ความหมาย มโนมยิทธิ มาจากคำสองคำ คือ มโน (ใจ) และ อิทธิ(สำเร็จ) เมื่อรวมกันมีความหมายว่า = ทำให้สำเร็จได้ด้วยใจอันเป็นอิทธิฤทธิ์ หรือ อิทธิฤทธิ์ทางใจ ในส่วนใหญ่ที่เคยมีการฝึกลักษณะนี้ในแวดวงนักปฏิบัติจะหมายเอาถึง การเนรมิตกายขึ้นอีกกายหนึ่ง หรือ การถอดจิต(อาทิสสมานกาย-กายทิพย์) ออกกจากกายเนื้อ ไปในโลกทิพย์(โลกวิญญาณ) ไม่ว่าจะท่องไปในโลกมนุษย์ก็ตาม อาจไปสวรรค์ พรหมโลก นรกภูมิ ภูมิอสูรกาย หรือแม้กระทั่ง พระนิพพาน(ซึ่งต้องมาทำความเข้าใจว่าผู้จะเข้าลักษณะแดนนิพพานนั้นได้ต้องเป็นผู้ถึงกระแสพระนิพพานหรือทำจิตให้ปล่อยว่างจนเข้าสู่ศูนย์ได้) ซึ่งการไปนั้นอาจไปในแบบเดิน(ในโลกมนุษย์-วิญญาณ) หรือเหาะไปสำหรับผู้ได้ฤทธิ์มีส่วนของอภิญญาหรือได้กำลังพลังจากผู้ทรงฤทธิ์ต่างๆมีครูบาอาจารย์เป็นต้น
ในแบบวัดจันดาทอน โดย ฤาษีลิงเขียว ภาค 2 (Phayamujjalintanakrach)
การฝึกฝน เริ่มตั้งแต่ ให้ศึกษารายละเอียดอย่างถี่ถ้วนและทำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อน
การสมาทานพระกรรมฐาน (คลิกที่นี้ ) เพื่อการเรียนรู้อย่างมีครู มีอาจารย์ และคุ้มครองรักษาประคองจิตของเรา เมื่อเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณซึ่งในสถานที่นั้นมีความไม่ปลอดภัยอยู่ด้วย
ฝึกสมาธิ ขั้นกลาง ขั้นสูง โดยใช้คำบริกรรมภาวนา(ท่องไว้ในใจ) นะมะพะทะ แต่เราอาจใช้คำิื่นก่อนก็ได้ ถ้าถนัดในคำบริกรรมใดมาก่อนก็ใช้คำนั้นเป็นเบื้องต้นก็ได้ แต่ที่ใช้คำบริกรรม นะมะพะทะ นั้นเพื่อว่าในใจเราจะมี ธาตุ ทั้ง 6 อยู่ แต่อยู่เพียง รูปหยาบ ถ้าเราบริกรรมท่องก็จะเป็นการเรียกรูปละเอียดของ ดิน น้ำ ไฟ ลม ( นะมะพะทะ) มารวมกันกับ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ ที่มีอยู่ในใจเราแล้ว เมื่อรวมทั้ง 6 ธาตุ ก็มีพละ มีกำลัง พลัง ขึ้นเป็นไปตามธรรมชาติที่ว่า สามัคคีคือพลัง สมดั่งพระพุทธพจน์ที่ว่า สอนไว้ เมื่อจับเอาอารมณ์บริกรรมจนใจติดท่องได้เองโดยอัตโนมัติแล้ว จะเกิดอาการปิติ ขนพองสยองกล้า เบากายเบาใจ ซึ่งเป็นอาการแสดงให้เราเห็นว่าสมาธิเราถึงขั้นฌานสมาบัติแล้ว ให้สังเกตุลักษณะอารมณ์ความรู้สึกที่ใจเราว่าเป็นอย่าไร เพื่อการง่ายต่อการเข้าถึงอารมณ์นั้นในภายหลัง(นั้นก็คือการเข้าฌานได้อย่างรวดเร็วเป็น วสี ) เมื่อฝึกการเข้าฌานได้อย่างรวดเร็วแล้ว ขั้นต้่อไปให้ฝึกการเข้าฌานเป็นระยะเวลานาน โดยกำหนดเวลาโดยการอธิษฐานว่าจะออกเวลาใด โดยให้ฝึกตั้งแต่ 5 นาทีก่อน 10 นาที 15 นาที ไล่ไปจนถึง 1.30 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการฝึุกกำลังทางจิตด้วย
ฝึกการปล่อยวาง (วิปัสสนา) โดยเริ่มตั้งแต่ อนิจจัง(ความไม่เที่ยวแท้ของสังขารทั้งปวง) ทุกขัง(ความเป็นทุกข์ในสังขารร่างกาย) อนัตตา(ความไม่ใช่ตัวตนของเรา)
คำอธิษฐาน " ขอพลังแห่งพระพุทธานุภาพ ขอพลังแห่งพระธรรมมานุภาพ ขอพลังแห่งพระสังฆานุภาพ ขอพลังแห่งบุญคุณบิดามารดาทุกภพทุกชาติ ขอพลังแห่งบุญคุณครูบาอาจารย์ทุกภพทุกชาติ ขอพลังแห่งบุญคุณพระอาจารย์ฤาษีลิงเขียว ภาค 2 สมเด็จพระบรมมหาจักรพรรดิ์ บูรพาจารย์ทุกรูปทุกองค์ทุกนามมีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่ออุปคุต หลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงปู่คำคะนิง หลวงปู่แพวัดพิกุลทอง หลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน หลวงปู่ศุขวัดมะขามเฒ่า ปู่ชีวิกโกมารภัทร์ ปู่ฤาษีตาไฟ ปู่ฤาษีนาคราช ปูฤาษีภุชงค์ ปู่ฤาษี 108 และบูรพาจารย์ทุกรูปทุกองค์ทุกนามแม้มิได้เอ่ยนามมา ณ ที่นี้ ตลอดจนถึง พรหมเทวะรักษาทั้งหลายทั้งปวง พร้อมด้วยบารมีของข้าพเจ้าทุกภพทุกชาติ จงมารวมเป็นภาวะปัจจัยให้ข้าพเจ้าถึงซึ่ง มโยมยิทธิ ถอดจิต ถอดกายจิต ให้พยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ ให้รู้ ให้เห็น ให้ได้ยิน ตามความเป็นจริง ข้าพเจ้าขอถอดกายทิพย์ไปที่ ............................ ขอให้สำเร็จ ขอให่สำเร็จ ขอให้สำเร็จ
จากนั้นนั้งบริกรรมคำภาวนา นะมะพะทะ จนติดคำบริกรรมแล้วปล่อยคำบริกรรมนั้นๆ ให้จิตปล่อยวาง ว่าง เพียงแต่ประคองสติไว้ จากนั้นเมื่อกำลังสมาธิเข้าถึงจุด วิชชา 8 หรือ อภิญญา ก็จะให้จิตนั้นรวมลงอย่างรวดเร็ว ให้ไปปรากฏในสถานที่หนึ่ง ที่เราอธิษฐานไว้ตั้งแต่ ข้อ 4 (สำหรับผู้ทรงกำลังอภิญญาจะหายตัวไปปรากฏที่นั้นเลย คือใช้กำลังหายไปในใจ ,ส่วนผู้ทรงวิชชา จะรวมจิตไว้ที่กึ่งกลางหน้าผาก จะปรากฏแสงสว่างเป็นจุด เกิดอาการหน่วงแน่นที่กลางหน้าผากซึ่งแสดงถึงพลังจิตจะมารวมกันที่กึ่งกลางจุดที่จะออกไปสู่ประตูสวรรค์ประตูโลกทิพย์โลกวิญญาณแล้ว)
การเตรียมการสำหรับเครื่องบูชา ใช้กระทงสามเหลี่ยม มีเครื่องดังนี้ ***(ในกรณีที่ฝึกหลายคนเป็นจำนวนมาก) ***
กระทงกาบกล้วยเย็บเป็นสามเหลี่ยม มีช่องด้านใน 5 ช่อง
ข้าวดำข้าวแดง (ข้าวดำใช้ถ่ายกะลามะพร้าวเผาไฟให้ไหม้ขูดเอามาผสมกับข้าวสุก,ส่วนข้าวแดงให้ใช้ขมิ้นผสมปูนเคี้ยวหมากสีขาว นำมาผสมกับข้าวสุก ก็จะกลายเป็นข้าวแดง) ใส่ลงไปในกระทง
หมากพลูสำหรับเคี้ยว ให้ใส่ลงไปช่องละ 2 คำ
บุหรี่ใบตอง(หรือใบจาก) ใส่ลงไปช่องละ 2 มวน
ธงกระดาษสามเหลี่ยม(เหลี่ยมเฉียงลง)ติดไม้ไผ่ ปักลงที่มุม 3 มุม
เงินบูชาครู 1 บาท
ขัน 5 ขัน 8 (เทียน 13 คู่ ดอกไม้ 13 คู่)***ห้ามใช้ดอกไม้สีแดง ให้ใช้ดอกไม้สีขาวดอกพุทธ หรือ ดอกต้นจอมปลวก)
การปฏิบัติ เมื่อเรียนรู้ในทางทฤษฎีอย่างเข้าใจแล้ว โดยปกติแล้วจะไม่ส่งเสริมให้ไปฝึกเองตามลำพังในตอนต้น จำเป็นต้องมาฝึกปฏิบัติก่อนในพิธีไหว้ครู/เวลาที่สามารถมาขึ้นกรรมฐานได้ (โดยปกติแล้วจำเป็นต้องฝึกฝนกับครูอาจารย์จนพอได้ผลเป็นที่แน่ใจว่าช่วยเหลือตัวเองได้แ้ล้ว
ตั้งเครื่องบูชา พร้อมกับ ขัน 5 (เทียน 5 คู่ ดอกไม้ 5 คู่)
จุดธูปเทียน บูชาพระรัตนตรัยตามปกติ (เทียนเหลืองหนักบาทเต็ม( เบอร์ 21) 1 คู่ ธูปหอมสีขาว 3 ดอก) ดอกไม้ใส่แจกัน วาง 2 ข้างพระพุทธรูป 2 ข้าง
จุดเทียนขาวหนักบาทเต็ม 1 เล่ม ( เบอร์ 21) ตั้งไว้ที่ถาดไว้เครื่องบูชา จุดธูปหอมสีขาว 9 ดอก
กล่าวเปล่งวาจาบูชาพระรัตนตรัย "อะระหังสัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ ฯ --> สุปฏิปันโนฯ
ยกเครื่องบูชาเพื่อบูชาครูและขออนุญาติทำมโนมยิทธิผ่านไปในโลกวิญญาณต่อ ตายาย ผู้คุมปากทางเข้าโดยกล่าวดังนี้ " ข้าพเจ้าขออนุญาติผ่านไปโลกวิญญาณเพื่อเรียนรู้ขอให้คุณตาคุณยายผู้คุมทางโปรดอนุญาติด้วยเทอด พร้อมนี้ข้าพเจ้าได้นำเครื่องบูชาอันเป็นสัญลักษณ์แห่งสัญญามาด้วยกันนี้แล้ว"
จากนั้นอธิษฐาน(ตามหัวข้อ การฝึกฝน ข้อ 4 )เดินกรรมฐาน ท่องบริกรรมภาวนา นะมะพะทะ จนเริ่มจิตสงบเป็นสมาธิกับคำบริกรรมจนปล่อยเองใจท่องได้อย่างอัตโนมัติ แล้วให้ ปล่อยวางจิตไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ประคองแต่สติกำกับไว้ให้เพียงรู้เท่านั้น
เมื่อจิตเข้าสู้่ระดับแล้ว จะเห็นเป็นแสงสว่างเป็นจุดที่กึ่งกลางหน้าผาก ให้น้อมจิตไปที่แสงสว่างนั้น ส่วนในการบริกรรมให้ปล่อยวางแต่จะสังเกตได้ว่าใจยังท่อง นะมะพะทะ เอง หูอาจได้ยินบ้าง แต่เิริ่มจะอ่อนจนดับลง (ฌานสมาธิเริ่มเข้าสู่ศูนย์หรือ ฌานที่ 4 เป็นเอกัคตารมณ์) การน้อมจิตไปจะทำให้จิตจับภาพแสงสว่าางจนขนาดเริ่มชัดเริ่มเป้นช่องให้น้อมจิตตามไปนั้น จะเหมือนการลอดสุ่อุโทมงค์ เหมือนหญ้าถอดปล้อง เหมือนดั่งในพระบาลีกล่าวไว้
ภาพแสดงเครื่องบูชา และภาพผู้กำลังฝึกฝน (---ผู้สนใจติดต่อเข้าเรียนได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ)