ใบความรู้ เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ
เนื้อเรื่อง
“วันอาทิตย์ที่แสนรื่นรมย์” เป็นข้อความนำจดหมายฉบับที่ 5 ของชาลีที่เขียนถึงผมแกละ ชาลีเล่าถึงวันอาทิตย์ที่แสนสดชื่นของเขาที่คิดอยากสร้างเกมคอมพิวเตอร์ โดยนำตัวละครในวรรณคดีมาสร้างในคอมพิวเตอร์ เพราะเกมที่เห็น ๆ กันทั่วไปนั้น ตัวละครจะมีหน้าตาเป็นฝรั่งบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง แต่ถ้าหน้าตาของตัวละคนเป็นแบบไทย ๆ ไว้ผมจุก ผมแกละบ้างก็คงจะดีเหมือนกัน เพราะตัวละครในวรรณคดีแต่ละตัว เช่น ลูกน้อยหอยสังข์ สินสมุทร สุดสาคร หรือ หนุมาน ล้วนแล้วแต่มีสีสันในตัวเอง และแต่ละตัวก็เป็นนักต่อสู้ผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น ชาลีเล่าให้ผมแกละฟังว่า แรงบันดาลใจที่ทำให้เขาอยากสร้างเกมคอมพิวเตอร์ที่มีตัวละครเป็นตัวละครในวรรณคดีไทยมาจากกิจกรรม “ช่วยกันอ่าน วานมาฟัง” ของชมรมคนรักวรรณคดีนั่นเอง คือ เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา ยอดกับเกรียงไกรได้นำเสนอวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ โดยมีการติดป้ายโฆษณาไปทั่วโรงเรียน ทำให้ลานร่มไม้แน่นขนัดเหมือนเคย นับได้ว่ากิจกรรมช่วยกันอ่าน วาน(ให้)มาฟัง ครั้งนี้สมบูรณ์แบบจริง ๆ
ยอดเปิดฉากการเล่าเรื่องของเขาแบบลิเกออกแขกว่า วันนี้เขาจะพาทุกคนไปพบกับการสัประยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ การปะทะกันระหว่าง หน้าที่ ความรับผิดชอบ ความเข้าใจผิด การต่อสู้ระหว่างผู้ที่มีสายเลือดเดียวกัน นั่นก็คือเรื่องราว จากวรรณคดีไทยเรื่อง รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ แล้วเกรียงไกรก็เป็นผู้เล่าเรื่องที่จะอ่านคร่าว ๆ ว่า
รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ นี้ เริ่มจากพญายักษ์ที่ชื่อว่า ไมยราพ ไปช่วยทศกัณฐ์รบกับพระราม พระลักษณ์ พระรามรู้ล่วงหน้าว่า จะถูกจับตัวไปไว้กรุงบาดาล จึงวางทหารอารักขาไว้อย่างแน่นหนา หนุมานเนรมิตตนใหญ่เท่าเขาจักรวาลแล้วอมพลับพลำที่ประทับของพระรามไว้ในปาก แต่ไมยราพก็ใช้อุบายหลอกล่อเหล่าทหารวานรของพระรามให้เข้าใจผิด แล้วใช้ยาเป่าสะกดให้ทหารทั้งกองทัพหลับหมด จากนั้นก็อุ้มพระรามออกจากปากหนุมาน นำไปกักขังไว้ที่ดงตาลท้ายเมืองบาดาล ซึ่งต้องฝ่าด่านอันตรายต่าง ๆ จนไปพบกับมัจฉานุ ซึ่งทำหน้าที่เป็นยามรักษาด่านชั้นในสุดของเมืองบาดาล จากนั้นทั้งคู่ก็ต่อสู้กัน
