การเขียนย่อความ
ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ต้องมีการติดต่อสื่อสารกันอยู่เสมอ ไม่ในโอกาสใดก็โอกาสหนึ่ง นอกจากจะเพื่อกิจธุระการงานแล้ว การสื่อสารเพื่อสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างกัน ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์และโอกาสต่างๆ
ความรู้เบื้องต้น
การเขียนเป็นทักษะสำคัญที่ใช้สำหรับบันทึก รวบรวมและถ่ายทอดข้อมูลเพื่อการติดต่อสื่อสารระหว่ากันของบุคคลในสังคม ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องระมัดระวังในการเลือกใช้คำให้เหมาะสมและถูกต้อง ทั้งนี้ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้การเขียนสื่อสารสามารถบรรลุผลตามที่ต้องการ
ทักษะการเขียนสามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ด้วยวิธีการอ่าน ฟัง การรู้จักสะสมคำ ฝึกฝน การเขียนถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และโอกาส ซึ่งสามารถสรุปลักษณะการใช้ถ้อยคำในการเขียนได้ ดังนี้
หลักการใช้ภาษาในการเขียน
ระดับภาษา
ภาษาที่ใช้สำหรับการเขียนเป็นภาษาที่แตกต่างไปจากภาษาพูดในชีวิตประจำวัน โดยขึ้นอยู่กับรูปแบบและประเภทของงานเขียน เช่น งานเชิงวิชาการควรใช้ภาษาที่เป็นแบบแผน หากเป็นบทความแสดงความคิดเห็นควรใช้ภาษาระดับกึ่งทางการ ส่วนงานเขียนบันเทิงคดี เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย ผู้เขียนอาจเลือกใช้ภาษาทั้งสามระดับ คือ ระดับทางการ กึ่งทางการ สละสลวย สื่อความหมายไปในทิศทางเดียวกัน เช่น
• พ่อแม่เป็นห่วงบุตร
ประโยคนี้มีการใช้ภาษาที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน “บุตร” เป็นคำทางการ เมื่อนำมาใช้ในประโยคนี้จึงไม่เหมาะสม ควรเปลี่ยนเป็น “พ่อแม่เป็นห่วงลูก” เพื่อให้เป็นประโยคที่ใช้ภาษาระดับเดียวกัน
การใช้คำ
งานเขียนที่ดีผู้เขียนจะต้องรู้จักใช้คำได้อย่างสละสลวย เหมาะสม ถูกต้อง ตามหลักไวยากรณ์ คำที่มีความหมายคล้ายกัน ผู้เขียนต้องรู้จักเลือกใช้ให้เหมาะสม ไพเราะ ซึ่งหลักเกณฑ์การใช้คำควรคำนึงในเรื่องต่อไปนี้
๑. การเขียนสะกดคำและการใช้เครื่องหมายวรรคตอน การเขียนสะกดคำมีความสำคัญต่อการเขียน เพราะหากเขียนสะกดผิดย่อมสื่อสารไม่ตรงกัน รวมถึงการเว้นวรรคตอนให้ถูกต้องตามมาตรฐานในการเขียน ซึ่งผู้เขียนสามารถสร้างความชำนาญให้แก่ตนเองได้โดยการฝึกเขียนอย่างสม่ำเสมอหรือค้นคว้าความรู้จากพจนานุกรม
๒. การใช้คำและสำนวนให้ถูกต้องเหมาะสม เป็นส่วนที่สำคัญของการเขียนเพื่อสื่อสาร เพราะถ้อยคำและสำนวนเป็นสิ่งที่สื่อความหมาย งานเขียนที่มีประสิทธิภาพต้องใช้คำถูกต้องตามหน้าที่และความหมาย เรียงลำดับคำหรือพยางค์ได้ถูกต้อง ไม่ใช้คำในภาษาต่างประเทศโดยไม่จำเป็น รวมถึงไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย
๓. การใช้ประโยค การเขียนสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ นอกจากผู้เขียนจะใช้ถ้อยคำให้ถูกต้องเหมาะสมแล้ว ดารผูกและเรียบเรียงประโยคให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งการผูกประโยคสำหรับการเขียนสื่อสาร ควรผูกประโยคให้มีความกระชับ กะทัดรัด ในประโยคเดียวกัน ไม่ควรใช้กริยาหลายตัว หลีกเลี่ยงการใช้สำนวนต่างประเทศ
