ไม่ว่าผมจะเดินทางไปที่ไหน ในประเทศ หรือต่างประเทศ สถานที่แรกๆ ที่ผมมองหาก็คือร้านหนังสือ หรืออย่างน้อยแผงหนังสือก็ได้ หนังสือที่ต้องการนั้นไม่ได้จำเพาะเจาะจงอะไรนัก ขอเพียงแค่เป็นหนังสือที่ผลิตในท้องถิ่น ให้ได้ซื้อหามาอ่าน ให้ได้รู้สึกถิ่นฐานบ้านเมืองนั้นๆ เป็นพอ ครั้งหนึ่งไปธุระที่จังหวัดแพร่ ก็ได้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นมาอ่านดู เมื่อไปเที่ยวต่างประเทศถามว่าอยากได้อะไรเป็นของฝาก เราก็บอกว่า ซื้อหนังสือมาฝากสักเล่มก็พอ หรือเอาหนังสือพิมพ์ของที่นั่นมาก็ได้
คราวนี้ก็เช่นกัน ผมทราบว่าจะต้องเดินทางไปกัมพูชา ในโครงการทัศนศึกษาของสาขาวิชาที่สังกัดอยู่ แต่ไม่แน่ใจนักว่าจะได้เดินทางหรือไม่ เพราะอาจมีเหตุฉุกเฉิน จึงไม่ได้เตรียมตัวมากนัก แต่เมื่อใกล้ถึงเวลา ก็ทราบว่าได้เดินทางแน่ จึงรีบต่ออายุหนังสือเดินทาง และเตรียมหาข้อมูลเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางเท่าที่เวลาจะอำนวย
เสียมเรียบ หรือเสียมราฐ เป็นที่ตั้งของโบราณสถานสำคัญ คือปราสาทนครวัด และปราสาทอื่นๆ อีกหลายแห่ง ผมค้นดูแล้ว ที่บ้านสกลนครมีหนังสือให้อ่านอยู่สามสี่เล่ม
เตรียมตัว
เล่มแรกคือ ถกเขมร บันทึกการเดินทางที่แสนสนุก อ่านได้ความรู้และความเพลิดเพลิน อ่านแล้วอ่านอีกหลายครั้ง (แต่ก็จำสาระไม่ค่อยได้ จำมุกตลกได้มากกว่า) หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้แต่ง ท่านเดินทางไปเมืองเสียมเรียบเมื่อกว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว สมัยนั้นการเดินทางไม่รู้สะดวก แต่ผู้คนน้อยกว่านี้มาก เล่าเรื่องปราสาทหินต่างๆ หลายแห่ง ขำกับเรื่องไกด์ ตาพุดซ้อน กับนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสที่ท่านเจอในโรงแรมที่พัก
เล่มที่สอง คือนิราศนครวัด สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ เมื่อ พ.ศ.2467 ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก่อนท่านคึกฤทธิ์หลายปี ให้บรรยากาศคนละแบบกับถกเขมร แต่ก็น่าอ่านและมีแง่มุมทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีไม่น้อยเลย
ตำนานแห่งนครวัด เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ไม่ค่อยได้หยิบอ่าน เพราะเขียนในรูปแบบนวนิยาย โดยมุ่งจะให้สาระความรู้ ทำไมไม่เขียนเป็นความรู้ตรงๆ ก็ไม่ทราบ อารมณ์หนังสือไม่สนุก เพราะอีหลักอีเหลื่อ แต่มีสาระมากมาย ด้วยผู้เขียนเป็นเอตทัคคะทางประวัติศาสตร์ จิตร ภูมิศักดิ์ ผู้รู้ภาษาเขมรดีถึงขนาดภาษาเขมรโบราณด้วยซ้ำ
