ไปแสดงงานศิลปะริมฝั่งโขง บรรยากาศดี๊ดี...

หลังจากอากาศร้อนอบอ้าวมายาวนาน ในที่สุดฝนก็เริ่มทยอยหลั่งลงมาไม่ขาดสาย ทำให้บรรยากาศในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมาเริ่มชุ่มชื้น ชุ่มฉ่ำ เมื่อบรรยากาศดี ชีวิตก็สดใสตามไปด้วย

โดยเฉพาะเมื่อวันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา เพราะมีงานสัมมนาวิชาการและนิทรรศการผลงานสร้างสรรค์ระหว่างประเทศ (ครั้งที่ 2) “ชาติพันธุ์สัมพันธ์ลุ่มน้ำโขง” สถานที่จัดอยู่ริมแม่น้ำโขง นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง

งานนี้คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์เป็นเจ้าภาพร่วมกับสถาบันการศึกษาอื่นๆ อีกหลายแห่ง ทั้งไทยและต่างประเทศ (สปป.ลาว)

พวกเราออกเดินทางตอนเช้าๆ ขณะที่ฝนตกพรำๆ จากตัวเมืองสกลนคร ตะลอนไปเรื่อยๆ บนเส้นทาง สกลนคร-นครพนม ด้วยรถส่วนตัว (คราวนี้ผมขับเอง เพราะไม่คิดว่าจะมีใครเมา) แม้บนถนนจะมีรถน้อย แต่ก็ต้องขับด้วยความระมัดระวัง ไม่ได้แวะข้างทางดื่มกาแฟสักที่เลย แต่ก็ยังไปถึงจุดหมายปลายทางช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ด้วยระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร (จากบ้านผม ที่เชียงเครือ)

เมื่อเข้าเขตตัวเมืองนครพนม เรามุ่งหน้าสู่ถนนเลียบริมแม่น้ำ ผ่านเส้นทางเดิม ที่เคยไป (สัมมนา) เมื่อวันก่อน ครู่เดียวก็ถึงที่ตั้งของงาน โรงแรมฟอร์จูนริเวอร์ริว ทั้งสวยหรู และสะอาดตา น่าดู ผู้ไม่พลุกพล่าน ฝนพรมลงมาไม่ขาดสาย ช่างน่านอนยิ่งนัก...

เห็นด้านหน้าโรงแรมมีรถจอดนับสิบคัน คาดว่าข้างในที่จอดอาจจะเต็ม แต่ลองขับเข้าไป ปรากฏว่ามีที่ให้จอดได้อีกตั้งสองคัน ก็เลยนำรถเข้าแล้วรีบขึ้นไปข้างบนโรงแรม แต่ขอแวะห้องน้ำสักหน่อย เพราะนั่งรถมาชั่วโมงกว่าๆ อากาศเย็นมาก แถมดื่มน้ำเข้าไปเยอะด้วยสิ

เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มาร่วมงานกันมากหน้าหลายตา (เพราะมากันหลายคน) บางท่านก็ล่วงหน้ามาก่อน เพราะต้องจัดเตรียมงาน เนื่องจากมีทั้งเสวนาและการแสดงผลงานศิลปะ ซึ่งงานนี้ผมได้ส่งผลงานเข้าร่วมแสดงด้วย (ไม่น่าเชื่อ...) ระหว่างที่ฟังเสวนาก็หยิบเอกสารที่ได้รับแจกมาอ่านดู มีทั้งสูจิบัตรงานและเอกสารประกอบการสัมมนา น่าฟัง น่าดู และน่าอ่านไปเสียหมด ขณะเดียวกันก็ถ่ายภาพไปด้วย จึงหาสมาธิไม่ค่อยจะได้ แต่ก็สนุกสนานมาก