๔. รูปแบบและเนื้อหาของงานเขียน ผู้เขียนจะต้องใช้ภาษาในการเขียนสื่อสาร โดยคำนึงถึงรูปแบบและเนื้อหาของงานเขียน เช่น การเขียนจดหมายราชการควรใช้รูปแบบตามที่กำหนดและใช้ภาษาทางการ การแบ่งวรรคตอนที่ถูกต้องเหมาะสม ถ้อยคำกระชับ สื่อความชัดเจน เป็นต้น
มารยาทในการเขียน
๑. ควรเลือกใช้สีของกระดาษและสีของหมึกให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล
๒. ควรเขียนด้วยลายมือตัวบรรจง อ่านง่าย เป็นระเบียบ เว้นช่องไฟและวรรคอย่างเหมาะสม
๓. ควรเขียนให้เป็นระเบียบ คือเว้นส่วนหน้าและส่วนหลังของกระดาษให้เสมอเป็นแนวเดียวกัน เว้นบรรทัดให้เท่ากัน ย่อหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน
๔. การเขียนที่มีรูปแบบที่เคร่งครัด ผู้เขียนต้องยึดรูปแบบตามที่กำหนด
๕. ควรเขียนโดยใช้ภาษาที่สุภาพ ถูกต้องตามหลักภาษาไทย ใช้ภาษาเขียนไม่ใช้ภาษาพูด ใช้ระดับภาษาให้เหมาะสมกับสถานะของบุคคล
๖. เมื่อเขียนผิดควรใช้ยางลบหรือน้ำยาลบคำผิดให้สะอาด
๗. ไม่ควรเขียนโดยปราศจากความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียน หากจำเป็นต้องเขียนควรศึกษาค้นคว้าให้ละเอียดจากแหล่งข้อมูลต่างๆ
๘. ไม่ควรเขียนเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ รวมทั้งไม่เขียนเพื่อมุ่งทำลายผู้อื่น ทำให้ได้รับความเสียหาย หรือเพื่อสร้างประโยชน์แก่ตนเอง
๙. ไม่ควรใช้อารมณ์ส่วนตัวในการเขียน รวมทั้งไม่เขียนเพื่อมุ่งทำลายผู้อื่น
๑๐. ไม่ควรคัดลอกบทความหรือเนื้อหาตอนใดตอนหนึ่งของผู้อื่นมาใส่ในงานเขียนของตนเอง หากจำเป็นจะต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลเดิมเสมอ เพื่อให้เกียรติผู้เขียน
มารยาทในการเขียนเป็นสิ่งที่ผู้เขียนทุกคนควรยึดถือและนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อให้สามารถเขียนสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่น
การเขียนคำอวยพร
“อวยพร” หมายถึง การให้พิเศษตามคำขอหรือการแสดงความปรารถนาดีเพื่อให้ได้ตามประสงค์ คนไทยมีธรรมเนียมผู้ใหญ่ให้ผู้น้อย ผู้ให้พรคือผู้อาวุโสกว่าผู้รับพร เช่น บิดามารดาให้พรแก่บุตร ในบางครั้งผู้อวยพรอาจเป็นผู้ที่มีวัยหรือสถานภาพเสมอกัน เช่น เพื่ออวยพรให้แก่เพื่อน แต่เดิมผู้น้อยไม่อวยพรผู้ใหญ่ แต่ผู้น้อยขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้แด่ผู้ใหญ่ คำอวยพรเป็นผลดีต่อจิตใจของผู้รับเพราะเป็นการแสดงความปรารถนาดีต่อกัน การเขียนอวยพรจึงเป็นการเขียนที่ใช้ภาษาในเชิงสร้างสรรค์
“คำอวยพร” หมายถึง ข้อความแสดงความยินดีหรือความปรารถนาดีต่อผู้อื่นในโอกาสต่างๆ เช่น ถวายพระพร ขึ้นปีใหม่ วันเกิด วันแห่งความรัก สำเร็จการศึกษา เกษียณอายุ การอวยพรให้หายเจ็บป่วย วันขึ้นบ้านใหม่ วันสำคัญทางศาสนา วันแต่งงาน เป็นต้น
หลักการเขียนคำอวยพร
๑. เขียนให้สอดคล้อง สัมพันธ์กันระหว่าง ผู้อวยพร ผู้รับพร โอกาส และสื่อที่ใช้อวยพร
๒. การกล่าวถึงโอกาสที่อวยพร
๓. การอวยพรผู้อาวุโสควรการกล่าวอ้างถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสากลหรือสิ่งที่ผู้รับพรเคารพนับถือ
๔. ให้พรที่เหมาะสมกับผู้รับพรและเป็นพรที่สร้างสรรค์ในด้านต่างๆ เช่น ความสุข หน้าที่การงาน การเงิน ความสำเร็จ ความสมหวัง สุขภาพ อายุยืนยาว เป็นต้น
๕. ใช้ภาษาเขียนที่ถูกต้องเหมาะสม โดยพยายามสรรคำที่ไพเราะและมีความหมายที่ดี
แนวทางการเขียนคำอวยพร
แนวทางการเขียนคำอวยพร
๑. เลือกใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมกับบุคคล โดยคำนึงว่าผู้รับอยู่ในสถานภาพหรือมีความเกี่ยวข้องกับผู้เขียนอย่างไร ผู้รับอาจเป็นบิดา มารดา ญาติผู้ใหญ่ เพื่อร่วมงานหรือเพื่อนที่สนิทคุ้นเคย การเขียนอวยพรให้ผู้ที่อยู่ในสถานภาพต่างๆ ย่อมใช้คำขึ้นต้นและคำลงท้ายที่แตกต่างกัน
๒. เลือกใช้ถ้อยคำให้ถูกต้องกับโอกาส การเขียนอวยพรที่มีประสิทธิภาพจะต้องคำนึงถึงโอกาสว่าจะเขียนในโอกาสใด เช่น อวยพรวันขึ้นปีใหม่ งานมงคลสมรส งานรับตำแหน่งใหม่ งานวันเกิด แต่ละโอกาสจะมีลักษณะการใช้ถ้อยคำที่แตกต่างกัน เช่น งานวันเกิดควรอวยพรให้มีอายุยืนยาว มีความสุขและปราศจากโรคภัย เป็นต้น
๓. เลือกใช้ถ้อยคำให้ผู้รับเกิดความประทับใจ การเขียนอวยพรผู้เขียนควรสร้างความประทับใจหรือความสุขให้แก่ผู้รับด้วยการเลือกใช้ถ้อยคำที่สุภาพ นุ่มนวล น่าฟัง ไพเราะ เหมาะสมด้วยเสียงและความหมาย เช่น เลือกใช้คำที่ทำให้เกิดเสียงคล้องจอง มีความหมายลึกซึ้งไปในทางที่ดีงาม เป็นต้น
ประเภทของคำอวยพร
ประเภทของคำอวยพร
๑. คำอวยพรในโอกาสทั่วๆ ไป เช่น ผู้ใหญ่ให้พรแก่เด็กที่มาช่วยเหลือ ดูแล เยี่ยมเยียนหรือผู้ใหญ่ให้พรด้วยความเอ็นดู รักใคร่หรือหวังดี เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น
ขอให้เจริญสุข ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข
ขอให้อยู่ดีกินดี ขอให้อายุมั่นขวัญยืน
ขอให้โชคดีมีชัย ขอให้มีความสุขสวัสดี
๒. คำอวยพรเฉพาะโอกาส เช่น วันเกิด วันขึ้นปีใหม่ วันขึ้นบ้านใหม่ วันแต่งงาน วันสำเร็จการศึกษา วันรับตำแหน่งใหม่ เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น
ขอให้อยู่ดีกินดี ขอให้มั่งมีศรีสุข
ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ขอให้มีความสุขตลอดปี ๒๕๖๒
ขอให้มีความเจริญในหน้าที่การงาน ขอให้ครองรักกันยั่งยืนและมีความสุข
ขอให้ประสบความสำเร็จในตำแหน่งใหม่
ขอให้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาทำประโยชน์แก่ตนเองและสังคม
การเขียนคำขวัญ
คำขวัญ คือถ้อยคำที่เขียนขึ้นเพื่อจูงใจผู้รับสาร เพื่อทำให้เกิดความประทับใจให้ข้อคิดหรือเป็นเครื่องเตือนใจให้ปฏิบัติตามในเรื่องต่างๆ
แนวทางการเขียนคำขวัญ
คำขวัญที่ดีต้องเป็นข้อความที่มีขนาดไม่ยาวมาก มีความไพเราะและมีพลังในการโน้มน้าวใจผู้ฟัง ครอบคลุมเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน ดังนี้
๑. กำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนว่าจะสื่อสารในเรื่องใด ต้องการให้ผู้รับฟังคล้อยตามเห็นด้วยหรือปฏิบัติตามในเรื่องใด
