ด้านการเกษตรกรรม
การที่อาณาจักรอยุธยาตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยาตอนล่างที่เกิดจากการทับถมของดินตะกอน
ทําให้ดินบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทําเกษตรกรรมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะ การปลูกข้าว พืช
สําคัญที่ปลูกกันมากรองลงมาได้แก่ พริกไทย ฝ้าย หมาก มะพร้าว ไม้ผลต่างๆ การเกษตร ของอาณาจักรอยุธยามี
วัตถุประสงค์เพื่อบริโภคภายในอาณาจักรเป็นสําคัญและมีลักษณะเป็นการเกษตร แบบพอยังชีพ ผลผลิตทางการเกษตร
ที่สำคัญคือ ข้าว ทั้งยังมีผลผลิตจากป่า เช่น ไม้ฝาง งาช้าง นอแรด หนังสัตว์ ยางสน ไม้กฤษณา น้ำมันสน เป็นต้น
ผลผลิตจากป่าเหล่านี้เป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติ
สินค้าพื้นเมืองที่ขายตามตลาดส่วนใหญ่เป็นสินค้าหัตถกรรม เช่น หม้อ เสื้อ เครื่องดนตรี ฟิก หมอน มุ้ง
กระบุง ตะกร้า รวมทั้งอาหาร เช่น ขนมขบเคี้ยว ของแห้งต่างๆ
ด้านการค้าระหว่างประเทศ
การค้าระหว่างประเทศนี้มีวิวัฒนาการตั้งแต่ก่อนสถาปนาอาณาจักรอยุธยา เมื่อกรุงศรีอยุธยาสถาปนาขึ้น
เมื่อ พ.ศ. 1893 ราชสํานักอยุธยาประกอบด้วยพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์หรือเจ้านาย หรือขุนนางร่วมกับชาวจีนได้
ทําการค้าเรือสําเภากับจีน อินเดีย ลังกา ญี่ปุ่น คาบสมุทร และหมู่เกาะต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในพุทธ
ศตวรรษที่ 21 การค้า ระหว่างประเทศขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะได้ติดต่อค้าขายกับชาวตะวันตก โดยโปรตุเกสเป็นชาติ
แรก (พ.ศ. 2054) ที่เข้ามาติดต่อค้าขาย หลังจากนั้นมี ฮอลันดา (พ.ศ. 2147) อังกฤษ (พ.ศ. 2155)และฝรั่งเศส (พ.ศ.
2216) ตามลําดับ
ลักษณะการค้าของอาณาจักรอยุธยา การค้ากับต่างประเทศในสมัยอยุธยาตอนต้นเป็นการค้า กึ่งผูกขาด
เป็นการค้าสําเภากับชาติต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการค้าที่ดําเนินการ โดยพระมหากษัตริย์
เจ้านาย และขุนนาง แต่สามารถติดต่อค้าขายกับราษฎรและพ่อค้าชาติอื่นที่อยู่ใน กรุงศรีอยุธยาได้โดยตรง ต่อมา
เมื่อค้าขายกับชาติตะวันตกสินค้าที่นํามาขายคืออาวุธปืน ซึ่งถือเป็น สินค้าต้องห้ามส่วนสินค้าที่ชาวต่างชาติต้องการ
ส่วนใหญ่เป็นสินค้าของป่า ทําให้มีการจัดตั้งพระคลังสินค้า เพื่อทําหน้าที่อํานวยความสะดวกทางการค้าโดยรวบ
รวมสินค้าเหล่านี้ส่งต่อให้พ่อค้าต่างชาติ ซึ่งทํากําไรให้แก่พระคลังสินค้าอย่างมหาศาลเมื่อการค้าขยายตัวและทวี
ความสําคัญขึ้นทําให้เกิดการผูกขาดทาง การค้า ต่อมาขยายขอบเขตไปถึงสินค้าต่างแดนชนิดอื่นๆ ด้วย โดยออก
กฎหมายเกี่ยวกับสินค้าต้องห้ามซึ่งเป็นสินค้าที่ราชสํานักโดยพระคลังสินค้าจะเป็นผู้ผูกขาดซื้อขาย แต่ผู้เดียว หรือ
จะต้องซื้อจากพระคลังสินค้าเท่านั้น สินค้าต้องห้ามที่เป็นสินค้านําเข้า เช่น ปืนไฟ กระสุนดินดํา และกํามะถัน
สินค้าออก เช่น ดีบุก ตะกั่ว ดินประสิว นอแรด งาช้างไม้กฤษณา ไม้จันทน์ ไม้หอม และไม้ฝาง
กรมท่า เป็นผู้ดูแลเกี่ยวกับการค้าของอาณาจักร โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
กรมท่าขวา ซึ่งจะควบคุมการค้ากับชาติตะวันตก เช่น อังกฤษ ชวา
กรมท่าซ้ายจะควบคุมดูแลการค้ากับจีนและฮอลันดา
หน้าที่หลักของกรมท่า คือ การผูกขาดสินค้า กําหนดชนิดของสินค้ต้องห้ามและเก็บค่าธรรมเนียมการค้าการค้าต่างประเทศของอาณาจักร
ลักษณะทั่วไปทางเศรษฐกิจและเงินตรา
ลักษณะทั่วไปทางเศรษฐกิจ
1. การเกษตร ชาวอยุธยาทำนาเป็นอาชีพหลัก มีลักษณะการเกษตรแบบยังชีพ คือ เพียงพอแก่การบริโภคภายใน
อาณาจักร หากเหลือจะส่งไปขายต่างแดน
2. หัตถกรรม ช่างฝีมือจะรวมกันอยู่เป็นหมู่บ้าน เพื่อผลิตงานฝีมือออกสู่ตลาด
3. การค้า การค้าอยุธยาแบ่งได้ 2 ระดับ คือ
1) การค้าภายใน ส่วนใหญ่เป็นการค้าพืชผลทางการเกษตร
2) การค้าระหว่างประเทศ มีลักษณะที่เสรี พ่อค้าต่างชาติสามารถติดต่อค้าขายกับชาวอยุธยาได้โดยตรง มีหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ
กรมท่าซ้าย มีโชฎึกราชเศรษฐีเป็นเจ้ากรม ข้าราชการส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ดูแลกิจการค้าสำเภากับดินแดนตะวันออก
กรมท่าขวา มีจุฬาราชมนตรีเป็นเจ้ากรม ดูแลกิจการค้าสำเภากับดินแดนตะวันตก
เงินตรา
1. พดด้วง ทำจากโลหะเงิน มีตราประทับหลายแบบ
2. เบี้ย นำเปลือกหอยทะเลมาใช้เป็นเงิน
3. ไพและกล่ำ ทำจากโลหะที่ไม่ใช่เงิน
4. ประกับ ทำจากดินเผาตีตราประทับ ใช้แทนเบี้ยที่ขาดแคลน
รายได้และรายจ่ายของอาณาจักรอยุธยา
รายได้ของอาณาจักร
1. จังกอบ มี 2 แบบ ได้แก่ จังกอบสินค้า และจังกอบปากเรือ
2. อากร คือ ภาษีที่เก็บจากราษฎร มีดังนี้ อากรค่านา อากรสมพัตสร อากรศุลกากร อากรสวน อากรตลาด อากรค่าน้ำ อากรบ่อนเบี้ย อากรสุรา
ในสมัยพระนารายณ์มหาราชได้เปลี่ยนจากเก็บผลผลิตเป็นเงินแทน
3. ฤชา คือ ค่าธรรมเนียมที่เก็บจากราษฎรในกิจการที่ทางราชการจัดการให้
4. ส่วย คือ เงินหรือสิ่งของที่ส่งให้ราชสำนัก เช่น ส่วยแรงงาน บรรณาการ
รายจ่ายของอาณาจักร
เรียกอีกอย่างว่า รายจ่ายราชทรัพย์ เพราะในสมัยอยุธยารายได้ของอาณาจักรถือว่าเป็นรายได้ของพระมหากษัตริย์ มี 4 ประเภท ได้แก่
1. รายจ่ายเป็นเบี้ยหวัด ให้กับเจ้านายและขุนนาง
2. รายจ่ายในการทหาร เพื่อบำรุงกิจการของกองทัพให้เข้มแข็ง
3. รายจ่ายในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เช่น การสร้างและปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม
4. รายจ่ายอื่น ๆ เช่น รายจ่ายในพระราชพิธีต่าง ๆ รายจ่ายในการสงเคราะห์คนอนาถา