บ้านแบรอจะรังเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของตำบลตะลุโบะ มีลักษณะทางภูมิศาตร์ ที่เหมาะต่อการเพาะปลูก ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยปูย่า ตา ยาย แถวนั้นมีที่ดินว่างของชาวบ้านที่ปล่อยให้หญ้าขึ้นรก มีครอบครัวหนึ่งในบรรดาชาวบ้านที่อาศัยในหมู่บ้านนั้น ริเริ่มปลูกดอกมะลิเพื่อขายให้คนที่มีอาชีพรอยมาลัยขาย นางสาวมีเนาะ ลือบานะ เล่าว่า เรื่องครอบครัวที่ปลูกดอกมะลิครอบครัวแรก เป็นการเล่าต่อๆกันมาของบรรพบุรุษ แต่ไม่มีใครรู้ว่าครอบครัวแรกที่ปลูกดอกมะลิไปขายนั้นเป็นใคร เมื่อทุกคนเห็นว่า การปลูกดอกมะลิขายนั้น สามารถสร้างรายได้เพื่อจุนเจือครอบครัวได้ดี ทุกครัวเรือนที่มีที่ดินว่าง จึงหันมาศึกษาและเริ่มปลูกดอกมะลิขาย จนเกือบทั้งหมู่บ้านเริ่มปลูกดอกไม้ขาย เดิมปลูกเฉพาะดอกมะลิ ต่อมาได้ปลูกดอกไม้เกือบทุกชนิดที่เขานำไปรอยมาลัยได้ เมื่อทุกคนเห็นว่า ดอกไม้ที่ขายไปส่วนใหญ่พ่อค้า แม่ค้าที่รับซื้อจะจ้างไปร้อยมาลัย ชาวบ้านในหมู่บ้านก็เริ่มศึกษาวิธีการรอยมาลัย เพื่อนำดอกไม้ที่ตนเองปลูกมาร้อยมาลัยเพื่อขายเอง เพราะคิดว่าน่าจะสร้างรายได้ได้มากกว่า การขายดอกไม้เพียงอย่างเดียว
ในสมัยก่อน นางสาวมีเนาะ ลือบานะ เล่าว่า บ้านเมืองยังไม่เจริญเหมือนปัจจุบัน ไม่มีวัสดุในการร้อยมาลัย พวกเขาและชาวบ้านในชุมชนจึงหาวัตถุดิบที่มีรอบๆตัว คิดค้นและใช้วัตถุดิบที่มีตามธรรมชาติมาร้อยมาลัย โดยได้ใช้กาบกล้วย มาฉีกเป็นเส้นๆและใช้ไม้ไผ่เป็นเข็มเหลาให้เล็กและแหลมเจาะรูเพื่อเสียบเป็นเข็มและกาบกล้วยต้องใช้กล้วยตานีเท่านั้นเพราะจะมีความทนทานไม่ขาดง่าย สมัยนั้นคนในชุมชนสามารถทำรายได้เพื่อเลี้ยงครอบครัวด้วยการร้อยมาลัยขายและมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนวัตถุดิบมาเรื่อยๆตามสมัยนิยมจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเริ่มมีจุดเปลี่ยนเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย ชาวบ้านเริ่มใช้เข็มมาแทนไม้ไผ่ที่เหลาใช้เชือดด้ายแทนกาบกล้วยและมีริบบิ้นเข้ามาตกแต่งพัฒนามาลัยให้ได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าสินค้าและยังสามาสรถประหยัดเวลาในการร้อยมาลัย ที่สำคัญมาลัยที่นำไปขายในปัจจุบัน สามารถขายในราคาที่สูงขึ้นด้วย
ปัจจุบันชาวบ้านในหมู่บ้านแบรอจะรัง ยังคงรักษาภูมิปัญญาการรอยมาลัย โดยได้ยึดเป็นอาชีพหลัก บางครัวเรือน ปลูกดอกไม้เอง รอยมาลัยเอง แล้วนำไปขายที่ตลาดด้วยตนเอง บางรายขายส่งให้พ่อค้า แม่ค้าที่มารับที่บ้านเพื่อไปขายที่ตลาดสดหรือวันสำคัญของเพื่อนต่างศาสนิกหรือขายตามเทศกาลต่างๆ
ผู้นำชุมชน ประธานกลุ่มแม่บ้านร้อยมาลัยตะลุโบะและสมาชิกของกลุ่มบางท่านได้เล่าว่า ตั้งแต่อดีต รุ่นโบราณ (พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย) พื้นที่นี้นิยมปลูกดอกไม้ประดับ (ดอกมะลิ ดาวเรือง บานไม่รู้เลยและดอกพุด) เกือบทุกครัวเรือน มะลิจะปลูกแบบง่ายๆ โดยการปักชำ การให้น้ำ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ตัดแต่ง กำจัดวัชพืช แมลงศัตรูต่างๆ โดยไม่ใช้สารเคมีใดๆ ในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ทุกอย่างล้วนมาจากการสังเคราะห์วัตถุดิบมาจากธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสามารถนำดอกมะลิมาลอยในขันน้ำดื่ม ทานได้อย่างมั่นใจ มีกลิ่นหอม สดชื่น การปลูกและดูแลดอกไม้ตั้งแต่เริ่มต้นปลูก จนถึงสามารถเก็บเกี่ยว ชาวบ้านแบรอจะรัง ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีในการบำรุง รักษา ต้นและดอกไม้ ทำให้มาลัยที่ร้อยไปขายในท้องตลาดมีจุดแข็ง ลูกค้าที่ซื้อไป มีความรู้สึกปลอดภัยและได้รับการตอบรับจากลูกค้าในตลาดสดจนทุกวันนี้ ปัจจุบันกลุ่มแม่บ้านร้อยมาลัยตะลุโบะ ได้จัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแล้ว เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ โดยใช้ชื่อว่า วิสาหกิจชุมชนมาลัยตะลุโบะ จนถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลานานถึง ๑๒ ปี สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว มีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง สามารถพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืนและมั่นคงตลอดไป
ผลงาน/รางวัลที่ได้รับ
๑.กลุ่มแม่บ้านมาลัยตะลุโบะ ได้นำผลิตภัณฑ์ (มาลัยดอกมะลิสด) นำไปต้อนรับ ถวายในการรับเสด็จพระเทพฯ ปี ๒๕๒๕ ณ จังหวัดนราธิวาส
๒.กลุ่มแม่บ้านมาลัยตะลุโบะ ได้นำผลิตภัณฑ์ (มาลัยดอกมะลิสด) นำไปต้อนรับ มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี (นายพลากร สุวรรณรัฐ) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ และปี ๒๕๓๙ ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี
๓.นางสาวมีเนาะ ลือบานะ ประธานกลุ่ม ได้เข้ารับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๒ จากการส่งผลิตภัณฑ์หัตถกรรม ศิลปะประดิษฐ์ การแข่งขันการร้อยมาลัยจากดอกมะลิ ในงานกาชาดจังหวัดปัตตานีประจำปี ๒๕๕๑ จากนายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี