จำนวน 1 คาบเรียน
1. นักเรียนคิดว่าการสร้างประโยชน์จากผลงานคืออะไร และสามารถทำได้ด้วยวิธีใดบ้าง
2. ทำไมจึงต้องเพิ่มมูลค่าและสร้างมูลค่าให้ผลงาน
3. หลักส่วนประสมทางการตลาด (Marketing mix) หมายถึง
4. หลักส่วนประสมทางการตลาด (Marketing mix) มีองค์ประกอบอยู่กี่องค์ประกอบ อะไรบ้าง
5. นักเรียนคิดว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดผลงานใหม่ ๆ และมีความหลากหลายคืออะไรบ้าง ให้เหตุผลประกอบ
การสร้างประโยชน์
ในหัวข้อนี้มีคำที่น่าสนใจอยู่ 3 คำ คือประโยชน์ มูลค่า และคุณค่า กล่าวคือ "ประโยชน์" หมายถึงสิ่งที่มีผลใช้ได้ดีสมกับที่คิดมุ่งหมายไว้ ผลที่ได้ตามต้องการ สิ่งที่เป็นผลดีหรือเป็นคุณ เช่น ประโยชน์ของการศึกษา ประโยชน์ของโรงเรียน ส่วนคำว่า "มูลค่า" หมายถึง ค่าของสิ่งของ ราคาของสิ่งของนั้น และคำว่า "คุณค่า" หมายถึงสิ่งที่มีประโยชน์หรือมีมูลค่าสูง
ดังนั้น ทั้งสามคำจึงมีความหมายสนับสนุนกัน คือ สิ่งที่ก่อให้เกิดผลดี มีคุณค่า หรือมีผลใช้ได้ดีตามความมุ่งหมายนั้น จึงเป็นการสร้างประโยชน์ทั้งสิ้น คำว่า "มูลค่า" นั้น นอกจากหมายถึงค่าหรือราคาของสิ่งของนั้นแล้ว ในทางการตลาดยังหมายถึงการรับรู้ถึงคุณค่าทางจิตใจที่ได้จากการประเมินค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยเปรียบเทียบระหว่างสิ่งที่ได้รับกลับมากับสิ่งที่เสียไปเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาด้วย ในการสร้างสรรค์ผลงานใด ๆ ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งชิ้นงาน (ผลิตภัณฑ์) หรือวิธีการในการแก้ปัญหา ผู้สร้างย่อมคาดหวังถึงการได้รับประโยชน์ที่จะได้จากผลงานนั้น ดังนั้น การทำผลงานให้มีมูลค่าสูงขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ผู้สร้างต้องคำนึงถึงในการสร้างผลงาน
การสร้างประโยชน์จากผลงานเป็นการพัฒนาผลงานที่ต้องอาศัยการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ร่วมกับศาสตร์ต่าง ๆ รวมทั้งการใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อทำให้ผลงานมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น การสร้างประโยชน์ในที่นี้จะนำเสนอ 2 แนวทาง คือ การเพิ่มมูลค่า และการสร้างมูลค่า โดยทั้ง 2 แนวทางสามารถทำได้ทั้งผลงานของตนเอง และการพัฒนาต่อยอดผลงานของผู้อื่น พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา
การเพิ่มมูลค่า (value addition) ให้ผลงานเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการเสนอสิ่งต่าง ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่มีความแตกต่างกัน และจัดให้มีพร้อมกับผลงานนั้น ในทางการตลาดจึงเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตจัดให้มีพร้อมกับสินค้าหรือบริการที่เสนอขายในแต่ละขั้นตอนของการผลิตก่อนส่งมอบให้กับผู้บริโภค ซึ่งมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัทหรือผู้ผลิตแต่ละราย แม้ว่าจะเป็นการเสนอขายสินค้าหรือบริการชนิดเดียวกัน มูลค่าที่เพิ่มขึ้นอาจจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการก็ได้ ผู้ผลิตหลายรายประยุกต์ใช้ หลักส่วนประสมทางการตลาด (marketing mix) ซึ่งหมายถึงกลยุทธ์ทางการตลาดประเภทหนึ่ง ซึ่งผู้ผลิตนิยมนำมาใช้ในการเสนอขายสินค้าและบริการที่พบเห็นได้ทั่วไป ประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 อย่าง (4P) ได้แก่
(1) Product ตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าหรือการบริการ
(2) Price ราคาของผลิตภัณฑ์
(3) Place สถานที่จำหน่าย
(4) Promotion กิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการตลาด
ผู้ขายทุเรียนที่ตลาดสดรายหนึ่งสังเกตว่า การขายทุเรียนทั้งผล หากมีราคาสูง ลูกค้าอาจไม่มีเงินซื้อ หรือไม่ซื้อเพราะกลัวรับประทานไม่หมดแล้วต้องทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย จึงใช้วิธีแกะทุเรียนออกมาขายเป็นพูโดยไม่ใช้ถาดโฟม ราคาตั้งแต่ 25 - 100 บาท ตามขนาดและปริมาณทุเรียนในพูนั้น และห่อพลาสติกใสไว้อย่างสวยงาม ทำให้ลูกค้ามองเห็นทุเรียนที่ต้องการได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้น ยังลดราคาสำหรับทุเรียนที่เริ่มนิ่ม หรือซื้อไปแล้วเป็นทุเรียนอ่อนก็สามารถนำกลับมาเปลี่ยนได้ ทำให้ได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น และขายได้กำไรดีกว่าการขายทั้งผล ซึ่งวิธีนี้แสดงให้เห็นถึงการวิเคราะห์และเปรียบเทียบความแตกต่างด้านราคาการขายทุเรียนทั้งผลและแยกเป็นพู การวิเคราะห์ด้านสมบัติวัสดุและการเลือกใช้วัสดุ คือ พลาสติกใส่ห่อทุเรียนได้อย่างเหมาะสมโดยไม่ใช้ถาดโฟมที่ก่อให้เกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม รวมทั้งใช้ความรู้ด้านการตลาด วิเคราะห์อุปสงค์ (demand) อุปทาน (supply) เอาใจใส่ลูกค้า และมีการบริการหลังการขายที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง จึงเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์โดยการใช้ส่วนประสมทางการตลาด 3 องค์ประกอบ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ราคา และสถานที่จำหน่าย
