พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องค์ปฐมบรมราชจักรีวงศ์ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินและทรงวางรากฐานระเบียบปฏิบัติของขุนนาง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงริเริ่มจัดระเบียบสังคมซึ่งเป็นต้นแบบสืบต่อมา ขณะเดียวกับที่ทรงพระปรีชาด้านอักษรศาสตร์และศิลปะ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงพัฒนาปรับปรุงการปกครอง การศึกษา พระพุทธศาสนา และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการค้าขายให้เป็นระบบยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที 4 ทรงวางรากฐานการดำเนินพระราโชบายในการเจรจาผ่อนปรนทางการทูต การทำสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์กับประเทศต่างๆ และการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยตามแบบตะวันตก โดยเฉพาะการบริหารราชการแผ่นดินในภาวะที่บ้านเมืองกำลังถูกคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตกซึ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น ในรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปิยมหาราชทรงดำเนินการปฏิรูปประเทศในลักษณะ “พลิกแผ่นดิน” ซึ่งส่งผลเป็นคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่ออาณาประชาราษฎร์และบ้านเมือง เป็นการวางรากฐานความเจริญด้านการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ของประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า รัชกาลที่ 6 ทรงปฏิรูปบ้านเมืองในลักษณะการสานต่อพระราชดำริและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระอัยยิกาธิราชและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถ ที่สำคัญคือการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และการปลูกฝังความรู้สึกชาตินิยม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้ทรงวางรากฐานระบบข้าราชการพลเรือนไทยในยุคปัจจุบัน โดยได้มีการประกาศพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นครั้งแรก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่แสดงให้เห็นว่าทรงเป็นแบบอย่างอันงดงามแก่เยาวชนไทย และทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนในยุคเริ่มต้นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบันทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการอันแสดงพระอัจฉริยภาพในการบริหารจัดการส่งผลเป็นคุณประโยชน์มหาศาลแก่ปวงชนบนผืนแผ่นดินไทยและประเทศชาติ ตลอดระยะเวลากว่า 6 ทศวรรษแห่งการครองสิริราชสมบัติตามพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่พระราชทานพระปฐมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และทรงเป็น “เสาหลัก” ที่ค้ำจุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาโดยตลอด ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าวจึงทำให้อาณาประชาราษฎร์มีความร่มเย็นเป็นสุข ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า สามารถธำรงไว้ซึ่งเอกราชและอำนาจอธิปไตยตลอดมาจวบจนปัจจุบันด้วยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมแห่งพระมหากษัตริยาธิราชทั้ง 9 แผ่นดินแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์