พัฒนาการด้านศิลปวัฒนธรรมในสมัยสุโขทัย
พัฒนาการด้านศิลปวัฒนธรรมในสมัยสุโขทัย
ศิลปวัฒนธรรมของสมัยสุโขทัย
ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ถือเป็นยุคทองของสมัยกรุงสุโขทัย เนื่องจากได้เกิดแบบแผนความเจริญทางวัฒนธรรมที่เป็นของไทย ซึ่งความเจริญทางวัฒนธรรมดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องกับ 3 รูปแบบ คือ พุทธศาสนา ภาษาไทย และศิลปะ
พระพุทธศาสนามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ จนกลายเป็นวิถีชีวิตของประชาชน โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางทางด้านการวัฒนธรรมของชุมชน มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่และสั่งสอนคุณธรรมจริยธรรมแก่ประชาชน และมีอิทธิพลต่อคติการปกครอง ประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับชีวิต ระเบียบทางสังคมและศิลปะ
งานสร้างสรรค์ทางศิลปะของกรุงสุโขทัย เช่น พระพุทธรูป เจดีย์จิตรกรรม มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญโดยดัดแปลง รูปแบบศิลปกรรมจากขอม ให้มีลีลาอ่อนช้อยงดงาม ตัวอย่างเช่น พระพุทธรูปปางลีลา ยิ่งกว่านั้นแล้วพุทธศาสนายังมีบทบาทสำคัญต่องานสร้างสรรค์ ทางวรรณกรรมด้วย ดังตัวอย่าง บทพระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) คือไตรภูมิพระร่วง
นอกจากนั้นแล้วเอกลักษณ์ อย่างหนึ่งที่สำคัญของสมัยสุโขทัย คือภาษาไทย โดยในสมัยพ่อขุนรามคำแหง มีการประดิษฐ์อักษรไทย ขึ้นจากเดิมที่เคยใช้ภาษาสันสกฤตหรือภาษาขอม อักษรไทยดังกล่าวนิยมใช้กันสืบต่อมาจนปัจจุบัน
1. วัฒนธรรมทางด้านการศึกษา
ในสมัยโบราณความหมายของการศึกษา ซึ่งเป็นความหมายเดิมแท้นั้นกล่าวว่า “การศึกษา คือ การสืบทอดและสร้างสรรค์วัฒนธรรม“ กรุงสุโขทัยการจัดรูปแบบทางการศึกษาในช่วงแรกจะได้รับอิทธิพลจากคติพราหมณ์ ต่อจากนั้นจึงรับคติธรรมทางพุทธศาสนาเข้ามาเป็นหลักเกณฑ์สำคัญ ของการจัดการศึกษาทั้งสิ้น การศึกษาในสุโขทัยน่าจะมีลักษณะต่างๆ ดังนี้
1. การศึกษาทางพุทธศาสนาให้แก่คนฝักใฝ่ธรรม เป็นการศึกษาให้แก่ผู้ที่มีปัญญาและต้องการพัฒนาปัญญาและจิตใจ การที่ฝักใฝ่ธรรมมีความรู้นั้นต้องเรียนหนังสือ เรียนอักขระ ศึกษาอ่านเขียนพระธรรม คัมภีร์ต่างๆโดยมีพระสงฆ์ทำหน้าที่ “ครูบาอาจารย์“ ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ปรากฎข้อความกล่าวว่า “พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เยนจนจบปิฎกไตรหลวักกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราชมา“
2. การศึกษาในวิชาชีพ เป็นการเรียนตามกฎธรรมชาติ เรียนจากพ่อแม่ เรียนจากชุมชนที่ตัวอยู่ใกล้ เรียนจากการกระทำ การฝึกฝนศิลปหัตถกรรมต่าง ๆ การทำไร่ไถ่นา การปั้นเครื่องปั้นดินเผา งานทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรมหรือสถาปัตยกรรม เป็นต้น
