พระราชประวัติ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีพระนามเดิมว่า พระองค์ดำ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรม-ราชาและพระวิสุทธิกษัตริย์ (พระราชธิดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยและสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ)เสด็จพระราชสมภพ เมื่อ พ.ศ. 2098 ที่เมืองพิษณุโลก มีพระเชษฐภคินี คือ พระสุพรรณกัลยา มีพระอนุชา คือสมเด็จพระเอกาทศรถ (องค์ขาว) ขณะที่ทรงพระเยาว์พระองค์ใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลกจนกระทั่งพระเจ้าบุเรงนอง ยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลก ในสงครามช้างเผือก จึงทำให้เมืองพิษณุโลกต้องแปรสภาพเป็นเมืองประเทศราชของหงสาวดี และพระเจ้าบุเรงนอง ทรงขอพระนเรศวรไปเป็นองค์ประกันที่หงสาวดี ทำให้พระองค์ต้องจากบ้านเมืองไปตั้งแต่พระชนม์มายุเพียง 9 พรรษา ครั้นพระชนมายุ 15 พรรษาเสด็จกลับมาประทับที่ประเทศไทย สมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชทานนามให้พระองค์ว่า “พระนเรศวร”และโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระมหาอุปราชาไปปกครองเมืองพิษณุโลก ทรงฟื้นฟูกำลังทหาร สะสมกำลังคนและอาวุธ ในที่สุดก็ทรงกอบกู้เอกราชของกรุงศรีอยุธยามาได้หลังจากที่ไทยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านานถึง 15 ปีเสด็จสวรรคต วันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 พระชนมายุ 48 พรรษา
พระราชกรณียกิจที่สำคัญของสมเด็จพระนเรศวร
1. ในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2135 พระองค์ทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชของพม่าที่ตำบลหนองสาหร่าย เมืองสุพรรณบุรี ทรงฟันพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์บนคอช้าง นับเป็นชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือพม่า จนทำให้กรุงศรีอยุธยาว่างเว้นจากการทำศึกสงครามกับพม่ายาวนานถึง 160 ปี
2. ทรงขยายอำนาจไปหัวเมืองต่าง ๆ จนทำให้อาณาจักรอยุธยามีอาณาเขตกว้างขวาง สามารถยึดครองล้านช้าง ล้านนา เชียงใหม่ ลำปาง เขมร และพม่าบางส่วนไว้ได้
3. ทรงส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศ โดยอนุญาตให้พ่อค้าต่างชาติมาค้าขายภายในอาณาจักรอยุธยาได้ เช่น จีน สเปน และฮอลันดา เป็นด้น ซึ่งบางประเทศที่เข้ามานั้นได้ตั้งสถานีการค้าขึ้นด้วย
ในสมัยพระนเรศวรมหาราช อาณาจักรอยุธยามีอาณาเขตกว้างขวางที่สุด และมีความเจริญรุ่งเรืองมากด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ ทำให้พระองค์ได้รับพระราชสมัญญาเป็น “มหาราช”และในวันที่ 25มกราคม ซึ่งตรงกับวันกระทำยุทธหัตถี รัฐบาลไทยประกาศให้วันที่ 25 มกราคม ของทุกปี เป็นวันกองทัพไทย
สมัยสุโขทัย
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
พ่อขุนรามคำแหงได้รับการยกย่องว่าเป็นทั้งนักรบ นักปราชญ์ ทำให้ชาติไทยมีตัวอักษรของตนเองทรงประดิษฐ์หนังลีอที่เรียกว่า “ลายลือไทย” ขึ้น ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าที่สุดในทุก ๆ ด้านและทำให้อาณาจักรสุโขทัยมีอาณาเขตกว้างขวางที่สุดในสมัยพระองศ์
พระราชประวัติ
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นพระราชโอรสองศ์ที่ 3 ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย) กับนางเสือง แห่งกรุงสุโขทัย มีพระโอรส พระราชธิดา รวมบิดา มารดา 3 พระองศ์ พระองศ์ใหญ่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเยาว์ พระองศ์กลางทรงพระนามตามศิลาจารึกว่า “ขุนบาลเมือง” องศ์เล็กทรงพระนามว่า“เจ้าราม” ซึ่งต่อมาได้พระราชทานนามใหม่ว่า “เจ้ารามคำแหง” หลังจากดีทัพขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดแตกพ่ายไป (พระราชบิดาจึงทรงขนานพระนามว่า พระรามคำแหง ซึ่งแปลว่า พระรามผู้กล้าหาญ)
พ่อขุนรามคำแหงราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์องค์ที่สามแห่งราชวงศ์พระร่วง พ.ศ. 1826ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1) ในยุคพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นยุคที่กรุงสุโขทัยเพื่องฟูและเจริญขึ้นกว่าเดิมมาก ระบบการปกครองมีประสิทธิภาพ มีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ ในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ประชาชนอยู่ดีกินดี ทรงเป็นนักรบที่เก่งกล้ามาก ทรงทำสงครามและปราบปรามเมืองต่าง ๆ จนเป็นที่เกรงขามของอาณาจักรอื่น ส่งผลให้อาณาจักรสุโขทัยสงบสุขตลอดมา
พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพ่อขุนรามคำแหง
1. ด้านการเมืองการปกครองมีการขยายอาณาเขตอย่างกว้างขวางมากที่สุดในสมัยสุโขทัย โดยทิศ-ตะวันออกได้ลาว ทิศใต้ได้ดินแดนแหลมมลายู ทิศตะวันตกได้หัวเมืองมอญ
2. เอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขของราษฎร โดยให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนมาสั่นกระดิ่งกราบทูลความเดือดร้อนให้ทรงทราบ พระองค์จะทรงช่วยตัดสินให้ความช่วยเหลือเสมือน “พ่อปกครองลูก”
3. จัดสร้างพระแท่นมนังศิลาบาตร ไว้สำหรับพระสงฆ์ขึ้นแสดงธรรม และทรงรับเอาพระพุทธศาสนาจากลังกาเข้ามาเป็นศาสนาประจำชาติ ทำให้เป็นการวางรากฐานให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาจนถึงทุกวันนี้
4. มีการสร้างทำนบกั้นนี้าสำหรับใช้ในการเพาะปลูก และป้องกันการขาดแคลนนี้าโดยอาศัยแนวคันดินที่เรียกกว่า “เขื่อนพระร่วง”
5. ด้านวัฒธรรมที่สำคัญ ซึ่งแสดงความเป็นชาติ คือ ภาษา พ่อขุนรามคำแหงทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้แทนอักษรขอม เมื่อ พ.ศ. 1826 เรียก “ลายลือไทย” ซึ่งทำให้คนไทยในปัจจุบันมีอักษรไทยใช้มีการจารึกเรื่องราวของสุโขทัยลงบนแท่นหิน ซึ่งต่อมาเรียกว่า “ศิลาจารึกหลักที่ 1”
6. เครื่องสังคโลก มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน ได้รับความรู้เรื่องการทำถ้วยชามเครื่องเคลือบดินเผาจากจีน มีการตั้งโรงงานเครื่องเคลือบดินเผาขึ้นในกรุงสุโขทัยและเมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งเรียกเครื่องเคลือบดินเผาที่ผลิตขึ้นในสมัยนั้นว่า “เครื่องสังคโลก” ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าที่หายากยิ่ง
จากพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพ่อขุนรามคำแหง จึงทำให้มหาชนในสมัยต่อมาได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้ถวายสมัญญานามต่อท้ายพระนามว่า “มหาราช” เป็นองค์แรกของชาติไทยและเป็นที่ยอมรับในการขานพระนามสืบมาว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
