตินี้ได้อีกด้วย หากไม่เป็นอย่างนี้แล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฉลาดเกินมนุษย์ทั่วไปมากถึงขนาดนั้น

          พระพุทธศาสนายอมรับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด จึงยอมรับเรื่องเช่นนี้โดยสนิทใจ และถือว่านี้คือกฏธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์เท่านั้นเอง และการเกิดของคนเรานั้น อาจจะเปลี่ยนจากชนชาติหนึ่งมายังชาติหนึ่งได้ เช่นเมื่อชาติก่อนเคยเกิดในประเทศยุโรป แต่มาชาตินี้กลับมาเกิดในเอเซีย หรือชาติก่อนเกิดในเอเซีย มาชาตินี้ไปเกิดในยุโรป หรืออเมริกาก็ได้ หรืออาจจะไปเกิดในภพภูมิอื่น ๆ นอกจากมนุษย์โลกก็ได้ แล้วแต่กรรมดลบันดาลส่งให้ไปเกิด

          แต่ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าหากอุปนิสัย รวมทั้งความรู้ความสามารถในชาติก่อน สามารถติดตามมายังชาติปัจจุบันได้จริง แล้วทำไม จึงมีเด็กอัจฉริยะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำไมคนทั่วไป ความรู้ความสามารถเมื่อชาติก่อนไม่ติดมาด้วย ต้องมาหาเอาใหม่ เรียนเอาใหม่ในปัจจุบันทั้งสิ้น

          ข้อนี้ขอตอบว่า อุปนิสัยและความรู้ความสามารถในชาติก่อนของคนเราติดมาในชาตินี้ด้วยกันทุกคน แต่มีมากบ้างน้อยบ้างตามบุญกรรม หรือตามอุปนิสัยที่เคยสั่งสมมาในชาติก่อน ดังเราจะเห็นว่า คนเราเกิดมามีอุปนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน มีความถนัดไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน เช่น บางคนถนัดทางดนตรี บางคนถนัดทางวาดเขียน แต่บางคนถนัดในทางด้านคณิตศาสตร์ บางคนชอบความสงบ แต่บางคนชอบต่อสู้ชกต่อย แม้สติปัญญาก็ไม่เท่ากัน คือบางคนโง่ บางคนฉลาด เป็นเพียงแต่ว่าจะฉลาดน้อยฉลาดมาก หรือโง่น้อยโง่มากเท่านั้นเอง แต่การที่คนเกิดมาเป็นอัจฉริยะมีน้อย ก็เพราะว่าอัจฉริยะบุคคลในโลกนี้มีไม่มากนัก และเมื่อตายแล้วไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ในทันทีทันใด ไปเกิดในภพอื่นที่คั่นอยู่ในระหว่าง จึงทำให้ลืมความรู้ความสามารถที่เคยมีมาเมื่อชาติก่อนเสียเกือบหมด หรือแม้เมื่อมาเกิดในชาติปัจจุบันแล้ว บางคนไม่ได้สิ่งแวดล้อมที่ดีที่เหมาะสม จึงไม่อาจจะแสดงความอัจฉริยะออกมา หรือแม้จะแสดงออกมาได้บ้าง แต่ไม่อาจอสดงออกมาเต็มที่ได้ เช่นไปเกิดในหมู่คนป่าคนดอย หรือในประเทศที่ไร้ความเจริญ แต่ถ้าหากอัจฉริยะบุคคลนั้นมาเกิดในทันทีทันใด ไม่มีภพอื่นมาคั่นระหว่าง และมาเกิดในตระกูล ประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมดี เหมาะสมแล้ว เขาก็ย่อมแสดงความอัจฉริยะออกมาให้ปรากฏอย่างแน่นอน อย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันในหลายประเทศ ดังตัวอย่างที่นำมาแสดงไว้ในที่นี้ ดังต่อไปนี้

ยู ยอง มิน

ยอดเด็กอัจฉริยะชาวเกาหลีเหนือ

           เรื่องนี้ ได้จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ ในข้อแนะนำของธิติพงษ์ ซึ่งขอนำมากล่าวไว้ในที่นี้แต่โดยย่อ ดังนี้

          เด็กยอดอัจฉริยะผู้นี้คือ เด็กชายยู ยอง มิน ชาวเกาหลีเหนือ ครอบครัวของหนูน้อยคนนี้ เป็นกรรมาชนอยู่หมู่บ้านชางชอน เมืองวอนซาน อันเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางการผักผ่อนและตากอากาศของจังหวัดกังวอน บ้านที่ ยู ยอง มิน กับพ่อแม่อยู่นั้น แม้ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง แต่ก็มองเห็นทัศนียภาพของเมืองวอนซานชัดเจน

           ยู ยอง มิน ลืมตามองดูโลกคอมมิวนิสต์ และสังคมที่ทุกอย่างถูกปิดกั้นอย่างเกาหลีเหนือ แต่สังคมและลัทธิการเมืองไม่อาจห้ามสมองเธอได้ แววฉลาดฉายออกมาขณะที่ ยู ยอง มิน อายุไม่กี่มากน้อย จนกระทั่งนายยู ดอง ชอล ผู้บิดาวัย ๓๗ ปี และนางโช บอง ชอน มารดา อายุ ๓๓ ปี ก็พลอยได้รับการกล่าวขวัญสรรเสริญอยู่เสมอ

           ความน่ารักน่าเอ็นดู ทำให้เจ้าหนูได้รับของขวัญหลายอย่างในวันเกิดครบรอบปีแรก เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๒๑ แล้วแค่วัยขวบเศษ เพื่อนบ้านใกล้เคียงก็รู้ว่าพวกเขามองคนไม่ผิด และเกินคาดด้วยซ้ำ เพราะชื่อเสียงอัจฉริยะภาพของเด็กชาย ยู ยอง มิน กระฉ่อนไปทั่ว ไม่เฉพาะเขตอำเภอละแวกบ้านเท่านั้น หากกระจายไปทั่วประเทศ

          นอกจากจะเหลือเชื่อแล้ว แต่ยังความประหลาดใจแก่พ่อแม่เป็นอย่างยิ่ง ในเรื่องที่เกิดขึ้นแก่บุตรชายของตน คือ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๑ อายุยังไม่ครบขวบอยู่ ๒ วัน หลังจากรับประทานอาหารค่ำแล้วทั้งครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ก็พักผ่อนเล่นหัวกันตามปกติ ทันใดนั้น เจ้าหนูน้อยก็ใช้มือน้อย ๆ เกาะไหล่บิดา แล้วท่องบทอาขยานที่ได้ยินพี่สาวอ่าน และท่องจากหนังสือเรียนเป็นประจำไม่ใช่ท่องได้ ๒-๓ ประโยคเท่านั้น หากท่องได้ถึง ๔๐ วรรคอย่างแม่นยำ ซึ่งเด็กวัยแค่ไม่ครบขวบดีอย่างนั้นทั่วไปแล้ว อย่าว่าแต่ท่องบทอาขยานเลย แม้จะพูดเป็นประโยค เรียกชื่อพ่อแม่ก็ยาก

          พออายุครบ ๒ ขวบ ผู้ปกครองก็พาเด็กชาย ยู ยอง มิน ไปฝากเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลชางชอน พอได้เรียนเพิ่มเติมเข้าเท่านั้น เจ้าหนูน้อยคนนี้ก็เรียนเร็ว ราวกะว่าสมองติดเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ หลังจากเรียนอนุบาลแค่ ๒ อาทิตย์ เจ้าหนูก็เรียนหลักสูตรชั้นประถมปีที่หนึ่ง แล้วก็เรียนจบหลักสูตรชั้นประถมปีที่สอง ภายใน ๑ เดือน ประถมปีที่สามภายใน ๔๐ วัน และต่อมาอีก ๔๐ วัน ก็จบชั้นประถมปีที่สี่ สรุปแล้ว ภายใน ๔ เดือน ๕ วัน หนูน้อยมหัศจรรย์ ยู ยอง มิน ก็สามารถสอบผ่านหลักสูตรชั้นประถมปีที่สี่ จึงได้รับประกาศนียบัตรชั้นประถมศึกษาเมื่ออายุ ๔ ขวบ

           จากนั้น ก็เข้าเรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น หลักสูตร ๒ ปี ผ่านไปด้วยดี แล้วเข้าเรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายอีก ๒ ปี จึงสำเร็จชั้นมัธยมปลาย เมื่ออายุแค่ ๕ ขวบ ย่างเข้า ๖ ขวบเท่านั้น

           หากมีใครพูดว่า เด็กอายุ ๖ ขวบ สามารถทำคณิตศาสตร์ระดับมหาวิทยาลัยได้คล่องแคล่ว โดยทั่วไปก็จะไม่มีใครเชื่อ แต่สำหรับเด็กชาย ยู ยอง มิน ผู้นี้ ตอนอายุ ๕ ขวบเท่านั้น แกทำได้จริง ๆ แกสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้อีก ๕ ภาษา แม้ไม่ถึงกับเก่งคล่องเปรี๊ยะ ก็จัดเข้าขั้นเรียนรู้ได้เร็วมาก เนื่องจากสิ่งแวดล้อมทางภาษาต่างประเทศไม่อำนวยเอาเลย แต่แกก็ยังสามารถพูดได้ถึง ๕ ภาษา นับว่าอัจฉริยะอัศจรรย์เอามากทีเดียว

          ความอัจฉริยะพิเศษสุดที่ธรรมชาติบันดาลให้เจ้าหนูน้อย ยู ยอง มิน ลือลั่นไปทั่ว ทำให้ดึงดูดความสนใจเหล่านักวิชาการ นักศึกษา และบรรดาปัญญาชนชาวโสมแดงยิ่งนัก ทั้งศาสตราจารย์และนักวิชาการระดับดอกเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาวิชาคณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ ให้ความสนใจเป็นพิเศษ

          แล้ววันหนึ่ง ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๒๕ ศาสตราจารย์คนหนึ่งของมหาวิทยาลัยการประมงเมืองวอนชาน ก็ไปเยี่ยมถึงโรงเรียนที่เด็กชาย ยู ยอง มิน กำลังเรียนอยู่ ท่านศาสตราจารย์ส่งปากกาหมึกซึมใส่ในมือเจ้าหนูน้อยมหัศจรรย์พร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วการลองภูมิก็เกิดขึ้น

           ศาสตราจารย์ตั้งโจทย์คณิตศาสตร์ขึ้นว่า "ฟังนะ พระเอกของชาวเกาหลี, ล้อจักรยานล้อหนึ่ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๗ เซ็นติเมตร จะต้องเคลื่อนที่หมุนไปกี่รอบบนเส้นทางยาว ๓๗,๙๓๕ เมตร"

           หนูน้อย ยู ยอง มิน ฟังโจทย์ไปพลาง มือขวาถือปากกา ส่วนมือซ้ายเล่นของเล่นไปพลางตามประสาเด็ก แต่ทั้งที่มือเล่นของเล่น มือขวาทำโจทย์คณิตศาสตร์ ภายใน ๒-๓ นาทีเท่านั้น หนูน้อย ยู ยอง มิน แล้วกอดอย่างชื่นชม ก่อนทดสอบคณิตศาสตร์อีกหลายข้อจนพอใจ

           ไม่ใช่เพียงคณิตศาสตร์ ภาษาศาสตร์และฟิสิกส์ เท่านั้น ที่เจ้าหนูน้อย ยู ยอง มิน มีความชำนาญ แม้แต่วิทยาศาสตร์และวรรณกรรมก็ไม่ย่อย ดังเช่นกลอนบทหนึ่ง ยู ยอง มิน ประพันธ์ขึ้น ซึ่งถอดความเป็นภาษาไทยว่า

กรุงเปียงยางสวยสดไซร้ ฉันใด

คงเพราะ คิม อิล ซัง จอมไผท สถิตอยู่

ตัวข้า ฯ ใคร่คลาไคล ไปพิศดู

งามไม่งามคงรู้ เมื่อโตวัย.

