ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงประกอบด้วยอวัยวะ 2 ส่วน คือ ส่วนที่เห็นได้จากภายนอกและส่วนที่อยู่ภายในร่างกาย แต่ละส่วนมีหน้าที่แตกต่างกันไป ดังนี้
ส่วนที่เป็นอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ได้แก่ แคมเล็ก แคมใหญ่และคลิทอริส เต้านมและต่อมน้ำนม ช่องคลอดและเยื่อพรหมจารี
ส่วนที่เป็นอวัยวะสืบพันธุ์ภายใน ได้แก่ รังไข่ ปีกมดลูก 2 ข้าง มดลูก ปากมดลูก
ในบทความนี้จะกล่าวถึงหน้าที่และการทำงานเฉพาะอวัยวะสืบพันธุ์ภายในของเพศหญิงเท่านั้น เพื่อเป็นการปูพื้นไปสู่เรื่องการคุมกำเนิดและยาเม็ดคุมกำเนิด อวัยวะที่จัดเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ภายในของเพศหญิง ได้แก่ รังไข่ ปีกมดลูก มดลูก และปากมดลูก
ผู้หญิงมีรังไข่ 1 คู่ แขวนอยู่ในช่องท้องกึ่งกลางระหว่างกระดูกเชิงกรานซ้ายและขวาข้างละ 1 อัน ยึดกับมดลูกและปีกมดลูกด้วยเนื้อเยื่อที่มาจากมดลูก รังไข่มีรูปร่างรีแบนขนาดยาว 2.5-5 เซนติเมตร กว้าง 1.5-3 เซนติเมตร และหนาประมาณ 0.6-1.5 เซนติเมตร
รังไข่ทำหน้าที่สำคัญ 2 อย่างคือ
สร้างไข่อ่อน
ผลิตฮอร์โมนเพศเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน
ถ้าผ่ารังไข่ออกตามขวางจะพบว่าภายในรังไข่ประกอบด้วยถุงไข่หรือเรียกอีกอย่างว่าฟอลลิเคิลจำนวนมาก ในถุงไข่แต่ละใบประกอบด้วยเซลล์ไข่อ่อนหนึ่งฟองมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 25 มิลลิเมตร เมื่อแรกคลอดในรังไข่ทั้ง 2 ข้าง จะมีถุงไข่ประมาณ 2 ล้านใบ แต่เมื่อโตขึ้น ถุงไข่ส่วนหนึ่งจะฝ่อไปเรื่อย ๆ จนเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นจะเหลือถุงไข่ประมาณ 4 แสนใบ โดยในจำนวน 4 แสนใบนี้จะมีประมาณ 400-500 ใบนั้น ที่มีไข่อ่อนที่สามารถเจริญเติบโตเต็มที่จนเกิดการตกไข่ได้ และในแต่ละเดือนจะมีไข่อ่อนที่โตเต็มที่และเกิดการตกไข่เพียง 1 ฟองจากรังไข่แต่ละข้าง โดยสลับข้างกันเกิดการตกไข่ในแต่ละเดือน
ปีกมดลูก เรียกอีกอย่างว่า “ท่อนำไข่” เป็นกล้ามเนื้อเรียบมีลักษะเป็นท่อ ภายในกลวงมีความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ปลายข้างหนึ่งจะต่อกับมดลูก ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งจะเปิดเข้าสู่ช่องเชิงกรานและบานออกเป็นปากแตรเรียกว่า “ฟิมเบรีย” ทำหน้าที่โบกพัดไข่ที่ตกออกมาจากรังไข่เข้าสู่ปีกมดลูกหรือท่อนำไข่
การที่ปลายท่อนำไข่หรือฟิมเบรียโบกพัดเข้าสู่ช่องเชิงกรานมีข้อเสียคือ กรณีมีเชื้อโรคอยู่ในช้องท้องหรืออุ้งเชิงกราน จะทำให้เชื้อโรคต่างๆ จากบริเวณนี้เข้าสู่ปีกมดลูกได้ง่าย ทำให้อาจเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อของปีกมดลูกได้
