ใบความรู้ เรื่อง กว่าแผ่นดินจะกลบหน้า
เนื้อเรื่องย่อ
ครอบครัวของเด็กหญิงฟางมีอยู่ด้วยกัน 4 คน พ่อ แม่ ลูก ฟางมีน้องชายคนหนึ่งชื่อ เฟี้ยว ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่รักและดูแลเอาใจใส่ลูกเป็นอย่างดี พ่อของฟางเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งของจังหวัด ส่วนแม่ทำอาชีพส่วนตัว ทว่าบ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่งมีหญิงชายคู่หนึ่งเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับกระเช้าของขวัญ 1 ใบ และกระเช้าเพียงใบเดียวนี้เท่านั้นที่ทำให้ครอบครัวของฟางต้องมีความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
เรื่องมีอยู่ว่า ในบ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง พ่อ แม่ และลูก ๆ กำลังเล่นตีลูกขนไก่กันอยู่ ก็มีแขกชายหญิงคู่หนึ่งมาขอพบพ่อพร้อมด้วยกระเช้าของขวัญผูกโบว์สวยงาม ชายหญิงคู่นั้นชื่อธีระ กับวีณา พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน เมื่อพ่อพูดคุยกับแขกประมาณครึ่งชั่วโมง แขกก็ลากลับไป พ่อมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่พอแม่ถามพ่อก็บอกว่าไม่มีอะไร แล้วพ่อก็เรียกลูก ๆ มารื้อของในกระเช้า ซึ่งก็มีของกินนานาชนิดเหมือนกระเช้าทั่ว ๆ ไป เช่น น้ำผลไม้ แยม ช็อกโกแลต ขนมปังครอบ แต่ทว่ามีกล่องห่อกระดาษสีน้ำตาลซุกอยู่ข้างใต้อีกกล่องหนึ่ง ซึ่งพอแกะออกดูก็พบว่าเป็นธนบัตรใบละพันอัดแน่นอยู่ในกล่อง ฟางและเฟี้ยวไม่ได้สนใจอะไรเพราะพ่อบอกว่า “เขาคงหยิบผิดมา ต้องส่งคืน” และอีกอย่างหนึ่งพ่อกับแม่ก็สอนอยู่ตลอดเวลาว่า “อะไรที่ไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่เอาของเขา”
คืนหนึ่ง ฟางตื่นลงมากินน้ำตอนกลางดึก ก็ได้ยินพ่อกับแม่พูดคุยกันในทำนองว่าแม่ขอร้องพ่อว่าอย่าทำเลย แต่พ่อก็พูดในทำนองว่า ถ้าทำแล้วลูก ๆ จะได้เรียนสูง ๆ จนถึงไปเรียนเมืองนอกดังที่พ่อฝันไว้ แล้วพ่อกับแม่ก็ชวนกันขึ้นมานอนชั้นบน ฟางจึงย่องกลับเข้าห้อง จากวันนั้นคุณวีณาและคุณธีระก็วนเวียนมาหาพ่อที่บ้านบ่อยครั้ง แต่ฟางเห็นแววตาของแม่วิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา
จากวันนั้นก็มีข่าวฮือฮาเรื่องเกี่ยวกับการซื้อที่ดินสร้างตลาดสดแห่งใหม่ของอำเภอ ซึ่งมีเอกชนหลายรายเสนอขายที่ดินของตน แต่คณะกรรมการซึ่งมีคุณพสุ พ่อของฟางเป็นประธาน กลับพิจารณาเลือกเอาที่ดินที่อยู่นอกตัวเมือง แม้จะถูกคัดค้านจากชุมชนแต่ในที่สุดเสียงคัดค้านก็ซาไป เพราะขาดผู้นำที่เข้มแข็ง บรรยากาศภายในครอบครัวของฟางเปลี่ยนไป แม่มึนตึงกับพ่อ แต่พ่อกลับอารมณ์ดีขึ้น เมื่อคุณวีณาและคุณธีระมาหา จากนั้นข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงเริ่มทยอยเข้ามาในบ้าน แต่แม่กลับไม่ดีใจ ทั้งยังใช้เวลาอยู่ในห้องพระมากกว่าอยู่กับพ่อและลูก ๆ เสียอีก
อีกไม่กี่เดือนต่อมา ตลาดนั้นก็สร้างเสร็จแต่เงียบเหงา เพราะค่าเช่าแผงค่อนข้างสูง พ่อค้าแม่ค้ามีไม่มาก ลูกค้าก็บางตาเพราะต้องเดินทางหลายต่อ ต่อมาพื้นตลาดที่เทปูนไว้ก็ทรุดเป็นหลุมเป็นบ่ออีก พ่อค้าแม่ค้าจึงพากันเลิกขาย ในที่สุดตลาดก็กลายเป็นตลาดร้าง หนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่องการทุจริตอย่างครึกโครม พ่อกับแม่ของฟางทะเลาะกันเมื่อแม่รู้ว่าพ่ออยู่เบื้องหลังของการทุจริตครั้งนี้ แต่พ่อก็บอกว่า “พ่อทำทุกอย่างก็เพราะรัก และอยากให้ลูกเมียอยู่สุขสบาย” ฟางเริ่มลำดับเหตุการณ์ที่ตนและน้องชายได้พบเมื่อเดินผ่านตลาดมีกลุ่มคนพูดจากระทบกระเทียบ แม่เองก็ถูก ป้าสุรีย์ คนที่ทั้งเมืองให้ฉายาว่าเป็น “เจ้ากรมกระจายข่าว” พูดจากระทบกระเทียบ แดกดันเหมือนกัน แต่แม่ก็ได้แต่นิ่ง ฟางกลัวว่าสักวันความจริงอาจจะปรากฏว่าครอบครัวของเธอทุจริต
