1.4 การคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking)
1.4 การคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking)
คำถาม
วันนี้ขอหนึ่งคำถาม ถามอะไรก็ได้ที่คิด วิเคราะห์แล้ว เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองหรือสังคม ลองพูดดูซิ
ณ ปัจจุบันนี้ เรามีปัญหาอะไรบ้าง
ปัญหาที่เกิดขึ้น คิดว่าปัญหาหลักจริง ๆ คืออะไร
ปัญหาที่มี เราจะปรึกษาใครบ้าง
เราจะเริ่มแก้ไขปัญหา เมื่อไหร่ อย่างไร
สาระสำคัญ
การนำข้อมูลมาใช้เพื่อสื่อสารถึงแม้จะทำให้เข้าใจปัญหาหรือสถานการณ์มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าไม่เข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้ ก็จะทำให้การนำเสนอข้อมูลผลลัพธ์ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากผู้ใช้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่นำเสนอนั้นได้ เช่น ข้อมูลที่นำเสนอมีปริมาณมากหรือละเอียดเกินความต้องการ เมื่อผู้ใช้พิจารณาข้อมูลแล้วคิดว่าไม่จำเป็นสำหรับตนเอง ข้อบกพร่องนี้อาจทำให้การพัฒนาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นไม่สามารถเข้าถึงความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างแท้จริง
จุดประสงค์
1. อธิบายกระบวนการคิดเชิงออกแบบ
2. ตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูล ประโยชน์หรือคุณค่าของข้อมูล
3. ประยุกต์การคิดเชิงออกแบบกับวิทยาการข้อมูลในการแก้ปัญหา
กระบวนการคิด "เชิงออกแบบ"
กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) คือ กระบวนการคิดเพื่อแก้ไขปัญหาหรือโจทย์ให้ถูกจุด ตลอดจนพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาหรือโจทย์ที่ตั้งไว้ เพื่อที่จะหาวิถีทางที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุด การแก้ปัญหาบนพื้นฐานกระบวนการนี้จะเน้นยึดไปที่หลักของผู้ใช้/ผู้บริโภค (User-centered) เป็นหลัก โดยมีเจตนาในการสร้างผลลัพธ์ในอนาคตที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้ตอบโจทย์ตลอดจนแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์อีกด้วย
ประเด็นสำคัญ
กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) จะทำให้เรามองเห็นวิธีการใหม่ ๆ ในการแก้ไขปัญหา สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ตลอดจนสร้างนวัตกรรมตอบโจทย์ผู้บริโภคได้
กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) จะทำให้เรารู้จักมองปัญหาตลอดจนโจทย์ของการทำงานต่าง ๆ ได้รอบทิศและรอบคอบขึ้น
กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ฝึกให้มีการคิดอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน และมีลำดับการบริหารจัดการที่ดี ไม่ว่าจะนำไปใช้กับการปฎิบัติงานอย่างไรก็ตาม
กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking)
เครื่องมือสำคัญของการสร้างความสำเร็จให้องค์กร
1. Empathize – เข้าใจปัญหา
ขั้นแรกต้องทำความเข้าใจกับปัญหาให้ถ่องแท้ในทุกมุมมองเสียก่อน ตลอดจนเข้าใจผู้ใช้ กลุ่มเป้าหมาย หรือเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการแก้ไข เพื่อหาหนทางที่เหมาะสมและดีที่สุดให้ได้ การเข้าใจปัญหาอาจเริ่มด้วย การตั้งคำถาม สร้างสมมติฐาน กระตุ้นให้เกิดการใช้ความคิดที่นำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ที่ดีได้ ตลอดจนวิเคราะห์ปัญหาให้ถ้วนถี่ เพื่อหาแนวทางที่ชัดเจนให้ได้ การเข้าใจในปัญหาอย่างลึกซึ้ง ถูกต้องนั้น จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ตรงประเด็นและได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม
2. Define – กำหนดปัญหาให้ชัดเจน
เมื่อเรารู้ถึงข้อมูลปัญหาที่ชัดเจน ตลอดจนวิเคราะห์อย่างรอบด้านแล้ว ให้นำเอาข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์เพื่อที่จะคัดกรองให้เป็นปัญหาที่แท้จริง กำหนดหรือบ่งชี้ปัญหาอย่างชัดเจน เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการปฎิบัติการต่อไป รวมถึงมีแก่นยึดในการแก้ไขปัญหาอย่างมีทิศทาง
3. Ideate – ระดมความคิด
การระดมความคิดนี้คือการนำเสนอแนวความคิด ตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหาในรูปแบบต่าง ๆ อย่างไม่มีกรอบจำกัด ควรระดมความคิดในหลากหลายมุมมอง หลากหลายวิธีการ ออกมาให้มากที่สุด เพื่อที่จะเป็นฐานข้อมูลในการที่เราจะนำไปประเมินผลเพื่อสรุปเป็นความคิดที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ไขปัญหานั้น ๆ ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเกิดจากความคิดเดียว หรือเลือกความคิดเดียว แต่เป็นการผสมผสานหลากหลายความคิดให้ออกมาเป็นแนวทางสุดท้ายที่ชัดเจนก็ได้ การระดมความคิดนี้ยังช่วยให้เรามองปัญหาได้อย่างรอบด้านและละเอียดขึ้นด้วย รวมถึงหาวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างรอบคอบได้ด้วยเช่นกัน
4. Prototype – สร้างต้นแบบที่เลือก
หากเป็นเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมขั้น Prototype นี้ก็คือการสร้างต้นแบบเพื่อทดสอบจริงก่อนที่จะนำไปผลิตจริง สำหรับในด้านอื่น ๆ ขั้นนี้ก็คือการลงมือปฎิบัติหรือทดลองทำจริงตามแนวทางที่ได้เลือกแล้ว ตลอดจนสร้างต้นแบบของปฎิบัติการที่เราต้องการจะนำไปใช้จริง
5. Test – ทดสอบ
ทดลองนำต้นแบบหรือข้อสรุปที่จะนำไปใช้จริงมาปฎิบัติก่อน เพื่อทดสอบประสิทธิภาพ ตลอดจนประเมินผล เสร็จแล้วก็นำเอาปัญหาหรือข้อดีข้อเสียที่เกิดขึ้นเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข ก่อนนำไปใช้จริงอีกครั้งนั่นเอง
ประโยชน์ของระบบการคิดเชิงออกแบบ
การคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking Process) มีประโยชน์มากมาย ทั้งต่อบุคลากรไปจนถึงองค์กรเลยทีเดียว ซึ่งประโยชน์ในด้านต่าง ๆ นั้นมีดังนี้
ฝึกกระบวนการแก้ไขปัญหา ตลอดจนหาทางออกที่เป็นลำดับขั้นตอน : ปกติเราอาจจะมีการหาทางแก้ปัญหาแบบสะเปะสะปะ ไม่มีการหาสาเหตุ หรือไม่มีการมองรอบด้าน กระบวนการนี้จะทำให้เรามองอย่างรอบคอบและละเอียดมากขึ้น ทำให้เราเข้าใจปัญหาได้อย่างถ่องแท้ และแก้ไขได้ตรงจุด
มีทางเลือกที่หลากหลาย : การคิดบนพื้นฐานข้อมูลที่มีหลากหลาย ตลอดจนพยายามคิดหาวิถีทางหรือแชร์ไอเดียที่ดีออกมาหลากหลายรูปแบบ ทำให้เรามองเห็นอะไรรอบด้าน และมีตัวเลือกที่ดีที่สุด ก่อนนำไปใช้แก้ปัญหาจริง หรือนำไปปฎิบัติจริง
มีตัวเลือกที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด : เมื่อเรามีตัวเลือกหลากหลายเราก็จะรู้จักคิดวิเคราะห์ และการคิดวิเคราะห์นี้เองจะทำให้เราสามารถเลือกทางเลือกที่ดีและเหมาะสมที่สุดได้ มีประสิทธิภาพมากกว่า
ฝึกความคิดสร้างสรรค์ : การแชร์ไอเดีย ตลอดจนระดมความคิดนั้น จะทำให้สมองเราฝึกคิดหลากหลายรูปแบบ หลากหลายวิธีการ หลากหลายมุมมอง และทำให้เรารู้จักหาวิธีแปลก ๆ ใหม่ ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการฝึกความคิดสร้างสรรค์ที่ดี ที่เป็นพื้นฐานที่ดีในการแก้ปัญหา ตลอดจนการบริหารจัดการเช่นกัน
เกิดกระบวนการใหม่ตลอดจนนวัตกรรมใหม่ : มีการคิดมากมายหลากหลายรูปแบบ ตลอดจนแชร์ไอเดียดีๆ มากมาย การที่เราได้พยายามฝึกคิดจะทำให้เรามักค้นพบวิธีใหม่ ๆ เสมอ หรือเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาได้เช่นกัน
มีแผนสำรองในการแก้ปัญหา : การคิดที่หลากหลายวิธี นอกจากจะทำให้เราสามารถวิเคราะห์เลือกวิธีที่ดีที่สุดได้แล้วนั้น ก็ยังทำให้เรามีตัวเลือกสำรองไปในตัว โดยผ่านกระบวนการลำดับความสำคัญมาเรียบร้อยแล้ว ทำให้เราสามารถเลือกใช้แก้ปัญหาได้ทันท่วงทีหากวิธีการที่เลือกไม่ประสบความสำเร็จ
องค์กรมีการทำงานอย่างเป็นระบบ : เมื่อบุคลากรถูกฝึกให้คิดอย่างเป็นระบบแบบแผนแล้วจะปลูกฝังระบบการทำงานที่ดี นั่นย่อมส่งผลให้องค์กรมีการทำงานอย่างเป็นระบบ และทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เพิ่มศักยภาพให้กับบุคลากรและองค์กรไปในตัว
กิจกรรมที่ 1.4 การคิดเชิงออกแบบ
เมื่อนักเรียนศึกษาจบเนื้อหาในหัวข้อที่ 1.4 การคิดเชิงออกแบบ แล้วให้ตอบคำถามต่อไปนี้
1. การคิดเชิงออกแบบ มีความหมายว่าอย่างไร
2. กระบวนการคิดเชิงออกแบบ สามารถแบ่งออกเป็นกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง
3. ประโยชน์ของการคิดเชิงออกแบบมีอะไรบ้าง
อ่านสถานการณ์ดังต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม ข้อ 4 - 6
"กลุ่มแม่บ้านในชุมชนแห่งหนึ่ง ต้องการหารายได้พิเศษ โดยขายไก่ย่างส้มตำ"
ให้นักเรียนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. ให้นักเรียนเป็นนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล สัมภาษณ์ผู้ซื้อ และผู้ขาย โดยใช้คำถามในบัตรคำถามที่กำหนดให้
2. ให้นักเรียนวิทยาศาสตร์ข้อมูล รวบรวมข้อมูลที่ได้จากผู้ซื้อและผู้ขาย
3. ให้นักเรียนตอบคำถามตามข้อ 4 - 6
บัตรคำถาม สำหรับนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล ในการสัมภาษณ์ผู้ซื้อ
Tasks : ไก่ย่างส้มตำแบบไหน รสชาติใด ที่คุณรับประทานและมีปริมาณมากน้อยเพียงใด
Feelings : ไก่ย่างส้มตำที่เคยรับประทานแล้วชอบเป็นอย่างไร
Influences : คุณกินไก่ย่างส้มตำบ่อยหรือไม่ เพราะเหตุใด
Pain Points : ไก่ย่างส้มตำแบบใด ที่คุณพบแล้วจะซื้อแน่นอน และไม่ว่าแพงแค่ไหนก็ยินดีจ่าย
Overall Goal : สุดท้ายแล้วถ้าให้ตัดสินใจเลือก จะกินไก่ย่างส้มตำแบบไหน ร้านไหน เพราะเหตุใด
บัตรคำถาม สำหรับนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล ในการสัมภาษณ์ผู้ขาย
Tasks : ที่ร้านคุณขายไก่ย่างส้มตำแบบไหน เน้นขายให้กับใคร
Feelings : จากประสบการณ์ที่มี คุณคิดว่าลูกค้าส่วนใหญ่ชอบกินไก่ย่างส้มตำแบบไหน
Influences: ลูกค้าที่เข้ามาร้านคุณ คิดว่ามาเพราะอะไร
Pain Points : สินค้าไหนที่ขายได้มากเป็นพิเศษ หรือลูกค้าทุกคนเข้ามาต้องสั่ง
Overall Goal: คุณคิดว่าจะใช้กลยุทธ์แบบไหนที่จะทำให้ไก่ย่างส้มตำของร้านคุณขายได้ดีขึ้น
4. ใคร คือกลุ่มเป้าหมาย
5. จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ ที่นักเรียนคิดว่าเป็นที่ถูกใจของผู้ซื้อ เพราะอะไร
6. แนวทางการทำให้ผลิตภัณฑ์นี้ขายดีขึ้นได้อย่างไร