สมัยอยุธยา
พระนเรศวรมหาราช
พระนเรศวรมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยอยุธยาที่มีชื่อเลียงมากที่สุดในด้านการรบและการปกครอง เป็นผู้กอบกู้เอกราชของชาติไทย หลังจากตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านานถึง 15 ปี ในสมัยพระองค์ มีการทำสงครามที่ยิ่งใหญ่กับประเทศพม่า คือ สงครามยุทธหัตถี
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาญาณ ด้านการต่างประเทศและศิลปะ-วรรณคดีอย่างสูง ในราชสำนักพร้อมพรั่งไปด้วยนักปราชญ์ ราชกวีคนสำคัญ ในยุคนั้นได้ชื่อว่าเป็น “ยุคทองของวรรณคดีไทย”
พระราชประวัติ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จพระบรมราชสมภพ เมื่อ พ.ศ. 2175 เป็นพระราชโอรสในสมเด็จ-พระเจ้าปราสาททอง กับพระนางคิริราชกัลยา
พระนารายณ์มหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2199 ขณะมีพระชนมายุ25 พรรษา และได้สร้างเมืองลพบุรีขึ้นเป็นราชธานีแห่งที่ 2 พระองค์ทรงเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมพ.ศ. 2231 ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี
พระราชกรณียกิจที่สำคัญของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรือง และความยิ่งใหญ่ให้'แก่กรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก มีพระราชกรณียกิจที่สำคัญ ดังนี้
1. ด้านการปกครองขยายดินแดนโดยทรงยกทัพไปดีเมืองเชียงใหม่ และเมืองพม่าอีกหลายเมือง เช่นมะริด ตะนาวศรี และมีพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) เป็นกำลังสำคัญให้สมเด็จพระนารายณ์สามารถยึดหัวเมืองของพม่าได้
2. ด้านวรรณคดีไทย ในสมัยพระองค์ถือเป็นยุคทองของวรรณคดี กวีที่มีชื่อเลียง เช่น พระมหาราชครูพระศรีมโหลถ ศรีปราชญ์ วรรณคดีที่สำคัญได้แก่ สมุทรโฆษคำฉันท์ และหนังสือจินดามณี ซึ่งเป็นแบบเรียนภาษาไทยเล่มแรกของไทย ฯลฯ
3. ด้านการต่างประเทศ มีความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ทั้งในยุโรปและเอเชีย ได้มีชาวกรีกชื่อ คอนสแตนดิน ฟอลคอน เข้ามารับราชการดูแลการค้ากับชาวต่างชาติ การค้าก็เจริญรุ่งเรือง มีรายได้เข้าประเทศมาก สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงทรงแต่งตั้งให้เป็น เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ฝรั่งเศสเป็นชาดิที่มีบทบาทมากทั้งในการค้าและการเผยแพร่ศาสนา พระองค์ได้ทรงพระราชทานที่ดินให้ปลูกสร้างโบสถ์และโรงเรียน
4. ทรงมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ในสมัยพระองค์ มิชชันนารีจากภาคตะวันตก เข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนา พระองค์ทรงอนุญาตให้ตั้งบ้านเรือน สร้างโบสถ์ในดินแดนอยุธยาและประชาชนสามารถนับถือศาสนาได้อย่างเสรี
นับได้ว่าในยุคของพระองค์ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาประเทศ และเป็นยุคทองของวรรณคดีไทย พระองค์จึงได้รับการยอมรับ และได้รับการยกย่องเป็น “มหาราช”
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงพระปรีชาสามารถในหลาย ๆ ด้าน ทำให้บ้านเมืองเข้มแข็ง รุ่งเรืองทางกวีนิพนธ์ แก้ปัญหาจากการถูกต่างชาติรุกราน จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการยกย่องถวายพระนาม“มหาราช”
ชาวบ้านบางระจัน
ชาวบ้านบางระจัน เป็นตัวอย่างของความสามัคคี ในการรวมตัวกันต่อสู้และรวมพลังสามารถด้านทานกองทัพพม่าได้หลายครั้ง จนได้ชื่อว่า “เข้มแข็งกว่ากองทัพของกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น” มีกิตติศัพท์เสืองลือในด้านวีรกรรม ความกล้าหาญจารึกไวีในประวัติศาสตร์
การรบที่บางระจัน เป็นการรบเพื่อป้องกันตัวเองของชาวบ้านเมืองสิงห์บุรีและเมืองต่าง ๆ ที่พากันมาหลบภัยของกองทัพพม่าที่บางระจันในคราวการเลียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ซึ่งสามารถเข้าดีกองทัพพม่าได้หลายครั้ง
พ.ศ. 2308 เนเมียวสืหบดี ได้ยกกองทัพพม่ารุกเข้าสู่อาณาจักรอยุธยาจากทางเหนือ ได้มาหยุดอยู่ที่เมืองวิเศษชัยชาญ ทหารพม่าเที่ยวกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สิน ทำให้ราษฎรต่างพากันโกรธแค้นต่อการกดขี่ขมเหงของทหารพม่า จึงมีการแอบคบคิดกันต่อสู้ ชาวเมืองวิเศษชัยชาญ เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรคบุรีและชาวบ้านใกล้เคียงพากันคิดอุบายเพื่อล่อลวงทหารพม่า มีหัวหน้าที่เป็นผู้นำที่สำคัญคือ นายแท่น นายโชตินายอิน นายเมือง ลวงทหารพม่าไปเพื่อฆ่าฟันตายประมาณ 20 คน แล้วจึงพากันหนีไปยังบางระจัน จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว
ในขณะเดียวกันชาวเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็เข้ามาสมทบและหลบอาศัยอยู่ที่บางระจันเป็นจำนวนมาก การพยายามเข้าดีค่ายบางระจันของทหารพม่าได้มีการส่งกองทัพเข้ารบถึง 8ครั้งด้วยกัน ในที่สุดพม่าก็สามารถดีค่ายใหญ่บางระจันได้ในปี พ.ศ. 2309 รวมเวลาที่ไทยรบกับพม่าเป็นเวลาทั้งสิ้น 5 เดือน แม้ว่าค่ายบางระจันจะต้องพ่ายแพ้แก่พม่าก็ตาม แต่วีรกรรมในครั้งนั้นได้รับการจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์และจิตใจของประชาชนชาวไทยตลอดมา เพื่อเป็นการรำลึกถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ความกล้าหาญรักชาติ จังหวัดสิงห์บุรี จึงได้ก่อสร้างอนุสาวรีย์ให้กับผู้นำค่ายบางระจันทั้ง 11 ท่านขึ้น และกำหนดให้ทุกวันที่4 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันสดุดีค่ายบางระจัน
ประวัติหัวหน้าชาวบ้านบางระจัน ทั้ง 11 ท่าน
พระเจ้าตากสินมหาราช
พระเจ้าตากสินมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระมหากรุณาธิคุณต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง โดยทรงสู่รบกับข้าศึกศัตรู จนสามารถกอบกู้เอกราชของชาติไทยกลับคืนมาจากพม่าได้ภายในระยะเวลาอันสั้น และตั้งกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงของไทยในสมัยนั้น
พระราชประวัติ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชสมภพ ตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2277 มี พระนามเดิมว่า สิน พระราชบิดาเป็นชาวจีนชื่อ นายไหฮอง หรือ หยง แซ่แต้ เป็นนายอากรบ่อน พระราชมารดาเป็นคนไทย ชื่อ นางนกเอี้ยง โดยเมื่อทรงพระเยาว์ เจ้าพระยาจักรีได้ขอสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ตั้งชื่อว่า สิน