วิทยากรเล่าประวัติศาสตร์สองฝั่งโขงอย่างสนุกสนาน อาจารย์สุเนดเว้าลาวมากกว่าไทย จึงฟังได้ไม่ค่อยเต็มที่ ส่วนอาจารย์เด่นชัยนั้น มีมุกเด็ดให้คนฟังตลอด ทั้งภาพประกอบและเรื่องเล่า โดยเฉพาะเรื่องยักษ์สะลึคึ กับตำนานท้องถิ่นชื่อสถานที่ต่างๆ ที่นำมาเชื่อมโยงกันได้อย่างสนุก แถมมีภาพประกอบครบครัน

หลังจบเสวนาช่วงเช้า ก็ได้เวลารับประทานอาหารเที่ยง และไปเดินเล่นริมแม่น้ำโขง ฝนยังไม่หยุด แต่ก็มองข้ามแม่น้ำไปเห็นประเทศลาวอยู่ไม่ไกล มีเรือลำเล็กๆ ไม่แน่ใจว่าลอยหรือหยุดนิ่ง อยู่ไกลออกไป จึงไม่เห็นรายละเอียด แม่น้ำโขงช่วงนี้น้ำเต็มตลิ่ง ดูอุดมสมบูรณ์มาก

กลับมาถึงห้องประชุมอีกครั้ง คราวนี้ได้ชมงานศิลปะอย่างเต็มที่ ส่วนมากเป็นภาพถ่าย มีภาพวาดและงานศิลปะบ้างไม่มากนัก ภาพทั้งหมดสะท้อนวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้คนลุ่มน้ำโขงได้อย่างดี ผลงานของผมก็มี ถ่ายไว้นานแล้ว... ก็เลยแวะไปถ่ายภาพถ่ายสักหน่อย

ช่วงบ่ายเป็นรายการเดี่ยวไมโครโฟน โดย ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ จาก ม.รังสิต มาเล่าให้ฟังเรื่องพลังลาว-พลังอีสานในบริบทอาเซียน ให้ความรู้และความบันเทิงในคนเดียวกัน เรียกเสียงฮือฮาเป็นระยะ แม้ว่าช่วงบ่ายเป็นเวลาที่ชวนง่วงนอนมากก็ตาม (ฝนก็ยังตกพรำๆ อยู่ตลอด)

งานนิทรรศการครั้งนี้ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครมเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเลย เมื่อไปถึงวิทยากรกำลังเสาวนากันเรื่องลุ่มน้ำโขง เครือญาติชาติพันธุ์ข้ามพรมแดน ซึ่งมีนักวิชาการทั้งไทยและลาวมานั่งอยู่บนเวที ดร.สุเนด โพทิสาน (จาก สปป. ลาว) กำลังพูดเรื่องประวัติศาสตร์ลาวและไทย จากนั้นก็มี รศ.ดร.ศุภชัย สิงห์ยะบุศ (จาก ม.มหาสารคาม) อ.เด่นชัย ไตรยะถา (จากสภาวัฒนธรรม จ.นครพนม) โดยมีอาจารย์สถิต เป็นพิธีกร

ในห้องสัมมนามีผู้ฟังแน่นเกือบเต็มห้อง ด้านหน้าๆ จะเป็นพระภิกษุ และมีนักศึกษาจาก ม.ราชภัฏสกลนครของเราอีกหลายคน ซึ่งไม่เพียงแต่มาฟังการสัมมนาเท่านั้น ยังช่วยลำเลียงอาหารว่างเข้ามาแจกผู้ฟังด้วย

อาจารย์ปัญญา มหาชัย ที่ปรึกษา ม.ราชภัฏสกลนคร อดีตอธิการบดี ได้มาปาฐกถาต่อเรื่อง Rethink สู่พลเมืองอาเซียน ด้วยข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจและอนาคตของอาเซียน ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องประสบพบเห็นอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้

งานเลิกราวสี่โมงเย็นกว่าๆ เนื่องจากฝนยังไม่หยุด เราจึงไม่อยากโอ้เอ้ เก็บข้าวของ แล้วออกจากโรงแรมที่จัดงาน คิดในใจว่า จะนำเรื่องของวันนี้ไปเล่าต่ออย่างไรดี...