พัฒนาการด้านการปกครองในทวีปยุโรป
พัฒนาการด้านการปกครองในทวีปยุโรป
โดยทั่วไปกล่าวได้ว่าในอดีตดินแดนส่วนใหญ่ของทวีปยุโรปมีกษัตริย์เป็นประมุขสูงสุด ในสมัยจักรวรรดิโรมัน พระประมุขสูงสุดจะถูกเรียกว่า "ซีซาร์หรือจักรพรรดิ"
เมื่อจักรวรรดิโรมันล้มสลายลงใน ค.ศ.476 ยุโรปเข้าสู่สมัยกลาง (ค.ศ.476-1492) ที่ในระยะแรกอารยธรรตะวันตกอยู่ในภาวะถดถอยบ้านเมืองแตกแยกจากการรุกรานของพวกอนารยชนเผ่ากอท (Goth) หรือพวกชนเผ่าเยอรมันที่อพยพมาจากทางเหนือ ระบอบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจของโรมันสลายตัว ประมวลกฎหมายโรมัยที่ใช้บังคับทั่วทั้งจักรวรรดิถูกละทิ้ง เกิดเป็นระบอบการปกครองแบบฟิวดัล หรือการปกครองแบบกระจายอำนาจที่อำนาจการปกครองตกอยู่ที่ขุนนางเจ้าของที่ดิน มีการใช้กฎหมายจารีตประเพณี กษัตริย์ยังคงได้รับการยกย่องเป็นประมุข (แต่ไม่มีอำนาจ) แต่ในปลายสมัยกลางกษัตริย์สามารถสถาปนาอำนาจปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจและสร้างรัฐชาติ ที่รวมดินแดนต่างๆเข้ารวมกัน อำนาจในการปกครองของกษัตริย์ในดินแดนต่างๆ มีพัฒนาการที่แตกต่างกัน ดังนี้
ในอังกฤษ พระเจ้าจอห์น (ค.ศ.๑๑๙๙-๑๒๑๖) ทรงยอมรับแมกนาคาร์ตา (Magna Carta ค.ศ.๑๒๑๕) หรือมหากฎบัตร (Great Charter) ที่ขุนนาง พระ พ่อค้า และประชาชนรวมตัวกันบีบบังคับให้พระองค์ยอมรับข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษรในการจำกัดพระราชอำนาจไม่ให้ใช้พระราชอำนาจเกินขอบเขตในการเก็บภาษีอากร การลงโทษและอื่นๆ ต่อมาได้เกิดรัฐสภา (parliament) ที่ประกอบด้วย สภาขุนนาง (House of Lords) และ สภาสามัญ (House of Commons) ที่มีส่วนสำคัญในการลดอำนาจสิทธิ์ของกษัตริย์
ต่อมาเมื่อกษัตริย์พยายามจะละเลยอำนาจของรัฐสภา สภาและประชาชนได้ร่วมกันก่อการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution) ขึ้นใน ค.ศ.๑๖๘๘ ขับกษัตริย์ออกจากบัลลังโดยไม่มีการนองเลือดและให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ยอมรับในอำนาจของรัฐสภา นับเป็นการสิ้นสุดของการพยายามใช้อำนาจปกครองอย่างเด็ดขาดของกษัตริย์ และเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองแบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง ทั้งยังยุติปัญหาความแตกแยกทางศาสนาภายในประเทศโดยกำหนดให้กษัตริย์ต้องทรงนับถือและเป็นองค์ศาสนูปถัมภกของนิกายแองกลิคัน (Anglicanism) หรือนิกายอังกฤษ (Church of England)
ส่วนฝรั่งเศสและประเทศมหาอำนาจในอดีตอื่นๆ ได้แก่ ปรัสเซีย (รัฐหนึ่งในดินแดนเยอรมัน ต่อมามีบทบาทเป็นผู้นำในการรวมชาติเยอรมนีใน ค.ศ.๑๘๗๑) ออสเตรีย และรัฐเซียนั้น กลับมีพัฒนาการระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์(Absolutism)
ฝรั่งเศสใน ค.ศ. ๑๖๑๔ หลังเกิดเหตุความวุ่นวายและสงครามกับสเปน สภาฐานันดร (Estates General) ซึ่งเป็นตัวแทนของชนชั้นต่างๆ ได้ประกาศยุบตัว และประกาศให้ “อำนาจอธิปไตรสูงสุดเป็นของกษัตริย์เพราะทรงเป็นผู้ได้รับมงกุฎจากพระเป็นเจ้า” จึงทำให้ไม่มีการเรียกประชุมสภาฐานันดรอีกเลยเป็นเวลา ๑๗๕ ปี จนก่อนเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ (French Revolution of 1789) ทำให้กษัตริย์ฝรั่งเศสไม่มีสภาที่จะควบคุมการใช้พระราชอำนาจ พระราชอำนาจของกษัตริย์จึงได้เพิ่มพูนขึ้นอีก
หลังจากสงครามสามสิบปี (Thirty Years’ War ค.ศ. ๑๖๑๘-๑๖๔๘) ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งระหว่างนิกายโรมันคาทอลิกกับนิการโปรเตสแตนต์สิ้นสุดลง มหาอำนาจต่างๆ ดังกล่าวขัดแย้ง (ยกเว้นรัฐเซียที่ไม่ได้เข้าร่วมในสงครามด้วย) ก็จัดการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจให้อยู่ในเมืองของกษัตริย์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างและขยายอำนาจของรัฐ โดยฝรั่งเศสภายใต้การปกครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ (Louis XIV, ค.ศ. ๑๖๔๓-๑๗๑๕) ผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจประเทศแรก มีกองทัพขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพและดำเนินนโยบายขยายอำนาจพรมแดนพวกขุนนางต่างสูญเสียอำนาจทางการเมืองและเปลี่ยนสถานภาพเป็นข้าราชการ
ลักษณะของระบอบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจดังกล่าวนี้ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นในปรัสเซีย และประสบความสำเร็จในสมัยของพระเจ้าเฟรเดริกมหาราช (Frederick the Great, ค.ศ. ๑๗๔๐-๑๗๘๖) ออสเตรียในสมัยของจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา (Maria Theresa ค.ศ. ๑๗๔๐-๑๗๘๐) ส่วนรัฐเซียในสมัยของซาร์ปีเตอร์มหาราช (Peterthe Great, ค.ศ. ๑๖๘๒-๑๗๒๕) และซารีนาแคเทอรีนมหาราช (Catherine the Great, ๑๗๖๒-๑๗๙๖) ซึ่งได้มีการเรียกช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ว่า ยุคแห่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Age of Absolutism)
ในการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ ได้มีความพยายามที่จะลดอำนาจของกษัตริย์และนำไปสู่การสถาปนาระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐขึ้นใน ค.ศ. ๑๗๙๒ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ฝรั่งเศสหันกลับไปปกครองในระบอบกษัตริย์อีกครั้งในสมัยจักพรรดินโปเลียนที่ ๑ (Napoleon I, ค.ศ.๑๘๐๔-๑๘๑๕) ความพยายามจะขยายอำนาจของฝรั่งเศสไปทั่วยุโรปก่อให้เกิดการรวมตัวของมหาอำนาจอื่นๆ เพื่อหยุดยั้งจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ และสามารถรบชนะกองทัพฝรั่งเศสได้ใน ค.ศ. ๑๘๑๕ หลังจากนั้นมีการฟื้นฟูราชวงศ์ต่างๆ ที่สูญเสียอำนาจไประหว่างสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars, ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕) รวมทั้งราชวงศ์บูร์บง (Bourbon) ของฝรั่งเศสด้วย
อย่างไรก็ดี ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ อำนาจของกษัตริย์เริ่มถูกต่อต้าน มีการเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ จากการแพร่ขยายของลัทธิเสรีนิยมและชาตินิยม ทำให้รูปแบบการปกครองประเทศต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดการปฏิวัติในดินแดนต่างๆ ทั่วยุโรปเป็นละลอกๆ รัฐสภาจึงมีบทบาทสำคัญขั้นและกษัตริย์ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของรัฐสภาในระดับหนึ่ง ระหว่าง ค.ศ. ๑๘๗๑-๑๙๑๔ ชาวยุโรปจำนวนหนึ่งจึงเห็นว่าเป็น ระยะเวลาอันงดงาม (The Beautiful Times) ที่ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพ ทั้งความเจริญทางวิทยาศาสตร์ก็นำมาซึ่งความสะดวกสบายแก่ชีวิตด้วย ขณะเดียวกันหลักการของรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชนก็เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป พลเมืองเพศชายในประเทศต่างๆ ได้รับสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง อย่างไรก็ดี ในทางตรงกันข้าม ลัทธิมากซ์ที่เกิดขึ้นก็มองเห็นการเอารัดเอาเปรียบของนายทุนต่อชนชั้นแรงงานและต้องการเลี่ยนแปลงระบบการเมืองการปกครองเพื่อให้สังคมปราศจากชนชั้นและมีความเสมอภาคกัน โดยที่ชนชั้นแรงงานมีบทบาทเป็นผู้นำในการปกครอง