2. วัฒนธรรมทางด้านตัวอักษรไทย
ศิลาจารึกหลักที่ 1 ปรากฎข้อความที่เกี่ยวข้องอักษรไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหงว่า “ 1205 ศกปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในแลใส่ลายสือไทยนี้จึ่งมีเพื่อขุนผุ้นั่นใส่ไว้” จึงเป็นที่เชื่อกันว่าอักษรไทยที่พ่อขุนรามคำแหงซึ่งลงศิลาจารึก ปี พ.ศ. 1826 เป็นอักษรไทยเก่าแก่ที่สุดที่ใช้ในประเทศไทย ซึ่งใช้อักษณขอมโบราณกับอักษรมอญ แต่ ยอร์ช เซเดส์ นั้นได้สรุปว่า อักษรพ่อขุนรามคำแหงนั้นดัดแปลงมาจากอักษรขอมหวัด เพราะมีรูปลักษณะคล้ายคลึงกันมาก แต่จากการศึกษาของ นันทนา ด่านวัฒน์ ทางด้านอักขรวิทยาพบว่าอักษรต้นตระกูลของอักษรพ่อขุนรามคำแหง คือ อักษรหราหมี อักษรคฤนห์ อักษรขอมหวัด เพราะปรากฎความคล้ายคลึงทางด้านอักขรวิทยาของอักษรพ่อขุนรามคำแหงและอักษรใน ตระกูลทั้งสาม อักษรพ่อขุนรามคำแหงนั้นใช้เฉพาะในรัชสมัยของพระองค์เท่านั้น เพราะในสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 1 ได้ปรากฎอักษรไทยแบบใหม่ขึ้นเรียกว่า อักษรพระเจ้าลิไทย
3. วัฒนธรรมทางด้านวรรณกรรม
1. ศิลาจารึก ทางการศึกษามีประโยชน์คือใช้ศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี วิชาอักษรศาสตร์ นิติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศิลาจารึกที่พบในสมัยสุโขทัยมีประมาณ 30 หลัก ที่สำคัญมากได้แก่ ศิลาจารึกหลักที่ 1 ซึ่งรวมคุณค่าทางภาษา ทั้งความรู้ด้านกฎหมาย ความรู้ทางการปกครอง ความรู้ทางด้านวัฒนธรรม ความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรม และศิลปกรรม นับว่าวรรณกรรมประเภทนี้เป็นหลักฐานยืนยันเรื่องราวทางวัฒนธรรมสมัยสุโขทัย
2. ไตรภูมิพระร่วง ถือเป็นวรรณกรรมปรัชญาชิ้นแรกของไทย พระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในปี พ.ศ.1888 นับเป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าทางปรัชญา คุณค่าทางวรรณคดีโดยเฉพาะการสอนจริยธรรม คือสอนให้คนรู้จักความดีความชั่ว และให้รู้จักใช้วิจารณญาณและสอนให้คนมีศีลธรรมรักษาความดีและมีความรับผิดชอบ
4. วัฒนธรรมทางด้านดนตรี การฟ้อนรำและประเพณี
ศิลาจารึกหลักที่ 1 ปรากฎข้อความว่า “เมื่อจักเข้ามาเวียงเรียงกันแต่อรัญญิกพู้นเท้าหัวลานดมบงคมกลอง ด้วยเสียงพาทย์เสียงพินเสียงเลื่อนเสียงขับ ใครจักมักเล่น ใครจักมักหัว ใครจักมักเลื่อนเลื่อน…”
ศิลาจารึกหลักที่ 8 ปรากฎข้อความว่า “ดับหนทางแต่เมืองสุโขทัยมาเถิงเขานี้งามหนักหนาแก่กม สองขอก หนทางย่อมกัลปพฤษ์ใส่ร่มยล ดอกไม้ตามใต้เทียนประทีป เผาธูปหอมตลบทุกแห่งปลูกธงปฎาทั้งสองปลาก หนทางย่อมเรียงขันหมากขันพลูบูชาพิลม ระบำเต้นเล่นทุกฉัน ด้วยเสียงอันสาธุการบูชา หยิบดุริยาพาทย์ พิณฆ้องกลองเสียงดัง สิพอดังดินจักหล่มอันไซร้”
จากศิลาจาริกดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการนำเครื่องดนตรีและการฟ้อนรำ การเล่นสนุกสนานของชาวสุโขทัย นายมนตรี ตราโมท ได้กล่าวถึงวัฒนธรรมทางด้านดนตรีของสุโขทัย โดยแยกพิจารณา 2 ประการ คือ
1. เครื่องดนตรี ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ดังนี้ คือ สังข์ แตร บัณเฑาะว์ มโหระทึก ปี่ฉไนแก้ว ปี่สรไน กลองชนะ ฆ้อง กลอง ตะโพน ฉิ่ง กลับ ระฆัง กังสดาล ซอ
2. เพลงร้องและเพลงดนตรี ในสมัยสุโขทัยมีทั้งการร้องและการขับ แต่ทำนองร้องและทำนองขับจะเป็นอย่างไรยากที่จะชี้ให้ชัดเจนได้ มีเพลงที่น่าจะเป็นเพลงสมัยสุโขทัย คือ เพลงเทพทองหรือเพลงสุโขทัย ทำนองเพลงนี้เดิมที่เดียวเป็นเพลงพื้นเมืองใช้ร้องว่าแก้กันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ส่วนอีก 2 เพลงน่าจะเป็นสมัยสุโขทัย คือเพลงพระทองกับเพลงนางนาค
ประเพณีไหลเทียนเล่นไฟ ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงได้มีการกล่าวถึง ประเพณีเผาเทียนเล่นไฟ ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองของชาวสุโขทัยในสมัยก่อน โดยจะมีการเล่นดอกไม้ไฟในเทศกาลลอยโคม และลอยประทีป หรือ ลอยกระทงในช่วง 1 เดือนให้หลังจากออกพรรษา ซึ่งตรงกับกลางเดือน 12 พอดี จึงมีการสันนิษฐานว่าประเพณีดังกล่าวก็คือการลอยกระทงในสมัยสุโขทัยนั่นเอง
5. วัฒนธรรมทางด้านประติมากรรมและจิตรกรรม
วัฒนธรรมทางด้านประติมากรรมและจิตรกรรมเป็นงานประณีตศิลป์ ซึ่งแสดงถึงความสมารถและความเข้าถึงแก่นของคำสั่งสอนของพุทธศาสนาของช่างศิลป์
1. ประติมากรรม ในสมัยสุโขทัยส่วนใหญ่ ได้แก่การสร้างพระพุทธรูป ซึ่งนิยมสร้างพระพุทธรูปปั้นและหล่อด้วยสำริด เป็นการสร้างพระพุทธรูปเป็นแบบลอยตัวและภาพนูนสูงติดฝาผนัง นอกจากพระพุทธรูปแล้ว ยังมีการหล่อเทวรูปสัมฤทธิ์ เช่น เทวรูปพระนารายณ์ เทวรูปพระอิศวร เทวรูปพระหริหระ งานประติมากรรมที่เด่นที่สุดในสมัยสุโขทัยส่วนใหญ่ คือ พระพุทธรูปจะเห็นได้ว่าพระพุทธรูปที่สวยงามในศิลปะแบบสุโขทัยเป็นรูปที่ตรัสรู้แล้ว ดังนั้น ระบบกล้ามเนื้อต่างๆ จึงมีการผ่อนคลายและพระองค์ก็จะอยู่ในความสงบแท้จริง พระพักตร์สงบมีรอยยิ้มเล็กน้อย
2. จิตรกรรม จิตรกรรมที่พบในสมัยสุโขทัยทั้งภาพลายเส้นและลายเขียนฝุ่น โดยเฉพาะในแผ่นหินชนวนวัดศรีชุม เมืองสุโขทัยเป็นภาพชาดก จะเห็นได้ว่าเส้นลายดังกล่าวเป็นภาพที่อิทธิพลของศิลปะศรีลังกาอยู่ เช่นภาพเทวดาต่างๆ ใบหน้าเทวดาก็ดี คอมีรอยหยัก มงกุฎทรง เครื่องแต่งกายเป็นแบบลังกาทั้งสิ้น แต่คนไทยสมัยสุโขทัยน่าจะมีส่วนร่วมในการสลักภาพเหล่านี้ด้วย ภาพสลักที่วัดศรีชุมเป็นเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาเป็นชาดกต่างๆ ส่วนภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้นเป็นวิวัฒนาการหนึ่งที่ไกลออกจากภาพลายสลักเส้น ใช้สีแบบดำ แดง ที่เรียกว่า สีเอกรงค์ แต่มีน้ำหนักอ่อนแก่ เล่นจังหวะอย่างสวยงาม ภาพวาดเทวดายังคงมีอิทธิพลของศิลปะลังกาเหลืออยู่ คือ ภาพเขียนที่วัดเจดีย์เจ็ดแถวเมืองศรีสัชนาลัย