ชาลีอยากให้ผมแกละมาเห็นการถ่ายทอดเรื่องราวทั้งยอดและเกรียงไกร ที่ทั้งคู่แบ่งกันรับบทบาทเป็นมัจฉานุคนหนึ่ง เป็นหนุมานคนหนึ่ง เมื่อเนื้อเรื่องเป็นบทของใคร คนนั้นก็จะเป็นคนอ่านเนื่องเรื่องเป็นกลอนบทละคร แต่ถอดคำประพันธ์เป็นร้อยแก้ว แล้วได้ความว่า
ยอด (มัจฉานุ) : ออกตรวจเวรยามชั้นในของเมืองบาดาลที่ตนรับผิดชอบอยู่ด้วยการโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำในสระบัว ครั้นเห็นลิงเผือกตัวหนึ่งอุกอาจฝ่าด่านทั้งหลายมาจนถึงด่านของตนได้ก็ชี้ หน้าด่าด้วยความโกรธ
เกรียงไกร (หนุมาน) : ครั้นเห็นลิงร้อยรูปร่างหน้าตาประหลาดโผล่ขึ้นมาจากนี้ ตัวเป็นลิง แต่หางเป็นปลา พูดจาโอหังเช่นนั้น จึงร้องตะโกนไล่ให้เจ้าลิงน้อยนั้นหลีกทางไปให้พ้น
ยอด (มัจฉานุ) : พอได้ยินหนุมานพูดเช่นนั้นก็โกรธ ตบมือร้องตะโกนว่า “ถึงตัวกูจะน้อยนิดเท่านี้ก็ไม่กลัวเอ็งหรอก” ว่าแล้วก็กระโจนเข้าสู้กับหนุมานเป็นพัลวัน จากนั้นทั้งสองก็เข้าต่อสู้ประจัญบานกันชุลมุน ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ หนุมานฉวยรวบเท้าทั้งสองของมัจฉานุได้ก็ฟาดลงกับพื้นหิน มัจฉานุก็ไม่เป็นอะไร พอลุกขึ้นได้ด้วยความโกรธก็โถมเข้าต่อสู้กับหนุมานต่ออีก
แล้วยอดก็บรรยายคั่นว่า ทั้งสองสู้รบกันไม่มีใครเป็นอะไร หนุมานนึกสงสัย ยอดจึงโยนบทไปให้เกรียงไกร อ่านต่อ ซึ่งถอดคำประพันธ์เป็นร้อยแก้วแล้วได้ความว่า
เกรียงไกร (หนุมาน) : รบไปก็สงสัยไปว่าทำไมเจ้าลิงน้อยตัวนี้ถึงฆ่าไม่ตายสักที สามารถต่อสู้กับตนได้ตั้งนาน สองนาน จึงร้องถามไปว่า “เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ชื่ออะไร ทำไมถึงมารักษาด่านชั้นในของเมืองบาดาลนี้ได้”
ยอด (มัจฉานุ) : พอได้ยินหนุมานถามถึงชื่อเสียงเรียงนาม พ่อ แม่ ก็จึงคิดว่าวานรตัวนี้มีความเก่งกล้า สามารถมาก สามารถหักด่านมาจนถึงที่นี่ได้ต้องไม่ธรรมดา รูปร่างหน้าตาก็คล้ายตน มีกุณฑลสุรกานต์เหมือนที่แม่ (นางสุพรรณมัจฉา) ได้บอกว่านั่นคือลักษณะของพ่อ ถ้าไม่ตอบไปก็จะไม่รู้เรื่อง จึงตอบไปว่า “เราชื่อมัจฉานุ เป็นลูกของนางสุพรรณมัจฉาที่ สำรอกไว้ริมน้ำ ไมยราพเจ้ากรุงบาดาลก็มาเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม แล้วให้ดูแลรักษา ด่านนี้ มีพ่อชื่อหนุมาน มีความเก่งกล้ำสามารถมาก แล้วตัวท่านละชื่ออะไร บังอาจมาถึงด่านนี้ได้ ไม่กลัวตายหรือไง”
