ณ เดือนกรกฎาคม ปีที่สองของการระบาดของโรคโควิด โรคที่พรากชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 4 ล้านคน
โรคร้ายที่กวาดล้างทำลายมนุษยชาติในเพียงแค่แรกรุ่งอรุณแห่งศตวรรษที่ 21
อาจารย์ขุนอิน ปรมาจารย์ดนตรีแห่งแผ่นดินไทยได้ทำการรวบรวมจิตวิญญาณและปณิธาน เพื่อนำมาบรรเลงเป็นบทเพลงอันวิจิตร สวยงามไว้เป็นบทเพลงเอกจำนวนหนึ่งบทเพลง อาจารย์มีความหวังและมีความต้องการที่จะให้เสียงเพลงที่ได้บรรเลงไปได้บรรยายความเป็นไปของสิ่งที่เรียกว่าความหวังแห่งการก่อกำเนิดของสิ่งมหัศจรรย์ในธรรมชาติที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “ดอกไม้” ด้วยห้วงความคิดและด้วยท่าทีอันคิดคำนึง ท่วงทำนองอันไพเราะจึงได้ถูกบรรเลงออกมาอย่างวิจิตรผ่านความปรารถนาเบื้องลึกของจิตรกรเอกแห่งเสียงเพลง ที่ท่ามกลางความมืดมิดไร้แสงยังมีสิ่งที่เรียกว่าเสียง เสียงแห่งความหวัง กำลังใจ บัดนี้ได้ถูกสรรค์สร้างเพื่อเป็นการแสดงภาพแห่งการผลิบาน เติบโต และก้าวเดินไปบนความศรัทธา เพื่อเป็นแนวทางแห่งการเสาะแสวงหาสิ่งที่เรียกว่า “ความหวัง”
ขอบฟ้าสีเงินปรากฏขึ้นท่ามกลางเสียงครางของกระแสสายลมพายุ เมื่อใดที่สุดสิ้นทะเลคลั่ง เมื่อใดที่ถึงพร้อมเพียงพอ เมื่อนั้นแสงแดดอันอบอุ่นจะได้ตื่นขึ้นอันเป็นสัญญาณของการมาถึงของฤดูแห่งการผลิดอกออกใบ ที่กลางป่าใหญ่ ผู้หลับใหลได้ลืมตาตื่นพื้นขึ้นจากฤดูกาลจำศีลอันยาวนานจากกลิ่นหอมโชยแห่งแรกแย้มของบรรดาดอกไม้วัยเยาว์ นี่คือครั้งแรกของการที่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมามองโลก สำหรับบรรดาดอกไม้แรกแย้มต่างก็พากันส่งรอยยิ้มผ่านงานเต้นรำท่ามกลางสวนดอกไม้ ไม่ว่าจะอยู่แห่งไหน เสียงเพลงแห่งการสังสรรค์ก็ล่องลอยไปไกลตราบเท่าที่กระแสลมแห่งห้วงความหวังจะส่งผ่าน ท่ามกลางอารมณ์แห่งความหวัง เสียงเพลงแห่งงานเต้นรำยังคงดังก้องกึกไปทั่วป่าใหญ่ หลั่งไหลไปกับสายธาร บทเพลงแห่งท่วงทำนองของดอกไม้บอกเล่าเรื่องราวของความมั่นคง ความอุดมสมบูรณ์ และความรักอันไร้เงื่อนไขที่ธรรมชาติที่เรารู้จักกันในนาม “แผ่นดินแม่” ได้มอบให้ทุกชีวิตที่ได้ยินเสียงเพลงนั้น ภายในความเงียบงันของเสียงเพลงที่ดังกึกก้อง ที่ข้างในนั้นแฝงด้วยความนัย ฟังอย่างตั้งใจ เราจะได้ยินเสียงแห่งความหมายที่มีอยู่ข้างในนั้น ได้ใจความประหนึ่งว่า ‘เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอ เป็นสิ่งเสมอ ให้มา’ ดังกึกก้องวนเวียนไปอย่างไม่รู้จบ
ความหวังเป็นดังหยดน้ำเล็ก ๆ ที่ยังคงเหลืออยู่ในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ฉันใด เสียงเพลงแห่งดอกไม้ก็ฉันนั้น งานเต้นรำครั้งสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างเดียวดายท่ามกลางมหรสพไร้แสงในค่ำคืนอันมืดมิด กำลังถูกดวงตาอันมืดดำของมัจจุราชเฝ้าจับจ้องมองขึ้นมาในยามรัตติกาลราตรี
ณ งานเต้นรำ อย่างไม่สนใจคนรอบข้าง แขกที่ไม่ได้รับเชิญเริ่มกระหยิ่มยิ้มหัวเราะ บทเพลงที่ขัดแย้ง เสียงที่น่าสะอิดสะเอียน เสียงแหลม ครวญครางคล้ายกับเสียงกรงเล็บที่จิกกรีดไปบนแผ่นโลหะค่อย ๆ ดังขึ้นจนสุดท้ายกลายเป็นความบ้าคลั่ง แขกคนนั้นเริ่มเต้นรำไปบนท่วงทำนองของตัวเอง บทเพลงแห่งหายนะที่เคยหลับใหล บัดนี้ได้ตื่นขึ้น ที่ได้ยินคือเสียงเพลงแห่งการทำลายล้าง บทประพันธ์ที่ถูกเจียระไนขึ้นมาเพื่อเป้าประสงค์หนึ่งเดียวคือการทำลายล้าง ช่างสับสนและขัดแย้งในตัวเองเสียยิ่งกระไร