การเสื่อมอำนาจของกรุงศรีอยุธยา
การเสื่อมอำนาจของกรุงศรีอยุธยา
กรุงศรีอยุธยาเป็นอาณาจักรของคนไทยเป็นระยะเวลายาวนาน 417 ปี (พ.ศ.1893-2310) พระมหากษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาคือ พระเจ้าอู่ทอง หรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 อาณาเขตของกรุงศรีอยุธยาแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางมากที่สุด ในรัชสมัยของพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.2133-2148) อาณาจักรกรุงศรีอยุธยามีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด
ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม การค้าขายและการเจริญไมตรีกับต่างประเทศ ในรัชสมัยของพระนารายณ์มหาราช(พ.ศ.2199-2231) ความเสื่อมของอยุธยา กรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชให้แก่พม่า 2 ครั้ง
ครั้งแรก ในสมัยสมเด็จพระมหินทราธิราชเมื่อพ.ศ.2112
ครั้งที่ 2 ในรัชสมัย สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) เมื่อ พ.ศ.2310
ปัจจัยที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาเสื่อมอำนาจ มีสาเหตุสำคัญดังนี้
ปัจจัยภายใน
ความเสื่อมของสถาบันกษัตริย์ อาณาจักรอยุธยามีการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง เพื่อชิงราชสมบัติกันหลายครั้ง ระหว่างพระราชวงศ์กับรัชทายาทที่เรียกว่า วังหน้าหรือกรมพระราชวังบวรและระหว่างขุนนางกับพระราชวงศ์ การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองนำมาซึ่งความสูญเสียกำลังไพร่พลและขุนนางที่มีความสามารถ เพราะบางครั้งการชิงราชสมบัติเป็นไปอย่างรุนแรง ฝ่ายพ่ายแพ้ก็จะถูกกำจัดการควบคุมกำลังไพร่พลก็เสื่อมประสิทธิภาพ ความเสื่อมอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นผลให้บ้านเมืองไม่มีความมั่นคง และล่มสลายในที่สุด ความอ่อนแอของผู้นำสมัยอยุธยาตอนปลาย เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสิ้นพระชนม์พระราชโอรสของพระองค์ได้ชิงราชสมบัติกันคือ พระเจ้าเอกทัศซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไม่ได้ทรงเลือกให้เป็นรัชทายาทเพราะไม่มีความสามารถเพียงพอแต่พระเจ้าเอกทัศทรงต้องการเป็นกษัตริย์ ทำให้พระเจ้าอุทุมพรผู้เป็นพระอนุชาสละราชสมบัติให้แล้วไปผนวช ณ วัดประดู่ แต่เมื่อเกิดศึกสงคราม พระองค์ไม่สามารถที่จะป้องกันอาณาจักรได้ต้องไปเชิญพระเจ้าอุทุมพรให้สึกออกมาทำการรบ การที่ผู้นำขาดความสามารถเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาราจักรอยุธยาล่มสลายลง
ความอ่อนแอทางกำลังทหาร หลังสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช บ้านเมืองมีความสงบไม่มีศัตรูมารุกราน กองทัพอาณาจักรอยุธยาห่างเหินจากการศึกสงคราม ทหารจึงขาดการฝึกฝนการรบและอาวุธ ทั้งการเกณฑ์ไพร่พลก็ไร้ประสิทธิภาพ เพราะทั้งเจ้านาย ขุนนางภายในราชธานี และเจ้าเมืองต่างๆสะสมไพร่พลเป็นของตน จะเห็นว่าเมื่อเกิดกบฏขึ้นในปลายสมัยอยุธยา กองทัพจากราชสำนักไม่สามารถที่จะปราบกบฏได้ ต้องอาศัยกำลังไพร่พลจากหัวเมืองมาช่วย ดังนั้นเมื่อกองทัพพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยากำลังไพร่พลภายในราชธานีจึงไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ภายในเมืองได้ ทั้งหัวเมืองต่างๆ ก็ตั้งกองกำลังของตนเองเพื่อป้องกันภัยจากพม่า เช่น ค่ายบางระจัน เมืองพิษณุโลก เมืองนครราชสีมาโดยมีได้ร่วมมือกันต่างกลุ่มต่างต่อสู้เป็นอิสระ ในที่สุดแต่ละกลุ่มก็ถูกปราบปรามลง รวมทั้งราชธานีที่กรุงศรีอยุธยาก็ไม่สามารถต้านทานกองทัพพม่าได้เช่นกัน