ภาพจิตรกรรมจำหลักลายเส้นบนหินชนวน เรื่องชาดก ประดับผนังมณฑปวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย
6. วัฒนธรรมด้านสถาปัตยกรรม
วัฒนธรรมด้านสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
1. สถาปัตยกรรมรูปทรงอาคาร สามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
- สถาปัตยกรรมรูปทรงอาคาร ได้แก่ อาคารโอ่โถงหรืออาคารที่มีผนัง มีหลังคาซ้อนเป็นชั้น ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทางด้านหน้าต่อเป็นมุขที่ยืน มีบันไดขึ้นสองข้างทางมุข ตัวอย่าง เช่น วิหารที่วัดสวนแก้วอุทยานน้อย เมืองศรีสัชนาลัย เป็นต้น
- อาคารที่ก่อด้วยแลง หรือ รูปทรงอาคาร หลังคาใช้เรียงด้วยแลงซ้อนเหลี่ยมกันขึ้นไป จนถึงชั้นสูงสุดที่ไปบรรจบกันที่ตอนอกไก่ ตัวอย่างเช่น วิหารวัดกุฏิราย เมืองศรีสัชนาลัย เป็นต้น
- อาคารสี่เหลี่ยม มีหลังคาที่เป็นชั้นแหลมลดหลั่นกันไปถึงยอด หลังคาเป็นประมาณ 3 ชั้น เรียกว่า "มณฑป" มณฑปนี้จะเป็นแบบมณฑปที่มีผนังและมณฑปโถง ตัวอย่างเช่น มณฑปวัดศรีชุม เมืองสุโขทัย (มณฑปที่มีผนัง ) และหอเทวลัยมหาเกษตรพิมาน เมืองสุโขทัย ( มณฑปโถง )
2. สถาปัตยกรรมรูปแบบสถูปหรือเจดีย์ มีทั้งทรงกลมแบบลังกา เจดีย์ทรงกลมฐานสูง เจดีย์ย่อเหลี่ยมแบบมีซุ้มจระนำ เจดีย์แบบห้ายอด เจดีย์ทรงปรางค์ ยอดเป็นเจดีย์ทรงกลมสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย และเจดีย์ทรงดอกบัวตูม จากสถาปัตยกรรมเจดีย์ต่างๆนี้จะเห็นได้ว่าลักษณะเจดีย์ที่สำคัญที่พบมากมี 3 แบบ คือ
- เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นสถาปัตยกรรมเอกลักษณ์ของศิลปะสุโขทัย เป็นลักษณะเฉพาะของศิลปะสุโขทัย งานสถาปัตยกรรมศิลปะสุโขทัยในระยะแรกรับอิทธิพลมาจากศิลปะเขมร ต่อมาได้พัฒนาเป็นศิลปกรรมของตนเอง โดยเฉพาะรูปทรงของเจดีย์ ที่แบ่งได้เป็น ๓ แบบ คือ เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ซึ่งบางองค์ทำช้างล้อมไว้ที่ฐาน และเจดีย์ทรงปราสาทยอด ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะศรีวิชัยและศิลปะพม่าแบบพุกาม สถาปัตยกรรมพิเศษอีกอย่างหนึ่งของสุโขทัย คือมณฑปที่ประดิษฐานพระพุทธรูป (ห้องจัดแสดงประวัติศาสตร์ชาติไทย พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร ๒๕๔๕)
- เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา เป็นแบบที่สร้างสมัยแรก เช่น วัดตะกวน วัดช้างล้อม วัดสระศรี เมืองสุโขทัย
- เจดีย์ทรงดอกบัวตูม สามารถแยกได้เป็น 4 แบบ คือ
* เจดีย์ดอกบัวตูมแบบวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย ถือว่าเป็นแบบเจดีย์ทรงดอกบัวแบบสุโขทัย ตั้งอยู่บนฐานเขียง ฐานบัวลูกแก้ว เหนือฐานบัวลูกแก้วเป็นแท่นแว่นฟ้าย่อเหลี่ยม แท่นแว่นฟ้ารับเรือนธาตุ ต่อจากเรือนธาตุเป็นยอที่เป็นดอกบัวตูม ซึ่งเราจัดเป็นเจดีย์ที่สร้างโดยทั่วๆ ไป
* เจดีย์ทรงดอกบัวตูมแบบวัดซ่อนข้าว เมืองสุโขทัย เป็นแบบฐานแว่นฟ้าบัวลูกแก้วสองชั้นตั้งรับเรือนธาตุ
* เจดีย์ทรงดอกบัวตูมวัดอ้อมรอบ นอกเมืองสุโขทัยด้านทิศเหนือปรกอบด้วยฐานเขียงบัว ฐานเขียง ฐานย่อเหลี่ยมรับเรือนธาตุ ตอนชั้นเรือนธาตุรับยอดบัวมีซุ้ม
* เจดีย์ทรงดอกบัวตูมแบบวัดสะพานหิน เมืองสุโขทัย และเจดีย์วัดยอดทองเมืองพิษณุโลก ประกอบด้วยฐานเขียงห้าชั้นตั้งรับฐานลูกบัวแก้ว ไม่ย่อมุมรับเรือนธาตุ ที่เรือนธาตุแต่ละด้านมีซุ้มจระนำ ประดิษฐานพระพุทธรูปสี่ด้าน
7. หัตถกรรมในสมัยสุโขทัย
เครื่องสังคโลกที่เมืองสุโขทัยมีหลายประเภท ส่วนมากเป็นประเภทเครื่องใช้ อันได้แก่ถ้วยชามจาน ไหดิน ขวดหิน กระปุก กาน้ำ ช้อน ตลอดจนตุ๊กตารูปคน รูปสัตว์ ช้าง ยักษ์ เทวดา พระพุทธรูป กระเบื้องมุงหลังคา สิงห์ สังคโลก ลูกมะหวด ช่อฟ้า บราลี และหมากรุก
เครื่องสังคโลกที่เตาสุโขทัย เป็นภาชนะถ้วยโถโอชามของใช้สอยส่วนใหญ่ ใช้เตาทุเรียงในการเผา ลักษณะเฉพาะของเตาทุเรียงเหล่านี้คือ เครื่องปั้นเคลือบลวดลายสีดำ หรือสีน้ำตาล เนื้อดินค่อนข้างหยาบ ชุบน้ำดินสีขาว ลวดลายสีดำ แล้วเคลือบด้วยน้ำเคลือบใสสีเขียวอ่อน การเรียงเครื่องถ้วยชามเข้าเตาเผาที่สุโขทัยใช้กี่ คือจานที่มีขาปุ่มห้าปุ่มวางคั่นระหว่างชาม ดังนั้นชามของเตาสุโขทัยจึงมีรอยห้าจุดปรากฏอยู่
เครื่องสังคโลกเตาทุเรียงป่ายาง อยู่ใกล้เมืองเก่าศรีสัชนาลัย ห่างจากกำแพงเมืองประมาณ ๕๐๐ เมตร สำรวจพบแล้ว ๒๑ เตา เป็นเตาทุเรียงที่เผาสังคโลกดีทั้งสิ้นคือ ลวดลาย น้ำยาเคลือบสวยงามรูปแบบพิเศษกว่าที่อื่น แยกเป็นเตาเผารูปยักษ์ นาค มกร และเตาเผารูปตุ๊กตา
เครื่องสังคโลกเตาทุเรียงเกาะน้อย อยู่ถัดเตาป่ายางไปทางเหนือประมาณ ๔ กิโลเมตร พบเตาในพื้นที่เกาะน้อยจำนวน ๑๕๐ เตา และยังมีเตาอีกเป็นจำนวนมากจมฝังอยู่ใต้ดิน จำนวน ๑๓๑ เตา และคาดว่ามีเตาที่สูญสลายไปแล้วอีกเป็นจำนวนมาก เป็นแหล่งเตาเก่ามีการเผาเครื่องถ้วยก่อนสมัยสุโขทัย
เครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัย มีลวดลายเฉพาะตัว ลวดลายที่พบมากในถ้วยจานชามคือ ลายกงจักร ลายปลา ลายดอกไม้ ฯลฯ โดยเฉพาะลายปลาเป็นแบบเฉพาะของชาวสุโขทัย มีลายสัตว์น้ำอื่น ๆ เช่น หอย กุ้ง ปู อยู่ด้วย
เครื่องปั้นดินเผาสุโขทัย สามารถแข่งขันกับงานเครื่องปั้นดินเผาของจีนในตลาดต่างประเทศได้อย่างดี แม้ในปัจจุบันก็ยังเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก