เป็นยาสำเร็จรูปที่ใช้ในการบำบัดรักษาความเจ็บป่วยมีตัวยาหลายชนิด แต่ละชนิดมีทั้งคุณและโทษ การใช้ต้องะมัดระวังรอบคอบ เพราะจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้ได้เสมอ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้กำหนดให้เป็นยาอันตราย เช่นยาปฏิชีวนะยาอันตรายที่ควรทราบ คือ “ยาปฏิชีวนะ” ซึ่งเป็นยาที่ได้จากเชื้อราหรือแบคทีเรียบางชนิด ที่สามารถหยุดยั้งการเจริญและทำลายแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์อื่น ๆ โดยทั่วไปรู้จักกันในชื่อของยาฆ่าเชื้อ ยาแก้อักเสบหรือยาแก้หนอง ยาปฏิชีวนะปัจจุบันยาประเภทนี้ได้ทวีความสำคัญขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และนิยมกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากยาปฏิชีวนะสามารถรักษาโรคที่เกิดขึ้นกับแบคทีเรียได้มากมายและมีประสิทธิภาพ บางขนานยังใช้รักษาโรคที่เกิดขึ้นกับเชื้อจุลินทรีย์ชนิดอื่น ๆ อีก เช่น เชื้อบิดเชื้อรา และไวรัสและยังใช้รักษาโรคมะเร็งบางชนิดได้ด้วย การใช้ยาปฏิชีวนะจำเป็นต้องศึกษาชนิดของเชื้อโรคให้แน่เสียก่อนยาอย่างไหน ขนาดใด จึงจะเหมาะกับชนิดของเชื้อโรคนั้น เป็นเรื่องของแพทย์โดยเฉพาะไม่สมควรที่จะหายาเหล่านี้มารักษาเอง
ผู้ป่วยที่แพ้ยานั้น อาจเกิดผื่นขึ้นหรือถึงกับช็อคตายหรืออาจเกิดจากพิษของยาโดยตรงเช่น ยาบางอย่างเป็นพิษต่อไตนอกจากนี้ยาปฏิชีวนะยังมีผลทางอ้อม ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนหรือซ้ำเติมได้ พวกนี้มักเกิดในรายที่ใช้ยาออกฤทธิ์กว้างยาจะไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในร่างกายตายหมด เหลือแต่ตัวที่ดื้อยาเท่านั้น อาการที่พบบ่อย คือ อาการท้องเดินหรือราขึ้นในปาก อาการที่รุนแรง คือ ตาย ซึ่งพบได้บ่อย
ยากลุ่มเตตร้าซัยคลินซึ่งเป็นพิษต่อตับ ทำให้เกิดท้องเดิน เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบไม่ควรใช้ จะทำให้ฟันเหลืองและผุได้ง่าย และกระดูกที่กำลังสร้างกร่อนไป และยาคลอแรมเฟนิคอล จะลดไขกระดูก ทำให้มีอาการซีด เลือดออกตามตัว เม็ดเลือดขาวลดลงเกิดการติดเชื้อง่าย รองลงมาคือ ยากลุ่มสเตร็ปโตมัยซิน ซึ่งยานี้ให้โดยการฉีด ปัจจุบันมีประโยชน์น้อยมาก เชื้อส่วนใหญ่ดื้อต่อยานี้มีใช้มากในพวกที่เป็นวัณโรคยากลุ่มเพนิซิลิน หากแพ้ยานี้จะเกิดผื่นขึ้นตามตัวหรือมีไข้ มีอาการซีด อาจรุนแรงถึงช็อคได้หากเก็บไว้ในที่ร้อนจะทำให้ยาเปลี่ยนไปเป็นสารที่ทำให้แพ้ง่ายขึ้น