๒. กำหนดกลุ่มเป้าหมายหรือผู้รับสารให้ชัดเจน เพราะการกำหนดกลุ่มเป้าหมายจะส่งผลถึงลักษณะภาษาที่ใช้ในการเขียน
๓. เรียบเรียงข้อความที่จะเขียนในลักษณะร้อยแก้ว เพื่อให้มีเนื้อหาครอบคลุมเป้าหมายที่กำหนดไว้ก่อน
๔. เรียบเรียงข้อความร้อยแก้วที่ร่างไว้ ให้เป็นข้อความที่มีสัมผัสและใช้ถ้อยคำที่มีพลังโน้มน้าวใจ โดยเขียนหลายๆ ข้อความเพื่อพิจารณาตัดข้อความที่ไมเหมาะสมออก จนเหลือข้อความที่เหมาะสมที่สุด
๕. ตรวจทาน นำคำขวัญที่ได้มาพิจารณาตรวจทานการใช้คำ ต้องมีความถูกต้องทั้งด้านความหมาย ระดับภาษาและการเขียนสะกด
คำขวัญที่ดี
คำขวัญที่ดี คือ คำขวัญที่กระทบใจผู้รับสาร ทำให้ผู้รับสารสนใจและจดจำคำขวัญได้ทันทีที่ได้ฟัง ซึ่งคำขวัญที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้
๑. เป็นถ้อยคำที่สั้น กะทัดรัด มีความหมายลึกซึ้ง โดยใช้คำตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไป แต่ไม่เกิน ๑๖ คำ แบ่งเป็นวรรคได้ตั้งแต่ ๑ – ๔ วรรค เช่น
• หนังสือคือมิตร สื่อความคิดให้ก้าวไกล
• ยาเสพติด เป็นภัยต่อชีวิต เป็นพิษต่อสังคม
• รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ
• สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม
๒. เขียนให้ตรงจุดมุ่งหมาย คือแสดงความคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเด่นชัด หรือมีใจความสำคัญเพียงประการเดียว เพื่อให้จำง่าย เช่น
• แสดงพลังประชาธิปไตย ด้วยการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
• ครูคือพลังสร้างแผ่นดิน ไทยทุกถิ่นน้อมบูชาพระคุณครู
• ยาเสพติดคือมารร้าย บ่อนทำลายสังคมไทย
๓. จัดแบ่งจังหวะคำสม่ำเสมอ เช่น
• สามัคคี มีวินัย ใฝ่คุณธรรม
• ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
• ส้มโอหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวงาม ข้าวหลามอร่อย
๔. เล่นคำทั้งด้านเสียง สัมผัสและการซ้ำคำ ช่วยให้จดจำง่าย เช่น
• เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
• สะอาดกายเจริญวัย สะอาดใจเจริญสุข
• นิยมไทย ใช้ประหยัด ใจซื่อสัตย์ ถือคุณธรรม
๕. เป็นคำตักเตือนให้ปฏิบัติในทางที่ดี เช่น
• เมืองไทยจะรุ่งเรือง พลเมืองต้องมีวินัย
• จงขยันหมั่นอ่านเขียน จงพรากเพียรเถิดพวกเรา
• เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะบากบั่นและสมานสามัคคี
การเขียนคำคม
คำคม ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ หมายถึง ถ้อยคำที่ชวนให้คิดแหลมคมและมีความจริง คำคมที่ดีต้องแสดงถึงการใช้ความคิดหรือแสดงให้เกิดความรู้สึกอย่างใด อย่างหนึ่ง อย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจลึกซึ้ง
แนวทางการเขียนคำคม
๑. เลือกใช้ถ้อยคำสัมผัสคล้องจองไพเราะสละสลวย
๒. ใช้ถ้อยคำที่มีความหมายคมคาย
๓. มุ่งให้เกิดความคิดที่ดีและชวนให้ปฏิบัติตาม
๔. มีความหมายลึกซึ้งกินใจ สะเทือนอารมณ์ความรู้สึกของผู้อ่านหรือผู้ฟัง
ประเภทของคำคม
