สุสานพญาอินทิรา หรือสุสานสุลต่าน อิสมาอีล ชาห์ ตั้งอยู่ที่หมู่ 2 บ้านปาเระ ตำบลบาราโหม อำเภอเมืองปัตตานี เป็นสถานที่ฝั่งพระศพของเจ้าเมืองปัตตานีคนแรกที่นับถือศาสนาอิสลาม พญาอินทิราเป็นโอรสของราชาศรีวังสา แห่งเมืองโกตามหลิฆัย (เมืองโบราณยะรังในปัจจุบัน) เมื่อได้สร้างเมืองปัตตานีแห่งใหม่ที่กรือเซะบานา พญาอินทิราก็ได้เป็นเจ้าเมืองปัตตานี ระหว่างปี พ.ศ.2043-2073 ได้ทรงสถาปนาเมืองปัตตานีเป็นนครปัตตานีดารุลสลามและพัฒนาบ้านเมืองปัตตานีให้เข้มแข็ง มีการหล่อปืนใหญ่ขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อใช้ในการป้องกันเมืองตามแบบฉบับของเมืองขนาดใหญ่ในยุคนั้น ในสมัยของพระองค์ เมืองปัตตานีมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปกว้างไกล ทั้งในด้านการเป็นศูนย์กลางการค้าและการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม นอกจากนั้นยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสยาม มีพ่อค้าชาติต่างๆ เข้ามาค้าขายที่เมืองปัตตานี ชาวตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาค้าขายคือ โปรตุเกส นอกจากนั้นก็มีชาวเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น สยาม และมืองมาลายูอื่นๆ เข้ามาค้าขายอย่างสม่ำเสมอ สุลต่านอิสมาอีล ชาห์ ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.2073 พระศพของพระองค์ถูกฝังไว้ที่สุสานมัรโฮม บ้านปาเระ มีหินเหนือหลุมฝังศพที่สร้างด้วยหินทราย สลักลวดลายสวยงามประดับไว้คู่กับพระศพชายาของพระองค์ในบริเวณเดียวกัน
“ลังกาสุกะ” เป็นประเทศที่ติดต่อกับสยาม มีผู้ปกครองคือ “พญาอินทิรา” อาณาเขตของลังกาสุกะนั้น ก็ตั้งแต่ประจวบคีรีขันธ์ลงมาจนสุดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน เป็นประเทศที่ร่ำรวยและก็เป็นประเทศที่เคยเป็นเมืองท่าที่มีคนอยากค้าขาย เป็นเมืองท่าที่ใหญ่ ถ้าเปรียบในสมัยนี้ ก็จะมีรูปแบบเหมือนกับประเทศสิงคโปร์ พญาอินทิรา ก็ปกครองประเทศมาจนวันหนึ่งเกิดโรคระบาดที่หมอหลวงไม่สามารถรักษาให้หายได้ ท่านจึงให้ทหารเข้าไปป่าวประกาศหาหมอที่สามารถรักษาท่านให้หายได้ ทหารจึงไปป่าวประกาศหาคนที่จะมารักษาพญาอินทิราให้หายได้ จนวันหนึ่งมีแซะคนหนึ่ง ชื่อว่า ชีคซาอิด แซะคนนี้คือคนที่จะมาอาสารักษาพญาอินทิรา ก่อนที่ท่านจะมารักษา พญาอินทิราได้ป่าวประกาศว่า ถ้ารักษาพญาอินทิราหาย จะขออะไรก็ได้ ที่ท่านสามารถที่จะให้ได้ จะยกเงินทอง หรือว่าจะขอลูกสาวท่านก็ให้ แซะคนนี้ก็ได้ทำการขอที่จะทำการรักษา และสิ่งที่แซะซาอิคได้ขอนั้น ถ้าข้ารักษาท่านพญาอินทิราหาย ข้าขอให้ท่านพญาอินทิรานับถือศาสนาอิสลาม เพราะแซะซาอิคเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา พญาอินทิรา เนื่องจากตอนนั้นได้ติดโรคระบาด มีความเจ็บปวดแสบร้อน จึงรับปากกับว่า ถ้าท่านรักษาหาย พญาอินทิรา จะเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม แซะซาอิคก็เข้าทำการรักษาพญาอินทิรา จนพญาอินทิราหายจากอาการที่แสบปวดร้อน พอเวลาผ่านไป แซะซาอิคก็มาถามพญาอินทิราว่า ถึงเวลาแล้วยัง ในเรื่องที่ท่านรับปากข้าไว้ พญาอินทิราก็บ่ายเบี่ยง ว่าไม่พร้อม ว่ามีภารกิจอื่นๆอีกมากมาย ยังไม่พร้อมที่จะนับถือศาสนาอิสลาม เพราะการเปลี่ยนศาสนาอิสลาม หลังจากนั้นแซะซาอิคก็ไม่มาถามอีก นานๆไป โรคเดิมนั้นก็กลับมาอีกพญาอินทิราได้เป็นโรคนั้นอีกครั้ง จึงให้ทหารไปตามแซะซาอิคมารักษาอีกครั้ง แซะซาอิคก็มาทำการรักษา ก่อนที่จะทำการรักษาก็มีการตกลงกันเหมือนครั้งแรก ก็คือถ้ารักษาหาย พญาอินทิราต้องเข้านับถือศาสนาอิสลาม พญาอินทิราก็รับปากอีกครั้ง แซะซาอิคก็รักษาจนหาย ต่อมาพญาอินทิราก็บอกว่ายังไม่พร้อมที่จะเข้านับถือศาสนาอิสลามจนเวลาก็ล่วงเลยไป พญาอินทิราก็กลับมาเป็นโรคนั้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ ทหารก็ไปตามแซะซาอิคมา แซะคนนี้ก็เข้ามา แต่ก่อนจะรักษา แซะได้บอกพญาอินทิราว่า ความรู้ของเขาที่เขามี เขาใช้รักษาคนได้แค่เพียง ๓ ครั้ง ถ้าสิ่งที่ท่านรับปากแล้วท่านไม่ทำ ครั้งที่ ๔ ผมก็ไม่แน่ใจว่า ผมจะรักษาท่านหายหรือไม่ เพราะความรู้ที่ผมเรียนมา ผมใช้ได้แค่ต่อคนละ ๓ ครั้ง ถ้าท่านไม่ทำตามในสิ่งที่ท่านรับปาก ผมก็ไม่แน่ใจว่าในภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะรักษาหาย พญาอินทิราก็รับปากว่าถ้าท่านรักษาหายพญาอินทิราจะเข้านับถือศาสนาอิสลาม พอหายแล้วพญาอินทิราจึงเข้านับถือศาสนาอิสลามและได้ประกาศในวันที่ท่านหายจากอาการป่วยว่า จะเข้านับถือศาสนาอิสลามและได้ปฏิญานตนเข้ารับศาสนาอิสลาม และได้เปลี่ยนเป็น“สุลต่านอิสมาอีลชาห์ซิลลุลออฮ์ฟิลอาลัม” หลังจากที่พญาอินทิรา เข้านับถือศาสนาอิสลามแล้ว พญาอินทิราก็ประกาศ ว่าให้พสกนิกรของท่าน นับถือศาสนาอิสลามด้วย ใครจะไม่รับก็ไม่เป็นไรเพราะท่านก็ไม่ได้บังคับ แต่คนที่ไม่รับต้องไปอยู่อีกส่วนหนึ่งของประเทศ ต้องไปอยู่ชานเมืองไม่ใช่อยู่ในตัวเมืองปัตตานี หลังจากนั้นก็เปลี่ยนชื่อประเทศจากลังกาสุกะมาเป็นประเทศ“ฟาฎอนี ดารุสสาลาม”