ความหมาย วิปัสสนากรรมฐาน คือการเอาฐานที่ตั้งของจิตเพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อรอบรู้ในกองสังขารทั้งปวงเพื่อให้จิตนั้นรู้แจ้งไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหา ต่างๆ
ประเภทของวิปัสสนา วิปัสสนาคือการอบรมปัญญา ในคัมภีร์พระวิสุทธิมรรค จึงได้จำแนกออกได้เป็นโดย ทุกกะ 5 ติกกะ 4 จตุกกะ 2
ทุกกะ 5 นั้น ในปฐมทุกกะ จำแนกออกเป็นปัญญา 2 ประการ คือ โลกิยปัญญา 1 โลกุตตระปัญญา 1
โลกิยปัญญา คือเอาปัญญาที่ประกอบในวิสุทธิ 4 ประการ มีทิฏฐิวิสุทธิ จนถึง ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ เป็นที่สุด เป็นปัญญาอันสัมปยุตด้วยโลกิยมรรค
โลกุตตระปัญญา คือปัญญาที่สัมปยุตด้วยโลกุตรมรรค ทั้ง 4 ประการ มี โสดาปัตติมรรค จนถึง อรหันตตมรรค เป็นที่สุด
ทุติยทุกกะ แบ่งปัญญาออกเป็น 2 ประการคือ อาสวปัญญา(ปัญญาอันบังเกิดเป็นอารมณ์อาสวะ) 1 อนาสวปัญญา 1 (ปัญญาอันมิได้บังเกิดเป็นอารมณ์แห่งอาสวะ)
ตติยทุกกะ จำแนกปัญญา 2 ประการ คือ นามววัตถาปนปัญญา 1 (ปัญญาอันปรารถกำหนดนามขันธ์ 4 กอง คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์) รูปววัตถาปนปัญญา 1 (ปัญญากำหนดหมาย รูปขันธ์)
จตุตถทุกกะ จำแนกปัญญาออกเป็น 2 ประการ โสมนัสปัญญา(ปัญญาอันสัมปยุตเกิดดับพร้อมด้วยโสมนัส 1 อุเบกขาปัญญา (ปัญญาอันสัมปยุตเกิดกับดับพร้อมด้วยอุเบกขา 1
ปัญจมทุกกะ ได้จำแนกปัญญา 2 ประการ คือปัญญาประกอบในทัสสนภูมิ 1 (ปัญญาที่บังเกิดพร้อมด้วยโสดาปัตติมัคคจิต) ปัญญาประกอบในภาวนาภูมิ 1 (ปัญญาที่บังเกิดพร้อมด้วยสกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค)
(**ขออภัย--อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล***)
มหาสติปัฏฐาน 4
มหาสติปัฏฐาน 4 เป็นหลักธรรมสำหรับการพิจารณาให้เกิดปัญญา หรือที่เราเรียกกันว่า วิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเป็นหนทางใ่ห้ลัดตัดตรงส่งพระนิพพานอันเป็นบรมธรรมอันสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านส่งเสริมให้ประพฤติปฏิบัติกัน ซึ่งมี อยู่ 4 ข้อหลัก คือ การพิจารณากาย เวทนา จิต และธรรม
1. กายานุสสติปัฏฐาน คืิอ การระลึกถึงกายเพื่อเป็นที่ตั้งหรือฐาน เพื่อพิจารณาให้เกิดปัญญา โดยการพิจารณานั้นถ้าจิตไม่ตั้งไว้ที่จตุตถฌานแล้ว ก็ต้องพิจารณากายจนจิตถึงจตุตถฌาน(ฌานที่ 4 )แน่วแน่ จนแจ้งแก่ใจ ให้เสมอเหมือนกันทั้งอนุโลม ปฏิโลม คือทั้งสังขารภายนอกและสังขารภายใน ซึ่งสามารถจำแนกออกได้ตามลักษณะการพิจารณาได้เป็น
2. เวทนานุสสติปัฏฐาน คือ การพิจารณาเวทนา เป็นไปเพื่อปล่อยละวางเวทนาตน ซึ่งเป็นเหตุให้ยึดมั่นถือทั่นในความรู้สึกสุข ทุกข์ และความไม่สุขไม่ทุกข์นั้น อันเป็นต้นตอของ กามราคะ และปฏิฆะ อันเป็นสังโยชน์เบื้องต่ำ ข้อ 4- 5 เมื่อเราพิจารณาแล้วเห็นตามความเป็นจริงคือชัดแจ้งอย่างเข้าใจโดยแท้จนจิตเขาซึมซับสภาวะธรรมอย่างเป็นจริงโดยตัวมันเองตามธรรมชาติว่าไม่ใช่ตัวตนของเราแล้ว เราก็วางเฉยในอารมณ์สุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว เราก็ถือได้ว่าเดินตามพระอริยะ ตามทางพระพุทธเจ้า
3. จิตตานุสสติปะัฎฐาน คือ การพิจารณาถึงจิตอันเป็นที่ตั้งของการพิจารณษทางปัญญาที่ทำให้ให้รู้แจ้งได้ทางจิต การพิจารณาจิตนั้นให้รู้ว่าจิตขณะนั้นเป็นจิตแบบไหน จิตประกอบด้วยโลภก็รู้ จิตโกรธก็รู้ จิตหลงติดก็รู้ การพิจารณาจิตนั้นเป็นการพิจารณาที่อยู่ในชั้นของจิตตวิสุทธิ และการพิจารณาให้จิตได้ปล่อยวางในอารมณ์ที่มากระทบทางทวารทั้ง 6 แล้วเกิดอารมณ์ในกระแสธรรมะใดก็ตามจะเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากฤตธรรมก็ให้รู้
4. ธรรมานุสสติปัฏฐาน คึือการพิจารณาธรรมะเป็นอารมณ์ ธรรมะในความเป็นจริงตามสภาพธรรมชาติคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ เห็นความเปลี่ยนแปลงในกายในจิตตน เห็นทุกข์ที่เกิดขึ้น เห็นความไม่ใช่แก่นสารสาระที่เกิดขึ้นในทุกขณะ เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วก็จะเข้าใจได้อย่างสุดซึ้งจนกระทั่งปล่อยวางออกได้จากใจ โดยใจของผู้นั้นเองจะเป็นผู้ปล่อยวางไม่กำหนัดติดย้อมในอารมณ์ที่มากระทบ