มหาสติปัฏฐาน 4 ความหมาย คือ หลักธรรมที่หมายถึงการกำหนดสติ(ความระลึกได้) ในฐานที่ตั้ง ทั้ง 4 ประการ อันเป็นไปเพื่อการเจริญทางปัญญาญาณเพื่อก้าวสู่ความหลุดพ้นหรือวิมุตติ
ประกอบด้วย 4 ประการดังนี้คือ
กายานุสสติปัฏฐาน คือ การตั้งสติพิจารณากาย
เวทนานุสสติปัฏฐาน คือ การตั้งสติพิจารณาเวทนา
จิตตานุสสตืปัฏฐาน คือ การตั้งสติพิจารณาจิต
ธรรมมานุสสติปัฏฐาน คือ การตั้งสติพิจารณาธรรม
ประโยชน์ ในส่วนของการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงมรรคแลผล ท่านได้กล่าวว่าไว้ในคัมภีร์พระไตรปิฎกว่า ถ้าได้ปฏิบัติตามมหาสติปัฏฐาน 4 อย่างเคร่งครัดอุกกฤษณ์แล้วจะสามารถส่งผลให้ถึงพระนิพพานภายใน 7 วัน หรือ 7 สัปดาห์ หรือ 7 เดือน หรือ 7 ปี หากไม่ถึงอรหันตผล ก็จะได้ผลเป็นอนาคามิผล สกทาคามิผล โสดาปัตติผล ลงมาตามส่วน ซึ่งอานิสงค์นั้นสูงยิ่งนัก
ภาคปฏิบัติ นั้นให้ตั้งสติกำหนดพิจารณาให้เห็นเป็นสิ่งปฏิกูล ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น การพิจารณานั้นเป็นไปเพื่อถอดถอนอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) ออกจากจิตใจ
ตั้งสติกำหนดที่กายนั้นเป็นไปเพื่ออรหันตมรรคแลอรหันตผล เพราะเรายึดมั่นถือมั่นในสังขารธรรมคือ รูป และนาม เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดอวิชชา และอันเป็นปราการด่านสำคัญและมานะ อันอยู่ในสังโยชน์ เบื้องปลาย เช่น
ตั้งสติกำหนดพิจารณาที่เวทนา เป็นไปเพื่ออนาคามิมรรคแลอนาคามิผล เนื่องด้วย พระอนาคามี นั้นละสังโยชน์เบื้องต้น มีข้อ กามราคะ ปฏิฆะ ซึ่งก็คือความรู้สึกอันเป็นส่วนของเวทนา เช่น เมื่อรู้สึกสุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้ ถ้าอย่างละเอียดก็รู้จักในความรู้สุกทุกอย่างที่มากระทบทางอายตนะทั้ง 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
ตั้งสติกำหนดพิจารณาที่จิต ซึ่งจิตก็คือสภาพความรู้คิดได้ ซึ่งจิตนั้นสัมปยุตกับธรรมส่วนไหนก็เป็นสภาพจิตในสัมปยุตนั้น เช่น เมื่อผสมกับศรัทธา ก็เป็นจิตฝ่ายกุศลธรรม ถ้า ผสมกับสภาพโทสะ ก็เป็นจิตฝ่ายอกุศลธรรม เมื่อเรามากำหนด จิตตานุสติปัฏฐาน ก็ระลึกถึงจิตที่ตกอยู่ในสาภวะไหน เช่น วันนี้เวลานี้ จิตมีความโกรธ ก็รู้ มีความโลภก็รู้
ตั้งสติกำหนดพิจารณาที่ธรรม ซึ่งธรรมอันนี้หมายถึง กฏพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ความไม่เที่ยงแท้ ความทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน)
เมื่อเราพิจารณาแล้ว มองกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม หรือ มองเวทนา เห็นกาย เห็นจิต เห็นธรรม หรือมองจิต เห็นเวทนา เห็นกาย เห็นธรรม หรือ มองธรรม เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นกาย
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
การพิจารณากายนั้น เป็นการพิจารณากายในกาย คือกายส่วนย่อยๆลงไปให้เห็นเป็นสิ่งปฏิกูล เพื่อที่เราจะได้ไม่หลงไม่ยึดติด(อุปาทาน) เพื่อเราจะได้ละความเป็นตัวตนของเราออก มีรายละเอียดดังนี้
พิจารณาอาการ 32 มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็นทั้งหลาย กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังพืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ สายรัดไส้ อาหารใหม่ อาหารเก่า น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือ น้ำเลือด น้ำเหงื่อ น้ำมันข้น น้ำตา น้ำมันเหลว น้ำลาย น้ำมูก น้ำมันไขข้อ น้ำมูตร เยื่อในสมอง ให้เห็นเป็นเพียงสิ่งปฏิกูลเน่าเสีย ไม่น่ารักน่าชัง ซึ่งจะทำให้ใจเราวางคลายออกจากสิ่งที่เราคิดนึกรู้ว่าเป็นของสวยของงาม ทำให้ไม่หลงในรูปกายภายนอกนั้นๆ เมื่อมองเห็นตัวเราเป็นเช่นสิ่งปฏิกูล ก็มองกายภายนอกคือคนอื่นๆ ด้วยว่า ก็เป็นเช่นเดียวกับเรา
พิจารณาลมหายใจเข้า ออก ลมที่ผยุงกายของเราให้ทรงอยู่ ลมเบื้องล่าง ลมเบื้องบน ให้เห็นเป็นสักแต่ว่ารู้ ว่าเห็น ไม่ยึดมั่นถือมั่น
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
การพิจารณาเวทนาในเวทนา คือ เวทนาส่วนย่อยในส่วนใหญ่ โดยกำหนดรู้ในความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือ เฉยๆที่ปรากฏขึ้นในตัวเองก่อน เพื่อรับรู้และจะได้รู้ในหนทางถอดถอนมานะตนออก
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
การพิจารณาจิตในจิต คือ ส่วนย่อยของจิตใหญ่ คือสภาวะของจิตที่ไปเสวยอารมณ์ต่างๆเช่น จิตนี้เศร้าหมอง จิตนี้ผ่องใส จิตมีโลภ จิตมีโกรธ หลง หรือ สภาวะไหน ก็ตามรู้ในสภาวะนั้นๆ
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
การพิจารณาธรรมย่อยในธรรมใหญ่ คือ การพิจารณาธรรมที่เกิดขึ้นกับกายจิตของเราในสภาวะธรรมนั้นๆ เช่นเห็นในอนิจจัง ความไม่เที่ยงในสังขาร ความทุกข์ที่ยังคงอยู่ เห็นอนัตตา ที่ไม่ใช่ตัวตนเป็นสภาวะที่ไม่ใช่แก่นสารสาระ