๑. คำคมที่เป็นคำพูดธรรมดา ไม่มีสัมผัส ใช้คำง่ายๆ ไม่ต้องแปลความหมายอ่านแล้วเข้าใจได้ทันที เช่น
• จงเชื่อมั่นว่า “เรายังทำดีกว่านี้ได้อีก”
• การศึกษา คือ การตื่นขึ้นมามองเห็นตัวเอง
• เด็กเกิดมาเพื่อให้โลกงดงามเหมือนดอกไม้บานในแผ่นดิน
๒. คำคมที่มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนมากจะมี ๒ วรรค เพื่อให้จดจำได้ง่าย เช่น
• ให้เกียรติคนที่อยู่ตรงหน้า มีค่าเท่ากับให้เกียรติตนเอง
• อยู่อย่างคนธรรมดา แต่จงใช้ปัญญาอย่างนักปราชญ์
• จงเติบโตจากความผิดพลาด จงเฉลียวฉลาดจากความผิดหวัง
๓. คำคมที่แต่งด้วยคำประพันธ์ เช่น
• ใครลืมลืมใครใจรู้ ใครอยู่ใครไปใจเห็น
ใครสุขใครเศร้าเช้าเย็น ใจเป็นที่แจ้งแห่งเรา
ใครชอบใครชังช่างเถิด ใครเชิดใครชูช่างเขา
ใครเบื่อใครบ่นทนเอา ใจเราร่มเย็นเป็นพอ
• มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์
มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน
การเขียนโฆษณา
โฆษณา ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ หมายถึง การเผยแพร่หนังสือสู่สาธารณชน การป่าวร้อง การป่าวประกาศ โฆษณาเป็นการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจประเภทหนึ่ง มีลักษณะจูงใจเพื่อประโยชน์ในการขายสินค้าและบริการต่างๆ มีจุดมุ่งหมายสร้างความสนใจให้ผู้รับสารสะดุดตา สะดุดใจ และจดจำสินค้าหรือบริการที่โฆษณานั้น ผู้สร้างโฆษณาอาจใช้วิธีการต่างๆในการส่งสาร เช่น
ใช้คำคล้องจองเพื่อกระตุ้นความประทับใจ
• สุขกาย สบายใจ เมื่อใช้อพอลโล
• ประทับคุณค่า ประทับตราแสงตะวัน
ใช้การบอกตรงๆ
• พีเอ็กซ์ ดีที่สุด
ทั้งนี้ การเขียนโฆษณา เป็นการนำเสนอ เผยแพร่สินค้าหรือบริการ เป็นกิจกรรมที่มีการสื่อสารสู่มวลชน เพื่อให้มีผู้นิยม โดยมีกำไรในสินค้าเป็นเป้าหมายสำคัญ
วัตถุประสงค์ของการโฆษณาสินค้า
๑. แนะนำสินค้าใหม่ให้ผู้บริโภครู้จัก และเป็นที่ต้องการของประชาชน
๒. เชิญชวน ให้ผู้บริโภคใช้บริการกิจกรรมหรือสินค้าที่เสนอ
หลักในการเขียนโฆษณา
๑. บอกเหตุผลของการใช้สินค้าหรือบริการ
๒. บอกรายละเอียดสินค้า ในด้านคุณภาพ ราคา ความสะดวกสบาย
๓. เขียนโน้มน้าวจิตใจผู้บริโภคให้มีความต้องการใช้สินค้า และบริการ
๔. มีการจูงใจ เช่น ลดราคา มีของแถม ได้รับสิทธิพิเศษ บริการทั้งเงินสดและเงินผ่อน เป็นต้น
การใช้ภาษาเพื่อการเขียนโฆษณา
๑. ใช้สำนวนที่น่าสนใจจดจำได้ง่าย
๒. ใช้ข้อความที่กะทัดรัด สละสลวย เพื่อให้สื่อเรื่องได้ตรงตามวัตถุประสงค์และเข้าใจง่าย
๓. เขียนอักษรให้อ่านง่าย เขียนสะกดการันต์เพื่อความถูกต้อง
๔. ใช้ภาษาที่บ่อบอกให้รู้ว่าสินค้าที่นำเสนอคืออะไร ใช้ประโยชน์อะไร
๕. ไม่เขียนข้อความเกินความจริง และไม่ใส่ร้ายสินค้าชนิดอื่นๆ
แนวทางการเขียนข้อความโฆษณา
๑. ต้องเขียนให้มีความชัดเจนเข้าใจง่าย ไม่คลุมเครือ สามารถสร้างการรับรู้ได้ทันที
๒. ต้องเขียนให้มีความเหมาะสม ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้าหรือบริการ เช่น เด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน เป็นต้น
๓. ต้องเขียนให้มีความกะทัดรัดได้ใจความไม่เยิ่นเย้อ
๔. ต้องเขียนให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังบทโฆษณารู้สึกว่าผู้เขียนกำลังสื่อสารกับเขา
๕. ต้องเขียนให้ผู้อ่านเกิดความต้องการที่จะซื้อสินค้าหรือใช้บริการ
ส่วนประกอบของโฆษณา
๑. เนื้อหา เนื้อหาของโฆษณาจะนำเสนอให้เห็นความดีพิเศษของสินค้าและบริการหรือกิจกรรมที่โฆษณา เช่น
นำเสนอความดีพิเศษของสินค้า
• ยาหม่องทาดี ทั้งทาทั้งถูในตลับเดียวกัน
• ผงซักฟอกคลีน กำจัดครบเพียงแค่ป้ายครั้งเดียว
นำเสนอความดีพิเศษของการบริการ
• โอลิมปิก ทางสบายสู่ชัยชนะ
• ธนาคารไทยธำรง มั่นคงด้วยรากฐาน บริการดุจญาติมิตร
๒. รูปแบบการนำเสนอ โฆษณามีรูปแบบการนำเสนอ ดังนี้
แบบเจาะจงกลุ่ม เช่น
• บนข้อมือบุคคลชั้นนำท่านจะพบแต่โซนาร์เท่านั้น
เป็นการนำเสนอสินค้าหรือประโยชน์ของสินค้าว่ามีข้อดีอย่างไร เช่น
• ปัญหาแบบนี้จะไม่เกิด ถ้าใช้ปูนตรานกพิราบแต่แรก
ใช้ถ้อยคำที่สั้นกระชับรัดกุม เพื่อสะดวกในการจำ เช่น
• รายได้ไร้ขีดจำกัด
ใช้รูปภาพหรือภาพที่เคลื่อนไหว
๓. ภาษา โฆษณามีลักษณะการใช้ภาษาที่สำคัญ คือการสรรคำมาใช้ได้กระชับ ใช้คำน้อยกินความมาก สื่อความหมายกว้างขวางลึกซึ้ง จะใช้ทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาในการสื่อสาร ภาษาเพื่อการโฆษณามักใช้ถ้อยคำแปลกใหม่เอดึงดูดความสนใจ ใช้ภาษาที่มีสัมผัสเพื่อให้จำง่ายใช้ข้อความวลีประโยคสั้นๆ จุดมุ่งหมายเพื่อให้รับสารรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
๔. การโน้มน้าวใจ การโน้มน้าวใจในโฆษณามีหลายวิธี เช่น การอ้างอิงบุคคลที่สามารถอ้างอิงได้ทั้งบุคคลธรรมดาที่ใช้สินค้าหรือบริการ แต่ถ้าเป็นดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและรู้จักดีในสังคมจะได้รับความสนใจและความเชื่อถือเป็นพิเศษ การอ้างถึงสถาบันหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับรอง เช่น อย. (คณะกรรมการอาหารและยา) หรือเครื่องหมายรับรองของ มอก. (สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) เช่น
• โทนี่ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรายแรกของประเทศไทย
๕. ดึงดูดความสนใจ เป็นส่วนของการเขียนโฆษณาที่ทำให้ผู้พบเห็นหรือผู้รับสารเกิดความสนใจที่จะติดตามโฆษณาต่อไป เช่น
บทโฆษณาบนผงซักฟอก
ผงซักฟอก 3D คลีนแอคชั่น
บริษัท คาโอ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด ขอแนะนำนวัตกรรมใหม่ล่าสุด
ที่รวมสามพลังแห่งการซัก นั่นก็คือ “พลังขจัดคราบ” “พลังฆ่าเชื้อ” และ “พลัง
ซักผ้าขาว”ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยี ยับยั้ง การแพร่กระจายและหยุดวงจรการเติบโต
ของแบคทีเรีย อันเป็นต้นตอของกลิ่นเหงื่อหมักหมมระหว่างวัน
จากบทโฆษณา ผงซักฟอกแอทแทค ผู้เขียนบทโฆษณาใช้กลวิธีการนำเสนอเพื่อเร้าความสนใจของลูกค้า โดยการเลือกใช้ถ้อยคำเพื่อให้สะดุดหูผู้ฟังและดึงดูดให้ผู้ฟังหยุดฟังรายละเอียดของตัวสินค้า จากนั้นจึงค่อยๆ อธิบายรายละเอียดของสินค้า โดยเน้นว่าตราสินค้านี้มีความแตกต่างจากตราสินค้าอื่น คือ นวัตกรรมใหม่ รวมสามพลังแห่งการซัก นั่นก็คือ “พลังขจัดคราบ” “พลังฆ่าเชื้อ” และ “พลังซักผ้าขาว” เพื่อยับยั้ง การแพร่กระจายและหยุดวงจรการเติบโตของแบคทีเรีย