เกรียงไกร (หนุมาน) : พอได้ยินดังนั้นก็ตบมือดีใจหัวเราะใหญ่ที่ได้มาพบลูก รีบแนะนำตนเองว่าคือหนุมานผู้ เป็นพ่อไง เป็นบุญเหลือเกินที่เทวดาพาให้พ่อกับลูกมาพบกัน จึงฆ่ากันเท่าไรก็ไม่ตาย
ยอด (มัจฉานุ) : ได้ยินเช่นนั้นก็โกรธ ชี้หน้าด่าหนุมานว่า โกหก ตนไม่เชื่อหรอกว่าเป็นพ่อ แต่ถ้ำหาวเป็นดาวเป็นเดือนและตะวันให้ได้ก่อนตนจึงจะเชื่อว่าเป็นพ่อ และเป็นทหารเอกของ พระนารายณ์จริง ๆ พอหนุมานได้ยินมัจฉานุพูดเช่นนั้นก็เหาะขึ้นไปในอากาศ แล้วก็หาวเป็น ดาว เดือน ตะวัน แล้วก็เหาะกลับลงมา มัจฉานุเห็นดังนั้นก็ยินดียิ่งนัก วิ่งเข้าไปไหว้และขอโทษที่สู้รบล่วงเกินพ่อ ขอพ่ออย่าได้ถือสำเป็นเวรเป็นกรรมแก่ตนเลย แล้วสองพ่อลูกก็กอดกันด้วยความยินดียิ่ง หนุมานก็บอกกับมัจฉานุว่า ตนอยู่นานไม่ได้ ต้องรีบไปช่วยพระราม ก่อน ขอให้มัจฉานุบอกทางไปเมืองบาดาลให้ แล้วยอดกับเกรียงไกรก็หยุดเล่า เพราะมีทีเด็ดแน่นอน
แล้วยอดก็พูดขึ้นว่า “คนหนึ่งเป็นพ่อเลี้ยง อีกคนหนึ่ง เป็นพ่อจริง ต่างก็มีพระคุณด้วยกันทั้งคู่ แล้วมัจฉานุจะช่วยใคร หรือทำอย่างไร โดยมิให้ถูกประณามว่า อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ” มีเสียงตะโกนถามว่า มัจฉานุจะเลือกเข้าข้างใคร ยอดทำตอบยียวนว่า “อยากรู้ต้องฟังต่อ” โดยถอดคำ ประพันธ์เป็นร้อยแก้วแล้วได้ความว่า
ยอด (มัจฉานุ) : พอได้ยินหนุมานถามถึงทางที่จะไปช่วยพระรามก็ให้อัดอั้นตันใจ จึงไหว้หนุมานเป็นการขอโทษ แล้วกล่าวว่า “พญาไมยราพถึงแม้จะไม่ใช่พอบังเกิดเกล้า แต่ก็มีบุญคุณเลี้ยงมาจนโต หากบอกทางไปเมืองบาดาลก็เหมือนตนอกตัญญู ดังนั้นจึงได้แต่พูดเป็นนัย ๆ ว่า“พ่อมาทางไหน ก็ไปทางนั้นแล้วกัน”
เกรียงไกร (หนุมาน) : ฟังคำมัจฉานุพูดดังนั้นก็คิดได้ด้วยความฉลาดว่า ตนลอดมาตามก้านบัว เพราะฉะนั้นก็ ต้องหักก้านบัวแล้วลอดลงไปเหมือนกัน เมื่อหนุมานมาจนถึงประตูกำแพงเมืองบาดาลก็เห็นยักษ์รักษามากมาย ครั้นจะบุ่มบ่ามเข้าไปก็ไม่รู้ว่าพระรามามอยู่ที่ไหน จึงกำบังกายแอบฟังความอยู่ใต้ต้นโศกริมสระน้ำ ขณะนั้นก็มีนางพิรากวน (พี่สาวของไมยราพ) เดินออกมา ตักน้ำไปใส่กระทะไว้ต้มลูกชายของนาง (ไวยวิก) กับพระรามตามคำสั่งของไมยราพ นางเดินร้องห่มร้องไห้รำพึงรำพัน ว่าลูกชายของนางกำลังจะถูกต้มพร้อมกับพระรามแล้ว พอหนุมานได้ยินชื่อพระราม จึงปรากฏกายให้นางพิรากวนเห็นแล้วนั่งคุยกับนาง บอกนางว่าให้พาตนเข้าไปในเมืองเพื่อช่วยพระรามที เมื่อช่วยพระรามได้แล้ว ก็จะช่วยไวยวิก ลูกชายของนาง และจะฆ่าไมยราพด้วย นางพิรากวนดีใจมาก จึงรีบบอกทางให้ และบอกว่าพระรามถูกกักขังไว้ในกรงเหล็กที่ดงตาลท้ายเมือง มียักษ์เฝ้าอยู่แน่นหนา แต่การจะพาหนุมานเข้าเมืองนั้นยากนัก เพราะต้องมีการชั่งน้ำหนัก เวลาเข้า – ออกด้วย แม้หนุมานจะเหาะเข้าไปต้องถูกจักรกรดตายแน่ หรือจะแปลงเป็นแมลงวันก็ไม่อาจรอดพ้น สายตาพวกยักษ์ไปได้ ดังนั้นขอให้หนุมานคิดดี ๆ ว่าจะทำอย่างไร
ฝ่ายหนุมานฟังนางพิรากวนชี้แจงแล้ว จึงออกอุบายแปลงกายเป็นใยบัวติดสไบนางพิรากวนเพื่อพรางตามิให้ ยักษ์ที่เฝ้าประตูรู้ และถ้าตาชั่งหัก (เพราะน้ำหนักมากกว่าตอนที่นางออกมา) ก็ให้นางพิรากวนบอกไปว่า “เพราะ ตาชั่งเก่ามาก ใช้งานมานานแล้วจึงหัก” นางพิรากวนจึงตักน้ำแล้วเดินเข้าเมืองเป็นปกติ พอขึ้นตำชั่งเพื่อชั่งน้ำหนักเข้า เมือง ตาชั่งก็หักลงจริง ๆ พอพวกยักษ์โวยวายนางก็เถียงตามที่หนุมานบอก พวกยักษ์จึงปล่อยให้นางเข้าไปโดยไม่สงสัย พอนางพิรากวนพาหนุมานเข้าเมืองไปได้แล้ว นางจึงชี้บอกทางที่กักขังพระราม และไวยวิก ส่วนไมยราพนั้น นอนหลับอยู่ในปราสาท จากนั้นหนุมานก็กำบังตนไปยังดงตาลท้ายเมือง เพื่อช่วยพระราม ครั้นเห็นทหารยักษ์เฝ้ากรง ขังอยู่มากมาย ก็ร่ายเวทสะกดจนยักษ์หลับหมด แล้วหนุมานก็เข้าไปทำลำยกรงขัง อุ้มพระรามไปฝากเหล่าเทวดาไว้ใน ถ้ำที่เขาสุรกานต์ แล้วก็ย้อนกลับมาสังหารไมยราพ ฝ่ายบรรดาเทวดาที่รักษาถ้ำที่เขาสุรกานต์ก็พร้อมใจกันดูแลอารักขา พระราม โบกปัดพัดวีอย่างดีอีกทั้งบรรเลงดนตรีขับกล่อมไพเราะจับใจอีกด้วย
ชาลีเล่าว่า พอถึงตอนนี้ ยอดกับเกรียงไกรก็หยุดอ่าน เพราะคงเหนื่อยที่ต้องดัดเสียง แถมยังต้องเต้นโขนด้วย แต่บรรดามิตรรักนักฟังก็เอาใจกันเต็มหาน้ำเย็นมาให้ดื่ม เมฆกับภาณุลงทุนซื้อไอศกรีมมาเลี้ยงเลย พอหันไปอีกทีลานร่มไม้ก็กลายเป็นลานแสดงคอนเสิร์ตไปเสียแล้ว เพราะทั้งครู และนักเรียนแทบทั้งโรงเรียน ต่างพากันมุงดูการนำเสนอของยอด และเกรียงไกร ยกเว้นครูใหญ่เท่านั้นที่ไม่อยู่ตอนบ่าย น่าเสียดาย ถ้าท่าน อยู่ชาลี คิดว่าท่านก็คงไม่พลาดที่จะมาดูเช่นกัน
