เมื่อไม่นานมานี้ เราได้รับคำถามจากผู้ฟัง ถามมาว่า ในสังคมเราสมัยนี้เน้นย้ำเรื่องของ Social Equlity หรือความเท่าเทียมกันในสังคม ผู้ฟังของเราเลยถามเราครับว่า เอาจริง ๆ ว่า สิ่งปรากฏภายนอก เช่น ข้าวของเครื่องใช้ Life Style ที่ดูหรูหรา รวมไปถึงการมีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามมีผลต่อความสำเร็จหรือไม่ หรือจริง ๆ แล้ว การรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมที่มันไปไหนไม่ได้เพราะคนเรามันไม่เท่ากันจริง ๆ เพื่อตอบต่อข้อสงสัย วันนี้รายการ UW Cast จึงความความภูมิใจที่จะนำเสนอข้อเท็จจริงเพื่อที่ทุกท่านจะได้นำไปประกอบข้อมูล เพื่อที่จะได้มีภาพกว้างที่ชัดเจนมากขึ้น สำหรับวันนี้ขอนำเสนอตอน ความงามที่เฉดฉาย ความจริงหรือภาพลวงตา
ณ วันนี้เราปฏิเสธไม่ไดจริง ๆ ว่าผู้คนชอบที่จะเห็นของสวย ๆ งาม ๆ คนจะชอบคนที่มีความสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งที่ภายในและภายนอก ผมจะไม่บอกว่าความสวยงามภายในไม่สำคัญ แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะเรามีแนวโน้มที่จะชอบหาคำอธิบายของการปรากฏ ว่า อ๋อ ที่มันเป็นอย่างนี้เพราะอย่างนี้ อย่างโน้น คาดเอากันไปต่าง ๆ นา ๆ จะเห็นได้ว่าการปรากฏ ย่อมมีผลต่อที่มาที่ไม่ได้ถูกเปิดเผย ซึ่งสิ่งนี้นี่เองที่เราเรียกกันว่า Halo Effect ความว่า Halo แปลว่ารัศมีเปล่งประกาย เฉดฉาย
ขอเล่าให้ฟังอย่างนี้ครับว่า จิตใจของมนุษย์เป็นเครือข่ายของกระบวนการรับรู้ที่ซับซ้อน และความซับซ้อนนี้เองที่จะเป็นตัวกำหนดรูปแบบการรับรู้และการตัดสินของเราทุก ๆ คน ท่ามกลางอคติ ภาษาอังกฤษ เราเรียกว่า Bias ความรู้ ความเข้าใจที่เรามีมาส่งผลต่ออิทธิพลต่อความคิดของเราซึ่งนั้นทำให้ Halo Effect เป็นปรากฏการณ์ที่น่าทึ่ง Halo Effect ส่งผลโดยตรงต่อจิตวิทยา และแน่นอน ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเรา เพื่อให้เห็นแจ้งเป็นจริง เราอยากจะเล่าเรื่องนี้บนหลักฐานการวิจัยเชิงประจักษ์และตัวอย่าง Use Case ในโลกแห่งความเป็นจริงไปพร้อม ๆ กัน
อันดับแรก เรามาเจาะลึก ทำความเข้าใจกับ Halo Effect กันก่อน ในปี 1920 Halo Effect ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกโดย Edward Thorndike ว่าด้วยเรื่องของอคติทางความคิด ซึ่งกล่าวไว้ว่า ความประทับใจโดยรวมของเราเกิดจากการที่สมองของเราพยายามจะเติมเหตุและผลอย่างไร้หลักฐานต่อความประทัปใจที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า หมายความว่า หากเรามีความประทับใจเชิงบวกต่อใครคนใดคนหนึ่งโดยพิจารณาจากแง่มุมใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว เราก็มีแนวโน้มที่จะขยายผลเชิงบวกนั้นไปยังแง่มุมที่ไม่เกี่ยวความเกี่ยวข้องกันด้วย และในทางกลับกัน การได้สัมผัสกันความประทัปใจเชิงลบในด้านหนึ่งก็ย่อมจะส่งผล บดบังลักษณะความเป็นจริงของคน ๆ นั้นได้เช่นกันด้วย
เรื่องนี้ ต่อยอดให้การศึกษาของ Richard Nisbett และ Timothy Wilson ได้ทำการศึกษาต่อไปถึงเรื่อง "การปรากฏบอกเล่าเรื่องราวมากกว่าที่เรารู้" โดยงานวิจัยนี้ได้ได้เจาะลึกอธิบายถึงกลไกที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินของเรา โดยงานวิจัยของ Richard Nisbett และ Timothy Wilson ได้เผยให้เห็นว่าบุคคลต่าง ๆ นอกจากจะเชื่อมั่นจากการปรากฏอย่างที่ Edward Thorndike ได้ทำกาศึกษามา พวกเขายังค้นพบอีกว่า การปรากฏมักจะสร้างคำอธิบายที่จะไปเติมเต็มเบื่องหลังการตัดสินใจของผู้คนอย่างไร้หลักฐาน เป็นปรากฏการณ์ที่บ่งชึ้ว่าสมองของเราไม่ได้ทำงานอย่างตรงไปตรงมา แต่ในทางตรงกันข้าม มันเป็นการทำงานแบบที่ตั้งอยู่บนความอคติล้วน ๆ ซึ่งงานวิจัยนี้ยิ่งเป็นตัวตอกย้ำถึงการมีอยู่ของสิ่งที่เรียกว่า Halo Effect ว่ามันมีอยู่จริง และมันจะยังคงมีอยู่ต่อไป
ยกตัวอย่างแบบบริษัทกันก่อน เช่น Apple ความสำเร็จของบริษัท Apple ที่ได้มีการนำใช้ Halo Effect แบบเต็ม ๆ สำเร็จของบริษัท Apple Inc. เราจะเห็นได้ว่าพวกเขาเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยและการสร้างภาพแบรนด์ที่มีความเป็นนวัตกรรมในแบบของ Apple การปรากฏนี้ได้สร้างความประทับใจโดยรวมในเชิงบวกผ่านการโฆษณาของพวกเขา การปรากฏนี้ส่งผลต่อผู้บริโภคที่ประทับใจในความสวยงามที่ปรากฏของของผลิตภัณฑ์ของ Apple ซึ่งแน่นอน ตามหลักของ Halo Effect ความประทัปใจนี้ก็ย่อมจะขยายความรู้สึกเชิงบวกเหล่านี้ไปยังด้านอื่น ๆ ที่ Apple ไม่ได้กล่าวไว้ เช่น ความคูล ความเป็นมืออาชีพ และความน่าเชื่อถือของผู้ใช้ไปด้วยโดยปริยาย ซึ่งนี่เองคือหัวใจภายใต้แต่ละคำพูด แต่ละภาพโฆษณาที่กลั่นออกมาอย่างปราณีตโดย Apple เพื่อหวังผลให้เกิน Halo Effect ซึ่งก่อให้เกิดความสำเร็จอย่างมหาศาล
โดยในชีวิตของเรา ในการโต้ตอบในแต่ละวัน Halo Effect ก็สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยต่อวิธีที่เรารับรู้และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ด้วย ตัวอย่างเช่น ความน่าดึงดูดทางกายมักนำไปสู่การสันนิษฐานอย่างไร้เหตุผลว่า เนี่ย หน้าตาดีแบบนี้ เขาต้องเป็นคนที่ฉลาดมาก ๆ แน่ ๆ เลย แล้วก็ต้องเป็นคนดีย์ มีน้ำใจ โอ้ และเข้าคนนั้นก็ต้องมีความสามารถด้วยนะ เรียกได้ว่า กาวกันไปอย่างสุดขั้วอย่างไม่รู้เนื้อรู้ต้วกันเลยทีเดียว กระนั้น การตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของ Halo Effect จะสามารถทำให้เราฉุกคิด กระตุ้นให้บุคคลตั้งคำถามต่อการตัดสินใจของตนเอง และมันยังทำให้เราได้ อย่างน้อย พยายามทำความเข้าใจคนรอบข้างให้ลึกซึ้งมากขึ้น