เล่มสุดท้ายที่ได้พลิกดูก็คือ Survivor กัมพูชา พูดเขมรได้ เที่ยวกัมพูชาสนุก ชื่อย้าวยาว เอามาอ่านได้ไม่มาก เพราะจำไม่ค่อยได้ มีศัพท์มาก คิดว่าถึงเวลาก็คงไม่ได้พูดเขมร จึงเอามาดูๆ พอทบทวนการอ่านภาษาเขมรเท่านั้นเอง
สรุปแล้ว การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้นำหนังสืออะไรติดตัวไปด้วย เนื่องจากมีเวลาเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ค่อนข้างจำกัด และไม่อยากแบกของหนักด้วย แค่เสื้อหากับกล้องถ่ายรูปก็แน่นกระเป๋าเป้ใบเก่งนี้แล้ว
อุ่นเครื่องด้วยการอ่านป้าย
เมื่อเข้าสู่เขตกัมพูชา เริ่มมีตัวหนังสือภาษาเขมร ผมก็คอยอ่าน เพื่อฟื้นความรู้เก่าๆ ก็มีให้อ่านตั้งแต่ชายแดนไทยกัมพูชาที่ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ ที่เราผ่านเข้ามา จากนั้นก็เป็นหลักกิโลเมตร ซึ่งมองไม่ชัดนัก แต่หลักกิโลของเราสวยดี เป็นแท่งแบน กว้างและสูงกว่าของบ้านเราสักหน่อย ด้านบนสีแดงหรือแสด ด้านล่างสีขาว ดูคล้ายยางลบ และคล้ายๆ กับหลักกิโลของลาว
ก่อนอื่นขอออกตัวว่าผมเองไม่ได้รู้ภาษาเขมรมากนัก แค่พออ่านออกบ้าง ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะตัวหนังสือเขมรกับไทยนั้นคล้ายกัน คือเทียบตัวอักษรกันได้ ไม่เหมือนอักษรฝรั่ง จีน ญี่ปุ่นหรืออื่นๆ แต่ที่น่าปวดหัวคือ แม้เทียบพยัญชนะกันได้ แต่วิธีออกเสียงต่างกัน เช่น ราบ เขาออกเสียงว่า เรียบ
ช่วงที่เป็นชนบท จากชายแดน ถึงตัวเมืองเสียมเรียบ ไม่มีตัวหนังสือให้อ่านมากนัก แต่ก็พอมีบ้าง พวกป้ายร้านค้า ป้ายประกาศขายที่ดิน ซึ่งอ่านออกบ้าง ไม่ออกบ้าง ที่สำคัญคือ บางคำไม่แน่ใจว่าเขาออกเสียงอย่างไร
ระหว่างเดินทาง เราถามไกด์ว่ามีร้านหนังสือบ้างไหม ไกด์บอกว่ามีอยู่ตรงนั้นตรงนี้ (จำไม่ได้) คาดว่าน่าจะได้ซื้อหนังสือสักสองสามเล่ม ทว่าวันแรกยังไม่ได้ซื้อหนังสือ ได้ซื้อยืดสองตัว ที่มีตัวหนังสือเขมรแทน เสื้อพวกนี้หาซื้อแถวร้านขายของที่ระลึกทั่วไปก็คงได้ แต่การได้ซื้อที่กัมพูชาให้ความรู้สึกว่าเป็นของต่างประเทศดี (เผลอๆ อาจจะส่งมาจากเมืองไทย) เนื้อหาก็ไม่ค่อยสู้ดี แต่ดีตรงที่มีตัวหนังสือเขมรนั่นเอง
ตลาดที่เราไปซื้อของจุกจิกนั้น มีของที่ระลึกหลายอย่าง แต่เมื่อถามไกด์เรื่องร้านหนังสือ เขาบอกว่าแถวนั้นไม่มี ต้องเดินไปอีกไกล จึงไม่ได้ซื้อหนังสืออะไรในตอนนั้น