เป็นบริเวณที่เกิดการปฏิสนธิ โดยเมื่อฟิมเบรียพัดไข่อ่อนเข้าไปที่ท่อนำไข่ ถ้ามีอสุจิอยู่บริเวณนั้นด้วยก็จะเกิดการผสมกันระหว่างไข่อ่อนและตัวอสุจิ ซึ่งเรียกว่า “การปฏิสนธิ” หลังจากนั้น ท่อนำไข่ก็จะบีบรัดเพื่อให้ไข่อ่อนที่ได้รับการผสมแล้วเคลื่อนมาฝังตัวที่มดลูกต่อไป
อนึ่งไข่อ่อนที่ตกจากถุงไข่แล้วจะมารออยู่ที่ท่อนำไข่ได้ประมาณ 12-24 ชั่วโมง ในขณะที่อสุจิเมื่อเข้ามาในมดลูกแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2 วันเท่านั้น กรณีที่ไม่ได้รับการผสมในระยะเวลานั้นทั้งไข่อ่อนและอสุจิก็จะสลายไป
มดลูกมีขนาดกว้าง 7.5 เซนติเมตร ยาว 5 เซนติเมตร และหนาประมาณ 2.5 เซนติเมตร ตัวมดลูกมีรูปร่างเหมือนลูกแพร์คว่ำแขวนอยู่กลางช่องท้อง ด้านหน้าของมดลูกเป็นกระเพาะปัสสาวะ ด้านหลังเป็นลำไส้ใหญ่ส่วนที่เป็นไส้ตรง หรือที่เรียกว่า “เรกตั่ม” ตัวมดลูกเป็นกล้ามเนื้อเรียบ 3 ชั้น ภายในเป็นโพรง ทำหน้าที่เป็นที่อยู่และให้อาหารแก่ทารกขณะอยู่ในครรภ์
มดลูกประกอบด้วยกล้ามเนื้อ 3 ชั้น ชั้นนอกสุดเรียกว่าชั้น “เพอริมีเทียม” เป็นชั้นที่ติดกับเยื่อบุช่องท้อง ทำหน้าที่ยืดมดลูกให้อยู่ในช่องท้องติดกับอวัยวะอื่น ๆ
ชั้นที่สองเรียกว่า “ไมโอมีเทียม” มีความหนาประมาณ 12-15 มิลลิเมตร เป็นชั้นที่หนาที่สุด สามารถขยายและหดตัวได้ตามสภาวะ เช่น ขณะตั้งครรภ์กล้ามเนื้อเรียบชั้นนี้จะขยายใหญ่และยาวมากขึ้น และขณะมีการคลอดกล้ามเนื้อชั้นนี้จะเกิดการหดตัวอย่างมากเพื่อดันทารกให้ออกมา
ส่วนชั้นในสุดของมดลูกเป็นผนังเยื่อบุโพรงมดลูกเรียกว่า “เอนโดมีเทียม” เป็นชั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในแต่ละรอบเดือน โดยจะหนาขึ้นเนื่องจากเกิดการสร้างเซลล์ใหม่ มีอาหารและออกซิเจนมาเลี้ยงมากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมในการให้ไข่อ่อนที่เกิดการปฏิสนธิแล้วมาฝังตัว กรณีที่ไม่มีการฝังตัวของตัวอ่อนหรือไม่มีการตั้งครรภ์ ผนังเยื่อบุโพรงมดลูกหรือเอนโดมีเทียมที่หนาตัวนี้จะหลุดลอกออกมาทางช่องคลอดกลายเป็นเลือดที่เรียกว่า “ประจำเดือน”
ดังนั้นเลือดประจำเดือนก็คือผนังเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดลอกออกมาในทุกรอบเดือนนั่นเอง หลังจากมีการหลดุลอกของผนังเยื่อบุโพรงมดลุกแล้วก็จะเกิดการสร้างเซลล์ขึ้นใหม่ มีอาหารและออกซิเจนมาที่บริเวณนี้มากขึ้น ถ้าไม่มีการฝังตัวของตัวอ่อนผนังเยื่อบุนี้ก็จะหลุดลอกเป็นเลือดประจำเดือนรอบใหม่ แต่ถ้ามีการฝังตัวของตัวอ่อนเกิดขึ้นก็จะไม่มีการหลุดลอกของผนังชั้นนี้ ทำให้ไม่มีเลือดประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้จะเกิดเป็นวัฏจักรเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