อีกอันหนึ่งที่เราจะเห็นได้บ่อย ๆ เลยก็คือการสัมภาษณ์งานและการตัดสินใจจ้างงาน ใช่ครับ Halo Effect ก็ส่งผลต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก การไม่ตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของ Halo Effect จะทำให้หลาย ๆ ครั้ง บริษัทต้องมาแบกรับต่อการตัดสินใจจ้างงานที่ผิดพลาด ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่า ในบริบทของการสัมภาษณ์งานและการตัดสินใจจ้างงาน หากผู้ให้สัมภาษณ์สามารถสร้างความประทับใจแรกได้ Halo Effect ก็อาจจะทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกไปว่าคนที่มาสมัครงานนั้นเป็นคนที่มีความสามารถดี แม้จะไม่ได้เป็นในด้านที่เกี่ยวข้องกันกับงานที่สัมภาษณ์อยู่ ซึ่งนั้นอาจส่งผลให้เกิดการตัดสินใจจ้างงานที่มีอคติก็เป็นไปได้
เมือเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะรับมือกับอคติในใจเราได้อย่างไร อยากจะบอกอย่างนี้ครับว่าการรับมือกับ Halo Effect นั้นก็ไม่ได้เป็นอะไรที่ยากจนเกินไป โดยมากคือ เราต้องมีสติ ไม่ปล่อยอะไรให้ไหลไปตามใจตัวเอง อันนี้คือสิ่งที่สำคัญ การตระหนักรู้เป็นก้าวแรกในการบรรเทาผลกระทบของ Halo Effect บุคคลสามารถท้าทายที่บ้งของตนได้ครับ โดยการแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อประกอบความเข้าใจที่มากขึ้นอย่างมีสติและการคิดอย่างมีโครงสร้าง มีหลักการในการคิด คิดตามหาหลักฐานเชิงประจักษ์ต่าง ๆ รวมถึงการยึดมั่นในวัตถุประสงค์ว่าจริง ๆ แล้วเราต้องการอะไร เพิยงเท่านี้ เราก็จะสามารถชลดอิทธิพลของ Halo Effect ได้เป็นอย่างดี มันจะช่วยทำให้คุณได้เป็นคนที่ตัดสินใจที่เที่ยงตรงและอิงตามคุณธรรมมากขึ้น
โดยสรุป Halo Effect เป็นอคติทางปัญญาครับ มันเป็นพลังที่แรงมาก ๆ เสียด้วย ซึ่ง Halo Effect นี้เองที่จะเป็นตัวกำหนดรูปแบบการรับรู้ของเรา ส่งผล มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเราในด้านต่าง ๆ ของชีวิต ตั้งแต่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลไปจนถึงการสัมภาษณ์งาน อคติของ Halo Effect นี้อาจส่งผลที่ตามมาในวงกว้าง แต่ด้วยการทำความเข้าใจกลไกทางจิตที่เกิดขึ้นภายในเรา การตระหนักรู้เพื่อลดผลกระทบจาก Halo Effect ดังกล่าว บุคคลและองค์กรต่างๆ จะสามารถเดินทางสู่การตัดสินใจที่ยุติธรรมและเป็นกลาง ส่งเสริมสังคมที่เท่าเทียม และรอบรู้มากขึ้น สุดท้ายคิด Halo Effect อย่างน้อยที่สุด จะทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจว่า จิตใจของเราไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างที่เราคิดเสมอไป และความพยายามที่จะทำความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับกระบวนการรับรู้ของเรา สามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่รู้แจ้งและยุติธรรมยิ่งขึ้น