และแล้ววันที่ฟางกลัวก็มาถึง วันนั้นขณะที่แม่ ฟาง และน้องเฟี้ยวกำลังรอพ่อกลับมากินข้าวเย็น แม่ก็ได้รับโทรศัพท์แล้วรีบออกจากบ้านไป แล้วกลับมากับพ่อจนดึก พอพ่อขึ้นไปอาบน้ำ แม่ก็เรียกฟางกับเฟี้ยวมากอดแล้วบอก กับลูก ๆ ว่า “พ่อถูกจับ เพราะมีส่วนร่วมเข้าไปพัวพันในคดีทุจริตการสร้างตลาด ซึ่งมีหลักฐานแน่ชัด มีคนร่วมขบวนการกันเป็นสิบรวมทั้งคุณวีณา และคุณธีระสามีภรรยาคู่นั้นด้วย แม่ไปขอให้เพื่อนพ่อช่วยประกันให้พ่อออกมาสู้คดี”
นับจากวันนั้น ฟางรู้สึกว่าชีวิตของทุกคนในครอบครัวเหมือนตกอยู่ในหุบเหวดำมืด ตัวเธอและน้องชายไม่กล้าออกจากบ้านไปไหนนอกจากไปโรงเรียนเท่านั้น แต่ที่นั่นก็ยังไม่พ้นการถูกพูดจาเสียดสี กระทบกระเทียบ ล้อเลียน ทั้งจากเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง เงินทองที่พ่อได้มาจากการทุจริตก็หมดไปกับการสู้คดี ฟางคิดว่า นี่แหละ “เงินทองของแผ่นดิน ใครคดโกงไปก็ต้องกลับคืนสู่แผ่นดินตามเดิม” ในที่สุดพ่อก็ถูกศาลจำคุกเพียง 5 ปี แม้ หลักฐานจะมัดแน่น ประจักษ์พยานพร้อม พ่อก็รับสารภาพ ซึ่งทำให้เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และในช่วงเวลา 5 ปีนั้น หากนักโทษประพฤติดี ก็อาจได้รับอภัยโทษ หรือลดจำนวนปีที่ติดคุกตามวาระโอกาสที่สำคัญที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์และบ้านเมืองก็ได้
ณ วันนี้ แม่พาฟางและเฟี้ยวน้องชายไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่จังหวัดเล็ก ๆ ในภาคเหนือ ด้วยการขายทุกอย่างที่มี ทั้งหมดเพื่อฝังอดีต แม่พาฟางและน้องชายไปเปลี่ยนชื่อ และนามสกุลใหม่ และซื้อห้องแถว เปิดเป็นร้านขายขนมอบเล็ก ๆ อยู่กันอย่างมีความสุข เพราะไม่ต้องคอยหลบหลีกใครเนื่องจากไม่มีใครรู้จัก จากความอร่อยของขนมในร้าน ทำให้ลูกค้าพูดกันไปปากต่อปาก จนกระทั้งวันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่ครอบครัวของ ฟางอยากสาปส่งและขีดออกจากปฏิทิน คือวันที่มีลูกค้าผู้หญิงกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาในร้าน และหนึ่งในนั้นคือป้าสุรีย์ เธอหันไปซุบซิบกับเพื่อน ๆ แล้วก็ส่งเสียงทักทายแม่ของฟางว่า “คุณเดือน นั่นคุณเดือนใช่ไหม มาทำอะไรที่นี่คะ”
ใครจะเชื่อบ้างว่า แค่กระเช้าของขวัญเพียงกระเช้าเดียวจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ครอบครัว ๆ หนึ่งต้องล่มสลาย ฟางและแม่ถึงกับยืนตัวแข็งกับเสียงทักของป้าสุรีย์ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าฟางและแม่จะไม่ใช่ผู้ลงมือกระทำเอง แต่ผลพวงย่อมเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ความจริงย่อมเป็นความจริงเสมอ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ คนไทยลืมง่ายจริงหรือ ขนาดหลบมาอยู่ในที่ที่คิดว่าไม่มีใครรู้จักแล้ว ก็ยังมีคนรู้จักมาพบมาเจอจนได้ หรือ..."จนกว่าแผ่นดินจะกลบหน้า" จึงจะหลบพ้น