เจ้าพระยาจักรีได้นำไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ต่อมาได้รับความชอบเป็นพระยาตาก เจ้าเมืองตาก
พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาเลียแก่พม่า ครั้งที่ 2 ในวันที่ 7 เมษายนพระเจ้าตากได้ยึดเมืองจันทบุรีเป็นที่ตั้งมั่นในการรวบรวมคน เพื่อกอบกู้เอกราช และพระยาตากก็กอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนได้ภายใน 7 เดือนแล้วก็คิดจะปฏิสังขรณ์กรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีใหม่ แต่เมื่อตรวจสอบความเลียหายแล้ว เห็นว่ากรุงศรี-อยุธยามีความเลียหายมาก ยากแก่การบูรณะแล้ว จึงเลือกเมืองธนบุรีเป็นราชธานี เจ้าตาก ทรงทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี ตรงกับวันที่ 28 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2311 ขณะมีพระชนมายุได้34 พรรษา รวมสิริราชสมบัติ 15 ปี
พระราชกรณียกิจสำคัญ
1. ทรงรวบรวมไพล่พลจนสามารถกอบกู้เอกราชให้ชาติไทยได้ภายในเวลา 7 เดือน เท่านั้น นับตั้งแต่เลียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2ให้แก่พม่า
2. ทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี และปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
3. ทรงรวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ โดยการปราบปรามชุมนุมต่าง ๆ ที่ตั้งตนเป็นใหญ่หลายชุมนุม ที่สำคัญได้แก่ ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก ชุมนุมเจ้าพีมาย ชุมนุมเจ้าพระฝาง และชุมนุมเจ้า-นศรศรีธรรมราชโดยใช้เวลาเพียง 3 ปีเศษ
4. ทรงมีพระทัยมุ่งมั่นในการฟื้นฟูประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ แม้ว่าตลอดระยะเวลา 15 ปี ในช่วงสมัยของพระองค์จะมีการทำศึกอยู่ตลอดเวลาก็ตาม เช่น การฟินฟูทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ทำให้สังคมไทยคืนสู่ภาวะปกติภายในเวลาอันรวดเร็ว
พระองค์ได้รับการยอมรับและยกย่องว่าเป็น “มหาราช” และเพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ รัฐบาลจึงประกาศให้วันที่ 28 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันที่ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ เป็นวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
พระยาพิชัยดาบหัก
พระยาพิชัยดาบหัก เป็นตัวอย่างของบุคคลที่มีความเลียสละ กล้าหาญ ต่อสู้เพื่อประเทศชาติ
ยอมเลียสละแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง
ประวัติและผลงาน
พระยาพิชัยดาบหัก เดิมชื่อจ้อย เกิดที่บ้านห้วยคาอำเภอพิชัยจังหวัดอุตรดิตถ์เมื่ออายุได้14ปีบิดานำไปฝากกับท่านพระครูวัดมหาธาตุหรือวัดใหญ่ เมืองพิชัย จนสามารถอ่านออกเขียนได้จนแตกฉานเพราะเป็นคนขยันและเอาใจใส่ในตำราเรียนและคอยรับใช้อาจารย์ และขณะเดียวกันก็ซ้อมมวยไปด้วย ต่อมาเจ้าเมืองพิชัย ได้นำบุตร (ชื่อเฉิด) มาฝากที่วัดเพื่อรํ่าเรียนวิชา จึงเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันกับจ้อยเสมอจ้อยจึงตัดสินใจหนีออกจากวัด เดินทางขึ้นไปทางเหนือโดยมิได้บอกพ่อ แม่ และอาจารย์ จึงได้ไปพบกับครู'ฟิกมวยคนหนึ่งชื่อ เที่ยง จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ทองดี ครูเที่ยงรักนายทองดีมาก และมักเรียกนายทองดี ว่า นายทองดี ฟันขาว (เนื่องจากท่านไม่เคี้ยวหมากพลูดังคนสมัยนั้น) ทำให้ลูกหลานครูอิจฉาจนหาทางกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา จึงทำให้จ้อยกราบลาครูเดินทางขึ้นเหนือต่อไป
เมื่อท่านเดินทางถึงเมืองตาก ขณะนั้นกำลังมีพีซีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาที่วัดใหญ่ เจ้าเมืองตาก(สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) ได้จัดให้มีมวยฉลองด้วย นายทองดี ฟันขาว ได้เข้าไปเปรียบเทียบมวยกับครูห้าวซึ่งเป็นครูมวยมือดีของเจ้าเมืองตาก นายทองดี ฟันขาว ใช้ความว่องไวใช้หมัด ศอก และเตะขากรรไกรจนครูห้าวสลบไป
เจ้าเมืองตากพอใจมากจึงให้เงิน 3 ตำลึงและซักชวนให้มาอยู่ด้วย นายทองดี ฟันขาว จึงได้ถวายตัวเป็นทหารของเจ้าเมืองตาก (สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) ตั้งแต่บัดนั้น รับใช้เป็นที่โปรดปรานมาก ได้รับยศเป็น“หลวงพิชัยอาสา”
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงธนบุรี และโปรดเกล้าฯ ให้หลวงพิชัยอาสาเป็นเจ้าหมื่นไวยวรนาถ เป็นทหารเอกราชองครักษ์ในพระองค์ และต่อมาโปรดเกล้าฯ เป็น“พระยาลีหราชเดโข”
เมื่อปราบชุมนุมเจ้าพระฝางได้แล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงปูนบำเหน็จความชอบให้ทหารของพระองค์โดยทั่วหน้ากันส่วนพระยาลีหราชเดโข ได้โปรดเกล้าฯปูนบำเหน็จความชอบ ให้เป็น “พระยาพิชัย”
ปกครองเมืองพิชัย ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมื่อสมัยเยาว์วัย
ในปี พ.ศ. 2313-2316 ได้เกิดการสู้รบกับพม่าอีกหลายคราว และทุกคราวกองทัพพม่าได้แตกพ่ายไปพอสิ้นฤดูฝน ปีมะเส็ง พ.ศ. 2316 โปสุพลายกกองทัพมาตีเมืองพิชัย ศึกครั้งนี้พระยาพิชัยจับดาบสองมือคาดด้าย คุมทหารออกต่อสู้ไล่ฟันแทงพม่าอย่างชุลมุน ณ สมรภูมิบริเวณวัดเอกา จนเลียการทรงตัวจึงใช้ดาบข้างขวาพยุงตัวไว้จนทำให้ดาบข้างขวาหักเป็นสองท่อน กองทัพโปสุพลาก็แตกพ่ายกลับไป เป็นที่เลืองลือจนได้นามว่า “พระยาพิชัยดาบหัก”
ชีวิตราชการของพระยาพิชัยดาบหัก น่าจะรุ่งเรืองและเป็นกำลังป้องกันบ้านเมืองได้เป็นอย่างดีในแผ่นดินต่อมา หากแต่ว่าพระยาพิชัยดาบหักเห็นว่าตัวท่านเป็นข้าหลวงเดิมของพระเจ้าตากเกรงว่านานวันไปจะเป็นที่ระแวงของพระเจ้าแผ่นดินและจะหาความสุขได้ยาก ประกอบกับมีความโศกเศร้าอาลัยในพระเจ้าตากอย่างมาก ได้กราบทูลว่าจะขอตายตามสมเด็จพระเจ้าตาก จึงได้ลูกประหารชีวิตตอนอายุ 41 ปี
พระยาพิชัยดาบหักได้สร้างมรดกอันควรแก่การยกย่องสรรเสริญให้ลีบทอดมาถึงปัจจุบันในเรื่องของความชื่อสัตย์สุจริต ความกตัญญูกตเวที ความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดกล้าหาญ มีความรักชาติต้องการให้ชาติมีความเจริญรุ่งเรืองมั่นคง
สมัยรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1)
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นปฐม-กษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงย้ายเมืองหลวงจากกรุงธนบุรี มาตั้งที่กรุงเทพมหานคร ตั้งชื่อว่า กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ เป็นเมือง-หลวงของไทย จนถึงปัจจุบันนี้
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จพระราช-ลมภพ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2279 มีพระนามเดิมว่า ทองด้วงทรงผนวชเมื่อพระชนมายุได้ 21 พรรษา หลังจากลาสิกขา ได้ทรงเข้ารับ
ราชการจนกระทั่งได้ดำรงตำแหน่ง หลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรี หลังเลียกรุงศรีอยุธยา พระองค์ได้ทรงกอบกู้ราชอาณาจักรขึ้นมาใหม่ ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาจักรี และสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ตามลำดับ ต่อมา พ.ศ. 2325 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จพระราช-ลมภพ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2279 มีพระนามเดิมว่า ทองด้วงทรงผนวชเมื่อพระชนมายุได้ 21 พรรษา หลังจากลาสิกขา ได้ทรงเข้ารับราชการจนกระทั่งได้ดำรงตำแหน่ง หลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรี หลังเลียกรุงศรีอยุธยา พระองค์ได้ทรงกอบกู้ราชอาณาจักรขึ้นมาใหม่ ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาจักรี และสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ตามลำดับ ต่อมา พ.ศ. 2325 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352
พระราชกรณียกิจสำคัญ
1. สร้างพระบรมมหาราชวัง
พ.ศ. 2327 สร้างพระมหาปราสาทและสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมทั้ง
อัญเชิญพระแก้วมรกตจากกรุงธนบุรีมาประดิษฐานอยู่ภายในวัดแห่งนี้
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
2. ด้านการเมืองการปกครอง
2.1 ทรงสถาปนาราชวงศ์จักรีและกรุงรัตนโกสินทร์ให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ทรงพระราชทานพระนครใหม่นี้ว่า“กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิตสักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” หรือที่เรียกขานกันโดยทั่ว ๆ ไปว่า “กรุงเทพมหานคร”
2.2 โปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายให้ถูกต้องยุติธรรม เรียกว่า “กฎหมายตราสามดวง” ได้แก่ตราราชสีห์ของสมุหนายก ตราคชสีห์ของสมุหพระกลาโหม และตราบัวแก้วของกรมท่า
2.3 ทรงเป็นจอมทัพในการทำสงครามกับรัฐเพื่อนบ้าน และทำสงครามเก้าทัพกับพม่าถือว่าเป็นสงครามครั้งสำคัญ โดยพระองค์ได้ทรงนำทัพออกไปทำศึกสงครามกับพม่าด้วยพระองค์เอง
3. ด้านเศรษฐกิจ
3.1 มีการค้าขายกับจีนเพิ่มมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น มีเงินใช้จ่ายในการทำนุบำรุบ้านเมืองสร้างพระนคร สร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัด
3.2 มีการค้าขายกับต่างประเทศ ได้รับภาษีอากร เช่น อากรสุรา อากรบ่อนเบี้ย อากรขนอนตลาด ภาษีค่าน้ำ
4. ด้านสังคมและวัฒนธรรม
4.1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังและวัดให้มีรูปแบบเหมือนสมัยอยุธยา เพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่ราษฎรให้เสมือนอยู่ในสมัยอยุธยา เมื่อครั้งบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง เช่น ลอกแบบพระที่นั่งสรรเพชญ์-ปราสาทขึ้นมาใหม่ และพระราชทานนามว่า “พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท” และสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วไว่ในเขตพระบรมมหาราชวัง
4.2 ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ด้วยการออกแบบกฎหมายคณะสงฆ์ เพื่อให้พระสงฆ์อยู่ในพระธรรมวินัย มีการสังคายนาพระไตรปิฎกให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ มีการสร้างวัดและบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธ)
4.3 ทรงส่งเสริมงานวรรณกรรม โดยมีพระราชนิพนธ์วรรณคดีหลายเรื่อง เช่น กลอนนิราศท่าดินแดง กลอนบทละครเรื่องอิเหนา กลอนบทละครเรื่อง รามเกียรติ์
ด้วยพระราชกรณียกิจอันทรงคุณค่าอย่างยิ่งต่อชาติไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงได้รับพระราชสมัญญาว่า “มหาราช”
ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร
ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร เป็นวีรสตรีที่มีชื่อเลียงปกป้องประเทศชาติและต่อสู่กับศัตรูอย่างกล้าหาญ จนสามารถปกป้องพื้นแผ่นดิน ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของศัตรูไว้ได้
ประวัติ
ท้าวเทพกระษัตรี มีชื่อเดิมว่า จัน และท้าวศรีสุนทร มีชื่อเดิมว่า มุก ท่านเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน บิดาเป็นเจ้าเมืองถลางชื่อ จอมทองคำ มารดาชื่อ นางหม่าเสี้ย มีพี่น้องรวมทั้งหมด 5 คน ถือกำเนิดที่บ้านตะเคียน เมืองถลาง ปัจจุบันคือ อำเภอหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต คุณหญิงจัน เป็นภริยาของพระยาถลาง
ผลงาน
ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร แม้จะเกิดเป็นสตรี แต่มีความกล้าหาญเช่นเดียวกับบุรุษ และสามารถใช้สติปัญญาอันหลักแหลมรักษาอิสรภาพของท้องถิ่น และชาติบ้านเมืองของเราไว่ได้ เหตุการณ์ที่ทำให้ท่านทั้งสองได้รับการยกย่องมาจากวีรกรรม ใน พ.ศ. 2328 เมื่อพระเจ้าปคุง กษัตริย์พม่ายกทัพมาตีไทยในเหตุการณ์สงครามเก้าทัพ ทัพหนึ่งได้ยกมาตีเมืองถลาง ซึ่งขณะนั้นพระยาถลางเพิ่งถึงแก่อนิจกรรมและยังไม่ได้แต่งตั้งผูใดเป็นเจ้าเมืองแทน คุณหญิงจันและคุณหญิงมุก จึงไดีให้ผู้หญิงชาวเมืองถลาง แต่งกายเป็นชายปะปนกับทหารชายของไทย เพื่อให้พม่าเข้าใจว่าฝ่ายไทยมีกำลังมาก ทัพพม่าพยายามตีเมืองถลางอยู่เดือนเศษแต่ไม่สำเร็จ และพม่าเริ่มขาดเสบียง ประกอบกับข่าวว่าทัพหลวงของไทยยกมาพม่าจึงตัดสินใจถอยทัพกลับทำให้คุณหญิงจันและคุณหญิงมุกรักษาเมืองถลางไว้ได้
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงทราบวีรกรรมของคุณหญิงจันและคุณหญิงมุก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คุณหญิงจันเป็น ท้าวเทพกระษัตรี และคุณหญิงมุกเป็นท้าวศรีสุนทร
นับว่าประวัติการต่อสู้ของวีรสตรีเมืองถลาง คือ ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทรนั้น เป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นว่า บทบาทของหญิงไทยนั้น ต้องทำหน้าที่ทุกอย่างได้ ทั้งในยามบ้านเมืองเป็นปกติ หรือในยามคับขัน เพื่อเป็นการยกย่องวีรกรรมของท้าวเทพกระษัตรี และท้าวศรีสุนทรให้จารึกในจิตใจลูกหลานเมืองถลางและของชาวไทย ทางการได้ตั้งนามสถานที่ตั้งเมืองถลาง เมื่อครั้งศึกพม่าว่า ตำบลเทพกระษัตรี และให้รวมตำบลท่าเรือกับตำบลลิพอนตั้งเป็นตำบลชื่อว่า ศรีสุนทร นอกจากนี้ในปีพุทธคักราช 2510 ยังได้สร้างอนุสาวรีย์ของวีรสตรีแห่งเมืองถลาง ไว้ที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อเป็นเครื่องหมายและอนุสรณ์แห่งความกล้าหาญของสตรีในประวัติศาสตร์ชาติไทยอีกแห่งหนึ่ง
ท้าวสุรนารี (ย่าโม)
ท้าวสุรนารี เป็นวีรสตรีที่ชาวโคราช หรือชาวจังหวัดนครราชสีมา ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมากเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวโคราช ถึงขนาดเคยมีนโยบายของรัฐบาลหลายสมัยต้องการที่จะแบ่งจังหวัดนครราชสีมา เป็นจังหวัดย่อย ๆ แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะจิตใจของคนในจังหวัดส่วนใหญ่ไม่อยากแยกตัวออกไป เพราะทุกคนในจังหวัดนี้เป็น “หลานย่าโม” กันทุกคน
ประวัติ
ท้าวสุรนารี เดิมชื่อโม หรือ โม้ ท่านเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดนครราชสีมาในฐานะผู้กอบสู้เมืองนครราชสีมา จากกองทัพของเจ้าอนุวงศ์ แห่งเวียงจันทร์ เมื่อ พ.ศ. 2369 คุณหญิงโมเกิดเมื่อ พ.ศ. 2315 ปีเถาะ ในแผ่นดินพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี บิดา มารดา ชื่อ นายกิ่ม นางบุญมา เมื่ออายุ25 ปี ได้เข้าพิธีสมรสกับเจ้าพระยามหิศราธิบดี (ทองคำ) ที่ปรึกษาราชการเมืองนครราชสีมา
ผลงาน
ความภาคภูมิใจของชาวนครราชสีมา และประชาชนชาวไทยทั่วไปนั้นก็คือ เมื่อปี พ.ศ. 2349ในสมัยรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งจักรีวงศ์ เจ้าอนุวงศ์ผู้ครองนครเวียงจันทน์ ได้ยกทัพมาตีเมืองนครราชสีมา ซึ่งขณะนั้นเจ้าเมืองและพระยาปลัดเมืองไม่อยู่กองทหารของเจ้าอนุวงศ์ จึงตีเมืองนครราชสีมาได้โดยง่าย และได้กวาดต้อนครอบครัวชาวเมืองนครราชสีมาซึ่งส่วนมากเป็นผู้หญิง เด็กและคนชรา ไปเป็นเชลย เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 คุณหญิงโม ภริยาพระยาปลัดเมืองก็ถูกคุมตัวไปด้วย หัวหน้าของทหารเจ้าอนุวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ควบคุมเชลยที่กวาดต้อนไปนั้นชื่อเฟี้ยรามพิชัยได้สั่งรับอาวุธทุกชนิดจากชาวเมืองจนหมด ครั้นเดินทางมาถึงทุ่งสมฤทธิ์ แขวงเมืองพีมาย(อำเภอพีมายปัจจุบัน) ขณะที่หยุดและตั้งค่ายพักแรม ณ ที่นั้นคุณหญิงโม ได้ออกอุบายให้ชาวเมืองนำอาหารและสุราไปเลี้ยงทหาร ผู้ควบคุม ถึงกับเมามายไร้สติ หมดความระมัดระวัง คุณหญิงโมจึงได้ประกาศใช้ชาวเมืองร่วมใจกันจับอาวุธตามแต่จะหาได้เข้าโจมตีกองทหารที่ควบคุมโดยไม่ทันรู้ตัว แม้จะมีกำลังน้อยกว่าก็ประสบชัยชนะอีก เพราะความสามัคคี และความกล้าหาญของชาวนครราชสีมา ซึ่งมีคุณหญิงโมเป็นผู้ควบคุม กองทหารเวียงจันทน์แตกพินาศ เจ้าอนุวงศ์ถอยทัพกลับในที่สุด กองทัพไทยยกตามไปปราบจับตัวเจ้าอนุวงศ์ได้ ท่านผู้หญิงผู้กล้าหาญได้นามว่า เป็นวีรสตรี กอบกูอิสรภาพนครราชสีมาเอาไว้ได้ ด้วยความสามารถมีคุณต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง วีรกรรมอันห้าวหาญของคุณหญิงโม เป็น “ท้าวสุรนารี” และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาปลัดเมืองนครราชสีมา (ทองคำ) ผู้เป็นสามีท้าวสุรนารีเป็น “เจ้าพระยา-มหิศราธิบดี” ปรากฏในพงศาวดารมาจรทุกวันนี้ ท้าวสุรนารี ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ. 2395 รวมสิริอายุ81 ปี
ท้าวสุรนารี เป็นผู้ที่เลียสละ เพื่อให้ประเทศชาติได้อยู่รอดปลอดภัย ควรที่อนุชนรุ่นหลังจะได้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน บ้านเมืองทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ต้องหวงแหน การหวงแหน คือ ต้องสามัคคี รู้จักหน้าที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ชาวนครราชลึมา ได้แสดงพลังต้องการความเรียบร้อย ความสงบ เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ชาติกลับปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง และเพื่อเป็นการระลึกถึงคุณความดีของท่าน ชาวเมืองนครราชลึมาได้พร้อมใจกันจัดงานเฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารีขึ้น ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม ถึงวันที่ 3 เมษายน ของทุกปี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่นำความเจริญมาสู่ประเทศไทยในทุก ๆ ด้าน ทรงพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน เพื่อให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากภัยของการล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจตะวันตก
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่า สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการศึกษาจากสำนักพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุตรี และทรงศึกษาด้านวิชาการและโบราณราชประเพณีต่าง ๆ จากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งชาวไทยชาวต่างชาติ รวมทั้งการสั่งสอนวิชาการด้านต่าง ๆ จากสมเด็จพระบรมชนกนาถ เช่น วิชารัฐศาสตร์ โหราศาสตร์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์พระองศ์แรกในราชวงศ์จักรี ที่ขึ้นครองราชย์ในขณะที่ยังทรงพระเยาว์และมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองศ์ และพระองศ์ได้เสด็จเยือนประเทศสิงคโปร์และชวา (อินโดนีเซีย) ประเทศอินเดียและพม่า เพื่อทรงศึกษาข้อดี ข้อเสีย ของแบบแผนการปกครองอย่างตะวันตก นำมาปรับปรุงพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
1. ด้านการเลิกทาส
เป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญที่สุดของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองศ์ได้ทรงตราพระราชบัญญัติทาส ร.ศ. 124 โดยใช้เวลานานกว่า 30 ปี ในการปลดปล่อยทาสมิให้หลงเหลืออยู่ในอาณาจักรไทย โดยไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อ ด้วยวิธีการแบบละมุนละม่อมอันต่างกับต่างชาติที่มีเสียเลือดเสียเนื้อ
2. ด้านการไปรษณีย์โทรเลข
พระองศ์ทรงเห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารในอนาคตโดยโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการก่อสร้างวางสายโทรเลข สำหรับสายโทรเลขสายแรกของประเทศ โดยเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2418จากกรุงเทพฯ - สมุทรปราการ และจัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้กรมโทรเลขรวมเข้ากับกรมไปรษณีย์ชื่อว่า กรมไปรษณีย์โทรเลขการไปรษณีย์
3. ด้านการโทรศัพท์
กระทรวงกลาโหม ได้นำโทรศัพท์อันเป็นวิทยาการในการสื่อสารที่ทันสมีเย เข้ามาทดลองใช้เป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2424 จากกรุงเทพฯ - สมุทรปราการ เพื่อแจ้งข่าวเรือ เข้า - ออก ที่ปากน้ำ
4. ด้านการปกครอง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงวางระเบียบการปกครองใหม่โดยการแยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่าง ๆ ให้มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะไม่ก้าวก่ายกัน 12 กรม ได้แก่
1. กรมพระคลัง มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการเก็บภาษีรายได้จากประชาชน
2. กรมยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่าง ๆ ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง
3. กรมยุทธนาธิการ มีหน้าที่ตรวจตรารักษาการณ์ในกรมทหารบก ทหารเรือ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทหาร
4. กรมธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์ คือ หน้าที่สั่งสอนอบรมพระสงฆ์และสอนหนังสือให้กับประชาชนทั่วไป
5. กรมโยธาธิการ มีหน้าที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทำถนน ขุดลอกคูคลอง และงานเกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง
6. กรมมุรธาธิการ มีหน้าที่ดูแลรักษาพระราชลัญจกร พระราชกำหนดกฎหมาย และหนังสือที่เกี่ยวกับราชการทั้งหมด
7. กรมมหาดไทย มีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ และเมืองลาวประเทศราช 8. กรมพระกลาโหม มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองปักษี!,ด้ ฝ่ายตะวันออก ตะวันตก และเมืองมลายู
9. กรมท่า มีหน้าที่ดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ
10. กรมวัง มีหน้าที่ดูแลรักษาการณ์ต่าง ๆ ในพระบรมมหาราชวัง
11. กรมเมือง มีหน้าที่ดูแลรักษากฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับผู้กระทำผิด กรมนี้มีตำรวจทำหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบ และจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษ
12. กรมนา มีหน้าที่คล้ายคลึงกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปัจจุบันคือ มีหน้าที่หลักในการดูแลควบคุมการเพาะปลูก ค้าขาย และป่าไม้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการประกาศ ให้ยกฐานะกรมขึ้นเป็นกระทรวง ในวันที่ 1 เมษายนพ.ศ.2435 และได้ยุบ2กระทรวงที่ทำหน้าที่ซํ้าซ้อนกันคือกระทรวงมุรธาธิการยุบรวมกับกระทรวงวัง และกระทรวงยุทธนาธิการยุบรวมกับกระทรวงกลาโหม โดยคงเหลือไว้ 10 กระทรวง
5. ด้านการพยาบาลและสาธารณสุข
พระองค์ได้โปรดเกล้าฯให้สร้างโรงพยาบาลเพื่อรักษาประชาชน ด้วยวิธีการแพทย์แผนใหม่แทนวิธีการรักษาแบบเดิมที่ล้าสมัย โดยได้พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์จำนวน 16,000 บาท เพื่อเป็นทุนเริ่มแรกในการสร้างโรงพยาบาลชื่อว่า โรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้พระราชทานนามโรงพยาบาลใหม่ว่า โรงพยาบาลศิริราช
6. ด้านการกฎหมาย
กฎหมายในขณะนั้นมีความล้าสมัยอย่างมาก ทำให้ต่างชาติใช้เป็นข้ออ้างในการเอาเปรียบไทยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดเกล้าฯ สร้างประมวลกฎหมายอาญาขึ้นใหม่ เพื่อให้ทันสมัยทัดเทียมกับอารยประเทศโดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญกฎหมายจากต่างประเทศ และบุคคลที่มีความสำคัญในด้านนี้คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระบิดาแห่งกฎหมายไทย) พระราชโอรส การลงโทษแบบจารีตจึงถูกยกเลิกไป
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนกฎหมายแห่งแรกของประเทศไทย โดยมีกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ทรงเป็นผู้อำนวยการ
7. ด้านการขนส่งและสื่อสาร
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้คณะเสนาบดีและกรมโยธาธิการสำรวจเส้นทางเพื่อวางรากฐานการสร้างทางรถไฟ เริ่มสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมาทำให้มีเกิดรถไฟหลวงแห่งแรกของไทย
8. ด้านการเปลี่ยนแปลงระบบเงินตรา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ผลิตธนบัตรขึ้น ตั้งแต่ อัฐ และตั้งกรมธนบัตรขึ้น ได้มีการผลิตธนบัตรรุ่นแรกออกมา 5 ชนิด คือ 1,000 บาท 100 บาท 20 บาท 10 บาท5 บาท มีประกาศยกเลิกใช้เงินพดด้วง เหรียญเฟ้อง เบี้ยทองแดง มีการจัดตั้งธนาคารขึ้นครั้งแรกชื่อ แบงศ์สยามกัมมาจล ปัจจุบันคือ ธนาคารไทยพานิชย์จำกัด
9. ด้านการศึกษา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกขึ้น เมื่อปีพ.ศ. 2444 โดยมีหลวงสารประเสริฐเป็นอาจารย์ใหญ่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยาศรีสุนทรโวหาร(น้อย อาจารยางกรู) เป็นผู้เขียนตำราเรียนขึ้นมาเรียกว่า แบบเรียนหลวง จำนวน 6 เล่ม เมื่อ พ.ศ. 2460 โปรดเกล้า ฯให้จัดตั้ง “กรมศึกษาธิการ” ขึ้น เพื่อดูแลด้านการศึกษาของชาติโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรแห่งแรกที่สร้างขึ้นในวัด คือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม
10. ด้านศิลปวัฒนธรรม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นกวีเอกที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งในแผ่นดินสยามโดยทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมไว้มากมายที่ได้รับความนิยม คือ
1. พระราชพิธีสิบสองเดือน
2. บทละครเรื่อง เงาะป่า
3. ไกลบ้าน
ฯลฯ
ด้วยพระราชกรณียกิจที่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลต่อประเทศไทย จึงได้รับพระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จพระปิยะมหาราช” อันหมายถึง ทรงเป็นที่ เคารพรักของประชาชนทั้งปวง พระองค์เสด็จ-ลวรรคต เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ประเทศไทยจึงกำหนดให้วันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันปิยมหาราช
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (รัชกาลที่ 9)
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี และเป็นองค์ที่ 2
ในประวัติศาสตร์ไทยถัดจาก พระปิยมหาราช ที่ได้รับการถวายพระนาม
“มหาราช” ขณะที่ครองราชย์ พระองค์ทรงทำนุบำรุงประเทศตามพระบรม
ราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน
ชาวสยาม”
พระราชประวัติ
พระราชสมภพ
พระบาทสมเด็จปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระราช
โอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระองค์ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470
ทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพมหานคร และศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์พระองค์ทรงรอบรู้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และละดิน
ครองราชย์
พระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส
ทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรส กับหม่อมราชวงศ์สิริกิต กิติยากร ที่วังสระปทุม และได้ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิต ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิต ต่อมา
พระบรมราชาภิเษก
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 โดยทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามโบราณราชประเพณีและในการนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิต พระอัครมเหสีเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตพระบรมราชินีมีพระราชธิดาและพระราชโอรส 4 พระองศ์ทรงประกาศปฏิญาณหรือพระปฐมบรมราชโองการว่า“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ทรงพระผนวช
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามปฏิบัติพระศาลนกิจ เป็นเวลา 15 วัน
พระราชกรณียกิจด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
1. ด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงวางแผนพัฒนา พระองศ์ท่านทรงวางแผนและหาวิธีการจัดการทรัพยากรนี้า การพัฒนาแหล่งนี้าเพื่อแกไขภัยแล้งให้ประชาชนชาวไทยมีนี้าใช้ในการเกษตร และบริโภคอุปโภคได้อย่างสมบูรณ์ตลอดปี
2. ด้านการจัดการทรัพยากรป่าไม้
พระองศ์ท่านทรงมุ่งมั่นที่จะแกีไข ปรับปรุง และพัฒนาป่าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดังเดิม โดยเน้นการอนุรักษ์และพัฒนาป่าด้นนี้าเป็นพิเศษ จากแนวพระราชดำริของพระองศ์ได้ก่อให้เกิดโครงการต่าง ๆ ได้แก่
1. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยร่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
2. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี ได้ประสบผลสำเร็จ
อย่างสูงในด้านการลดปัญหาการบุกรุกทำลายป่า การป้องกันไฟป่า
3. ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร อำเภอสุไหงโก-สก จังหวัดนราธิวาส มีวัตถุประสงค์
เพื่อทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมของป่าพรุ เป็นด้น
3. ด้านการจัดการทรัพยากรที่ดิน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงวางแนวทางแกใขปัญหาทรัพยากรที่ดินที่เสื่อมโทรม ขาดคุณภาพ และการขาดแคลนที่ดินทำกินสำหรับเกษตรกร แบ่งได้เป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่
1. การจัดและพัฒนาที่ดิน
ปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกินของเกษตรกร เป็นปัญหาสำคัญอย่างมาก และพระองค์ท่านทรงให้ความสำคัญ เพื่อแก่ไขปัญหาการไม่มีที่ดินทำกินของเกษตรกร โดยพระราชดำริแนวทางหนึ่งในการแก่ไขปัญหานี้ ได้แก่ วิธีการปฏิรูปที่ดินมาใช้ในการจัดและพัฒนาที่ดินที่เป็นป่าเสื่อมโทรม ทิ้งร้างว่างเปล่า นำมาจัดสรรให้เกษตรกรที่ไร้ที่ทำกิน ได้ประกอบอาชีพในรูปของหมู่บ้านสหกรณ์ นอกจากนี้ยังมีการจัดพื้นที่ทำกินให้ราษฎรชาวไทยภูเขา สามารถดำรงชีพอยู่ได้เป็นหลักแหล่ง โดยไม่ต้องทำลายป่าอีกต่อไป โดยดำเนินโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินเพื่อการเกษตรควบคู่ไปกับการพัฒนาแหล่งนี้า เช่น โครงการนิคมสหกรณ์หุบกะพง (ในพระบรมราชูปถัมภ์) อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โครงการจัดพัฒนาที่ดินทุ่งลุยลายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ เป็นด้น
2. การพัฒนาและอนุรักษ์ดิน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้ความสำคัญมากขึ้นในการอนุรักษ์และฟันฟูที่ดิน ที่มีสภาพธรรมชาติ และปัญหาที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละภูมิภาค เพื่อแก่ไขปัญหาที่ดินมากขึ้นเช่น การศึกษาวิจัย เพื่อแก่ไขปัญหาดินเค็ม ดินเปรี้ยว ดินทราย ในภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ปัญหาดินพรุในภาคใต้ การพัฒนาและอนุรักษ์ดินที่สำคัญ แบ่งได้ 3 ส่วน คือ
ก) แบบจำลองการพัฒนาพื้นที่ที่มีสภาพขาดความอุดมสมบูรณ์ เพื่อทำการศึกษา ค้นคว้าเกี่ยวกับการสร้างระบบอนุรักษ์ดินและนี้า
ข) การแก่ไขปัญหาดินเปรี้ยวด้วยวิธี "การแกล้งดิน"จากนั้นจึงทำการปรับปรุงดินด้วยวิธีการต่างๆ
ค) มีการศึกษาทดลองปลูกหญ้าแฝก เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และอนุรักษ์ความชุ่มขึ้นไว้ในดิน
3. การดำเนินการเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน “ป่าเตรียมสงวน”
จากปัญหาความรุนแรงในการบุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินของรัฐ โดยราษฎรที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นหลักแหล่ง จึงได้ทรงพระราชทานแนวทางการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ สำหรับที่ดินป่าสงวนที่เสื่อมโทรมและราษฎรได้เข้าไปทำกินอยู่แล้วนั้นโดยรัฐให้กรรมสิทธิ์แก่ราษฎรในการทำกินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่มิได้มีการออกโฉนดที่จะสามารถนำไปซื้อขายได้ เพียงแต่ควรออกใบหนังสือรับรองสิทธิทำกิน(สทก.) แบบสามารถเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทให้สามารถทำกินได้ตลอดไป ทำให้วิธีการนี้ช่วยให้ราษฎรมีกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของตนเองและครอบครัว โดยไม่อาจนำที่ดินนั้นไปขายและจะไม่ไปบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนอื่น ๆ อีกต่อไป
4. ด้านการจัดการทรัพยากรประมง
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีแนวพระราชดำริในการจัดการทรัพยากรประมง เพื่อแก่ไขปัญหาแหล่งน้ำธรรมชาติที่เสื่อมโทรมและการผลิตสัตว์น้ำจำพวกปลาน้ำจืดเป็นแหล่งอาหารราคาถูกที่ให้สารอาหารโปรตีนให้ประชาชน ดังนี้
1. โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ที่มีบ่อเพาะเลี้ยงปลานิล 2.การจัดการทรัพยากรประมง ที่เกี่ยวกับการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์นี้าชายส่งได้พระราชทานดำริเพื่อหาแนวทางการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำอย่างยั่งยืน รวมทั้งการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชายส่งแบบเอนกประสงค์และเกื้อกูลกัน ณ “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวกุ้งกระเบน” จังหวัดจันทบุรี
5. ด้านการจัดการทรัพยากรการผลิตทางการเกษตร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำริในการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรให้มากที่สุด ภายใต้ข้อจำกัดของสภาพภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ได้แก่
5.1 ทฤษฎีการพัฒนาการเกษตรแบบ “พึ่งตนเอง” และเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้เกษตรกรสามารถพึ่งตนเอง และช่วยเหลือตนเองในด้านอาหารก่อนเป็นสำคัญ ไม่ให้พึ่งพาอยู่กับพืชเกษตรเพียงชนิดเดียว ให้ปลูกพืชหลากหลายชนิด
5.2 ทฤษฎีใหม่ : แนวทางการจัดการที่ดินและนี้าเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน พระองค์ทรง พระราชทาน“ทฤษฎีใหม่” เพื่อแก่ไขปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกินของเกษตรกร
5.3 เกษตรยั่งยืนและระบบเกษตรธรรมชาติ มุ่งใช้ประโยชน์จากธรรมชาติเป็นปัจจัยที่สำคัญเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำมาหากินของเกษตรกรลงให้เหลือน้อยที่สุด เช่น การสนับสนุนให้เกษตรกรใช้โคกระบือในการทำนา มากกว่าการใช้เครื่องจักร , การปลูกพืชหมุนเวียน หลีกเลี่ยงใช้สารเคมีต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
6. ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
พระองค์ทรงมุ่งเน้นการอนุรักษ์และพืนฟูสภาพสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะหลักการ “นี้าดีไล่นี้าเสีย”หลักการบัดนี้าเสียด้วยผักตบชวา ทฤษฎีการบำบัดนี้าเสียด้วยการผสมผสานระหว่างพืชนี้ากับระบบการเติมอากาศ ทฤษฎีการบำบัดนี้าเสียด้วยระบบบ่อบำบัดและวัชพืชบำบัด และ “กังหันนี้าชัยพัฒนา” ฯลฯ
พระราชกรณียกิจด้านการแพทย์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะแพทย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ พร้อมด้วยเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ เพื่อให้การรักษาพยาบาลราษฎรที่ป่วยไขได้ทันทีและมีโครงการทันตกรรมพระราชทาน ช่วยเหลือในท้องถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงตระหนักถึงการพัฒนาการศึกษาให้กับเยาวชนโดยจัดตั้งมูลนิธิอาบันทมหิดล เพื่อให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาไปศึกษาหาความรู้ต่อในวิชาการขั้นสูงในประเทศต่าง ๆ เพื่อที่จะได้นำความรู้นั้น ๆ กลับมาใช้พัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าต่อไป พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้จัดทำสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เพื่อใช้สำหรับศึกษาหาความรู้
พระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์ต่างประเทศ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ ทั้งในทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป และทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อเป็นการเจริญทางพระราชไมตรีระหว่างประเทศไทย กับบรรดามิตรประเทศเหล่านั้น ให้แน่นแฟันยิ่งขึ้น
พระราชกรณียกิจด้านภาษาและวรรณกรรม
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านภาษาและวรรณกรรมสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยะด้านวรรณศิลป็ของพระองค์อย่างสมบูรณ์ คือ พระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนกซึ่งพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษในเล่มเดียวกัน
พระราชกรณียกิจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
1. โครงการฝนหลวง
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงด้นหาวิธีการช่วยเหลือภัยแล้งให้กับพสกนิกรโดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ กับทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดมีศักยภาพของการเป็นฝนให้ได้“ฝนหลวง” หรือฝนเทียม
2. โครงการแก้มลิง กักตุนแล้วระบายน้ำตามแรงโน้มถ่วง
มีการขุดคลองต่าง ๆ เพื่อชักน้ำมารวมกันไว้เป็นบ่อพักที่เปรียบได้กับแก้มลิง แล้วค่อย ๆ ระบายน้ำลงทะเลเมื่อน้ำทะเลลดลง จากการดำเนินโครงการได้ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
3. กังหันน้ำชัยพัฒนา ปันน้ำเสียเติมออกซิเจน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาผลิตเครื่องกังหันน้ำซัยพัฒนา ซึ่งเป็นเครื่องกลเดิมอากาศ เป็นกังหันน้ำแบบทุ่นลอยซึ่งใช้ในการบำบัดน้ำเลีย
กังหันน้ำชัยพัฒนาได้รับสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536นับว่าเป็นสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทย และครั้งแรกของโลก และถือว่าวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็น “วันนักประดิษฐ์”
4. เขื่อนดิน อ่างเก็บน้ำที่ไม่ใช้คอนกรีต
เป็นแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำผิวดินตามแนวพระราชดำริ เขื่อนดินไม่เพียงบรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำหากแต่ยังป้องกันน้ำท่วมได้อีกด้วย อีกทั้งยังเป็นแหล่งเพาะพันธ์สัตว์น้ำขนาดเล็กอย่างปลาและกุ้งน้ำจืดได้อีกด้วย
5. ไบโอดีเซลจากปาล์มประกอบอาหารสู่เชื้อเพลิงเครื่องยนต์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นผู้นำทางด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนมีพระราชดำริด้านการพัฒนาน้ำมันปาล์มเพื่อใช้กับเครื่องยนต์ดีเซล การพัฒนาไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มในขื่อ “การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล” ได้จดสิทธิบัตรที่กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2544 อีกทั้งในปี 2546 ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลจาก“โครงการน้ำมันไบโอดีเซลสูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม” ในงาน “บรัสเซลล์ ยูเรกา” ซึ่งเป็นงานแสดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของโลกวิทยาศาสตร์ ณ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม
จากพระอัจฉริยภาพ และพระราชกรณียกิจอันใหญ่หลวงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา-ภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้พระราชทานความรัก ความเมตตาแก่อาณาประชาราษฎร์ เพื่อให้อาณาประชาราษฎร์มีความสุข ทำให้ประชาชนคนไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า ต่างก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของพระองค์และเทิดทูนพระเกียรติคุณทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวโลกด้วยการสดุดีและการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญากิตติมศักดิ์เป็นจำนวนมากทุกสาขาวิชาการ