ประวัติย่อเด็กอัจฉริยะในประเทศต่าง ๆ

          ต่อไปนี้ เป็นประวัติโดยย่อของเด็กอัจฉริยะในประเทศต่าง ๆ เท่าที่รวบรวมได้ ซึ่งท่านเจ้าคุณพระธรรมธัชมุนี (ประยูร สนฺตงฺกุโร ป.ธ. ๙) วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ รองประธานสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย และเป็นอาจารย์ของผู้เขียนเอง ได้รวบรวมไว้และได้เมตตาเอื้อเฟื้อมอบให้ผู้เขียน จึงได้นำมาลงไว้ในที่นี้ เพื่อเป็นเครื่องสนับสนุนกฏแห่งกรรม และการเวียนว่ายตายเกิดตามหลักพระพุทธศาสนา

เรื่องที่หนึ่ง

          เด็กชายลูเซียตัน หนูน้อยผู้นี้เป็นชาวบราซิล อันเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ พออายุ ๒ ขวบ อ่านและเขียนหนังสือได้เอง อายุ ๔ ขวบ แต่งหนังสือเรื่อง "เชื้อโรคในท่อประปา" พิมพ์เป็นเล่มแรก พ่อแม่มีฐานะดีและมีความรู้ดี

(จากหนังสือพิมพ์เดลอไทม์ ฉบับวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๒๓)

เรื่องที่สอง

          เด็กหญิงเจีย บาร์เชต แม่หนูน้อยผู้นี้ เป็นชาวเมืองแชมเปี้ยน รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา อายุ ๓ เดือนเริ่มพูด อายุ ๖ เดือนพูดได้ อายุ ๗ เดือน เดินได้และเริ่มเรียนหนังสือ พออายุ ๘ เดือนอ่านออกเขียนได้ อายุ ๒ ขวบกำลังอ่านเอ็นไซโคปีเดีย ทั้งสามารถพูดได้ถึง ๒ ภาษา คือภาษาอังกฤษและภาษาเซอร์เบีย

(จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๒๔)

เรื่องที่สาม

          เด็กชายดำเนิน คงคดี เจ้าหนูน้อยผู้นี้ เป็นเด็กไทย บุตรนายสยาม นางเพ็กเฮี้ยง อยู่บ้านเอราวัณ ตำบลผาอินแปลง อำเภอวังสพุง จังหวัดเลย อายุ ๕ ขวบ อ่านหนังสือไม่ออก แต่สามารถบวกเลขในใจทุกหลักได้เร็วกว่าครูใหญ่ที่โรงเรียนนั้น

(จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๒๔)

เรื่องที่สี่

          เด็กหญิงทิพย์สุดา สุนทรเวช แม่หนูน้อยคนนี้ เป็นลูกหมอจุฑา กับคุณหมอพวงแก้ว อายุ ๑๗ เดือน สามารถอ่านภาษาไทย-หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ได้คล่อง อายุ ๒ ขวบ เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๓ ที่สาธิตจุฬา ฯ

เรื่องที่ห้า

          เด็กชายเงา เจ้าหนูคนนี้ เป็นบุตรนายสาย ชาวเกาะอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี อายุ ๖ ขวบ สามารถบวกลบเลขทุกหลักได้ เมื่อมีผู้ตั้งโจทย์แล้ว แกจะพูดทวนแล้วตอบทันที

เรื่องที่หก

          เด็กชายมิเชล โดโช เจ้าหนูน้อยผู้นี้ เป็นชาวเมืองอูนาโปลิส ประเทศบราซิล มารดาชื่อซีโมน เทเรซ่า โดโช อายุ ๒ ขวบ สามารถเล่นเปียโน เพลงคลาสสิค เช่นเพลงของโชคอฟกี้ เป็นต้น และเพลงพื้นเมืองได้อย่างคล่องแคล่ว อ่านโนตก็ไม่ออก เล่นได้โดยไม่เคยเรียนเลย เล่นเป็นเอง นั่งครั้งเดียวก็เล่นได้ หรือเล่นตามโดยไม่ฟังมาก่อนก็ได้ (เรื่องนี้ย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ความรู้ความสามารถนั้น ได้ติดมาจากชาติก่อนอย่างแน่นอน เพราะไม่เคยเรียนมาก่อนก็ทำได้ ทั้งที่อายุเพียง ๒ ขวบเท่านั้น แม้โนตเพลงก็อ่านไม่ออก)

(จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๒๔)

