ตังเมสดโต๊ะมูฮัมหมัด หามะ หรือ “โต๊ะเย๊าะ” พ่อค้าอารมณ์ดี ขายกันมายาวนานตั้งแต่เขาอายุ 13 ปี หลังเดินทางกลับจากประเทศจีนกับกลุ่มเพื่อนรวม 5 คน ไปแสวงหาอาชีพเพื่อหารายได้มาหล่อเลี้ยงชีวิตและครอบครัว กระทั่งทุกวันนี้
ทั้งที่มีอาชีพที่น่าสนใจมากมาย ทั้งการทำซาลาเปา ขนมเจาะหู ปาท่องโก๋ หรือโรตี ซึ่งเขาสามารถทำเองได้หมด แต่ในที่สุดกลับเลือกอาชีพพ่อค้าขาย “ตังเมสด”
“เพราะอัลลอฮฺต้องการให้ทำอาชีพนี้” โต๊ะเย๊าะ มักตอบเช่นนี้เมื่อถูกถามว่าทำไมถึงเลือกขายตังเมสด
เขาเล่าว่า ตอนเริ่มขายใหม่ๆ บริเวณนี้ยังมีแต่ต้นไม้ใบหญ้า คนอยู่อาศัยน้อยมาก ขนาดตังเมคนก็ยังไม่รู้จัก มักถามว่าคืออะไร ก็จะตอบว่าภาษามลายูเรียก “ฆูลอ” หรือภาษาอังกฤษคือ Nougat ขายเพียงชิ้นละ 1 สตางค์ เวลาขายต้องเดินขายไปเรื่อยๆ ตอนหลังพอมีจักรยานถึงได้ปั่นจักรยานขายไปตามที่ต่างๆ ทั้งปูยุด กรือเซะ ปาเระ มือยอ หรือ แดแฮ ก่อนจะย้อนกลับมาขายในจุดขายปัจจุบันนี้คือบริเวณหน้ามัสยิดปากีสถาน โดยมีลูกชายมาเป็นลูกมือคอยช่วยจัดช่วยขาย
“พอรู้ว่ามีการเปิดมหาวิทยาลัยในปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) ก็ไปขายใน ม.อ.ด้วย โดยเริ่มขยับราคาขายเป็นชิ้นละ 25 สตางค์ บางทีมีอาจารย์มาเชิญให้ไปขายในงานกิจกรรมต่างๆ ด้วย เราไม่รู้หรอกว่างานอะไร ได้แต่ก้มหน้าก้มตาขายอย่างเดียว” โต๊ะเย๊าะ บอกเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ ขณะมือก็ทำหน้าที่ดึง คลึง นวด และตัด ตังเมสดไปด้วย ตังเมสีขาวๆ มีส่วนผสมของน้ำตาล เกลือ ถั่วลิสง เวลาขายจะใช้มีดเล็กๆ ตัดเป็นชิ้นวางบนแผ่นพลาสติกใส เมื่อคนซื้อกัดกินจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมรสชาติหวานกรอบ ถั่วที่ซ่อนอยู่ข้างในเนื้อเวลาเคี้ยวแล้วกรุบกรอบ
เทคนิคการกินต้องกัดทีเดียวให้ขาด อย่ากัดดึงเพราะจะทำให้เม็ดถั่วด้านในหลุดออกมา กัดแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ เป็นการบริหารเหงือกฟันไปในตัว
ลูกค้าที่มาอุดหนุน มีทั้งเด็ก วัยรุ่น รุ่นเก๋าแก่ ซึ่งต่างคุ้นเคยกับโต๊ะเย๊าะ เพราะเป็นคนพูดคุยเฮอฮากันเอง อัธยาศัยดี เริ่มขายประมาณ 11 โมงจนถึง 3-4 โมงเย็นของแต่ละวันจนกว่าตังเมจะหมด ปัจจุบันขายชิ้นละ 7 บาท พิเศษ 3 ชิ้น 20 บาท และพิเศษกว่านั้น หากใครไปประเดิมซื้อเป็นคนแรกของวันพ่อค้าใจดีจะแถมให้อีก 1 ชิ้น รวมเป็น 4 ชิ้น 20 บาท
“ตังเมสดโต๊ะมูฮัมหมัด” กลายเป็นขนมหวานเชื่อมต่อมิตร เสมือนสัญลักษณ์ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้เกิดการพูดคุยของผู้คนในสังคมพหุวัฒนธรรมปัตตานี ทั้งผู้ซื้อ-ผู้ขาย ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชั้นศาสนา หวานรสลิ้นและลิ้มรสหวานละมุนแห่งมิตรภาพของผู้คน
อีกเรื่องหนึ่งที่พบเจอ คือเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องเทศซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ เหมาะกับสภาพภูมิศาสตร์ของบริเวณคาบสมุทร เช่น เร่ว กระวาน ขิง ข่า ขมิ้น กระชาย พริกไทย กานพลู อบเชย ดีปลี จันทน์เทศ และเป็นความต้องการทั้งในอินเดีย อาหรับ รวมถึงในเขตเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้ในอดีตเกิดการเสาะแสวงหาเครื่องเทศจนเกิด “เส้นทางเดินเรือสายเครื่องเทศ” เช่นที่ข้อความจากบันทึกของ ท่านฟากิฮฺ อาลี ใน ‘ตาริค ปาตานี’ (Tarikh Patani) สะท้อนถึงสินค้าลือชื่อยุคอาณาจักรลังกาสุกะ (Langkasuka) ต่อเนื่องมาจนถึงยุคปาตานีดารุสสาลาม และกาลปัจจุบัน ซึ่งมีทั้ง ไม้จันทน์อย่างดี เขากวาง น้ำผึ้ง ไม้ลากา ครั่ง น้ำผึ้ง ฯลฯ
เนิ่นนานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งตัดสินใจหนีความยากลำบากจากถิ่นเกิด เดินทางเผชิญโชคทางเรือจากเมืองมัทราส (Madras) หรือ เจนไน (Chennai) เมืองหลวงรัฐทมิฬนาฑู ตั้งอยู่ริมชายฝั่งโคโรมันเดลของอ่าวเบงกอล ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย เข้าสู่ประเทศไทย เพื่อเสาะแสวงหาชีวิตใหม่ ต่อเมื่อเดินทางถึงกรุงเทพฯ แล้ว จึงได้รับการชักชวนให้เดินทางต่อสู่พื้นที่ภาคใต้ โดยให้มาทำหน้าที่พ่อครัวในเมืองปัตตานี
ด้วยความอับจนหนทางในฐานะคนแปลกหน้าบนแผ่นดินใหม่ ต้องพยายามดิ้นรนหาเงินเลี้ยงชีพ เขาจึงตัดสินใจเดินทางล่องใต้สู่ปัตตานี มาทำงานลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวที่นี่ กระทั่งแต่งงานกับภรรยาซึ่งเป็นชาวอินเดียวเช่นเดีวกัน มีลูกชายคนหนึ่งซึ่งต่อมาได้สืบทอดวิชาที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารเช่นเดียวกับผู้เป็นบิดา