จากการโปรโมทค่านิยมเรื่องของ Soft Power ที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในสังคมทำให้หลาย ๆ คนเริ่มมีความตื่นรู้ในเรื่องของการรับรู้โลกของงานศิลปะมากขึ้น ต่างคนก็มีความคิดกันไปต่าง ๆ นา ๆ บ้างก็ว่าศิลปะคือความสวยงาม บ้างก็ว่าศิลปะคือความเป็นชาติ บ้างก็ว่าศิลปะคือศาสนา ต่าง ๆ นา ๆ ว่ากันไป ภายใต้การตีความกันอย่างมากหลายนี้ ทำให้ผู้คนเกิดความงง ๆ กันไปว่าแท้จริงแล้วศิลปะมันคืออะไรกันแน่ วันนี้ UW Cast มีความภูมิใจที่จะนำเสนอมุมมองง่าย ๆ เกี่ยวกันศิลปะ วันนี้เราขอนำเสนอศิลปะ 2 ประเภทหลัก ๆ ที่เรามันจะเห็นกันได้ในสังคม ซึ่งงานศิลป์แต่ละอย่างก็มีวิธีการคิด สร้าง และรับชมในแบบที่มีความแตกต่างกัน
ศิลปะในรูปแบบต่างๆ มากมาย ทอผ้าหลากสีสันที่ทอดยาวเกินขอบเขตของผืนผ้าใบและผนังแกลเลอรี ในการสำรวจนี้ เราพบว่าตัวเองอยู่ตรงทางแยกของสองอาณาจักรที่แตกต่างกัน: ศิลปะเชิงพาณิชย์และวิจิตรศิลป์ เสาหลักคู่ของโลกศิลปะเหล่านี้ แม้จะดูแตกต่างออกไป แต่ก็มีการเต้นรำที่สลับซับซ้อนซึ่งช่วยเสริมภูมิทัศน์ทางการมองเห็นของเรา
เรามาเริ่มกันที่พาณิชย์ศิลป์กันก่อน อันดับแรก เราต้องเข้าใจว่ามันคืองานที่เน้นการเอาเป้าหมายเป็นหลัก เป็นงานที่ซึ่งวัตถุประสงค์นำแล้วผลิตผลงานให้ตรงตามความต้องการตามหลักสุนทรียศาสตร์
เพราะในโลกการค้าที่พลุกพล่าน มีความต้องการในการสร้างการสื่อสารทางการตลาดมากมาย มีเงินทอง โอกาส มีได้มีเสียเยอะ นั่นคือจุดเริ่มต้นสิ่งที่เรียกว่างานพาณิชย์ศิลป์ขึ้น ในการเดินทางสายพาณิชย์ศิลป์นี้ ศิลปินจะเริ่มต้นการเดินทางตามจุดประสงค์ พูดได้อีกอย่างหนึ่งคือศิลปะเชิงพาณิชย์ก็เหมือนกับกิ้งก่าคาเมเลี่ยนที่มันจะสามารถที่จะปรับเฉดสีให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าและเป้าหมายทางธุรกิจได้ จังหวะของมันเกิดขึ้นโดยเจตนา เป้าหมายหลักของงานพาณิชย์ศิลป์คือการมุ่งหมายการขับเคลื่อนโดยการศึกษาสถิติในเรื่องของเป้าหมายของการสื่อสาร ลองนึกภาพโฆษณาที่มีชีวิตชีวาหรือบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน กว่าจะออกมาเป็นงานเหล่านี้ได้ มันมีการผ่านการสำรวจและการวิจัยทางการตลาดมากมาย มีมูลค่าการวิจัยที่มีราคาสูง เรียกว่าหลักล้านขึ้นไป งานวิจัยและข้อมูลทางการตลาดเหล่านี้จะเป็นตัวตั้งเพื่อให้ผู้ผลิตผลงานได้เดินไปตามตัวเลขที่ผลงานวิจัยได้ทำออกมา ซึ่งหากทำได้อย่างถูกต้อง อยู่ในร่อง ในรอย มันก็จะออกมาเป็นผลจากงานศิลปะเชิงพาณิชย์อย่างที่เราได้เห็น ๆ กัน ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะพบว่า พื้นที่แห่งพาณิชย์ศิลป์ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่สำหรับการแสดงออกเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดข้อความทางการค้า การขายแนวคิดของผลิตภัณฑ์ที่ซ่อนอยู่ในผลงาน และแทรกซึมตัวเองเข้าสู่ผู้ชมเฉพาะกลุ่มที่ได้รับการออกแบบมาอย่างแยบยล ชาญฉลาด
"เวลาและงบประมาณ" คือสิ่งสำคัญในอาณาจักรนี้ และแน่นอน ศิลปินก็ต้องใช้ชีวิตภายใต้ข้อจำกัดด้านกำหนดเวลาและงบประมาณ ประสิทธิภาพเมื่อมาบรรจบกับความคิดสร้างสรรค์ในขณะที่ศิลปินเชิงพาณิชย์จะเป็นผู้เสกสรรค์ นำวิสัยทัศน์มาสู่สายตาของผู้ชมกลุ่มเป้าหมาย ขอเน้นย้ำอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่า สำหรับงานพาณิชย์ศิลป์ งานของพวกเขาไม่เพียงแต่จะต้องน่าดึงดูดใจลูกค้าเท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับเทรนด์และเป้าหมายทางการตลาดในปัจจุบันอีกด้วย ภายใต้ผืนผ้าของการตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย มันเป็นการลงทุนด้านการประชาสัมพันธ์ มันเป็นโลกแบบไดนามิกที่การแสดงออกของศิลป์จะวาดลวดลายไปสู่ลูกค้าผู้มีศักยภาพ มุ่งตรงสู่หัวใจของผู้บริโภค
หันกลับมามองอีกทาง คือ งานวิจิตรศิลป์ ซึ่งมันคือประหนึงกับงานซิมโฟนีแห่งการแสดงออกส่วนบุคคล
ในการก้าวเข้าสู่อาณาจักรแห่งงานวิจิตรศิลป์ ที่ซึ่งผืนผ้าใบกลายเป็นประตูสู่จิตวิญญาณของศิลปิน ในที่นี้ จังหวะของงานไม่ได้ถูกกำหนดโดยความต้องการของตลาด แต่ขึ้นอยู่กับโรงมหรสพที่ก้องกระหึ่มที่ภายในของศิลปินผู้ให้อารมณ์ บรรจงลงความคิด และสะกิดเปิดมุมมองของโลกที่พวกเขามี โลกวิจิตรศิลป์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นดินแดนแห่งอิสรภาพ เป็นพื้นที่ที่ความคิดสร้างสรรค์ได้กระโจนสู่โลกความเป็นจริง เป็นช่องประตูมีมีไว้เพื่อส่องสำรวจดินแดนที่ไม่เคยมีมาก่อน
งานวิจิตรศิลป์เชิญชวนให้เราไตร่ตรอง พิเคราะห์ พิจารณา เพื่อคลี่คลายความหมายในแต่ละลายเส้น แต่ละตัวโน๊ด และแต่ละอักษร งานวิจิตรศิลป์ควรจะถูกจัดแสดงอย่างอย่างเหมาะสม ซึ่งโดยมาก งานวิจิตรศิลป์จะถูกจัดแสดงในแกลเลอรีและพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้ง่ายในการถูกเข้าถึงโดยผู้ชมที่กว้างขวางขึ้น โดยการเชิญชวนให้พวกเขามีส่วนร่วมกับสิ่งที่ลึกซึ้งและเป็นนามธรรม มันไม่ได้เกี่ยวกับการขายสินค้า ไม่เกิียวข้องกับการรับใช้พระเจ้า ไม่เกี่ยวข้องกับอุดมการณ์ทางการเมือง แต่มันเป็นการเสนอประสบการณ์ ที่เชิญชวนให้ผู้ผ่านไปมาได้เข้ามาสำรวจทิวทัศน์ในจินตนาการของศิลปินผู้สร้างผลงาน
ทว่าในผืนพรมศิลปะอันยิ่งใหญ่นี้ มันมีความไพศาลมากพอที่จะทำให้ขอบเขตระหว่างงานเชิงพาณิชย์และงานวิจิตรศิลป์พร่ามัว ศิลปินหลายคนท่องไปในพื้นที่นี้ได้อย่างงดงาม พวกเขาสร้างการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างจุดประสงค์ทางการตลาดและการแสดงออกส่วนบุคคลได้อย่างมีความแยบยล มันเป็นงานเต้นรำที่มีความหลากหลาย วันหนึ่งอาจพบว่าศิลปินสร้างโฆษณาที่น่าดึงดูดใจ ในขณะที่ในวันถัดไปพวกเขาอาจจะหันมาสร้างสรรค์ผลงานที่เปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์สำหรับแกลเลอรีในอีกวันก็เป็นไปได้
คำถามเกิดขึ้นบ่อย ๆ คือ แล้วศิลปินควรมีเจตจำนงอิสระหรือไม่? พูดได้อีกอย่างหนึ่งคือศิลปินควรผูกพันกับความคาดหวังทางการค้า หรือที่แท้ พวกเขาควรจะได้มีอิสระที่จะสำรวจความลึก เดินทางสู่หนทางของการแสดงออกส่วนบุคคล? ตรงนี้ต้องตอบว่า คำตอบอาจอยู่ที่การสร้าง "สมดุลที่ละเอียดอ่อน" โดยแนะนำว่าศิลปินควรใช้เจตจำนงเสรีเพื่อส่องสำรวจความสุดโต่งของโลกสองใบ พาณิชย์และวิจิตรศิลป์ ด้วยการมีเจนจำนงอิสระ ทำให้ศิลปินเลือกได้ว่า เมื่อใดควรทำให้อะไร ๆ สอดคล้องกับข้อเรียกร้องภายนอก และเมื่อใดกัน ที่จะปล่อยให้เสียงภายในนำทางกระบวนการสร้างสรรค์
ที่สำคัญคือ ในยุคดิจิทัลที่เรากำลังอยู่กันนี้ มันได้พังทลายข้อจำกัดที่สุดขั้วเหล่านี้ออกไป
ในปัจจุบัน ศิลปินสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มที่ให้บริการที่หลากหลาย มีทั้งที่ ๆ ให้ศิลปินสามารถแสดงผลงานทั้งเชิงพาณิชย์และงานวิจิตรศิลป์ได้อย่างไม่ยากเย็นจนเกินไปนัก อีกอันที่น่าสนใจก็คือสื่อโซเชียลมีเดียที่ในตอนนี้มันได้กลายเป็นผืนผ้าใบในตัวเอง เชื่อมโยงศิลปินกับผู้ชมที่หลากหลาย ทำให้ศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นทั้งสายพาณิชย์และสายวิจิตรได้ปรับปรุงวิธีที่ผู้ชมจะได้มารับรู้และชื่นชมงานศิลปะได้อย่างสร้างสรรค์
บทสรุปก็คือ ทั้งผู้สร้างและผู้ชม เราทั้งคู่โชคดีมาก ๆ ที่เราได้มีชีวิตอยู่ในยุคที่เรามีผืนผ้าใบแบบครบวงจร
ที่อยากจะบอกก็คือ ในการเดินทางผ่านอาณาจักรแห่งการค้าและวิจิตรศิลป์ครั้งนี้ เราก็ได้ค้นพบไปพร้อม ๆ กันแล้วว่า ภายใต้ความแตกต่างเหล่านี้ ที่แม้มันจะมีอยู่ในปัจจุบัน แต่กระนั้นมันก็หาใช่ ไม่ได้เป็นกำแพงที่แข็งแรงอะไร แต่เป็นประหนึ่งกันกระดาษสาบาง ๆ ที่ซึ่งอณุญาตน้ำหมึกสองสีของทั้งสองโลกได้สามารถซึมผ่านเข้าหากันได้ ณ โลกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหลากหลาย ด้วยการเปิดใจยอมรับผ่านทัศนคติเชิงบวก สิ่งนั้นจะเป็นการอณุญาตให้งานจากทั้ง 2 โลกได้อยู่ร่วมกันได้ มันเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กันและกันผ่านการการเต้นรำที่มีชีวิตชีวาผ่านผลังแห่งความหวัง และการมีความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้น ไม่ว่าเราจะพบว่าตนเองหลงใหลในจังหวะของศิลปะเชิงพาณิชย์ที่มีจุดมุ่งหมาย หรือไม่ว่าจะเป็นการดำดิ่งลงสู่ห้วงลึกของการใคร่ครวญผ่านประตูงานวิจิตรศิลป์ ขอให้เราเปิดรับสเปกตรัมความหลากทางศิลปะนี้ทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้ว ภายในการแสดงออกที่หลากหลายเหล่านี้ยังมีความงดงามของ ภาพที่เราทุกคนกำลังแบ่งปันกัน ที่ซึ่งเป็นภาษาที่สื่อผ่านถึงหัวใจ ผ่านความนึกคิด และผ่านจิตวิญญาณ และไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือเวลาใด ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง ศิลปินผู้ซึ่งถือพู่กันแห่งเจตจำนงเสรี จะยังคงวาดภาพผลงานชิ้นเอกแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ตลอดไป