กริชในสมัยก่อนเป็นอาวุธประจำกายที่มีไว้เพื่อป้องกันตัวของบรรดาผู้ที่มีชื่อเสียง มียศและบรรดาศักดิ์ เนื่องด้วยสภาพทางธรณีสัญฐานและบ้านเมืองในสมัยนั้น เต็มไปด้วยภัยอันตรายมากมายที่จะเข้าถึงตัว จึงต้องมีอาวุธประจำกายไว้ปกกันตัว ต้องรู้จักพึ่งพาตนเองเพื่อความสามรถอยู่รอดและปลอดภัยของชีวิต ทรัพย์สินและอาณาจักรบ้านเมือง
เมื่อเวลาผ่านไป ยุคสมัยและการปกครองบ้านเมืองเปลี่ยนแปลง“กริช”ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาวุธเพื่อป้องกันตัว ก็กลายเป็นเรื่องเล่าและตำนานที่เคยมีในประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง โดยนักวิชาการส่วนใหญ่ทั้งในอินโดนีเซีย มาเลเซียละประเทศไทย ตลอดจนถึงนักวิชาการชาวยุโรปต่างก็เชื่อกันว่ากริชเป็นอาวุธประเภทมีดหรือดาบที่มีลักษณะใบมีดที่คมทั้งสองด้าน นิยมนำมาใช้กันมากในกลุ่มชนเชื้อสายชวา มลายู และชาวภาคใต้ของไทยในอดีต
ยุคมัชปาหิต เป็นยุคสมัยที่ผู้คนนิยมพกพากริช ติดตัวอยู่ตลอดเวลา จนถึงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อความรู้เกี่ยวกับศาสนาอิสลามได้เข้ามามีบทบาทกับคนในสมัยนั้น ทำให้มีการใช้กริซลดน้อยลง เรื่องความเชื่อต่างๆเกี่ยวกับกริซเริ่มเลือนหายเรื่อยๆ จนเหลือแค่หลักการใช้กริชอย่างไรให้ไม่ขัดต่อศาสนาอิสลาม ว่ากันว่าการทำกริชในสมัยนั้นกว่าจะประกอบขึ้นมาแต่ละเล่มล้วนมีความสัมพันธ์กับปรากฎการทางธรรมชาติอำนาจชีวิตและเลือดเนื้อของเจ้าของกริช กริชเล่มหนึ่งๆอาจต้องสรรหาเหล็กถึง 20 ชนิดมาหลอมรวมกันด้วยกระบวนการและพิธีกรรมที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบตามความเชื่อและกระบวนการทางไสยศาสตร์ ความแหลมคมประดุจดังเขี้ยวเสือ และความคดประดุจเปลวไฟอันแสดงถึงความกล้าหาญและมีอำนาจ กริชนั้นถือเป็นอาวุธมงคลขจัดภยันตรายและอัปมงคล นำโชควาสนา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโลหะที่นำมาผสมกรรมวิธีรูปแบบลักษณะที่ประกอบขึ้นเป็นกริชเล่มนั้นๆ
สำหรับกริชไม้จำลองของนายกริยา แวอุมา เขาเล่าว่า จะเน้นด้ามกริชโดยให้มีจมูกยาวแหลมคล้ายปากนกกระเต็น รูปลักษณ์ที่แท้จริงคือยักษ์ในตัววายัง หรือตัวหนังของชวาที่เคยเข้ามามีอิทธิพลในศิลปกรรมท้องถิ่นดินแดนมลายู
ขณะเดียวกันก็ยังทำกริชไม้จำลองในลักษณะการแกะสลักลวดลายที่คล้ายคลึงกริชรามัน ที่รับเอาอิทธิพลมาจากช่างฝีมือชาวชวา และยังมีลวดลายแกะสลักเป็นหัวรูปไก่ หัวงูจงอาง และรูปคน ที่มีเอกลักษณ์กริชแบบกลุ่มบาหลีและมดูรา กริชแบบชวา กริชแบบคาบสมุทรตอนเหนือ กริชแบบบูฆิส กริชแบบสุมาตรา กริชแบบปัตตานี กริชแบบซุนดา และกริชแบบสกุลช่างสงขลา ปัจจุบัน
กริซกลายเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาที่สามารถถ่ายทอดและเป็นเรื่องเล่าที่สามารถพัฒนาต่อยอดให้กลายเป็นอาชีพเสริมของการดำเนินชีวิต ของนายกริยา แวอุมา เดิมเขาทำกริชขึ้นมาเพราะความชอบส่วนตัว และได้ศึกษาข้อมูลจากคนเฒ่าคนแก่ถึงความเป็นเป็นมาของกริช จนทุกวันนี้กริชได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปแล้ว มีหลายหน่วยงานที่เข้ามาติดต่อขอข้อมูลเพื่อไปเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับรู้เรื่องราวของกริชตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน
นายกริยา แวอุมา กล่าวว่า เขายินดีจะถ่ายทอดภูมิปัญญานี้ให้สังคมภายนอกได้รู้และดีใจที่ปัจจุบันยังมีคนรุ่นหลังให้ความสนใจในเรื่องราวของ “กริช”ทุกวันนี้ นายกริยา แวอูมาได้ยึดการทำกริชจำลองมาพัฒนาเป็นการทำธุรกิจการค้า มีการต่อยอดด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการทำแพคเกดจิ้งที่สวยงามและสร้างแบรนด์ให้เป็นสินค้าของตนเอง ส่งจำหน่ายให้พ่อค้า คนในชุมชนตลอดจนวางขายปลีกในโลกออนไลน์