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ (ค.ศ. ๑๙๑๔-๑๙๑๘) สิ้นสุดลง ระบอบการปกครองแบบกษัตริย์ในรัสเซีย เยอรมนี และออสเตรียก็สิ้นสุดลงพร้อมกับเกิดระบอบการปกครองแบบสังคมนิยมขึ้นในรัสเซีย ฝรั่งเศสได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐตั้งแต่ ค.ศ. ๑๘๗๑ ส่วนเยอรมนีและออสเตรียก็มีการสถาปนาระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ ระหว่าง ทศวรรษ ๑๙๒๐-กลางทศวรรษ ๑๙๓๐ อิตาลีซึ่งมีเบนีโต มุสโสลีนี (Benito Mussolini) และเยอรมนีมีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) เป็นผู้นำ ได้ประกาศปกครองประเทศด้วย ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ (Fascism) หรือระบอบเผด็จการทหาร ที่ผู้นำมีอำนาจควบคุมกำลังทหาร ตำรวจ และเป็นพรรคการเมืองเดียว โดยประชาชนต้องจงรักภักดี มีความศรัทธาและความเชื่อมั่นในผู้นำ ลัทธิฟาสซิสต์จึงมีส่วนทำให้เยอรมนีเหิมเกริมและก่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ (ค.ศ. ๑๙๓๙-๑๙๔๕)
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ระบอบการปกครองของยุโรปแยกออกเป็น ๒ ระบอบอย่างเด่นชัด ดังนี้
๑) ระบอบประชาธิปไตย เป็นระบอบที่เน้นความเป็นปัจเจกบุคคลนิยม (individualism) เหตุผลนิยม (rationalism) และเสรีภาพ (freedom) หลักการสำคัญของแนวความคิดประชาธิปไตย คือ สิทธิ เสรีภาพของประชาชน ประชาชนเป็นที่มาของอำนาจอธิปไตย ทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย การปกครองระบอบประชาธิปไตยมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ เมื่อกว่า ๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยนครรัฐเอเธนส์เป็นดินแดนแห่งแรกที่ให้สิทธิแก่พลเมืองเพศชายที่เป็นเสรีชนทุกคนมีสิทธิในการเลือกตั้งและเข้านั่งในสภา ทั้งยังดำรงตำแหน่งผู้ปกครองได้ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ประชาชนมีอำนาจสูงสุด โดยมีรัฐสภาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน
๒) ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ เป็นระบอบการปกครองที่อ้างอุดมการณ์ของลัทธิมากซ์ในการสร้างสังคมที่ปราศจากชนชั้น และมีความเสมอภาคกันในด้านต่างๆ โดยชนชั้นแรงงานเป็นผู้ปกครองประเทศระอบเผด็จการคอมมิวนิสต์มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์และผู้นำรัฐเป็นคนเดียวกัน สหภาพโซเวียตเป็นประเทศแรกที่มีการปกครองในระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ภายหลังการปฏิวัติรัสเซียในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๑๗ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็มีประเทศอื่นปกครองในระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์อีก ๑๖ ประเทศ แต่เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายลงใน ค.ศ. ๑๙๙๑ ก็เหลือเพียงไม่กี่ประเทศ เช่น จีน คิวบา เกาหลีเหนือ เป็นต้น ส่วนบรรดาประเทศบริวารของสหภาพโซเวียตเดิม (รวมทั้งรัสเซีย) ก็ต้องปฏิรูปการปกครองตนเองในแนวทางของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยด้วย