เรื่องที่เจ็ด

          เด็กชายชารอน สโตน เจ้าหนูผู้นี้ เป็นชาวเมืองแซกเกอร์ทรวน์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเด็กมรไอคิวสูงมาก คือมีไอคิว ๑๖๕ ถึง ๑๗๔ (คนทั่วไปมีไอคิว ๙๐ ถึง ๑๐๙ เท่านั้น) เมื่ออายุ ๔ ขวบทำเลขบวก ลบ คูณ อ่าน-เขียนหนังสือได้หมด)

(จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๒๗)

เรื่องที่แปด

          เด็กหญิงชนิดา ศรีเกษม แม่หนูน้อยผู้นี้ เป็นบุตรสาวของนายวันชัยกับนางนพพร ศรีเกษม อยู่บ้านเลขที่ ๔๗ หมู่ ๒ แขวงคลองขวาง เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร อายุ ๑๒ ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่หนึ่ง แต่สามารถเรียนระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้คะแนนยอดเยี่ยม

          ดร. วิจิตร ศรีสะอ้าน อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชกล่าวว่า เป็นเด็กสมองดีเป็นเยี่ยม แม้ผู้ใหญ่อายุ ๗๑ ปี เรียนชุดวิชาเดียวกันกับเด็กหญิงชนิดานี้ ก็ยังไม่สามารถสอบผ่านเหมือนแม่หนูน้อยคนนี้

(จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๒๗)

เรื่องที่เก้า

          เด็กชายจิจิง เจ้าหนูน้อยผู้นี้ เป็นชาวเมืองวูฮั่น ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ บิดาเป็นนักค้นคว้าทางการพัฒนากรรมพันธุ์วิทยา มารดาเป็นคนธรรมดา เมื่ออายุได้ ๑ ขวบเพิ่งสอนเดิน สามารถพูดภาษาอังกฤษได้เก่งเท่าคนจบจากมหาวิทยาลัย มีความสามารถรู้ส่วนสัด รูปทรงทางคณิตศาสตร์ได้ยิ่งกว่าผู้ใหญ่ อายุ ๒ ขวบ มีความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์อย่างหาตัวจับยาก อายุ ๔ ขวบ สามารถท่องจำโคลงภาษาจีนโบราณนับร้อย ๆ โคลงได้ สามารถรู้วิชาคำนวนชั้นสูง ดังนั้นมหาวิทยาลัยวูฮั่นจึงมีมติรับเข้าเรียนชั้นปริญญา สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

(จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘)@

เด็กฝาแฝด

           ข้อพิสูจน์เรื่องตายแล้วเกิดใหม่ข้อสุดท้าย คือ ข้อที่แตกต่างกันในเด็กฝาแฝด

          เด็กฝาแฝด คือ เด็กที่เกิดจากท้องแม่เดียวกัน ในคราวเดียวกัน ในเวลาห่างกันประมาณ ๕ นาที เป็นคู่แฝดบ้าง ๓ คนบ้าง ๔ คนบ้าง ส่วนมากเป็นแฝดคู่ ถ้าเป็นชายก็มักเป็นชายคู่ ถ้าเป็นหญิงก็มักเป็นหญิงทั้งคู่ แต่ฝาแฝดบางคู่เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งก็มี ฝาแฝดบางรายในปัจจุบัน แพทย์ต้องผ่าท้องแม่แล้วนำเด็กออกมาก็มี และเด็กฝาแฝดนี้มีอยู่มากทุกประเทศในโลก

           ตามกฏทางวิชาชีววิทยา วิชาจิตวิทยา และวิชาสังคมวิทยา ถือว่า การที่คนเราจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร มีปัญญาดีหรือไม่ดี มีความเสื่อมหรือมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัย ๒ ประการ คือ ๑. กรรมพันธุ์ (Heredity) ๒. สิ่งแวดล้อม (Environment)

           กรรมพันธุ์นั้น หมายถึงสิ่งที่ได้รับถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ คือจากสายเลือดของพ่อแม่ ซึ่งเรียกในทางชีววิทยาว่า ยีน (Gene) อันประกอบด้วยเชื้อ ๒ ชนิด คือสเปอร์ม หรือเรียกชื่อเต็มว่า สเปอร์มาโตซัว (Spermatozoa) อันเป็นเชื้อที่มาจากบิดา และไข่ (Ova) อันเป็นเชื้อที่มาจากมารดา เพราะกรรมพันธุ์ที่ได้ มาจากพ่อแม่นี้เอง คนเราจึงมีรูปร่างหน้าตาบางส่วนเหมือนพ่อ มีรูปร่างหน้าตาบางส่วนเหมือนแม่ ไม่ใช่เพียงรูปร่างหน้าตาอย่างเดียวที่ได้รับถ่ายทอดมาทางกรรมพันธุ์ของพ่อแม่ แม้แต่สติปัญญา กิริยาท่าทาง อุปนิสัยใจคอ ก็ได้รับถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ด้วย กล่าวคือ ถ้าเด็กเกิดมาจากพ่อแม่ที่ดี เช่นพ่อแม่สติปัญญาดี มีสุขภาพดี และมีอัธยาศัยดี ลูกที่เกิดมานั้นก็มีกรรมพันธุ์เหมือนพ่อแม่ไปด้วย อย่างนี้เรียกว่ามีกรรมพันธุ์ดี แต่ถ้าเด็กเกิดมาจากพ่อแม่ที่รูปร่างหน้าตาไม่ดี หรือเป็นคนโง่เขลา หรือมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ ไม่สมประกอบ หรือมีโรคภัยไข้เจ็บมาก หรือมีอัธยาศัยไม่ดี ลูกที่เกิดมาก็พลอยได้รับสิ่งที่ไม่ดีเหมือนพ่อแม่ไปด้วย อย่างดีเรียกว่ามีกรรมพันธุ์ไม่ดี แม้สุภาษิตไทยก็ยืนยันความจริงในข้อนี้ว่า "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น" ด้วยเหตุนี้เอง คนไทยเราตั้งแต่โบราณมาจนกระทั่งปัจจุบัน จึงเลือกคู่ครองให้แก่บุตรหลานของตน โดยหวังจะได้กรรมพันธุ์ที่ดีไว้ สำหรับสืบตระกูลของตน เพราะถ้าเลือกไม่ดีแล้ว ก็จะก่อให้เกิดคนไม่ดีคนไม่สมประกอบขึ้นในวงศ์ตระกูลของตน อันเป็นการทำลายวงศ์ตระกูลและก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่ตนเอง ครอบครัวและลูกหลานในที่สุด

          อันยีน หรือ กรรมพันธุ์ ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากพ่อแม่นี้ เป็นกรรมพันธุ์ที่ถ่ายทอดสืบเนื่องมาแต่บรรพบุรุษอันนานไกล ซึ่งบางรายกรรมพันธุ์ไม่ปรากฏหรือปรากฏไม่ชัดในลูกของตน แต่ไปปรากฏชัดในรุ่นหลานหรือรุ่นเหลนก็เคยมีเช่นตา ผิวดำแดง แต่ยาย ผิวขาว พ่อแม่ผิวดำแดง ลูกเกิดมาผิวขาว การที่ลูกเกิดมาผิวขาวไม่เหมือนพ่อแม่ ก็เพราะได้พันธุกรรมในด้านผิวมาจากยายนั่นเอง ในกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็เคยมี หรือปู่มีหัวทางการช่างหรือทางศิลปะ พ่อและแม่ไม่มีหัวทางนี้เลย แต่ลูกมีหัวทางศิลปะเหมือนปู่ ในกรณีอย่างนี้มีพบบ่อยที่สุด ไทยเราก็ยอมรับความจริงในข้อนี้ ดังสุภาษิตไทยที่ว่า "ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ถ้าจะดูให้แน่ ต้องดูถึงยาย"

           อีกอย่างหนึ่ง กรรมพันธุ์ที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่นั้น บางรายไม่ปรากฏเด่นชัดในรุ่นลูก แต่ได้ปรากฏเป็นลูกผสมหรือพันทางขึ้น ที่เรียกในวิชาชีววิทยาว่า "ไฮบริด (Hybrid)" เช่นพ่อผิวขาว แม่ผิวดำ ลูกเกิดมาเป็นคนผิวเนื้อดำแดง หรือแม่เป็นคนสูง พ่อเป็นคนเตี้ย แต่ลูกที่เกิดมาเป็นคนขนาดปานกลาง ไม่สูงไม่เตี้ย หรือพ่อเป็นฝรั่ง แม่เป็นคนเอเซีย ลูกที่เกิดเป็นลูกครึ่ง คือรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนฝรั่งทีเดียว และก็ไม่เหมือนคนเอเซียทีเดียว ลูกพันธุ์ผสมหรือลูกครึ่งนี้ แม้ในหมู่สัตว์ดิรัจฉานและพืชก็มีนัยเดียวกัน ฉะนั้น ในปัจจุบันจึงมีการผสมพันธุ์สัตว์ และพันธุ์ต้นไม้ โดยวิธีการตามธรรมชาติและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ขึ้น และความจริงทางพันธุกรรมหรือกรรมพันธุ์นี้ยอมรับกันทั่วไป ทั้งในหมู่นักวิทยาศาสตร์และคนทั่วไป

           แต่มีตัวแปรอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำกรรมพันธุ์นั้นให้อ่อนลงหรือเปลี่ยนไป คือ สิ่งแวดล้อม คือถ้าคนเราได้รับสิ่งแวดล้อมดี เช่น ได้รับการเลี้ยงอบรมดี ได้อากาศ อาหาร และที่อยู่อาศัยดี ได้มิตรดีหรือได้งานดี แม้กรรมพันธุ์จะไม่ดี หรือไม่ค่อยดี คนนั้นก็อาจกลายเป็นคนดีและเจริญขึ้นมาได้ ถ้ายิ่งผู้นั้นมีกรรมพันธุ์ดีอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งได้สิ่งแวดล้อมที่ดีเข้าอีก เขาก็ยิ่งมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าคนเราได้สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น การอบรมเลี้ยงดูไม่ดี ได้อาหาร อากาศ และที่อยู่อสศัยไม่ดี ไม่เหมาะ ได้รับการศึกษาอบรมไม่ดี หรือไม่ได้รับการศึกษาอบรม หรือได้เพื่อนที่ไม่ดี ได้งานที่ไม่ดี แม้เจาผู้นั้นจะมีกรรมพันธุ์ดีมาก่อน ก็อาจเป็นคนไม่ดี ไม่เจริญรุ่งเรืองไปได้ ถ้ายิ่งมีกรรมพันธุ์ไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้สิ่งแวดล้อมไม่ดีเข้าอีก ผู้นั้นก็ยิ่งเป็นคนต่ำทราม และประสบความเสื่อมหนักขึ้น ฉะนั้น ในการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน ทุกประเทศในโลกจึงได้พยายามจัดสิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุด เพื่อความอยู่ดีกินดี เจริญรุ่งเรืองของคนในประเทศ

          แต่อย่างำรก็ตาม ในระหว่างกรรมพันธุ์กับสิ่งแวดล้อมนี้ มีการถกเถียงกันมากในหมู่นักจิตวิทยาตะวันตกว่า อย่างไหน จะมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์มากกว่ากัน นักจิตวิทยาบางกลุ่มถือว่ากรรมพันธุ์มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์มากกว่าสิ่งแวดล้อม เช่นถ้าคนสมองไม่ดี หรือสันดานเดิมไม่ดี อันเป็นกรรมพันธุ์มาจากพ่อแม่แล้ว แม้จะได้รับสิ่งแวดล้อมดีขนาดไหนก็เอาดีไม่ได้ เช่นเด็กที่สมองหรือมีไอคิวต่ำ จะฝึกให้ฉลาดขึ้นได้ยาก หรือเด็กที่มีพ่อแม่เป็นอันธพาล เป็นโจร แม้จะได้รับสิ่งแวดล้อมดี เช่นได้รับการศึกษาอบรมดีก็เอาดีได้ยาก กลับเป็นคนต่ำไปในที่สุด เพราะไม่ทิ้งแถว คือกรรมพันธุ์เดิมของตน

          แต่นักจิตวิทยาบางกลุ่มถือว่า สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลเหนือกรรมพันธุ์ โดยอ้างว่า คนเราแม้จะมีกรรมพันธุ์ดีสักปานใดก็ตาม แต่ถ้าได้รับสิ่งแวดล้อมไม่ดี เช่น การเลี้ยงดูอบรมไม่ดี ได้ที่อย฿่ อาหาร และอากาศไม่ดี หรือไม่ได้รับการศึกษาในทางที่ดี และไม่ได้มิตรที่ดี ก็ย่อมไม่อาจเจริญก้าวหน้าในชีวิตไปได้ เพราะตัวหนุนไม่ดี มีแต่หนุนในทางที่เสีย ฉะนั้น คนเราจะมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต หรือทำประเทศให้เจริญได้ ก็ต้องปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้ดี เช่น ด้วยการศึกษา การคมนาคม การแพทย์ และการศาสนา เป็นต้น

