พัฒนาการด้านสังคม ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
พัฒนาการด้านสังคม ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังมีศักดินาอยู่ในสังคมไทย คำว่า "ศักดินา" หมายถึงอำนาจหรือสิทธิที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินตามศักดิ์ของแต่ละคน เดิมเป็นการถือครองที่ดินเป็นจำนวนไร่ ต่อมาเป็นการกำหนดสถานะ สิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบของคนในสังคม สำหรับโครงสร้างสังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นประกอบด้วยบุคคลหลายชนชั้นด้วยกัน ดังนี้
พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขสูงสุดของราชอาณาจักร พระองค์ทรงได้รับยกย่องจากพสกนิกรของพระองค์ว่า พระองค์ทรงมีลักษณะเป็น “สมมติเทพ”ตามลัทธิความเชื่อในศาสนา พราหมณ์-ฮินดู
เป็น “ธรรมราชา” ตามลัทธิความเชื่อในพระพุทธศาสนา
พระราชวงศ์ หมายถึง เจ้านาย ซึ่งมีลักษณะเป็นเครือญาติของพระมหากษัตริย์บางทีเรียกว่า
“พระบรมวงศานุวงศ์” ตำแหน่งของพระบรมวงศานุวงศ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ สกุลยศ กับ อิสริยยศ
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สกุลยศมีอยู่ 3 ตำแหน่ง คือ เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า และหม่อมเจ้า
ส่วนอิสริยยศ คือ พระยศเจ้า ที่พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯให้เลื่อนขึ้น
อิสริยยศที่สำคัญที่สุด ได้แก่ มหาอุปราช นอกจากนี้การได้รับตำแหน่งทรงกรมก็ถือเป็นอิสรยยศด้วยเหมือนกัน ได้แก่ กรมหมื่น กรมขุน กรมหลวง และกรมสมเด็จพระ
ขุนนาง คือบุคคลที่รับราชการแผ่นดิน มีศักดินา ยศ ราชทินนาม และตำแหน่งเป็นเคื่องชี้บอกถึงอำนาจและเกียรติยศ ถ้าจะกล่าวอีกันยหนึ่งขุนนางก้คือ บรรดาข้าราชการของแผ่นดิน ขุนนางที่มีศักดินา ๔00 ไร่ ขึ้นไปจะได้รับโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ แต่ถ้าศักดินาต่ำกว่า ๔00 ไร่ ลงมา จะได้รับแต่งตั้งจากเสนาบดี ยศของขุนนางมี ๘ ลำดับ จากสูงสุดลงมาจนถึงต่ำสุด คือ สมเด็จเจ้าพระยา เจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน หมื่น และพัน
ไพร่ คือ ราษฎรที่เป็นชายฉกรรจ์ที่มีความสูงเสมอไหล่ ๒ ศอกครึ่ง จะ๔กมูลนายเอาชื่อเข้าบัญชีไว้เพื่อเกณฑ์แรงงานไปใช่ในราชการต่างๆ
ไพร่แบ่งเป็นประเภทตามสังกัดได้เป็น ๒ ประเภท
๔.๑) ไพร่หลวง หมายถึง ไพร่ที่พระราชทานแก่กรมกองต่างๆ เป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์โดยตรง ไพร่หลวงแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ ไพร่หลวง ที่ต้องมารับราชการตามที่ทางกำหนดให้ หากมาไมได้ต้องให้ผู้อื่นไปแทนหรือส่งเงินมาแทนการรับราชการ และไพร่หลวงที่ต้องเสียเงินแต่ไม่ต้องมารับราชการ เรียกไพร่ประเภทนี้ว่า “ไพร่หลวงส่วย”
๔.๒) ไพร่สม หมายถึง ไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แกเจ้านายและขุนนางที่มีตำแหน่งทำราชการเพื่อประโยชน์ เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีเงินเดือน การควบคุมไพร่ของมูลนาย หมายถึง การได้รับผลประโยชน์ตอบแทน เช่น ส่วนลดจากการเก็บเงินค่าราชการของกำนันจากไพร่ เป็นต้น
ทาส หมายถึง บุคคลที่มิได้เป็นกรรมสิทธิ์ในแรงงานและชีวิตของตนเองแต่กลับตกเป็นทาสของนายจนกว่าจะได้รับการไถ่ตัวพ้นจากความเป็นทาส นายมีสิทธิในการซื้อขายทาสได้ลงโทษทุบตีทาสได้ แต่จะให้ถึงตายไม่ได้ ทาสมีศักดินา ๕ไร่ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทาสมีหลายประเภท เช่น ทาสสินไถ่ (ทาสไถ่มาด้วยทรัพย์) ลูกทาสที่เกิดในเรือนเบี้ย ทาสที่ได้มาจากข้างฝ่ายบิดามารดา เป็นต้น
พระภิกษุสงฆ์ เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา จึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน เป็นที่เคารพนับถือของคนไทยทุกระดับ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประมุขฝ่ายพระสงฆ์ สมเด็จพระสังฆราชจะได้รับสถาปนาจากพระมหากษัตริย์
พระภิกษุสงฆ์จะมีตำแหน่งสูงต่ำลดหลั่นกันไป นับตั้งแต่พะภิกษุสงฆ์ธรรดา พระครู พระราชาคณะ และสูงสุดคือ สมเด็จพระสังฆราชประมุขของคณะสงฆ์และมีศักดินาลดหลั่นกันไปตามลำดับ
การชำระแก้ไขและปรับปรุงกฎหมาย
เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2310 กฎหมายไทยได้สูญหายและถูกเผาทำลายไป รัชกาลที่ 1 ทรงโปรด ให้รวบรวมและชำระกฎหมาย เมื่อแล้วเสร็จทรงโปรดให้อาลักษณ์คัดลอกไว้ 3 ฉบับทุกฉบับได้ประทับตราคชสีห์ ตราราชสีห์และตราแก้ว ซึ่งเป็นตราประจำตำแหน่งสมุหพระกลาโหม สมุหนายกและเจ้าพระยาพระคลัง ตามลำดับ กฎหมายฉบับนี้จึงมีชื่อว่ากฎหมายตราสามดวง หรือเรียกว่า ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1 ซึ่งใช้เป็นกฎหมายปกครองประเทศมาจนถึงรัชกาลที่ 5
แบบฝึกหัด
แบบฝึกหัดให้นักเรียนสรุปเนื้อหาที่อ่าน แล้วบันทึกลงในสมุดหรือกระดาษ ส่งครู