การเขียนสุนทรพจน์
สุนทรพจน์ หมายถึง คำกล่าวที่ดีงาม ไพเราะ มีแนวคิดคมคาย ลึกซึ้ง ทำให้ผู้ฟังประทับใจการเขียนสุนทรพจน์ ผู้เขียนควรเรียบเรียงถ้อยคำ เลือกใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาส และใช้สำนวนโวหารที่ไพเราะ สละสลวยและประทับใจ
แนวทางการเขียนสุนทรพจน์
การเขียนสุนทรพจน์ที่มีประสิทธิภาพและจะประสบความสำเร็จได้ควรมีการวางแผนเนื้อหา สาระ ถ้อยคำให้มีความชัดเจน เข้าใจง่าย ถูกต้องตามหลักการใช้คำ การเรียบเรียงประโยค และการใช้สำนวนโวหารตามส่วนประกอบของการเขียนสุนทรพจน์ ดังนี้
๑. คำนำ หรือการเริ่มต้นเพื่อนำเข้าสู่เนื้อเรื่องของสุนทรพจน์ เป็นส่วนที่สำคัญเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้อ่านหรือผู้ฟังว่าจะเขียนเรื่องอะไร การเขียนคำนำสำหรับสุนทรพจน์ ผู้เขียนสามารถทำได้หลายวิธี โดยเลือกให้เหมาะสมกับเนื้อหาของสุนทรพจน์ เช่น นำด้วยคำถามกระตุ้นความสนใจ นำด้วยข้อความที่ให้แง่คิด นำด้วยคำคมหรือบทร้อยกรอง โดยต้องเป็นไปอย่างแนบเนียน
๒. การดำเนินเรื่อง หรือส่วนของเนื้อเรื่องต้องเป็นไปตามลำดับเหตุการณ์ไม่วกวน เน้นจุดมุ่งหมายสำคัญของเรื่อง เป็นส่วนที่เสนอทรรศนะหรือความรู้สึกของผู้เขียนให้มีความชัดเจน ผู้เขียนควรเขียนให้มีความสัมพันธ์กัน ครบประเด็น เช่น ถ้าจะเขียนสุนทรพจน์เกี่ยวกับคุณค่าของภาษาไทย ผู้เขียนต้องตั้งจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ฟังตระหนักในคุณค่าทุกประการของภาษาไทย ดังนั้นจึงตั้งประเด็นในการเขียนเกี่ยวกับคุณค่าของภาษาไทยแล้วจึงเขียนขยายความ เช่น ภาษาไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภาษาไทยเป็นสิ่งแสดงเอกลักษณ์ของชาติ ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการสื่อสารและการเรียนรู้ศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ ภาษาไทยเป็นสิ่งเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติ นอกจากนี้ผู้เขียนควรพิถีพิถันในการเลือกใช้ถ้อยคำ ใช้ภาษาทางการ ถูกต้องตามหลักการเขียนเรียบเรียงถ้อยคำกะทัดรัด ชัดเจน สื่อสารเข้าใจง่าย ราบรื่นและสละสลวยด้วยสำนวนโวหารและลีลาการเขียน
๓. สรุป เป็นส่วนของการทบทวนและเน้นประเด็นสำคัญขอสุนทรพจน์อีกครั้งเร้าใจให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเชื่อ เกิดอารมณ์ความรู้สึกคล้อยตาม ซึ่งการสรุปควรเขียนให้สอดคล้องกับ คำนำ ประเด็นของเรื่อง ใช้ภาษาที่กระชับ สร้างความประทับใจแก่ผู้อ่าน ซึ่งการสรุปนั้นสามารถทำได้หลายวิธี เช่น สรุปด้วยคำคม สุภาษิต ร้อยกรอง หรือสรุปด้วยข้อความที่ให้แง่คิด เช่น การเขียนสุนทรพจน์เกี่ยวกับคุณค่าภาษาไทย ในส่วนสรุปควรเขียนย้ำให้ผู้ฟังตระหนักในคุณค่าของภาษาไทยและควรหวงแหนไว้เป็นมรดกของชาติต่อไป
ประเภทของสุนทรพจน์
สุนทรพจน์แบ่งได้หลายประเภทตามความมุ่งหมายที่จะนำไปใช้ ดังนี้