การสร้างมูลค่า (value creation) เป็นการสร้างคุณค่าให้ผลงาน ซึ่งเน้นที่ การตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ทั้งที่เป็นวัตถุสิ่งของและทางด้านอารมณ์ความรู้สึก จึงมีความหมาย ลึกซึ้งกว่า การเพิ่มมูลค่า การสร้างมูลค่าส่วนใหญ่จะมีเป้าหมายต่อกลุ่มผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มซึ่งจะทำให้ลดการแข่งขันในท้องตลาด ธุรกิจเติบโต เพิ่มพูนรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น และสามารถขยายกิจการได้
ตัวอย่าง การสร้างมูลค่า เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์ การสร้างเทคโนโลยีเสริม การใช้ความคิดสร้างสรรค์ลักษณะต่าง ๆ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ซึ่งจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีลักษณะพิเศษ มีความริเริ่มแปลกใหม่ แตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ การสร้างมูลค่าในที่นี้จะเน้นไปที่แนวทางในการพัฒนา 2 แนวทาง คือ
(1) การพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิม หรือ การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่
(2) การขยายตลาด หรือ การหากลุ่มเป้าหมายใหม่
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใด เจ้าของธุรกิจควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
รอบรู้ในสิ่งที่ทำเป็นอย่างดี มีใจรัก อดทน ทำงานเร็ว และจริงจัง
มีการวางแผนล่วงหน้าอยู่เสมอโดยอาศัยการคิดวิเคราะห์อย่างรอบด้าน
มีนิสัยเป็นระเบียบเรียบร้อย ขยัน ซื่อสัตย์ สุจริต และมีมนุษยสัมพันธ์ดี
มีทีมงานที่เข้มแข็งและไว้ใจได้ และรู้จักการเจรจาต่อรองกับทุกฝ่าย
ศึกษาลูกค้าให้เข้าใจอย่างแท้จริง ให้ความสนใจ และใส่ใจลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ติดต่อลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ รู้จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ของตนที่มัดใจลูกค้าไว้ได้ และปรับปรุงอยู่เสมอ
บริหารเงินทุนหมุนเวียนอย่างฉลาด และแยกคำตอบแทนของตนเองอย่างชัดเจน
เป็นการสร้างมูลค่าที่เน้นตัวผลิตภัณฑ์ทั้งที่เป็นผลิตภัณฑ์เดิม หรือคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่โดยอาศัยการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น การสร้างเครื่องหมายการค้า การปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ การสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นนวัตกรรม การสร้างผลิตภัณฑ์ทางเลือกสำหรับผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม หรือผลงานที่เน้นความเป็นเอกลักษร์เฉพาะถิ่น เช่น ผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Tambon One Product : OTOP) ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องให้จาก 5 จังหวัด (ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม และยโสธร) ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง สัมโอขาวแตกกวาชัยนาท การพัฒนาลายผ้าทอท้องถิ่น เป็นต้น
เป็นการสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ หรือการบริการโดยมุ่งเน้นไปที่ตลาดหรือกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นเป้าหมายเฉพาะ มีการคาดการณ์และบริหารความเสี่ยงล่วงหน้าก่อน การขยายตลาดซึ่งต้องอาศัยข้อมูลจากการวิจัยตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคพร้อมกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์และการบริการ เช่น เกมประเภทต่าง ๆ การพัฒนาด้านการบริการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศและเชิงอนุรักษ์ ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กหรือผู้ใหญ่
นอกจากแนวทางการสร้างประโยชน์จากผลงานที่ได้กล่าวมาแล้ว นักเรียนยังสามารถนำเทคโนโลยีในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาใช้ประโยชน์ ได้แก่ เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ตัวอย่างเช่น เอไอ ที่เปรียบเสมือนสมองกลในหุ่นยนต์ปฏิบัติงานต่าง ๆ ทำให้ได้เทคโนโลยีที่สามารถประมวลผลและตัดสินใจเองได้ การใช้ไอโอที ซึ่งเป็นการพัฒนาเทคโนโลยี เครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ให้สามารถติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ทำให้มนุษย์มีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตมากขึ้น
นักเรียนเลือกผลงานของผู้อื่นที่สนใจโดยอ้างอิงแหล่งที่มาให้ชัดเจน แล้ววิเคราะห์ถึงวิธีการที่แสดงถึงการเพิ่มมูลค่า และการสร้างมูลค่าจากผลงานนั้น จากนั้นนำเสนอ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ ตามหัวข้อดังนี้
1. ชื่อผลงาน
2. เจ้าของผลงาน
3. แหล่งที่มาของผลงาน
4. วิธีการเพิ่มมูลค่าของผลงาน
5. วิธีการสร้างมูลค่าของผลงาน
ให้เวลานำเสนอ 2 - 3 นาที