ปากมดลูกเป็นส่วนที่อยู่ปลายสุดของมดลูกตอนที่ต่อกับช่องคลอด ระยะทางจากปากมดลูกจนถึงปลายสุดของช่องคลอดที่เปิดออกสู่ภายนอกร่างกายยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร ทั้งปากมดลูกและช่องคลอดทำหน้าที่เป็นทางผ่านของน้ำอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก เป็นทางผ่านของเลือดประจำเดือนและเป็นทางที่ทารกคลอดออกมา
ปากมดลูกเป็นบริเวณที่ไม่มีเส้นประสาท ดังนั้นกรณีที่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เช่น เป็นแผลหรือมีเนื้องอก เราจะไม่ทราบจนกว่าอาการจะลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง ซึ่งนั่นหมายถึงพยาธิสภาพของโรคได้ดำเนินไปมากแล้ว หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วจึงควรตรวจมะเร็งและสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นบริเวณนี้ทุกๆ 6 เดือน เพื่อจะได้ทราบถึงความผิดปกตินั้นและแก้ไขได้ทันท่วงที
ถัดจากปากมดลูกออกมา คือ ช่องคลอด ซึ่งบริเวณผนังเยื่อบุช่องคลอดจะมีการสร้างน้ำเมือกออกมาตลอดเวลาเพื่อทำให้ช่องคลอดชุ่มชื้น เราเรียกน้ำเมือกนี้ว่า “ตกขาว” ลักษณะของตกขาวจะขึ้นกับอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจนเตอโรนที่หลั่งออกมากรังไข่ในแต่ละระยะของรอบเดือน โดยถ้าเป็นช่วงระยะที่ถุงไข่กำลังจะเกิดการตกไข่ รังไข่จะสร้างเอสโตรเจนสูง อิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจนจะทำให้ช่องคลอดหลั่งตกขาวออกมาจำนวนมาก และมีลักษณะใสเพื่อช่วยในการเคลื่อนตัวของอสุจิให้สะดวกขึ้น แต่ถ้าเป็นช่วงระยะที่ถุงไข่มีการตกไข่ผ่านไปแล้ว รังไข่จะมีการสร้างและหลั่งโปรเจนเตอโรนมาก อิทธิพลของฮอร์โมนโปรเจนเตอโรนจะทำให้ช่องคลอดมีปริมาณตกขาวน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย และตกขาวที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะข้นเหนียว ทำให้อสุจิผ่านเข้าสู่โพรงมดลูกได้ยาก ซึ่งลักษณะตกขาวที่กล่าวนี้สามารถนำไปเป็นข้อหนึ่งของการคุมกำเนิดตามธรรมชาติได้ คือ ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในระยะที่มีตกขาวจำนวนมากและใสจะมีโอกาสตั้งครรภ์สูงเพราะเป็นช่วงที่ไข่ตกมารออยู่แล้วที่ปีกมดลูก แต่ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในระยะที่ไม่มีตกขาวเลยหรือมีน้อยมาก และตกขาวเป็นมูกข้น เหนียว โอกาสตั้งครรภ์จะต่ำ เพราะไข่ตกและสลายไปแล้ว
สิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดจะมี 2 เพศ คือเพศหญิง และเพศชาย โดยแต่ละเพศจะมีลักษณะเฉพาะของระบบสืบพันธุ์ที่มีความแตกต่างกัน ทั้งโครงสร้าง และรูปร่าง
ระบบสืบพันธ์ุของมนุษย์นั้น มีหน้าที่ในการสืบพันธุ์ หล่อเลี้ยงชีวิต นำส่งไข่ หรืออสุจิ ซึ่งระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ส่วนประกอบของอวัยวะเพศเกือบทั้งหมดจะอยู่ภายในกระดูกเชิงกราน ในขณะที่ระบบสืบพันธุ์เพศชาย ส่วนประกอบของอวัยวะจะปรากฏทั้งภายใน และภายนอกร่างกาย
อวัยวะที่เป็นส่วนประกอบของระบบสืบพันธุ์เพศชาย มีดังนี้
ถุงอันฑะ
ระบบท่อ ประกอบด้วย หลอดเก็บอสุจิ (Epididymis) และหลอดนำตัวอสุจิ (Vas deferens)
ต่อมต่างๆ ซึ่งรวมถึงถุงผลิตน้ำเลี้ยงอสุจิ (Seminal vesicles) และต่อมลูกหมาก (Prostate gland)
องคชาต
ถุงอัณฑะ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือฝั่งซ้าย และฝั่งขวา ทำหน้าที่สร้าง และบรรจุเซลล์อสุจิไว้หลายล้านตัว มีลักษณะเป็นถุงรูปทรงไข่ มีความยาวประมาณ 2 นิ้ว และมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว
ลูกอัณฑะถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบต่อมไร้ท่อ ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนต่างๆ รวมถึงฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ทำให้เด็กชายที่กำลังเข้าสู่วัยหนุ่มมีเสียงทุ้มต่ำ มีการสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดขนตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และทำหน้าที่กระตุ้นการผลิตอสุจิ
ด้านหลังของลูกอัณฑะจะมีกลุ่มของหลอดเล็กๆ จำนวนมากขดไปขดมา คือหลอดเก็บอสุจิ และหลอดนำตัวอสุจิ ทำหน้าที่เป็นตัวนำระบบท่อต่างๆ ของระบบสืบพันธุ์เพศชาย โดยหลอดนำตัวอสุจิมีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อท่อที่เชื่อมต่อหลอดเก็บอสุจิ กับหลอดปัสสาวะในต่อมลูกหมาก ทำหน้าที่ส่งผ่านของเหลวจากถุงอัณฑะ เรียกว่า น้ำอสุจิ (Semen)
หลอดเก็บอสุจิ และลูกอัณฑะนั้น เป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากร่างกาย อยู่ในถุงที่ห่อหุ้มไว้เรียกว่า ถุงอัณฑะ (Scrotum) โดยถุงดังกล่าวจะช่วยรักษาอุณหภูมิในถุงอัณฑะให้คงที่ โดยทั่วไปภายในถุงอัณฑะจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกายประมาณ 1.5-2.0 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะกับการสร้างอสุจิ
เมื่อร่างกายมีอุณหภูมิลดลง ถุงอัณฑะจะหดตัว และตึงขึ้น เพื่อรักษาอุณหภูมิภายในถุงอัณฑะ และเมื่อร่างกายอุ่นขึ้น ถุงอัณฑะก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้น และอ่อนตัวลง เพื่อระบายความร้อนออกไป คุณไม่อาจสังเกตได้ว่า มีกระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นกระบวนการที่เกิดจากการสั่งงานของสมอง และระบบประสาทสู่ถุงอัณฑะโดยตรงจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดขึ้นนั่นเอง
ต่อมขนาดเล็กต่างๆ ซึ่งรวมถึงถุงผลิตน้ำอสุจิ (Seminal vesicles) และต่อมลูกหมาก (Prostate gland)
ถุงผลิตน้ำอสุจิ ทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดการผลิตของเหลวเพื่อลำเลียงสู่ระบบท่อ และสร้างสารอาหารเลี้ยงอสุจิ โดยถุงผลิตน้ำอสุจิมีลักษณะเป็นถุงที่เชื่อมติดกับหลอดเก็บอสุจิ และอยู่บริเวณข้างกระเพาะปัสสาวะ
ในขณะที่ต่อมลูกหมากทำหน้าที่ผลิตของเหลวสีขาวคล้ายน้ำนม มีฤทธิ์เป็นด่างอ่อน เข้าผสมกับอสุจิในท่อปัสสาวะ ต่อมลูกหมากนั้น ตำแหน่งอยู่ล้อมรอบท่อฉีดน้ำอสุจิบริเวณใต้ท่อปัสสาวะด้านล่างของกระเพาะปัสสาวะ
ท่อปัสสาวะจะทำหน้าที่ส่งผ่านอสุจิให้สามารถออกสู่ภายนอกร่างกายได้ผ่านทางองคชาต และเป็นส่วนหนึ่งของระบบทางเดินปัสสาวะที่เป็นช่องทางในการขับถ่ายของเสีย หรือน้ำปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะออกนอกร่างกายนั่นเอง
อวัยวะเพศชายประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนลำที่เป็นกล้ามเนื้อ และส่วนปลายองคชาต ซึ่งส่วนลำที่เป็นกล้ามเนื้อนั้นจะเป็นส่วนหลักของอวัยวะเพศ ในขณะที่ส่วนปลายจะอยู่ที่บริเวณหัวขององคชาต ตรงกลางของส่วนปลายสุดองคชาตจะเป็นรูเปิดของท่อปัสสาวะ และอสุจิ ส่วนด้านในประกอบด้วยเนื้อเยื่อลักษณะคล้ายฟองน้ำสามารถยืดหดได้
เด็กผู้ชายทุกคนจะเกิดมาพร้อมกับหนังหุ้มปลายองคชาต ซึ่งแพทย์อาจทำการ “ขลิบ” บริเวณนี้ตั้งแต่เกิดมาได้เพียง 2-3 วัน หรือขณะที่ยังเป็นทารกอยู่ แม้ว่าการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศนั้นบางครั้งไม่ได้มีความจำเป็นทางการแพทย์ แต่ผู้ปกครองที่ต้องการให้ลูกชายของตนขลิบหนังหุ้มปลายนั้นมักเกิดจากความเชื่อทางศาสนา ความกังวลในเรื่องของความสะอาด หรือวัฒนธรรมทางสังคม
อวัยวะเพศชายจะทำงานโดยการสืบพันธุ์ และปล่อยอสุจิเข้าสู่ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ ระบบสืบพันธุ์เพศชายยังทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเพศเพื่อให้เด็กผู้ชายพัฒนาไปสู่วัยเจริญพันธุ์ หรือวัยหนุ่มได้อย่างเต็มตัว
เมื่อเด็กทารกชายเกิดมา เขาจะมาพร้อมกับระบบสืบพันธุ์เพศชายที่สมบูรณ์แล้ว แต่จะยังไม่สามารถใช้งานเพื่อการสืบพันธุ์ได้จนกว่าจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ซึ่งจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 9-15 ปี โดยต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนที่กระตุ้นอัณฑะให้เกิดการผลิตฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งกระบวนการผลิตฮอร์โมนเพศชายจะส่งผลให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในช่วงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์นั่นเอง
แม้ช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของเด็กผู้ชายแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน แต่ขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์โดยปกติจะเป็นไปตามลำดับ ดังนี้
ถุงอัณฑะ และอัณฑะจะโตขึ้นในระยะแรกของการเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์
อวัยวะเพศชายจะยาวขึ้น และถุงน้ำอสุจิ รวมไปถึงต่อมลูกหมากจะมีขนาดใหญ่ขึ้น
มีขนขึ้นบริเวณหัวหน่าว หลังจากนั้นจะมีหนวดเคราบนใบหน้า และมีขนใต้วงแขน ในช่วงเวลานี้เสียงอาจจะทุ้มต่ำลงด้วย
ช่วงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ เด็กผู้ชายจะอยู่ในภาวะที่เติบโตเร็วมาก ทำให้พวกเขามีส่วนสูง และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อเด็กผู้ชายเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์อย่างเต็มตัวแล้ว พวกเขาจะสามารถผลิตอสุจิได้เป็นล้านๆ ตัวในแต่ละวัน ซึ่งอสุจิจะมีขนาดที่เล็กมากเพียง 1/600 นิ้ว หรือยาวประมาณ 0.05 มิลลิเมตรเท่านั้น
อสุจิจะถูกผลิตขึ้นในหลอดสร้างอสุจิในอัณฑะ เมื่อแรกเกิดหลอดสร้างอสุจิเหล่านี้จะบรรจุไปด้วยเซลล์ทั่วไป แต่เมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ เซลล์เหล่านี้จะกลายเป็นอสุจิ ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศ และฮอร์โมนอื่นๆ
ตัวอสุจิ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนหัว และส่วนหาง มีลักษณะคล้ายลูกอ๊อด ส่วนหัวจะประกอบไปด้วยยีน และหางจะทำหน้าที่แหวกว่ายเคลื่อนตัวอสุจิสู่หลอดน้ำอสุจิ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์ในการเคลื่อนตัว หลังจากนั้น อสุจิก็จะเคลื่อนที่สู่หลอดนำอสุจิ หรือท่ออสุจิ โดยถุงผลิตน้ำอสุจิ และต่อมลูกหมากจะผลิตของเหลวสีขาว เรียกว่า “น้ำอสุจิ” มาผสมรวมกับตัวอสุจิ
เมื่อผู้ชายถูกกระตุ้นทางเพศ องคชาตที่โดยปกติแล้วอ่อนตัวก็จะแข็งตัวขึ้นเมื่อมีอารมณ์ทางเพศ หลังจากที่องคชาตที่แข็งตัวถูกกระตุ้น กล้ามเนื้อบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ก็จะบีบให้มีการปล่อยน้ำอสุจิผ่านออกมาทางท่อปัสสาวะนั่นเอง
น้ำอสุจิที่ถูกบีบออกจากร่างกายผ่านท่อปัสสาวะ เรียกว่า การหลั่งน้ำอสุจิ ทุกครั้งที่หลั่งน้ำอสุจิออกมานั้น จะขับอสุจิออกมามากถึง 500 ล้านตัวต่อครั้ง
เมื่อหลั่งอสุจิในขณะมีเพศสัมพันธ์ อสุจิจะถูกปล่อยในช่องคลอดผู้หญิง จากนั้นอสุจิจะเดินทางผ่านปากมดลูก เข้าสู่มดลูก และเดินทางสู่ไข่ที่สุกเต็มที่ที่อยู่บริเวณท่อนำไข่ ซึ่งจะมีอสุจิเพียงหนึ่งตัวเท่านั้นที่จะสามารถปฏิสนธิกับไข่ของผู้หญิง และทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ในที่สุด
ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว เรียกว่า ไซโกต (Zygote) ซึ่งประกอบด้วยโครโมโซม 46 ตัว โดยโครโมโซมครึ่งหนึ่งมาจากไข่ และอีกครึ่งหนึ่งมาจากอสุจิ นอกจากนี้ การรวมกันของสารพันธุกรรมชายและหญิง จะส่งผลให้เกิดการสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ขึ้นมาได้ โดยไซโกตจะแบ่งตัวออกมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นทวีคูณจนเจริญเติบโตในโพรงมดลูกผู้หญิง ซึ่งจะกลายเป็นตัวอ่อนในครรภ์ และเป็นทารกในที่สุด