พอพักดื่มน้ำหายเหนื่อยแล้ว สองสหายก็นำเสนอต่ออีกว่า “เมื่อพระรามปลอดภัยแล้วศัตรูยังอยู่ ดังนั้นหนุมานต้องไปจัดการกับศัตรู (ไมยราพ) ก่อน แล้วเกรียงไกรก็สวมบทหนุมานต่อ ส่วน ยอดสวมบทเป็นไมยราพแทน” เมื่อถอดคำประพันธ์เป็นร้อยแก้วแล้วได้ความว่า พอหนุมานเหาะมาถึงปราสาท ขณะนั้นไมยราพกำลังหลับอยู่ หนุมานถีบบานหน้าต่างเข้าไปเสียงดังสนั่น พร้อมด่าว่าที่ไมยราพไปลักตัวพระรามมา และว่าว่าตนคือหนุมานตามมาเพื่อจะฆ่าไมยราพให้ตายในวันนี้ ไมยราพผวา ตื่นขึ้นมาเห็นลิงเผือกเข้ามาถึงปราสาทก็โกรธ ฉวยได้พระขรรค์ก็ตรงเข้าสู้รบกับหนุมานเป็นพัลวัน หนุมานได้ทีแย่งพระขรรค์มาได้ก็ฟันไมยราพ พระขรรค์ก็หักเป็นสองท่อน ไมยราพก็คว้าไม้คทาวุธ (กระบอง) ขึ้นมาสู้กับหนุมานอีก พอกระบองหัก ไมยราพก็คว้าหอกขึ้นมาต่อสู้ หนุมานก็แย่งมาแล้วแทงไมยราพจนหอกหัก แล้วหนุมานก็ชักตรีเพชรอาวุธ ประจำกายออกมาไล่ฟันไมยราพจนล้มลุกคลุกคลาน
ไมยราพครั้นสิ้นอาวุธแล้วก็คิดอุบายจะลวงฆ่าหนุมานเพราะคิดว่าตัวเองถอดดวงใจได้ ไม่มีทางตายอยู่แล้ว ไมยราพจึงตะโกนบอกหนุมานว่า “เรารบกันมาก็นานแล้ว มาตั้งสัจจะ วาจากันให้ยุติธรรมดีกว่าด้วยการผลัดตีกันคงละ 3 ที ด้วยกระบองตาล (เอาต้นตาลมาฟั่นรวมกัน 3 ต้น) จะได้เป็นที่ ประจักษ์ไว้ในสามโลก” โดยไมยราพขอเป็นผู้ตีก่อน ฝ่ายหนุมานฟังคำไมยราพก็รู้ทันทีว่าต้องมีอุบายแน่ แต่ตัวเองถูก ฆ่าก็ไม่ตายเช่นกัน เพราะเป็นลูกพระพาย ถูกลมก็ฟื้นแล้ว หนุมานจึงตอบตกลง ไมยราพจึงตั้งสัจจะวาจาว่าหาก ตัวเองคิดไม่ซื้อให้พระอินทร์กับเหล่าเทวดาฆ่าตนให้ตาย หนุมานก็ตกลง ไมยราพจึงไปถอนต้นตาลมา 3 ต้น บิดฟั่น เป็นกระบองแล้วก็ให้หนุมานนอนลง หนุมานจึงร่ายเวท 7 คาบ เป่าไปทั่วตัวแล้วนอนลง ไมยราพก็ตีหนุมาน 3 ที อย่างสุดแรง ร่างกายของหนุมานก็จมหายลงไปในพื้นดิน เดี๋ยวเดียวหนุมานก็ผุดลุกขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วร้องบอกให้ ไมยราพส่งกระบองมาถึงตาตนตีบ้างแล้ว ถ้าไมยราพกลัวตายก็มากราบตีนตน ตนก็จะไว้ชีวิต ไมยราพพอเห็นหนุมาน