กิจกรรมที่ 3 ให้นักเรียนศึกษาเรื่อง พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ ของยุโรป แล้วทำแบบทดสอบท้ายกิจกรรม
กิจกรรมที่ 3 ให้นักเรียนศึกษาเรื่อง พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ ของยุโรป แล้วทำแบบทดสอบท้ายกิจกรรม
ค.ศ.476-1050 : ชาวไร่ชาวนาส่วนให้สูญเสียอิสรภาพและกลายเป็นทาสติดที่ดิน ซึ่งเป็นที่ดินในการปกครอง ของขุนนาง เป็นทั้งที่เพาะปลูกและที่อยู่อาศัย เรียกว่า เขตแมเนอร์ (manor) เศรษฐกิจแบบแมเนอร์ เป็นเศรษฐกิจแบบ พอเลี้ยงตนเอง
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปฟื้นตัว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก สงครามครูเสด ที่ชาวคริสต์รบกับชาวมุสลิมในดินแดนตะวันออกกลางและมีโอกาสได้นำความรู้ ความเจริญ ศิลปวิทยาการ ของโลกตะวันออกกลางกลับมาเผยแพร่ทางโลกตะวันตก
ส่วนสินค้าที่โลกตะวันตกต้องการ คือ เครื่องเทศ น้ำตาล ข้าว ส้ม มะนาว พริกไทย ผ้าไหมและพรม โดยพ่อค้าชาวอิตาลี พ่อค้าชาวอิตาลีที่รู้จักกันดีคือ มาร์โก โปโล (Marco Polo) ชาวเวนิส ซึ่งเดินทางไปค้าขายถึงเมืองจีน
ในช่วงนี้เมือง จะกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าและเศรษฐกิจ องค์กรการค้าและองค์กรช่างฝีมือแต่ละประเภทที่เรียกว่า "กิลล์" (guild) กลายเป็นที่ฝึกงานเพื่อพัฒนาฝีมือ เกิดเป็น ระบบทุนนิยม ต่อมาพ่อค้าที่มีความร่ำรวยซึ่งเป็นนายทุน กลายเป็นผู้มีอิทธิพลทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การปกครอง สังคม
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (https://mgronline.com/live/detail/9570000053589)
วาสโด ดา กามา (https://farbitis.ru/th/geographers/watch-what-is-din-vasko-da-in-other-dictionaries/)
ปลายสมัยกลาง : มีการสร้างนวัตกรรม การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยีที่สำคัญ เช่น การประดิษฐ์ปืนใหญ่ และเครื่องพิมพ์ที่ผลิตหนังสือ เป็นต้น ชาวยุโรปหันมาสนใจเรื่องต่างรวมถึงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ก่อให้เกิดสมัยแห่งการค้นพบและสำรวจ เช่น คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ค้นพบทวีปอเมริกาใน ค.ศ.1492 เวสโก ดา กามา แล่นเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปในทวีปแอฟริกาสู่อินเดีย ค.ศ. 1498
นับว่ายุโรปเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ มีการเผยแพร่วัฒนธรรมตะวันตก คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์ เมื่อนานาประเทศสามารถยึดตลาดการค้าในดินแดนโพ้นทะเลได้ ทำให้เกิดการปฏิวัติการค้า ที่พ่อค้าเร่งผลิตสินค้าจำนวนมาก ก่อให้เกิดการพัฒนาด้านเศรษฐกิจจนถึงปัจจุบัน
https://brewminate.com/exports-for-precious-metals-mercantilism-in-the-early-modern-world/
เศรษฐกิจแบบพาณิชยนิยม (mercantilism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นและพัฒนาพร้อมๆ กับการก่อตัวของรัฐชาติ เป็นรูปแบบของเศรษฐกิจคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ โดยรัฐเข้าควบคุมอุตสาหกรรมและการค้าภายในประเทศ ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของพ่อค้า การส่งสินค้าออก และกีดกันการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ลัทธิพาณิชยนิยมเป็นผลจากความเชื่อว่าการควบคุมและการดำเนินธุรกิจต่างๆ จะทำให้รัฐมั่นคง เข้มแข็ง ดังนั้น จึงถือเป็นหน้าที่และความจำเป็นของรัฐที่จะต้องดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อเป็นเจ้าของทรัพยากรและโภคทรัพย์ต่างๆ และเข้าครอบครองดินแดนต่างๆ แล้วจัดตั้งเป็นอาณานิคม เผยแผ่ศาสนา ท้ายที่สุดก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งกันเองและเข้าสู่สงคราม กลายเป็นสงครามที่ลุกลามในภูมิภาคอื่นๆ ของโลก เช่น สงครามเจ็ดปี (Seven Year’ War, ค.ศ. ๑๗๕๖-๑๗๖๓) ระหว่างฝรั่งเศสและออสเตรีย กับอังกฤษและปรัสเซีย ก่อให้เกิดการรบกันทั้งในทวีปยุโรป อเมริกา และเอเชีย
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ได้เกิดแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์และการเมืองที่สำคัญ คือ แนวคิด ไลส์เซ-แฟร์ (laissez-faireเป็นคำฝรั่งเศส หมายถึง ปล่อยให้เป็นเอง) และแนวคิดการค้าเสรี (free trade) ของแอดัม สมิท (Adam Smith) ชาวสกอต เจ้าของผลงานเรื่อง The Wealth of Nations (ค.ศ. ๑๗๗๖) ที่กำหนดให้อุปสงค์ (demand) และอุปทาน (supply) เป็นตัวกำหนดกลไกของตลาด
ด้านเศรษฐกิจนั้น ไลส์เซ-แฟร์ หมายถึง การดำเนินนโยบายภายในที่รัฐบาลไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายกับการค้า เป็นธุรกิจของภาคเอกชนทั้งในด้านอุตสาหกรรมและการเงิน ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมส่งเสริมให้นายทุนแข่งขันกันอย่างเสรี ผู้บริโภคจะทำให้กลไกของตลาดเคลื่อนไหวและนำความมั่งคั่งมาสู่รัฐได้
อย่างไรก็ดี ทั้งแนวคิดไลส์เซ –แฟร์ และการค้าเสรีดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นนายทุนอีกทั้งสอดคล้องกับลัทธิเสรีนิยม จึงทำให้เกิดการสะสมทุน การลงทุน และขยายทุนอย่างกว้างขวาง เกิดระบบตลาดการค้าเสรีแบบทุนนิยม (free market capitalism) ไปทั่วโลก โดยรัฐให้การสนับสนุนและออกกฎหมายต่างๆ เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการทำธุรกิจและการค้า การครอบครองทรัพย์สิน และการทำสัญญาต่างๆ
ในโลกปัจจุบันระบบทุนนิยมและแนวคิดไลส์เซ แฟร์ และการค้าเสรีก็ยังคงเป็นนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศประชาธิปไตย โดยรัฐเข้ามามีบทบาทในด้านการวางนโยบาย การควบคุมคุณภาพและวิธีการผลิต ตลอดจนการดูแลในเรื่องสวัสดิการของผู้ใช้แรงงานด้วย
เศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (socialism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่พัฒนามาจากแนวความคิดทางการเมืองของคาร์ล มากซ์ (Karl Marx) นักสังคมนิยมที่มีชื่อเสียงของยุโรป เกิดขึ้นกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เพื่อตอบโต้การขยายตัวของลัทธิทุนนิยมและการเอารัดเอาเปรียบชนชั้นแรงงาน เขาต้องการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เสมอภาค คือ การยกเลิกกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล และให้มีการจัดการทางการผลิตโดยชนชั้นแรงงาน ซึ่งชนชั้นแรงงานจะใช้อำนาจเผด็จการในการปกครองเพื่อผลักดันนโยบายสังคมนิยมให้บรรลุผลสำเร็จ