๑. สุนทรพจน์ที่มีเนื้อหาจรรโลงจิตใจ คือเนื้อหาของสุนทรพจน์จะมีลักษณะจรรโลงใจให้กำลังใจหรือสดุดี เช่น อวยพร อำลา ขอบคุณ
๒. สุนทรพจน์ที่มีเนื้อหากระตุ้นความรู้สึก ความคิด คือเนื้อหาสาระมีลักษณะโน้มน้าวและกระตุ้นความรู้สึกนึกคิดของผู้ฟังในด้านที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม เช่น การเมือง เศรษฐกิจและสังคม การกล่าวสุนทรพจน์แบบนี้มักกล่าในพิธีสำคัญ เช่น พิธีต้อนรับแขกเมืองคนสำคัญ พิธีเข้ารับตำแหน่งสำคัญทางการเมือง
ตัวอย่างสุนทรพจน์ที่มีเนื้อความกระตุ้นเตือนให้ผู้อ่าน ผู้ฟังเกิดจิตสำนึกที่ดี และเห็นคุณค่าของภาษาไทยโดยสุนทรพจน์ที่นำมามีการใช้ภาษาสื่อความอย่างตรงไป ตรงมา ใช้คำน้อยแต่กินความมาก ถ้อยคำที่นำมาใช้ช่วยกระตุ้นเตือนให้ผู้อ่าน ผู้ฟังเกิดจิตสำนึก และเจตคติที่ดีต่อคุณค่าของภาษาไทย ดังนี้
*****************************
ภาษาไทยจัดได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ เอกราชคู่ชาติไทยของเรา ดังเช่นบทกลอนที่กล่าวไว้ว่า
พ่อขุนรามคำแหงพ่อแห่งราษฎร์ สร้างภาษาคู่ชาติเป็นศาสตร์ศิลป์
เจ็ดร้อยกว่าปีผ่านสามแผ่นดิน ไทยไม่สิ้นภาษาพ่อสืบต่อมา
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นและทรงจารึกไว้ในหลักศิลา
จากหลักศิลาสู่แป้นพิมพ์เกิดเป็นคำศัพท์ที่เลอค่า สระ พยัญชนะ ถูกนำมาแต่งเป็นตำรา
ใช้สอนผู้คนในชาติรุ่นแล้วรุ่นเล่า การดำรงอยู่ของคนไทยขึ้นอยู่กับการใช้ภาษาไทย เพราะ
ภาษาไทยคือภาษาประจำชาติ เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวัฒนธรรมไทย นอกจากนี้ยัง
เป็นเครื่องมือที่สำคัญของสังคมและประเทศชาติในการศึกษา รวบรวม สั่งสม สร้างสรรค์
และถ่ายทอดศิลปวิทยาการทุกแขนง เรียนภาษาต่างประเทศก็ใช้ภาษาไทยในการอธิบาย
เรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ จะบวก ลบ คูณ หาร ก็ต้องอ่านภาษาไทยให้เข้าใจก่อนใช่
หรือไม่
ภาษาไทยยังเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย ทำให้สามารถ
ประกอบกิจธุระการงานและการดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข
ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความงอกงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น
หยดน้ำนมเพียงหนึ่งลูกซึ้งนัก ความอบอุ่นกรุ่นไอรักอันยิ่งใหญ่
อ้อมกอดแม่อบอุ่นกว่าสิ่งใด สองมือแม่เลี้ยงลูกให้เติบใหญ่มา
จากบทกลอนแสดงให้เห็นถึงความงอกงามของภาษาไทยอย่างแท้จริง แทนที่จะ
บรรยายความรักของแม่เป็นร้อยแก้ว แต่กลับนำมาแต่งเป็นร้อยกรองที่ไพเราะยิ่งนัก
ภาษาไทยเป็นสื่อที่แสดงถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ด้านวัฒรธรรม ประเพณี ชีวทัศน์
โลกทัศน์และสุนทรียภาพ โดยบันทึกไว้เป็นวรรณคดีและวรรณกรรม อันล้ำค่า ภาษาไทย
จึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ เพื่ออนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทย
ตลอดไป เราทุกคนควรรักษาภาษาไทยไว้ ร่วมกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง
***********************