ไม่ตายก็ชักหวาด ๆ แต่ก็หักใจ เพราะตนถอดดวงใจได้ จึงนอนลงให้หนุมานตีหนุมานก็ตีลงไปครบ3 ที เสียงดัง สะเทือนเลื่อนลั่นไม่แพ้กัน กระบองแหลก ร่างกายของไมยราพก็ขาด หนุมานจึงจับแขนขาของไมยราพฉีกออกแล้ว เขวี้ยงไปคนละทิศคนละทาง แต่แล้วชิ้นส่วนเหล่านั้นก็ลอยกับมาต่อติดเป็นร่างกายของไมยราพดังเดิม ทั้งคู่จึงสู้รบกัน ต่อเป็นพัลวัน พอดีกับเป็นจังหวะที่ไมยราพเสียทีล้มลง หนุมานจึงใช้เท้าเหยียบอกไว้แล้วร้องถามนางพิรากวนที่เดิน ผ่านมาพอดีว่า เหตุใดไมยราพจึงฆ่าเท่าใดก็ไม่ตาย นางพิรำกวนจึงบอกว่า ไมยราพถอดดวงใจเป็นแมลงภู่ (ผึ้ง) ตัว นั้น ไมยราพถึงจะตาย หนุมานจึงร่ายเวทนิมิตตัวเองสูงใหญ่เท่าพระพรหม 44 หน้า 8 มือ เท้าซ้ายเหยียบอกไมยราพ ไว้ เท้าขวาก็ก้าวไปยังเขาตรีกูฏ มือหนึ่งก็เหนี่ยวภูเขาเข้ามา อีกมือหนึ่งก็ควานหากล่องแก้วที่ใส่แมลงภู่ (ผึ้ง) จนพบ แล้วก็เอามาชูให้ไมยราพดู พร้อมกับพูดจาเยาะเย้ย ว่านี่ใช่หัวใจของไมยราพหรือไม่ ว่าแล้วก็จับขยี้จนเป็นจุณไป พร้อมตัดหัวไมยราพให้ขาดไปพร้อม ๆ กัน ไมยราพก็ตายในทันที
ชาลีบอกให้ผมแกละดูฉากสุดท้ายของยอดกับเกรียงไกรก่อนอย่ำเพิ่งขี่ม้าก้านกล้วยหนีไป พอเล่า เรื่องจบสองสหายนั่นก็ถูกรุมล้อมจนแทบมองไม่เห็นตัว เด็ก ป.1 ป.2 ก็มารุมล้อมขอลายเซ็น (ไม่รู้ขอไปทำไม) ชาลียัง เล่าอีกว่า “เขาคิดว่าเรื่อง รามเกียรติ์ ตอนศึกไมยราพ นี้เป็นเรื่องที่สนุกตื่นเต้นมาก การดำเนินเรื่องฉับไว เหตุการณ์ ในเรื่องก็เข้มข้น เร้าใจ เพราะตัวละครที่สู้กันล้วนมีฤทธิ์ทั้งนั้น ผู้แต่งยังเสนอฉากการรบที่ดุเดือดและยังแทรกแนวคิดว่า “เลือดข้นกว่าน้ำ” ไว้ในตอนที่มัจฉานุช่วยหนุมาน หรือเป็นทหารที่ดีต้องจงรักภักดีต่อผู้บังคับบัญชา มีความกล้ำหาญ สละได้แม้ชีวิตของตนเองเพื่อหน้าที่” แล้วชำลีก็เปิดเผยความฝันที่เขามีโครงการจะสร้างเกมคอมพิวเตอร์ตอนศึก ไมยราพ ให้ผมแกละได้รับรู้ เพราะมีฉากสู้รบที่ตื่นเต้นดุเดือด ต้องไม่แพ้เกมที่มาจากต่างประเทศแน่ ชาลีถามผมแกละ ว่า “ผมแกละคิดว่าฝันของเขาจะเป็นจริงได้ไหม” ในเมื่อผมแกละเองก็เคยบอกกับเขาว่า “คนเราควรมีความใฝ่ฝัน ทำให้เรามีพลังที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เป็นจริงขึ้นมาได้แล้ว ผมแกละจะขี่ม้าก้านกล้วยมาร่วมฝันกับเขาหรือเปล่า”