คืนแรกของการเดินทาง ผมไม่ได้ออกไปเที่ยวกับคณะอาจารย์ เพราะเดินทางเหนื่อย อยากพักผ่อน กับอยากใช้เวลาติดต่อกับทางบ้าน เพราะตลอดเวลาตั้งแต่ผ่านชายแดนในตอนเช้า จนถึงค่ำ แทบจะไม่ได้ติดต่อใครๆที่เมืองไทยเลย ผมส่งข้อความไปหาอาจารย์ที่รู้ภาษาเขมร ว่าในเมืองเสียมเรียบมีบ้านหนังสือแถวไหนบ้าง ท่านบอกว่าแถวผับสตรีต ก็มี ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้คงจะได้ไป
เจอร้านหนังสือโดยบังเอิญ
วันที่สองของการเดินทาง ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีร้านหนังสือให้เห็น ดังนั้น ในตอนเย็น หลังสิ้นสุดรายการเดินทางแวะสถานที่ต่างๆ แล้วเราจึงออกไปเที่ยวกับอาจารย์และนักศึกษา บริเวณผับสตรีต ซึ่งมีร้านอาหารเครื่องดื่ม และร้านขายของที่ระลึกมากมาย ลงจากรถบริเวณทางเข้า แล้วก็เดินเที่ยวชมไปเรื่อยๆ นึกถึงถนนข้าวสารในกรุงเทพฯ แต่ที่นี่กว้างใหญ่กว่า ดูหน้าตาแล้วส่วนแต่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนคนกัมพูชา มีแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ กับคนขับรถรับจ้าง และคนขายของในร้านเท่านั้น
ผมกับอาจารย์สมเสน่ห์ไม่สมัครใจจะไปกินดื่มหรือหาซื้อของที่ระลึก แต่จะไปหาหนังสือ จึงถามตำรวจที่นั่นดู เข้าใจว่าเป็นตำรวจในแหล่งท่องเที่ยว น่าจะพูดกันรู้เรื่อง ปรากฏว่าพูดอังกฤษก็ฟังไม่ออก สื่อสารกันไม่เข้าใจ ลืมหาคำเขมรเอาไว้ ถามไกด์ ไกด์บอกว่าย้อนกลับไปทางโน้น เราก็ย้อนไปตามทางที่ไกด์บอก จนสุดทาง ก็ไม่เห็นร้านหนังสือ พอดีมีคนขับรถรับจ้างเข้ามา จะพาไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ ก็เลยถามหาร้านหนังสือ เขาบอกว่าอยู่ไกล อาจารย์สมเสน่ห์บอกว่าแถวนี้แหละมี ในที่สุดเขาก็ชี้บอกว่าร้านนั่นไง อ้าว อยู่ข้างหน้าเรานี่เอง นี่ถ้าเชื่อเขาครั้งแรก คงเสียค่ารถไปหลายตังค์ และที่สำคัญ ร้านนี้คือร้านที่อาจารย์ภาษาเขมรแนะนำให้เมื่อคืนเสียด้วย
ร้านหนังสือเสียมเรียบบุ๊คสโตร์ ชื่อแบบนี้ เป็นร้านค้าสองคูหา ไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีของเต็มร้าน พวกหนังสือและเครื่องเขียน มีของอื่นๆ ด้วย จำไม่ได้ว่าขายอะไรบ้าง เราปรี่ไปที่ช่องหนังสือซึ่งมีอยู่ไม่มาก ดูๆ ราคาก็ไม่แพงนัก เล่มหนึ่งราว 2-3 ดอลลาร์ ก็ไม่ถึงร้อยบาท ซื้อมาได้ 5 เล่ม เป็นหนังสือที่พิมพ์อย่างง่ายๆ เกี่ยวกับภาษาและวัฒนธรรมเขมร เพลงพื้นบ้าน และมีหนังสือเรียนชั้นประเภท ประเภทหัดอ่านเขียน ก.ไก่ ด้วย ซื้อมาทั้งหลายน่าจะสองสามร้อยบาทเท่านั้นเอง
เล่มที่ดูดีกว่าเล่มอื่นๆ ก็คือ หนังสือแปลเรื่องเจ้าชายน้อย ภาษาเขมร รูปเล่มเล็กกะทัดรัด (ขนาดพ็อกเก็ตบุ๊คจริง) และกระดาษเนื้อดีด้วย ข้างในบอกว่าเป็นผลงานแปลของอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยที่กัมพูชา ส่วนเล่มอื่นกระดาษคล้ายถ่ายเอกสาร แต่ก็ถือว่าได้หนังสือมากกว่าที่คาดคิดเอาไว้
ส่วนอาจารย์สมเสน่ห์อ่านภาษาเขมรไม่ออก จึงซื้อหนังสือพิมพ์เขมรแต่เป็นภาษาอังกฤษมาฉบับหนึ่ง ราคาน่าจะยี่สิบหรือสามสิบกว่าบาท หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับที่พัก ถ่ายรูปหนังสือไปอวดเพื่อนที่เมืองไทย ไม่ได้มีของฝากอะไรให้ใคร ซื้อฝากตัวเองนี่แหละดีที่สุดแหะๆ
ร้านหนังสือยังไม่หมด
ตอนเช้าของวันสุดท้ายของการเดินทาง เราได้แวะที่ซูปเปอร์มาร์เก็ต ชื่อ อังกอร์มาร์เก็ต มีของขายหลายอย่าง ทั้งเหล้าเบียร์ อาหารแห้ง ขนม เครื่องใช้ในบ้าน และมีแผงหนังสือกับนิตยสารด้วย ผมเห็นหนังสือจำพวกนิทานพื้นบ้านหลายเล่ม จึงเลือกเอาหนังสือรามเกียรติ์ เล่มหนึ่ง ตำนานเมืองอุดง และเรื่องสั้นชีวิตสาวเลี้ยงโค ราคาจำไม่ได้แล้ว น่าจะเล่มละร้อยอะไรแถวนี้ ถือว่าไม่แพงเลย
หนังสือที่ซื้อมาเป็นภาษาเขมร แต่มีภาษาอังกฤษให้ด้วย ทำให้อ่านสะดวกหน่อย ตรงไหนอ่านเขมรไม่ออกก็อ่านภาษาอังกฤษ และอ่านไม่ออกเสียมากกว่าอ่านออก ภาษาเขมรนั้นมีศัพท์ที่ตรงกับภาษาไทยไม่น้อยเลย สรุปง่ายๆ ว่าในหนึ่งบรรทัด จะมีคำที่ตรงกับภาษาไทยด้วยอย่างน้อยหนึ่งคำเสมอ ดังนั้น หากถามว่าภาษาใดในอาเซียนที่คนไทยเรียนได้สะดวก นอกจากภาษาลาวแล้วก็เป็นภาษาเขมรนี่แหละ เพียงแต่ตัวอักษรเขาเขียนไม่เหมือนของเรา เลยดูเหมือนจะยากหรือต่างกันมาก
สำหรับเรื่องรามเกียรติ์นั้น ชื่อเรื่องจริงๆ เขียนว่า พระรามพระลักษณ์ แต่ออกเสียง เปรียะเรียม เปรียะเลียก (อ่านแล้วก็เมื่อยลิ้น) ข้างในมีภาพประกอบสวยงาม กระดาษอาร์ตมันอย่างดี ทั้งสามเล่มที่ซื้อที่นี่มีลักษณะเหมือนกันหมด
หนังสือที่ซื้อมานี่ คงหาเวลาอ่านและศึกษาไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อยอะไร โดยเฉพาะเรื่องรามเกียรติ์น่าจะได้ประโยชน์มากในการศึกษาเปรียบเทียบกับฉบับภาษาไทย อย่างน้อยก็ทำให้อ่านภาษาเขมรคล่องมากขึ้น และเป็นแรงกระตุ้นให้ขยันศึกษาภาษาเขมรมากขึ้นด้วย หลังจากจับจ้องมานาน
หากถามว่าการเดินทางครั้งนี้ได้อะไรบ้าง นอกจากการเที่ยวชมปราสาทหินทั้งสามแห่งแล้ว ก็คงมีหนังสือนี่แหละที่ถือว่าได้มาเป็นเรื่องเป็นราว และน่าจะมีประโยชน์แก่เพื่อนพ้องน้องพี่อีกมากมาย เพราะในประเทศไทย หนังสือภาษาเขมรหาได้ไม่ง่ายนัก.