           นักจิตวิทยาถกเถียงกันในปัญหาทั้ง ๒ ประเด็นนี้ว่า อย่างไหนจะมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์มากกว่ากัน ในระหว่างกรรมพันธุ์กับสิ่งแวดล้อม ยังไม่อาจจะตกลงกันได้เป็นเวลานาน ทราบว่านักจิตวิทยาต้องใช้เวลาในการสังเกตและค้นคว้าถึง ๑๐๐ ปี จึงตกลงกันได้ว่า ทั้ง ๒ อย่างนี้มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์เท่า ๆ กัน

           ทางพระพุทธศาสนายอมรับความจริง ๒ ประการนี้เหมือนกัน แต่มีความหมายกว้างและลึกกว่าความคิดของนักจิตวิทยาตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่ยังเชื่ออยู่ในด้านวัตถุนิยม ยังไม่ยอมรับในด้านจิตใจว่ามีจริง ฉะนั้น จิตวิทยาตะวันตกจึงมุ่งศึกษาแต่พฤติกรรม คือ การแสดงออกของจิตเท่านั้น ยังไม่ยอมรับเรื่องจิตโดยตรงเหมือนทางพระพุทธศาสนา เว้นไว้แต่นักจิตวิทยาบางคนเท่านั้น ที่เริ่มหันมาสนใจจิตวิทยาทางพระพุทธศาสนาแล้วเท่านั้น

           เกี่ยวกับเรื่องกรรมพันธุหรือกรรมพันธุ์ นี้ นักจิตวิทยาตะวันตกส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับกฏแห่งกรรม โดยเฉพาะกรรมที่ติดต่อข้ามภพข้ามชาติมาให้ผลในปัจจุบัน ยอมรับแต่เพียงยีน (Gene) อันเป็นกรรมพันธุ์ที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ในปัจจุบันเท่านั้น คือยอมรับเรื่องชาตินี้แต่เพียงอย่างเดียว แต่ทางพระพุทธศาสนาถือว่า กรรมพันธุ์นั้นไม่ใช่อยู่ที่ยีน อันเป็นส่วนรูปร่างกายที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ในชาติปัจจุบันเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังหมายถึง กรรมที่เป็นบุญและบาปอันติดอยู่ที่จิต ซึ่งผู้นั้นได้ทำเอาไว้ในชาติปางก่อน และในชาติปัจจุบันอีกด้วย แม้การที่เราเกิดมาได้พันธุกรรมเช่นนี้ ซึ่งได้รับถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ในปัจจุบัน ก็เพราะกรรมในอดีตส่งมาให้เราได้พ่อแม่เช่นนี้ รวมทั้งส่งให้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดในตระกูลต่ำหรือตระกูลสูง เกิดในประเทศยากจนหรือร่ำรวย เจริญหรือเสื่อม ก็เพราะกรรมส่งมาหรือดลบันดาลมาให้เราได้รับทั้งสิ้น และกรรมที่ทำเราให้เจริญหรือเสื่อม ให้ได้รับความสุขหรือทุกข์นั้น ก็ไม่ใช่กรรมในอดีตอย่างเดียว แต่เป็นกรรมที่เราทำไว้ในชาตินี้อีกด้วย

           พระพุทธศาสนาไม่เชื่ออำนาจดวงดาว ไม่เชื่ออำนาจพระเจ้าว่าจะมาดลบันดาลชีวิตของเรา ให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ทั้งไม่เชื่อความบังเอิญ แต่เชื่อว่า เรามีสุข มีทุกข์ เสื่อมหรือเจริญ ก็เพราะกรรมที่เราทำไว้เอง ทั้งในชาตินี้และในชาติที่ล่วงมาแล้ว ฉะนั้น กรรมพันธุ์ในพระพุทธศาสนา จึงมีความหมายกว้างกว่า