ผู้คนมากมายสูญหาย ถูกลบเลือน เสียงเพลงสีดำครอบงำ ปกครองไปทั่วทั้งโลก เป็นทั้งเสียงและเป็นทั้งสัมผัส มันคือความหวาดกลัวอันบริสุทธิ์ แค่เพียงสบตา หายนะก็พร้อมจะมาสู่ผู้จ้องมองได้ทุกเมื่อ หากแม้หลับตาจะได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้ที่ความหวังถูกทำลาย ได้ยินแต่เสียงล้มลงไปของผู้คนที่ต้องจากไปก่อนกำหนด ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเสียงเพลงภายใต้บทเพลงที่ชื่อว่า “โควิด หมายเลข 19” กลิ่นคล้ายสนิมโลหะเก่า ๆ บทเพลงที่บรรเลงด้วยตัวเอง ละเลงทุกตัวโน้ตด้วยน้ำหมึกสีแดงคล้ำกลั่นออกมาจากทุกหายนะของชีวิตคนอื่นที่ดับสูญ
ที่ท่ามกลางความเสื่อมทราม ผู้คนที่ถูกคัดสรรถูกจัดตั้งขึ้น เสียงสีดำที่ลอยล่อง บัดนี้มันได้เปลี่ยนเป็นพยาธิ ปรสิตเกาะกินมนุษย์จากภายใน สิ่งที่มันโปรดปรานที่สุดไม่ใช่เลือดเนื้อ แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่าความสิ้นหวังของผู้หมดหวัง ลมหายใจอันรวยระริน ระหว่างเวลาที่เหลืออยู่กับการมาถึงของปาฏิหาริย์ ดูเหมือนจะต้องใช้ปาฏิหาริย์อีกขั้นที่สูงขึ้นไป เหมือนความเป็นไปไม่ได้ในความเป็นไปไม่ได้ ในที่สุด กลุ่มคนที่ไม่น่าจะมาถึงในที่สุดก็มาถึง บรรดาดาบและโล่ห์ที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากความปรารถนาในการดิ้นรนเพื่อให้รอด บัดนี้มากองอยู่ตรงหน้า ที่เดินเข้ามาอย่างไม่น่าเชื่อคือกลุ่มผู้ที่ถูกเลือกเพื่อให้มารักษาชีวิต ในทุกการสัมผัสที่ได้รับจากผู้ถูกเลือก แทบในทันที โรคร้ายถูกขจัดจนหมดสิ้น ความหวังเริ่มปรากฏ แต่กระนั้นดูเหมือนว่าความหวังจะมีเฉพาะต่อเมื่อได้มองดูใกล้ ๆ แม้ภาพที่กำลังเห็นอยู่เหมือนว่าจะดี แต่ในขณะที่ทั้งป่ากำลังล้ม การกระทำการรักษาชีวิตที่ยังเหลืออยู่บนต้นไม้หนึ่งต้นนี้จะเรียกว่าภารกิจเพื่อการธำรงไว้ซึ่งชีวิตได้หรือไม่
ท่ามกลางความเป็นความตาย พวกเราทุกคนต่างเดินทางสู่ดินแดนแห่งความหวังบนเส้นทางที่สร้างด้วยเส้นเชือก ช่างสั่นคลอน ความตึง ความเครียดกระจุก สะสมในเกลียวเชือกใกล้ถึงจุดที่จะขาดอยู่รอมร่อ บนความเปราะบางนี้ทำให้ได้รู้ว่า ก้าวเล็ก ๆ ทุกก้าวที่เพิ่มเข้ามาในสมการเส้นเชือกนี้ล้วนมีส่วนในการทำให้ทางเดินบนเส้นเชือกนี้ขาดสะบั้นได้ในทุกเมื่อ
ในขณะที่เมื่อมองออกไปจากชีวิตที่ยังเหลืออยู่ ทำให้รู้ได้ในทันทีว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะก้าวต่อไปบนสะพานที่แขวนตัวอยู่บนปากเหวแห่งหายนะนี้ ในวินาทีอันเลวร้าย แม้มันจะดูเลวร้ายสักเท่าไร หากผู้ใดที่เคยได้สัมผัสเสียงเพลงแห่งดอกไม้จะรู้ได้ในทันทีว่า แสงสว่าง ความหวัง และพลังแห่งแรงศรัทธานั้นไม่เคยตาย ยังวนเวียนอยู่ในหัวใจของผู้ที่เชื่อมั่นว่าในวันพรุ่งนี้ ยังมีสิ่งที่เรียกว่าลมหายใจ และชีวิตรออยู่ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ทุกครั้งที่หลับตา งานเต้นรำของบรรดาดอกไม้ที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีอย่างไม่มีเงื่อนไขจะปรากฏขึ้นในทุก ๆ ครั้ง อาจารย์ขุนอิน หนึ่งในผู้ที่จดจำได้ในท่วงทำนองแห่งดอกไม้นั้นได้ บัดนี้ได้ทำการบรรเลงบทเพลงอันแสนวิเศษบทนั้นลงมาบนฝืนผ้าใบแห่งเสียงเพลงฝืนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ หากฟังอีกครั้งก็ยังจะได้ยิน...
‘เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอ เป็นสิ่งเสมอ ให้มา’