ใบความรู้ เรื่อง ควาย ข้าว และชาวนา
เนื้อเรื่องย่อ
บทเรียนนี้กล่าวถึงบรรยากาศวันแรกของการเปิดค่าย “ควาย ข้าว และชาวนา” ที่พี่โมกของเด็ก ๆ จัดเป็นประจำทุกปี ใช้เวลา 10 วัน ในการเข้าค่ายอบรม มีเด็กทั้งชายหญิงอายุตั้งแต่ 13 – 15 ปี เข้าอบรมเต็มจำนวนทุกครั้ง ในการเข้าค่ายเด็กทุกคนต้องช่วยเหลือตนเองได้ ใช้ชีวิตเยี่ยงชาวนา ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใด ๆ ส่วนตัวพี่โมกเองนั้นเป็นชายหนุ่มลูกหลานชาวนา พอเรียนจบปริญญาตรีทางด้านการเกษตรด้วยคะแนนสูงลิ่วก็กลับบ้านเกิดเพื่อสืบทอดอาชีพดั้งเดิมตั้งแต่รุ่นปู่จนมาถึงพ่อ ด้วยการประกาศตัวเป็นชาวนา
วันนี้เป็นวันเปิดค่ายวันแรก พี่โมกในชุดชาวนามีผ้าขาวม้าเคียนเอว กำลังขี่ควายให้วิ่งเป็นวงกลมให้เด็ก ๆ ที่มาเข้าค่ายชม พอลงจากหลังควายพี่โมกก็ชักชวนเด็ก ๆ ให้มารู้จักกับ “ลุงดำ” ซึ่งเป็นควายตัวที่พี่โมกขี่ พี่โมกให้น้อง ๆ เข้ามาจับตัว จับขา และสวัสดี “ลุงดำ” ด้วย จากนั้นก็สนทนากันเรื่องควายว่า ควายไม่ได้โง่นะ บอกให้ยิ้ม “ลุงดำ” ก็ยิ้มให้ ควายสามารถ ทำอะไร ๆ ได้หลายอย่าง แต่ต้องผ่านการฝึกมาก่อน ต้องมีการสนตะพาย (ร้อยเชือกที่จมูก) เพื่อจะได้บังคับควายในการฝึกใช้งานให้ทำตามคำสั่ง
เรื่องราวของควายหยุดชะงักลงเมื่อพี่โจ้กับพี่แสงผู้ช่วยพี่โมกเข้ามาขัดจังหวะเพื่อขออนุญาตไปช่วยลุงพูด เจ้าของนาถัดไปซ่อมควายเหล็ก (รถแทรกเตอร์) ก่อน เพราะเสียหายมาหลายวัน น้ำมันก็หมด ทำให้ไถนาไม่ได้ พี่โมกจึงอนุญาตแล้วก็บอกกับเด็ก ๆ ว่า นาของพี่โมกใช้ควายไถนาจึงไม่ต้องซ่อมควาย และควายก็กินหญ้า จึงไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน พี่โมกยังบอกกับเด็ก ๆ อีกว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส การใช้ควายไถนาทำให้ ชาวนาพึ่งตนเองได้ ไม่ต้องกู้หนี้ยืมสิน”
วันรุ่งขึ้นเป็นบทเรียนที่เด็ก ๆ ต้องดูแลควายในคอกถึง 20 ตัว ครึ่งหนึ่งเป็นควายอยู่ในระยะใช้งาน อีกครึ่งหนึ่งเป็นลูกควายและควายที่ปลดระวางแล้ว ซึ่งมี “ลุงดำ” รวมอยู่ด้วย เคยมีคนแนะนำให้พี่โมกขายควายที่ปลดระวางแล้วไปโรงฆ่าสัตว์ แต่พี่โมกไม่ขายเพราะมีความคิดว่า ลุงควายและป้าควายเหล่านี้มีบุญคุณแก่เรา ทำให้เรามีข้าวกิน มีบ้านอยู่ แม้พวกเขาจะแก่และทำงานไม่ได้ก็จะเลี้ยงดูต่อไปจนกว่าพวกเขาจะแก่ตายกันไปเอง
ควายกินหญ้าไม่เลือกชนิด กินได้ทั้งหญ้าอ่อนและหญ้าแก่ หากไม่มีหญ้าสดก็กินฟางข้าวได้ เด็ก ๆ ช่วยกันเอาหญ้าให้ควายกิน เติมน้ำใส่ราง ทำความสะอาดคอกโดยโกยมูลควายออกแล้วนำไปกองไว้ที่ลานทำปุ๋ยหมัก ซึ่ง เด็ก ๆ จะต้องลงมือทำปุ๋ยหมักเองด้วย คนที่จะเป็นชาวนาต้องรู้จักเครื่องมือทำนา เช่น คันไถ แอก คราด และวิธีการไถ ซึ่งมีทั้ง “ไถดะ” และ “ไถแปร”
“ไถดะ” คือ การไถเพื่อเปิดหน้าดินแนวตั้งทิ้งไว้ 7 – 10 วัน ส่วน “ไถแปร” คือ การไถรอบสองตามแนวขวาง แล้วปล่อยทิ้งไว้ระยะหนึ่ง เพื่อให้ดินได้รับแสงแดดเต็มที่ เพราะ จะทำให้ดินมีคุณภาพ จากนั้นก็จะใช้คราดเหล็กคราดดินให้ร่วนซุย รอน้ าเข้านาเพื่อปลูกข้าวต่อไป
เด็กบางคนเพิ่งรู้ว่าข้าวมีหลายสี ได้แก่ สีครีม สีแดง สีน้ำตาลเข้ม สีน้ำตาลเทา และสีม่วงเข้ม ซึ่งก็คือ “ข้าวกล้อง” นั่นเอง เด็กชายโด่งสงสัยว่า ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ และข้าวสารต่างกันอย่างไร พี่ ๆ จึงช่วยกันอธิบายให้น้อง ๆ ฟังว่า “ข้าวกล้อง” คือ ข้าวเปลือกที่กะเทาะเอาส่วนเปลือกที่หุ้มเมล็ดออกเท่านั้น คุณค่าทางอาหารยังอยู่ครบ “ข้าวซ้อมมือ” เป็นวิธีการสมัยโบราณที่ใช้ครกต าข้าวให้เปลือกแตก แล้วใช้กระด้งฝัดข้าวแยกเปลือกให้ปลิว ออกจากข้าว แต่ปัจจุบันมีการใช้เครื่องจักรสีข้าว พอสีข้าวให้เป็นข้าวกล้องแล้วก็เอามาขัดสีอีกครั้ง กลายเป็นข้าวซ้อมมือ สารอาหารหายไปบ้าง ข้าวกล้องที่ขัดสีหลาย ๆ ครั้งจนเป็นสีขาวใสทำให้คุณค่าทางอาหารหมดไป มีชาวนาหลายคนที่มาทำนากับพี่โมกเคยเป็นเจ้าของนามาก่อน ขายนาของตัวเองไปพอได้เงินมาก็ใช้จ่ายอย่างประมาท พอเงินหมดจึงต้องกลายมาเป็นลูกจ้างเขา และผู้ที่กว้านซื้อนาไปก็เป็นนายทุนต่างชาติที่หวังจะยึดครอง แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ของไทย พี่โมกทำนาแบบ "นาหว่าน" คือ การนำพันธุ์ข้าวเปลือกไปแช่น้ำ พอมีตุ่มงอกออกมา เรียกว่า “ข้าวงอก” จึงนำไปหว่านในนา คนหว่านจะต้องมีประสบการณ์สูง ข้าวจึงจะได้ระยะและให้ผลผลิตเต็มที่ เด็ก ๆ ชาวค่ายพี่โมกให้ทำ "นาโยน" เพราะมีระยะเวลาสั้น ๆ จะได้เห็นผลงานการปลูกข้าวได้เร็วกว่า พี่โมก จะเพาะต้นกล้าไว้ในกระบะก่อน แล้วเด็ก ๆ จึงไปเคาะกระบะแล้วรวบต้นกล้าใส่ในตะแกรงโปร่งสะพายเฉียงไหล่แล้ว เริ่มปฏิบัติการโดยต้นข้าวลงในนาที่มีน้ำครึ่งหน้าแข้ง โยนไปก็ถอยหลังไปจนต้นกล้าเต็มพื้นที่ ทุกคนทั้งสนุก และทั้งเหนื่อย มีใครคนหนึ่งพูดเปรย ๆ ออกมาว่า “แล้วต้นกล้าจะโตทันให้เขาเกี่ยวไหม” พี่ ๆ ทั้งสามไม่ตอบโต้ ได้แต่ยืนหัวเราะ นาแห่งนี้พี่โมกบอกว่า ไม่ใช่สารเคมีเด็ดขาด จะใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง คือใช้ "แมลงกำจัดแมลง" ด้วยการปลูกดอกไม้ที่มีเกสรมาก ๆ ไว้ตามคันนา เช่น ทานตะวัน เบญจมาศ เพราะเป็นแหล่งอาหารของแมลง และแมลงเหล่านี้ก็จะช่วยกำจัดเพลี้ยและหนอนกอที่มาทำลายต้นข้าว ทั้งชาวนายังมีรายได้จากการตัดดอกขายอีกด้วย
เช้าวันนี้พี่ ๆ ก็พาน้อง ๆ ไปเกี่ยวข้าวในแปลงนาที่วางแผนปลูกไว้ก่อนล่วงหน้า เด็ก ๆ พากันงง แต่ก็ดาหน้าช่วยกันเกี่ยวข้าวอย่างตั้งอกตั้งใจเหมือนกัน “การลงแขกเกี่ยวข้าว” ของชาวนาที่ผลัดกันไปช่วยเกี่ยวข้าวในนาของเพื่อนบ้านจนเสร็จเป็นราย ๆ ไป
แม้ชีวิต 10 วัน ในค่ายไม่สุขสบาย เด็ก ๆ ต้องทำงานหนัก แต่ผลที่ออกมาทำให้ใจพวกเขาเป็นสุขเหลือเกิน ประเทศไทยมีดินดีอุดมสมบูรณ์ เหมาะกับการเป็นประเทศเกษตรกรรม ควาย ข้าว และชาวนา เป็นภูมิปัญญาของไทยตั้งแต่เดิม คนรุ่นหลังควรช่วยกันดูแลและส่งเสริมให้ดำรงอยู่สืบไป