ประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย
สมัยก่อนกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
ในการศึกษาประวัติศาสตร์ชนชาติไทย มีการศึกษากันและมีข้อสันนิษฐานที่ใกล้เคียงกัน คือเดิมที่ได้อพยพมาจากแถบภูเขาอัลไต และอพยพเรื่อยมาจนถึงแหลมทองในปัจจุบัน “ในตอนกลางลุ่มแม่นี้าแยงซี เป็นที่ตั้งของอาณาจักรฌ้อ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ ฌ้อในสมัยนั้นคือชนชาติไทย พระเจ้าฌ้อปาอองซึ่งครองราชย์อยู่ระหว่าง พ.ศ. 310 ถึง 343 ว่าเป็นกษัตริย์ไทย ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของชนชาติไทย จะทำให้ทราบถึงการตั้งถิ่นฐานนับแต่เริ่มด้นการดำเนินชีวิต และการผสมผสานทางวัฒนธรรมของชาติไทย อย่างไรก็ตามได้มีข้อสันนิษฐานหรือแนวคิดต่าง ๆ ที่มีหลักฐานน่าเชื่อถือ มีผลให้การศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของ ชนชาติไทย สามารถสรุปแนวศิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยอพยพมาจากบริเวณประเทศจีน และทางตอนเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถแยกออกได้ดังนี้
1. แนวศิดที่เชื่อว่าถิ่นเดิมของคนไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต แนวคิดนี้เกิดจากข้อสันนิษฐานที่ว่าถิ่นกำเนิดของมนุษย์อยู่บริเวณตอนกลางของทวีปเอเชีย คือ ทางตอนใต้ของเทือกเขาอัลไตซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศมองโกเลีย
2. แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณทางตอนใต้ของจีนทางเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนรัฐอัสสัมของอินเดีย
3. แนวคิดนี้เชื่อว่าคนไทยอาศัยอยู่กระจัดกระจายกันไป ตั้งแต่มณฑลกวางตุ้ง เรื่อยไปทางตะวันตก ในมณฑลกวางสี ยูนาน กุ้ยโจว เสฉวน ตลอดจนรัฐอัสลัมของอินเดีย โดยอาศัยความเชื่อว่ามีผู้คนที่มีภาษาและวัฒนธรรมคล้ายกับคนไทย อยู่ทางตอนใต้ของจีนเป็นจำนวนมากรวมทั้งพบหลักฐานจากบันทึกของจีนที่กล่าวถึงคนไทยสมัยแรก ๆ เป็นเวลา 2,000 ปีแล้ว
4. แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นเดิมของคนไทยอยู่ในบริเวณมณฑลเสฉวน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเสนอความเห็นไว้ว่าคนไทย น่าจะอยู่แถบดินแดนทิเบตติดต่อกับจีน(มณฑลเสฉวนปัจจุบัน) ประมาณ พ.ศ. 500 ถูกจีนรุกรานจึงอพยพมาอยู่ที่ยูนานทางตอนใต้ของจีนแล้วกระจายไปตั้งถิ่นฐานของบริเวณเงี๊ยวฉาน สิบสองจุไท ล้านนา ล้านช้าง
ในการศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย ยังมีข้อสันนิษฐานที่ต่างกันออกไปแต่อย่างไรก็ตามชนชาติมีการตั้งถิ่นฐานในแหลมมลายูถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นดินแดนที่เราคนไทยได้ใช้เป็นที่อยู่ทำกินสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน
ที่มา ณรงค์ ฟวงพิศ (บรรณาธิการ) หนังสือเรียนสังคมศึกษา, ประวัติศาสตร์ไทย รายวิชา ส 028ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นรานในดินแดนประเทศไทย กรุงเทพฯ:
รัชญา ไชยา (http://sukhothai.go.th/history/hist_01.htm) ได้เรียบเรียงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยก่อนตั้งกรุงสุโขทัยไว้ ดังนี้
คำว่าไทย เป็นชื่อรวมของชนเผ่ามองโกส ซึ่งแบ่งแยกออกเป็นหลายสาขา เช่น ไทยอาหมในแคว้นอัสสัม ไทยใหญ่ ไทยน้อย ไทยโท้ ในแคว้นตั้งเกี่ย อุปนิสัยปกติมักเอื้อเฟ้อเผื่อแผ่ รักสันติและความเป็นอิสระ
ความเจริญของชนชาติไทยนี้ สันนิษฐานว่า มีอายุไล่เสี่ยกันมากับความเจริญของชาวอียิปต์ บาบิโลเนียและอีสสิเรียโบราณ ไทยเป็นชาติที่มีความเจริญมาก่อนจีนแสะก่อนชาวยุโรป ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพวกอนารยชนอยู่เป็นระยะเวลา ประมาณ 5,000-6,000 ปีที่แล้ว ที่ชนชาติไทยได้เคยมีที่ทำกินเป็นหลักฐาน มีการปกครองเป็นปึกแผ่นและมีระเบียบแบบแผนอยู่ ณ ดินแดนซึ่งเป็นประเทศจีนในปัจจุบัน
เมื่อประมาณ 3,500 ปี ก่อนพุทธศักราช ชนชาติไทยได้อพยพข้ามเทือกเขาเทียนชาน เดินทางมาจนถึงที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ ณ บริเวณด้นแม่นี้าฮวงโห และแม่นี้าแยงขีเกียงและได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ บริเวณที่แห่งนั้นแล้วเลิกอาชีพเลี้ยงสัตว์แต่เดิม เปลี่ยนมาเป็นทำการกสิกรรม ความเจริญ ก็ยิ่งทวีมากขึ้นมีการปกครองเป็นปึกแผ่นและได้ขยายที่ทำกินออกไปทางทิศตะวันออกตามลำดับ
ในขณะที่ชนชาติไทยมีความเป็นปึกแผ่นอยู่ ณ ดินแดนและมีความเจริญดังกล่าว ชนชาติจีนยังคงเป็นพวกเลี้ยงสัตว์ ที่เร่ร่อนพเนจรอยู่ตามแถบทะเลสาบแคสเปียน ต่อมาเมื่อประมาณกว่าหนึ่งพันปีที่ไทยอพยพเข้ามาอยู่ในที่ราบลุ่มแม่นี้าเรียบร้อยแล้วชนชาติจีนจึงได้อพยพเข้ามาอยู่ในลุ่มนี้าดังกล่าวนี้บ้าง และได้พบว่า
ชนชาติไทยได้ครอบครองและมีความเจริญอยู่ก่อนแล้ว ในระหว่างระยะเวลานั้น เราเรียกว่าอ้ายลาว หรือพวกมุง ประกอบกันขึ้นเป็นอาณาจักรใหญ่ถึง 3 อาณาจักร คือ
อาณาจักรลุง ตั้งอยู่ทางตอนเหนือบริเวณต้นแม่น้ำเหลือง (หวงโห)
อาณาจักรปา ตั้งอยู่ทางใต้ลงมาบริเวณพื้นที่ทางเหลือของมณฑลเสฉวน อาณาจักรปาจัดว่าเป็นอาณาจักรที่สำคัญกว่าอาณาจักรอื่น
อาณาจักรเงี้ยว ตั้งอยู่ทางตอนกลางของลุ่มแม่น้ำแยงขีเกียง
ทั้งสามอาณาจักรนี้ มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ประชากรก็เพิ่มมากขึ้น จึงได้แผ่ขยายอาณาเขตออกมาทางทิศตะวันออก โดยมีแม่น้ำแยงขีเกียงเป็นแกนหลัก
จากความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ถิ่นที่อยู่ใหม่ มีอิทธิพลทำให้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเดิมตั้งแต่ครั้งยังทำการเลี้ยงสัตว์ที่โหดเหี้ยม และชอบรุกราน มาเป็นชนชาติที่มีใจกว้างขวาง รักสงบพอใจความสันติอันเป็นอุปนิสัยที่เป็นมรดกตกทอดมาถึงไทยรุ่นหลังต่อมา
เหตุที่ชนชาติจีนเข้ามารู้จักชนชาติไทยเป็นครั้งแรก
เมื่อแหล่งทำมาหากินทางแถวทะเลสาบแคสเปียน เกิดอัตคัด ขาดแคลน ทำให้ชนชาติจีนต้องอพยพเคลื่อนย้ายมาทางทิศตะวันออก เมื่อประมาณ 2,500 ปี ก่อนพุทธคักราช ชนชาติจีนได้อพยพข้ามเทือกเขาเทียนชาน ที่ราบสูงโกบี จนมาถึงลุ่มแม่น้ำไหว จึงได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ ที่นั้น และมีความเจริญขึ้นตามลำดับปรากฏมีปฐมกษัตริย์ของจีนชื่อ ฟูอี ได้มีการสืบวงศ์กษัตริย์กันต่อมา แต่ขณะนั้นจีนกับไทยยังไม่รู้จักกันล่วงมาจนถึงสมัยพระเจ้ายู้ จีนกับไทยจึงได้รู้จักกันครั้งแรก โดยมีสาเหตุมาจากที่พระเจ้ายู้ ได้มีรับสั่งให้มีการสำรวจพระราชอาณาเขตขึ้น ชาวจีนจึงได้มารู้จักชาวไทย ได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอ้ายลาวจึงยกย่องนับถือถึงกับให้สมญาอาณาจักรอ้ายลาวว่า อาณาจักรไต่ ซึ่งมีความหมายว่าอาณาจักรใหญ่สันนิษฐานว่า เป็นสมัยแรกที่จีนกับไทยได้แลกเปลี่ยนสัมพันธไมตรีต่อกัน
อาณาจักรอ้ายลาวถูกรุกราน
เมื่อประมาณ 390 ปี ก่อนพุทธคักราช พวกจีนได้ถูกชนชาติตาดรุกราน พวกตาดได้ล่วงเลยเข้ามารุกรานถึงอาณาจักรอ้ายลาวด้วย อาณาจักรลุงซึ่งอยู่ทางเหนือ ต้องประสบภัยสงครามอย่างร้ายแรง ในที่สุดก็ต้องทิ้งถิ่นฐานเดิม อพยพลงมาทางนครปา ซึ่งอยู่ทางใต้ ปล่อยให้พวกตาดเข้าครอบครองนครลุง ซึ่งมีอาณาจักรเขตประชิดติดแดนจีน ฝ่ายอาณาจักรจีนในเวลาต่อมาเกิดการจลาจล พวกราษฎรพากันอพยพหนีภัยสงคราม เข้ามาในนครปาเป็นครั้งแรก เมื่ออพยพมาอยู่กันมากเข้า ก็มาเบียดเบียนชนชาติไทยในการครองชีพ ชนชาติไทยทนการเบียดเบียนไม่ได้ จึงได้อพยพจากนครปามาหาที่ทำกินใหม่ทางใต้ครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 50ปีก่อนพุทธคักราช แต่อาณาจักรอ้ายลาวก็ยังคงอยู่จนถึงประมาณพ.ศ. 175อาณาจักรจีนเกิดมีแคว้นหนึ่ง คือ แคว้นอื่น มีอำนาจขึ้นแล้วใช้แสนยานุภาพเข้ารุกรานอาณาจักรอ้ายลาว นับเป็นครั้งแรกที่ไทยกับจีน ได้รบพุ่งกัน ในที่สุดชนชาติไทยก็เสียนครปาให้แก่จีน เมื่อ พ.ศ.205 ผลของสงครามทำให้ชาวนครปาที่ยังตกค้างอยู่ในถิ่นเดิม อพยพเข้ามาหาพวกเดียวกันที่อาณาจักรเงี้ยว ซึ่งขณะนั้นยังเป็นอิสระอยู่ไม่ได้อยู่ในอำนาจของจีน แต่ฝ่ายจีนยังคงรุกรานลงทางใต้สู่อาณาจักรเงี้ยวต่อไป ในที่สุดชนชาติไทยก็เสียอาณาจักรเงี๋ยวให้แก่พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ เมื่อปี พ.ศ. 328
อาณาจักรเพงาย
ตั้งแต่ พ.ศ. 400 - 621 เมื่ออาณาจักรอ้ายลาวถูกรุกรานจากจีน ทั้งวิธีรุกเงียบและรุกรานแบบเปิดเผยโดยใช้แสนยานุภาพ จนชนชาติไทยอ้ายลาวสิ้นอิสรภาพ จึงได้อพยพอีกครั้งใหญ่ แยกย้ายกันไปหลายทิศหลายทาง เพื่อหาถิ่นอยู่ใหม่ ได้เข้ามาในแถบลุ่มแม่น้ำสาละวิน ลุ่มแม่น้ำอิรวดี บางพวกก็ไปถึงแคว้นอัสสัม บางพวกไปยังแคว้นตังเกี๋ย เรียกว่า ไทยแกว บางพวกเข้าไปอยู่ที่แคว้นรุนหนำ พวกนี้มีจำนวนค่อนข้างมาก ในที่สุดได้ตั้งอาณาจักรขึ้น เมื่อ พ.ศ. 400 เรียกว่า อาณาจักรเพงาย
ในสมัยพระเจ้าขุนเมืองได้มีการรบระหว่างไทยกับจีนหลายครั้งผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ สาเหตุที่รบกันเนื่องจากว่า ทางอาณาจักรจีน พระเจ้าวู่ตี่ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและได้จัดสมณทูตให้ไปสืบสวนพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดีย แต่การเดินทางของสมณทูตต้องผ่านเข้ามาในอาณาจักรเพงาย พ่อขุนเมืองไม่ไว้ใจจึงขัดขวาง ทำให้กษัตริย์จีนขัดเคืองจึงส่งกองทัพมารบ ผลที่สุดชาวเพงายต้องพ่ายแพ้ เมื่อ พ.ศ. 456
ต่อมาอาณาจักรจีนเกิดการจลาจล ชาวนครเพงายจึงได้โอกาสแข็งเมือง ตั้งตนเป็นอิสระ จนถึง พ.ศ.621 ฝ่ายจีนได้รวมกันเป็นปึกแผ่นและมีกำลังเข้มแข็ง ได้ยกกองทัพมารุกรานไทย สาเหตุของสงครามเนื่องจากพระเจ้ามิ่งตี่ กษัตริย์จีนได้วางแผนการขยายอาณาเขต โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ โดยได้ล่งสมณทูตไปเผยแพร่พระพุทธศาสนายังประเทศใกล้เคียง สำหรับนครเพงายนั้น เมื่อพระพุทธศาสนาแผ่ไปถึงพ่อขุนลิว เมา ซึ่งเป็นหัวหน้าก็เลื่อมใส ชาวนครเพงายโดยทั่วไปก็ยอมรับนับถือเป็นศาสนาประจำชาติ ด้วยต่างก็ประจักษ์ในคุณค่าของพระธรรมอันวิเศษยอดเยี่ยม นับว่าสมัยนี้เป็นสมัยสำคัญที่พระพุทธศาสนาได้แผ่เข้ามาถึงอาณาจักรไทย คือ เมื่อประมาณ พ.ศ. 612 เมื่อเป็นเช่นนั้นฝ่ายจีนจึงถือว่าไทยต้องเป็นเมืองขึ้นของจีนด้วยจึงได้ล่งขุนนางเข้ามาควบคุมการปกครองนครเพงาย เมื่อทางไทยไม่ยอมจึงเกิดผิดใจกัน ฝ่ายจีนได้กรีฑาทัพใหญ่เข้าโจมดีนครเพงาย นครเพงายจึงเสียอิสรภาพ เมื่อ พ.ศ. 621
อาณาจักรน่านเจ้า (พ.ศ. 1193 - 1823)
หลังจากนครเพงายเสียแก่จีนแล้ว ก็ได้มีการอพยพครั้งใหญ่กันอีกครั้งหนึ่ง ลงมาทางทิศใต้และทางทิศตะวันตก ส่วนใหญ่มักเข้ามาตั้งอยู่ตามลุ่มแม่น้ำ ในเวลาต่อมาได้เกิดมีเมืองใหญ่ขึ้นถึง 6 เมือง ทั้ง 6 เมืองต่างเป็นอิสระแก่กัน ประกอบกับในห้วงเวลานั้นกษัตริย์จีนกำลังเสื่อมโทรม แตกแยกออกเป็นสามก๊ก ก๊กของเล่าปีอันมีขงเบ้งเป็นผู้นำ ได้เคยยกมาปราบปรามนครอิสระของไทย ซึ่งมีเบ้งเฮกเป็นหัวหน้าได้สำเร็จ ชาวไทยกลุ่มนี้จึงต้องอพยพหนีภัยจากจีน
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 850 พวกตาดได้ยกกำลังเข้ารุกราน อาณาจักรจีนทางตอนเหนือ เมื่อดีได้แล้วก็ตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์ทางเหนือมีปักกิ่งเป็นเมืองหลวง ส่วนอาณาจักรทางใต้ กษัตริย์เชื้อสายจีนก็ครองอยู่ที่เมืองน่ำกิงทั้งสองพวกได้รบพุ่งกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ทำให้เกิดการจลาจลไปทั่วอาณาจักร ผลแห่งการจลาจลครั้งนั้น ทำให้นครอิสระทั้ง 6 ของไทย คือ ซีล่ง ม่งเส ล่างกง มุ่งซุย เอี้ยแซ และเท่งเขึ้ยง กลับคืนเป็นเอกราช
นครม่งเส นับว่าเป็นนครสำคัญ เป็นนครที่ใหญ่กว่านครอื่น ๆ และตั้งอยู่ตํ่ากว่านครอื่น ๆ จึงมีฐานะมั่นคงกว่านครอื่น ๆ ประกอบกับมีกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถและเข้มแข็ง คือ พระเจ้าสินุโล พระองค์ได้รวบรวมนครรัฐทั้ง 6 เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันรวมเรียกว่า อาณาจักรม่งเส หรือหนองแส จากนั้นพระองค์ได้วางระเบียบการปกครองอาณาจักรอย่างแน่นแฟัน พระองค์ได้ดำเนินนโยบายผูกมิตรกับจีน เพื่อป้องกันการรุกราน เนื่องจากในระยะนั้นไทยกำลังอยู่ในห้วงเวลาสร้างตัวจนมีอำนาจ เป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีอาณาเขตประชิดติดกับจีน ทางฝ่ายจีนเรียกอาณาจักรนี้ว่า อาณาจักรน่านเจ้า
แม้ว่าอาณาจักรน่านเจ้าจะสิ้นรัชสมัย พระ เจ้าสินุโลไปแล้วก็ ตาม พระราชโอรสของพระองค์ซึ่งสืบราชสมบัติ ต่อมาก็ทรงพระปรีชาสามารถ มั่นคือ พระเจ้าพีล่อโก๊ะ พระองค์ ได้ทำให้อาณาจักรน่านเจ้าเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม อาณาเขตก็กว้างขวางมากขึ้นกว่าเก่า งานขึ้นสำคัญของพระองค์อย่างหนึ่งก็คือการรวบรวมนครไทยอิสระ 5 นคร เข้าด้วยกันและการเป็นสัมพันธไมตรีกับจีน
ในสมัยนี้อาณาจักรน่านเจ้า ทิศเหนือจรดมณฑลรุนหนำ ทิศใต้จรดมณฑลยูนาน ทิศตะวันตกจรดทิเบต และพม่า และทิศตะวันออกจรดมณฑลกวางไส บรรดาอาณาจักรใกล้เคียงต่างพากันหวั่นเกรง และยอมอ่อนน้อมต่ออาณาจักรน่านเจ้าโดยทั่วหน้ากัน พระเจ้าพีล่อโก๊ะ มีอุปนิสัยเป็นนักรบ จึงโปรดการสงครามปรากฏว่าครั้งหนึ่ง พระองค์เสด็จเป็นจอมทัพไปช่วยจีนรบกับชาวอาหรับ ที่มณฑลชินเกียง และพระองค์ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม ทางกษัตริย์จีนถึงกับยกย่องให้สมญานามพระองค์ว่ายูนานอ่อง พระองค์เป็นกษัตริย์ที่เห็นการณ์ไกล มีนโยบายในการแผ่อาณาเขตที่ฉลาดสุขุมคัมภีรภาพ วิธีการของพระองค์ คือ ล่งพระราชโอรสให้แยกย้ายกันไปตั้งบ้านเมืองขึ้นใหม่ทางทิศใต้และทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ได้แก่ บริเวณหลวงพระบาง ตังเกี๋ยสิบสองปันนา สิบสองจุไทย (เจ้าไทย) หัวพันทั้งห้าทั้งหก กาลต่อมาปรากฏว่าโอรสองค์หนึ่งได้ใปสร้างเมืองชื่อว่า โยนกนคร ขึ้นทางใต้ เมืองต่าง ๆ ของโอรสเหล่านี้ต่างก็เป็นอิสระแก่กัน เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าพีล่อโก๊ะ(พ.ศ. 1289) พระเจ้าโก๊ะล่อฝง ผู้เป็นราชโอรสได้ครองราชย์สืบต่อมา และได้ดำเนินนโยบายเป็นไมตรีกับจีนตลอดมา จนถึง พ.ศ.1293 จึงมีสาเหตุขัดเคืองใจกันขึ้น มูลเหตุเนื่องจากว่า เจ้าเมืองอุนหนำได้แสดงความประพฤติดูหมื่นพระองค์ พระองค์จึงขัดเคืองพระทัย ถึงขั้นยกกองทัพไปดีได้เมืองอุนหนำ และหัวเมืองใหญ่น้อยอื่น ๆ อีก 32 หัวเมือง แม้ว่าทางฝ่ายจีนจะพยายามโจมดีกลับคืนหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดฝ่ายจีนก็เข็ดขยาด และเลิกรบไปเอง ในขณะที่ไทยทำสงครามกับจีน ไทยก็ได้ทำการผูกมิตรกับทิเบต เพื่อหวังกำลังรบและเป็นการป้องกันอันตรายจากด้านทิเบต
เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าโก๊ะล่อฝง ราชนัดดา คือ เจ้าอ้ายเมืองสูง (อีเหมาชุน) ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อมามีเหตุการณ์ในตอนด้นรัชกาล คือ ไทยกับทิเบตเป็นไมตรีกัน และได้รวมกำลังกันไปดีแคว้นเสฉวนของจีน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ในเวลาต่อมา ทิเบตถูกรุกรานและได้ขอกำลังจากไทยไปช่วยหลายครั้ง จนฝ่ายไทยไม่พอใจ ประจวบกันในเวลาต่อมา ทางจีนได้แต่งทูตมาขอเป็นไมตรีกับไทย เจ้าอ้ายเมืองสูงจึงคิดที่จะเป็นไมตรีกับจีน เมื่อทางทิเบตทราบระแคะระคายเข้าก็ไม่พอใจ จึงคิดอุบายหักหลังไทย แต่ฝ่ายไทยไหวทัน จึงสวมรอยเข้าโจมดีทิเบตย่อยยับ ดีได้หัวเมืองทิเบต 16 แห่ง ทำให้ทิเบตเข็ดขยาดผีเมือของไทยนับตั้งแต่นั้นมา
ในเวลาต่อมากษัตริย์น่านเจ้าในสมัยหลังอ่อนแอ และไม่มีนิสัยเป็นนักรบ ดังปรากฏในตามบันทึกของฝ่ายจีนว่า ในสมัยที่พระเจ้าฟ้า ขึ้นครองราชย์ เมื่อปี พ.ศ. 1420 นั้น ได้มีพระราชสาสน์ไปถึงอาณาจักรจีน
ชวนให้เป็นไมตรีกัน ทางฝ่ายจีนก็ตกลง เพราะยังเกรงในฝีมือ และความเข้มแข็งของไทยอยู่ แต่กระนั้นก็ไม่ละความพยายามที่จะหาโอกาสรุกรานอาณาจักรน่านเจ้า ปรากฏว่า พระเจ้าแผ่นดินจีนได้ส่งราชธิดา หงางฝ่าให้มาอภิเษกสมรสกับพระเจ้าฟ้า เพื่อหาโอกาสรุกเงียบในเวลาต่อมา โดยได้พยายามผันแปรขนบธรรมเนียมประเพณีในราชสำนัก ให้มีแบบแผนไปทางจีนทีละน้อย ๆ ดังนั้น ราษฎรน่านเจ้าก็พากันนิยมตาม จนในที่สุดอาณาจักรน่านเจ้าก็มีลักษณะคล้ายกับอาณาจักรจีน แม้ว่าสิ้นสมัยพระเจ้าฟ้า กษัตริย์น่านเจ้าองค์หลัง ๆ ก็คงปฏิบัติตามรอยเดิมประชาชนชาวจีนก็เข้ามาปะปนอยู่ด้วยมาก แม้กษัตริย์เองก็มีสายโลหิตจากทางจีนปะปนอยู่ด้วยแทนทุกองค์ จึงก่อให้เกิดความเสื่อม ความอ่อนแอขึ้นภายในมีการแย่งชิงราชสมบัติกันในบางครั้งจนในที่สุดเกิดการแตกแยกในอาณาจักรน่านเจ้า ความเสื่อมได้ดำเนินต่อไปตามลำดับจนถึงปี พ.ศ. 1823ก็สิ้นสุดลงด้วยการโจมดีของกุบไลข่าน กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรจีน อาณาจักรน่านเจ้าดับลงในครั้งนั้น
ชนชาติต่าง ๆ ในแหลมสุวรรณภูมิก่อนที่ไทยจะอพยพมาอยู่
ชนชาติดั้งเดิม และมีความเจริญน้อยที่สุดก็คือพวก นิโกรอิด ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของพวกเงาะ เข่นเซมัง ซาไก ปัจจุบันชนชาติเหล่านั้มีเหลืออยู่น้อยเต็มที แถวปักษ็1ต้อาจมีเหลืออยู่บ้าง ในเวลาต่อมาชนชาติที่มีอารยธรรมสูงกว่า เข่น มอญ ขอม ละว้า ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน
ขอม มีถิ่นฐานทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแหลมสุวรรณภูมิ ในบริเวณแม่น้ำโขงตอนใต้และทะเลสาบเขมร
ลาวหรือละว้า มีถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นดินแดนตอนกลางระหว่างขอมและมอญ
มอญ มีถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำอิรวดี
ทั้งสามชาตินั้มีความละม้ายคล้ายคลึงกันมาก ตั้งแต่รูปร่าง หน้าตา ภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณีสันนิษฐานได้ว่า น่าจะเป็นชนชาติเดียวกันมาแต่เดิม
อาณาจักรละว้า เมื่อประมาณ พ.ศ. 700 ชนชาติละว้า ซึ่งเข้าครอบครองถิ่นเจ้าพระยา ได้ตั้งอาณาจักรใหญ่ขึ้นสามอาณาจักร คือ
อาณาจักรทวาราวดี มีอาณาเขตประมาณตั้งแต่ราชบุรี ถึงพิษณุโลก มีนครปฐมเป็นเมืองหลวง
อาณาจักรโยนกหรือยาง เป็นอาณาจักรทางเหนือในเขตพื้นที่เชียงราย และเชียงแสนมีเงินยางเป็นเมืองหลวง
อาณาจักรโคตรบูรณ์ มีอาณาเขตตั้งแต่นครราชสีมาถึงอุดรธานี มีนครพนมเป็นเมืองหลวง
อาณาจักรที่นำมาเผยแพร่ แหลมสุวรรณภูมิได้เป็นศูนย์กลางการค้าของจีน และอินเดียมาเป็นเวลาช้านาน จนกลายเป็นดินแดนแห่งอารยธรรมผสม ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณนี้ เป็นเหตุดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาอาศัย และติดต่อค้าขาย นับตั้งแต่ พ.ศ. 300 เป็นด้นมา ได้มีชาวอินเดียมาอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิเป็นจำนวนมากขึ้นตามลำดับ รวมทั้งพวกที่หนีภัยสงครามทางอินเดียตอนใต้ ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์แห่งแคว้นโกศลได้กรีฑาทัพไปดีแคว้นกลิงคราษฎร์ ชาวพื้นเมืองอินเดียตอนใต้ จึงอพยพเข้ามาอยู่ที่พม่า ตลอดถึงพื้นที่ทั่วไปในแหลมมลายูและอินโดจีน อาศัยที่พวกเหล่านั้นมีความเจริญอยู่แล้ว จึงได้นำเอาวิชาความรู้และความเจริญต่าง ๆ มาเผยแพร่ คือ
ศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนา ซึ่งเหมาะสมในทางอบรมจิตใจ ให้ความสว่างกระจ่างในเรื่องบาป คุณ โทษ สันนิษฐานว่า พุทธศาสนาเข้ามาเผยแผ่เป็นครั้งแรกโดยพระโสณะและพระอุตระในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย
ศาสนาพราหมณ์ มีความเหมาะสมในด้านการปกครอง ซึ่งต้องการความศักดิ์สิทธิและเด็ดขาด ศาสนานี้สอนให้เคารพในเทพเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระพรหม และพระนารายณ์
นิติศาสตร์ ได้แก่ การปกครอง ได้วางแผนการปกครองหัวเมืองตลอดจนการตั้งมงคลนามถวายแก่พระมหากษัตริย์และตั้งชื่อ
อักษรศาสตร์ พวกอินเดียตอนใต้ได้นำเอาตัวอักษรคฤณฑ์เข้ามาเผยแพร่ ต่อมาภายหลังได้ดัดแปลงเป็นอักษรขอม และอักษรมอญ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทย โดยดัดแปลงจากอักษรขอม เมื่อปี พ.ศ. 1823
ศิลปะศาสตร์ ได้แก่ ผีเมือในการก่อสร้าง แกะสลัก ก่อพระสถูปเจดีย์ และหล่อพระพุทธรูป
การแผ่อำนาจของขอมและพม่า
ประมาณปีพ.ศ.601โกณทัญญะซึ่งเป็นชาวอินเดียได้สมรสกับนางพญาขอม และต่อมาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ครอบครองดินแดนของนางพญาขอม จัดการปกครองบ้านเมืองด้วย ความเรียบร้อย ทำนุบำรุงกิจการทหาร ทำให้ขอมเจริญขึ้นตามลำดับ มีอาณาเขตแผ่ขยายออกไปมากขึ้น ในที่สุดก็ได้ยกกำลังไปดีอาณาจักรโคตรบูรณ์ ซึ่งเป็นอาณาจักรที่อยู่ทางเหนือของละว้าไว่ได้ แล้วถือโอกาสเข้าดีอาณาจักรทวาราวดี
ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1600 กษัตริย์พม่าผู้มีความสามารถองค์หนึ่ง คือ พระเจ้าอโนธรามังช่อได้ยกกองทัพมาดีอาณาจักรมอญ เมื่อดีอาณาจักรมอญไว้ในอำนาจได้แล้ว ก็ยกทัพล่วงเลยเข้ามาดีอาณาจักรทวาราวดี และมีอำนาจครอบครองตลอดไปทั้งสองส่งแม่นี้าเจ้าพระยา อำนาจของขอมก็สูญสิ้นไป แต่เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าอโนธรามังช่อ อำนาจของพม่าในลุ่มนี้าเจ้าพระยาก็พลอยเสื่อมโทรมดับสูญไปด้วย เพราะกษัตริย์พม่าสมัยหลังเสื่อมความสามารถและมักแย่งชิงอำนาจซึ่งกันและกัน เปิดโอกาสให้แว่นแคว้นต่าง ๆ ที่เคยเป็นเมืองขึ้น ตั้งตัวเป็นอิสระได้อีก ในระหว่างนี้ พวกไทยจากน่านเจ้า ได้อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิเป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อพม่าเสื่อมอำนาจลง คนไทยเหล่านี้ก็เริ่มจัดการปกครองกันเองในลุ่มนี้าเจ้าพระยาฝ่ายขอมนั้นเมื่อเห็นพม่าทอดทั้งแดนละว้าเสียแล้ว ก็หวนกลับมาจัดการปกครองในลุ่มแม่นี้าเจ้าพระยาอีกวาระหนึ่ง โดยอ้างสิทธิแห่งการเป็นเจ้าของเดิม อย่างไรก็ตามอำนาจของขอมในเวลานั้นก็ซวดเซลงมาแล้วแต่เนื่องจากชาวไทยที่อพยพเข้ามาอยู่ยังไม่มีอำนาจเต็มที่ ขอมจึงบังคับให้ชาวไทยล่งส่วยให้ขอม พวกคนไทยที่อยู่ในเขตลุ่มแม่นี้าเจ้าพระยาตอนใต้ ไม่กล้าขัดขืน ยอมล่งส่วยให้แก่ขอมโดยดี จึงทำให้ขอมได้ใจและเริ่มขยายอำนาจขึ้นไปทางเหนือ ในการนี้เข้าใจว่าบางครั้งอาจต้องใช้กำลังกองทัพเข้าปราบปราม บรรดาเมืองที่ขัดขืนไม่ยอมล่งส่วย ขอมจึงสามารถแผ่อำนาจขึ้นไปจนถึงแคว้นโยนก
ส่วนแคว้นโยนกนั้น ถือตนว่าไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของขอมมาก่อน จึงไม่ยอมล่งส่วย ให้ตามที่ขอมบังคับ ขอมจึงใช้กำลังเข้าปราบปรามนครโยนกได้สำเร็จ พระเจ้าพังคราช กษัตริย์แห่งโยนก ลำดับที่ 43ได้ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองเวียงสีทอง
แคว้นโยนกเชียงแสน (พ.ศ. 1661 - 1731)
ดังได้ทราบแล้วว่าโอรสของพระเจ้าพีล่อโก๊ะองค์หนึ่ง ชื่อพระเจ้าสิงหนวัติ ได้มาสร้างเมืองใหม่ขึ้นทางใต้ชื่อเมืองโยนกนาคนคร เมืองดังกล่าวนี้อยู่ในเขตละว้า หรือในแคว้นโยนก เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1111เป็นเมืองที่สง่างามของย่านนั้น ในเวลาต่อมาก็ได้รวบรวมเมืองที่อ่อนน้อม ตั้งขึ้นเป็นแคว้นชื่อโยนกเชียงแสนมีอาณาเขตทางทิศเหนือตลอดสิบสองปันนา ทางใต้จรดแคว้นหริภุญซัย มีกษัตริย์สืบเชื้อสายต่อเนื่องกันมาจนถึงสมัยพระเจ้าพังคราชจึงได้เสืยทีแก่ขอมดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าพังคราชตกอับอยู่ได้ไม่นานนัก ก็กลับเป็นเอกราชอีกครั้งหนึ่ง ด้วยพระปรีชาสามารถของพระโอรสองค์น้อย คือ พระเจ้าพรหม ซึ่งมีอุปนิสัยเป็นนักรบ และมีความกล้าหาญได้สร้างสมกำลังผู้คน'ฟิกหัดทหารจนชำนิชำนาญ แล้วคิดต่อสู้กับขอมไม่ยอมล่งส่วยให้ขอม เมื่อขอมยกกองทัพมาปราบปราม ก็ดีกองทัพขอมแตกพ่ายกลับไป และยังไม่แผ่อาณาเขตเลยเข้ามาในดินแดนขอมได้ถึงเมืองเชลียงและตลอดถึงลานนา ลานช้าง แล้วอัญเชิญพระราชบิดากลับไปครองโยนกนาคนครเดิม แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองเสืยใหม่ว่าชัยบุรี ส่วนพระองค์เองนั้น ลงมาสร้างเมืองใหม่ทางใต้ชื่อเมืองชัยปราการ ให้พระเชษฐา คือเจ้าทุกชิตราช ดำรงตำแหน่งอุปราช นอกจากนั้นก็สร้างเมืองอื่น ๆ เช่น เมืองชัยนารายณ์ นครพางคำให้เจ้านายองค์อื่น ๆ ปกครอง
เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าพังคราช พระเจ้าทุกชิตราช ก็ได้ขึ้นครองเมืองชัยบุรี ส่วนพระเจ้าพรหมและโอรสของพระองค์ก็ได้ครองเมืองชัยปราการ ต่อมาในสมัยนั้นขอมกำลังเสื่อมอำนาจจึงมิได้ยกกำลังมาปราบปราม ฝ่ายไทยนั้น แม้กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ก็คงยังไม่มีกำลังมากพอที่จะแผ่ขยาย อาณาเขตลงมาทางใต้อีกได้ ดังนั้นอาณาเขตของไทยและขอมจึงประชิดกันเฉยอยู่
เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าพรหม กษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาอ่อนแอและหย่อนความสามารถ ซึ่งมิใช่แต่ที่นครชัยปราการเท่านั้น ความเสื่อมได้เป็นไปอย่างทั่วถึงกันยังนครอื่น ๆ เช่น ชัยบุรี ชัยนารายณ์ และนครพางคำดังนั้น ในปี พ.ศ. 1731 เมื่อมอญกรีฑาทัพใหญ่มารุกรานอาณาจักรขอมได้ชัยชนะแล้ว ก็ล่วงเลยเข้ามารุกรานอาณาจักรไทยเชียงแสน ขณะนั้นโอรสของพระเจ้าพรหม คือ พระเจ้าชัยคิริ ปกครองเมืองชัยปราการไม่สามารถด้านทานศึกมอญได้ จึงจำเป็นต้องเผาเมือง เพื่อมิให้พวกข้าศึกเข้าอาศัย แล้วพากันอพยพลงมาทางใต้ของดินแดนสุวรรณภูมิ จนกระทั่งมาถึงเมืองร้างแห่งหนึ่งในแขวงเมืองกำแพงเพชร ชื่อเมืองแปปได้อาศัยอยู่ที่เมืองแปปอยู่ห้วงระยะเวลาหนึ่ง เห็นว่าชัยภูมิไม่สู้เหมาะเพราะอยู่ใกล้ขอม จึงได้อพยพลงมาทางใต้จนถึงเมืองนครปฐมจึงได้พักอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น
ส่วนกองทัพมอญ หลังจากรุกรานเมืองชัยปราการแล้ว ก็ได้ยกล่วงเลยตลอดไปถึงเมืองอื่น ๆในแคว้นโยนกเชียงแสน จึงทำให้พระญาติของพระเจ้าชัยคิริ ซึ่งครองเมืองชัยบุรี ต้องอพยพหลบหนีข้าศึกเช่นกัน ปรากฏว่าเมืองชัยบุรีนั้นเกิดน้ำท่วม บรรดาเมืองในแคว้นโยนกต่างก็ถูกทำลายลงหมดแล้วพวกมอญเห็นว่าหากเข้าไปตั้งอยู่ก็อาจเสืยแรง เสืยเวลา และทรัพย์สินเงินทอง เพื่อที่จะสถาปนาขึ้นมาใหม่ดังนั้นพวกมอญจึงยกกองทัพกลับ เป็นเหตุให้แว่นแคว้นนี้ว่างเปล่าขาดผู้ปกครองอยู่ห้วงระยะเวลาหนึ่งในระหว่างที่ฝ่ายไทย กำลังระสํ่าระส่ายอยู่นี้ เป็นโอกาสให้ขอมซึ่งมีราชธานีอุปราชอยู่ที่เมืองละโว้ถือสิทธเข้าครองแคว้นโยนก แล้วบังคับให้คนไทยที่ตกค้างอยู่นั้นให้ล่งส่วยให้แก่ขอม ความพินาศของแคว้นโยนกครั้งนี้ ทำให้ชาวไทยต้องอพยพแยกย้ายกันลงมาเป็นสองสายคือ สายของพระเจ้าชัยคิริ อพยพลงมาทางใต้และได้อาศัยอยู่ชั่วคราวที่เมืองแปปดังกล่าวแล้ว ส่วนสายพวกชัยบุรีได้แยกออกไปทางตะวันออกของสุโขทัยจนมาถึงเมืองนครไทยจึงได้เข้าไปตั้งอยู่ ณ เมืองนั้นด้วยเห็นว่าเป็นเมืองที่มีชัยภูมิเหมาะสมเพราะเป็นเมืองใหญ่ และตั้งอยู่สุดเขตของขอมทางเหนือ ผู้คนในเมืองนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นชาวไทย อย่างไรก็ตามในชั้นแรกที่เข้ามาตั้งอยู่นั้น ก็คงต้องยอมขึ้นอยู่กับขอม ซึ่งขณะนั้นยังมีอำนาจอยู่
ในเวลาต่อมา เมื่อคนไทยอพยพลงมาจากน่านเจ้าเป็นจำนวนมาก ทำให้นครไทยมีกำลังผู้คนมากขึ้นข้างฝ่ายอาณาจักรลานนาหรือโยนกนั้น เมื่อพระเจ้าชัยคิริทิ้งเมืองลงมาทางใต้ แล้วก็เป็นเหตุให้ดินแดนแถบนั้นว่างผู้ปกครองอยู่ระยะหนึ่ง แต่ในระยะต่อมาชาวไทยก็ค้างการอพยพอยู่ในเขตนั้นก็ได้รวมตัวกัน ตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นหลายแห่งตั้งเป็นอิสระแก่กัน บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นก็นับว่าสำคัญ มีอยู่สามเมืองด้วยกัน คือ นครเงินยาง อยู่ทางเหนือ นครพะเยาอยู่ตอนกลาง และเมืองหริภูญไชย อยู่ลงมาทางใต้ส่วนเมืองนครไทยนั้นด้วยเหตุที่ว่ามีที่ตั้งอยู่ปลายทางการอพยพ และอาศัยที่มีราชวงศ์เชื้อสายโยนกอพยพมาอยู่ที่เมืองนี้ จึงเป็นที่นิยมของชาวไทยมากกว่าพวกอื่น จึงได้รับยกย่องขึ้นเป็นพ่อเมืองที่ตั้งของเมืองนครไทยนั้นสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเมืองเดียวกันกับเมืองบางยาง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่มีเมืองขึ้น และเจ้าเมืองมีฐานะเป็นพ่อขุน
เมื่อบรรดาชาวไทยเกิดความคิดที่จะสลัดแอกของขอมครั้งนี้ บุคคลสำคัญในการนั้นก็คือ พ่อขุนบางกลางหาว ซึ่งเป็นเจ้าเมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราดได้ร่วมกำลังกันยกขึ้นไปโจมดีขอมจนได้เมืองสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของขอมไว่ได้ เมื่อปี พ.ศ. 1800 การมีชัยชนะของฝ่ายไทยในครั้งนั้นนับว่าเป็นนิมิตหมายเบื้องด้น แห่งความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทยและเป็นลางร้ายแห่งความเสื่อมโทรมของขอม เพราะนับแต่วาระนั้นเป็นด้นมา ขอมก็เสื่อมอำนาจลงทุกที จนในที่สุดก็สิ้นอำนาจไปจากดินแดนละว้าแต่ยังคงมีอำนาจปกครองเหนือลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนใต้
อาณาจักรสุโขทัย
กรุงสุโขทัย ตามตำนานกล่าวว่าพระยาพาลีราชเป็นผู้ตั้งเมืองสุโขทัยเมื่อ พ.ศ. 1043 และมีกษัตริย์ปกครองต่อกันมาหลายองศ์ ถึงสมัยพระยาอภัย ขอมลำพูนมารุกราน พระยาอภัยจึงหนีขอมไปจำศีลอยู่ที่เขาหลวงและไปได้สาวชาวป่าชื่อนางนาคเป็นชายา ต่อมาพระยาอภัยก็กลับสุโขทัยเพื่อครองเมืองตามเดิมและได้มอบผ้ากำพลกับพระธำมรงค์ไว้ให้นางนาคเป็นที่ระลึก เมื่อพระยาอภัยกลับไปแล้วนางนาคก็ได้กำเนิดบุตรชายแต่ไม่รู้จะเก็บลูกไว้ที่ไหน จึงทิ้งลูกไว้ที่เขาหลวงพร้อมผ้ากำพลและพระธำมรงค์ พรานป่าคนหนึ่งไปพบจึงเก็บมาเลี้ยง
ต่อมาพระยาอภัยเมื่อกลับไปครองเมืองดังเดิมแล้วก็ได้เกณฑ์ชาวบ้านไปช่วยกันสร้างปราสาทนายพรานถูกเกณฑ์ไปด้วย ระหว่างการก่อสร้างปราสาทนายพรานได้วางเด็กน้อยไว้ข้างปราสาทนั้นเมื่อแสงแดดส่องถูกเด็กน้อยยอดปราสาทก็โอนเอนมาบังร่มให้เด็กอย่างอัศจรรย์ พระอภัยมาดูพระกุมารพร้อมไปได้ธิดาเมืองศรีสัชนาลัยเป็นชายาจึงไปครองศรีสัชนาลัยมีนามใหม่ว่า พระร่วงโรจนฤทธ พร้อมทั้งย้ายเมืองหลวงจากสุโขทัยไปศรีสัชนาลัย พระร่วงโรจนฤทธได้เสด็จไปเมืองจีนและได้พระสุทธิเทวีราชธิดากรุงจีนมาเป็นชายาอีกองค์หนึ่ง พร้อมทั้งได้นำช่างชาวจีนกลับมาตั้งเตาทำถ้วยชามที่ศรีสัชนาลัย ซึ่งเรียกว่าเตาทุเรียงครั้งถึงปี พ.ศ. 1560 ขอมมารุกรานศรีสัชนาลัย มีขอมดำดินมาจะจับพระร่วงโรจนฤทธ พระร่วงจึงสาบให้ขอมกลายเป็นหินอยู่ตรงนั้น
เมื่อขึ้นครองเมือง พระร่วงได้ย้ายเมืองหลวงจากศรีสัชนาลัยมาที่สุโขทัย เมื่อสิ้นรัชกาลแล้ว พ่อขุนนาวนำถม ได้ปกครองสุโขทัยต่อมา และสุโขทัยก็ตกเป็นเมืองขึ้นของขอม พ่อขุนนาวนำถมและพ่อขุนศรีเมืองมานพยายามช่วยกันขับไล่ขอมจากสุโขทัยแต่ไม่สำเร็จ
ปี พ.ศ. 1800 พ่อขุนบางกลางหาวกับพ่อขุนผาเมืองสามารถขับไล่ขอมได้สำเร็จ พ่อขุนบางกลางหาวขึ้นเป็นกษัตริย์สุโขทัยทรงพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ สุโขทัยเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในสมัยพ่อขุนรามคำแหงและสมัยพระยาลิไทย สมัยพ่อขุนรามคำแหงนั้มีการเชิญพระสงฆ์จากนครศรีธรรมราชมาช่วยกันประดิษฐ์ลายลือไทยเป็นเอกลักษณ์ของสุโขทัยเอง ซึ่งพัฒนาต่อมาเป็นหนังสือไทยในปัจจุบัน
พ.ศ. 1893 พระเจ้าอู่ทองทรงสถาปนาอยุธยาเป็นราชธานีอีกแห่งหนึ่งของคนไทย แต่อยุธยากับสุโขทัยก็ไม่ได้เป็นศัตรูกัน
ในสมัยพระยาลิไทยนั้นขุนหลวงพะงั่วแห่งอยุธยาได้มาร่วมมือกัน เพื่อเผยแผ่พุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองมีการนิมนต์พระสงฆ์มาช่วยรวบรวมพระธรรมวินัยที่กระจัดกระจายเพราะศึกสงครามและให้คณะสงฆ์ร่วมกันร่างไตรภูมิพระร่วงเพื่อใช้สอนพุทธบริษัทให้ทำความดี ในสมัยพระยาลิไทยนี้ได้มีการสร้างพระพุทธรูปสำคัญของไทยสามองค์ คือ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศากยมุนี
ยุคหลังพระยาลิไท อาณาจักรสุโขทัยอ่อนแอลง ในที่สุดจึงถูกผนวกรวมเป็นอาณาจักรเดียวกับอยุธยาเมื่ออยุธยาเสียกรุงแก่พม่าครั้งที่ 2 เมืองสุโขทัยก็ยิ่งเสื่อมลง พลเมืองสุโขทัยส่วนใหญ่อพยพหนีสงคราม
เมื่อตั้งกรุงธนบุรี สุโขทัยก็ถูกฟื้นฟูขึ้นใหม่ด้วย โดยไปตั้งเมืองอยู่ที่บ้านธานีริมแม่น้ำยม ต่อมาก็ถูกยกฐานะเป็นอำเภอธานีขึ้นอยู่กับจังหวัดสวรรคโลก พ.ศ. 2475 เปลี่ยนชื่ออำเภอธานีเป็นอำเภอสุโขทัยธานีและพ.ศ. 2482 ยุบจังหวัดสวรรคโลกเป็นอำเภอ และยกฐานะอำเภอสุโขทัยธานีขึ้นเป็นจังหวัดสุโขทัยแทนการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย
การก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยเท่าที่ปรากฏหลักฐานแว่นแคว้น สุโขทัยได้ก่อตั้งขึ้นในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 18 โดยศูนย์กลางอำนาจของสุโขทัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำน่าน ต่อมาจึงได้ขยายตัวไปทางด้านตะวันตกบริเวณลุ่มแม่น้ำปิงและทิศตะวันออกบริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก
จากศิลาจารึกหลักที่ 2 ศิลาจารึกวัดศรีขุม จังหวัดสุโขทัย ได้กล่าวถึงการขยายอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองของชุมชนเมืองในลุ่มแม่น้ำยม และลุ่มแม่น้ำน่าน ในรัชสมัยของพ่อขุนศรีนาวนำถมขุนในเมืองเชลียง (ศรีสัชนาลัย) เป็นเจ้าเมืองปกครองในฐานะเมืองขึ้น ขอมได้ครอบครองเมืองศรีสัชนาลัย และสุโขทัยเมื่อประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นการขยายเมือง โดยการรวบรวมเมืองเป็นเมืองคู่ดังปรากฏเรียกในศิลาจารึกว่า “นครสองอัน” การรวมเมืองเป็นเมืองคู่นี้เป็นการรวมทรัพยากรสำหรับการขยายเมืองให้เป็นแว่นแคว้นใหญ่โตขึ้น พระองค์มีโอรส 2 พระองค์ คือ พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราดและพระยาคำแหงพระราม เจ้าเมืองสระหลวงสองแคว (เมืองพิษณุโลก)
พ่อขุนผาเมืองน้ำ ปรากฏความในจารึกว่ากษัตริย์ขอมในสมัยนั้น ซึ่งสันนิษฐานว่า คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724 - 1761) ได้ยกราชธิดา คือ “นางสุขรมหาเทวี” ให้ เพื่อสร้างสัมพันธไมตรี พร้อมทั้งพระราชทานเครื่องราชูปโภค คือ พระขรรค์ชัยศรีและพระนามเฉลิมพระเกียรติว่า “ศรีอินทราทิตย์ หรือศรีอินทราบดินทราทิตย์” อาณาเขตของกรุงสุโขทัยในสมัยพ่อขุนศรีนาวนำถม คงไม่กว้างขวางเท่าใดนักสันนิษฐานว่า ครอบคลุมถึงเมืองฉอด (เมืองสอด) ลำพูน พิษณุโลกและอำนาจในสมัยขอมในการควบคุมเมืองในอาณาเขตในสมัยของพ่อขุนศรีนาวนำถมคงไม่มั่นคงนัก แต่ละเมืองคงเป็นอิสระในการปกครองตนเองเมืองหลายเมืองคงเป็นเมืองในระบบเครือญาติ หรือเมืองที่มีสัมพันธไมตรีต่อกัน ภายหลังเมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถมสิ้นพระชนม์ คงเกิดความวุ่นวายในเมืองสุโขทัย ขอมสบาดโขลญลำพง ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเป็นเจ้าเมืองลำพงซึ่งเป็นเมืองที่ปรากฏชื่อในศิลาจารึก หรืออาจเป็นขุนนางขอมที่กษัตริย์ขอมส่งมากำกับดูแลอยู่ที่สุโขทัยได้นำกำลังเข้ายึดเมืองสุโขทัย ศรีสัชนาลัย และเมืองใกล้เคียงไว้ได้ พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราดและพระสหายคือพ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง ได้รวมกำลังกันปราบปรามจนได้ชัยชนะ พ่อขุนบางกลางหาวจึงได้ขึ้นครองราชย์ ณ เมืองสุโขทัย มีพระนามว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงส่วนพ่อขุนผาเมืองได้กลับไปครองเมืองราดดังเดิม
หลักฐานในศิลาจารึกกล่าวว่า หลังสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมืองต่าง ๆ ในอาณาเขตของสุโขทัยได้แยกตัวเป็นอิสระ ไม่ยอมรับศูนย์อำนาจที่เมืองสุโขทัยเหมือนดังเช่นสมัยที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชดำรงพระชนม์ชีพอยู่ ปรากฏข้อความในศิลาจารึกหลักที่ 3 ศิลาจารึกนครขุมจังหวัดกำแพงเพชรว่า “บ้านเมืองขาด....หลายนั้น หลายท่อนแซว หลายนั้นหลายท่อน ดั้งเมืองพ... นกเป็นขุนหนึ่งเมืองคนทีพระบาง หาเป็นขุนหนึ่ง เมืองเชียงทองหาเป็นขุนหนึ่ง...” ความแตกแยกของเมืองต่าง ๆ ในอาณาจักรสุโขทัยหลังสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชนั้น อาจเนื่องมาจากศูนย์กลางอำนาจปราศจากความเข้มแข็ง บ้านพี่เมืองน้องในอาณาจักรสุโขทัยได้แตกแยกออกถืออำนาจปกครองตนเองโดยไม่ขึ้นแก่กันเมืองประเทศราชที่มีกำลังกล้าแข็งพากันแยกตัวเป็นอิสระ เช่น เมืองนครศรีธรรมราช และเมืองหงสาวดี เป็นด้น
อาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองสืบมาประมาณ 200ปีเศษ(พ.ศ. 1762 - 1981)ภายหลังจึงตกอยู่ได้อำนาจของกรุงศรีอยุธยา และถูกรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกรุงศรีอยุธยาในสมัยพระบรมราชาธิราชที่ 2(เจ้าสามพระยา)
อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
อาณาจักรอยุธยาถือกำเนิดขึ้นมาจากการรวมตัวของแว่นแคว้นสุพรรณบุรีและลพบุรี พระเจ้าลู่ทองได้สถาปนาอยุธยาขึ้น เมื่อวันศุกร์ที่ 4มีนาคม พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1351) โดยตั้งขึ้นในเมืองเก่า “อโยธยา” ที่มีมาก่อน ในบริเวณที่เรียกว่าหนองโสนซึ่งมีแม่น้ำ 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำป่าสักมาบรรจบกัน แล้วตั้งนามพระนครนี้ว่า “กรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดี ศรีอยุธยา มหาดิลกบวรรัตนราชธานีบุรีรมย์” คนทั่วไปเรียกตัวเมืองอยุธยาว่า “เกาะเมือง” มีรูปลักษณะคล้ายเรือสำเภา โดยมีหัวเรืออยู่ทางด้านทิศตะวันออก ชาวต่างประเทศในสมัยนั้น กล่าวถึง กรุงศรีอยุธยาว่าเป็นเวนิสตะวันออก เนื่องจากกรุงศรี-อยุธยามีการขุดคูคลองเชื่อมโยงสัมพันธ์กันกับแม่นี้าใหญ่รอบเมือง จึงทำให้อยุธยามีสภาพเป็นเกาะมีแม่นี้าล้อมรอบ
การสถาปนากรุงศรีอยุธยา
ชาวไทยเริ่มตั้งถิ่นฐานบริเวณตอนกลาง และตอนล่างของสุ่มแม่นี้าเจ้าพระยามาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่18 แล้ว มีเมืองสำคัญหลายเมือง อาทิ ละโว้ อโยธยา สุพรรณบุรี นครชัยศรี เป็นด้น ต่อมาราวปลายพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรขอม และสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลง พระเจ้าลู่ทอง
เจ้าเมืองลู่ทอง ซึ่งขณะนั้นเกิดโรคห่าระบาดและขาดแคลนนี้า จึงทรงดำริจะย้ายเมืองและพิจารณาชัยภูมิเพื่อตั้งอาณาจักรใหม่ พร้อมกันนั้นต้องเป็นเมืองที่มีน้ำไหลเวียนอยู่ตลอด ครั้งแรกพระองค์ทรงประทับที่ตำบล-เวียงเหล็ก เพื่อดูชั้นเชิงเป็นเวลากว่า 3 ปี และตัดสินพระทัยสร้างราชธานีแห่งใหม่บริเวณตำบลหนองโสน
(บึงพระราม) และสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี เมื่อวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 1893 มีชื่อตามพงศาวดารว้า กรุงเทพทวารวดีศรีอบุรยา มหินทรายุรยา มหาดิลกภพนพรัตน์ ราชราปีบุรีรมย์ ด้วยบริเวณนั้นมีแม่น้ำล้อมรอบถึง 3 สาย อันได้แก่ แม่น้ำลพบุรีทางทิศเหนือ แม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศตะวันตก และทิศใต้แม่น้ำป่าสัก ทางทิศตะวันออก เดิมทีบริเวณนี้ไม่ได้มีสภาพเป็นเกาะ ต่อมาพระองค์ทรงดำริให้ขุดคูเชื่อมแม่น้ำทั้ง 3 สาย กรุงศรีอยุธยาจึงมีน้ำเป็นปราการธรรมชาติให้ปลอดภัยจากข้าศึก นอกจากนั้ที่ตั้งกรุงศรีอยุธยายังห่างจากปากแม่น้ำไม่มาก เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ ๆ อีกหลายเมืองในบริเวณเดียวกัน ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ในอาณาจักร รวมทั้งอาณาจักรใกล้เคียงอีกด้วย
ขยายตัวของอาณาจักร
กรุงศรีอยุธยาดำเนินนโยบายขยายอาณาจักรด้วย 2 วิธีคือ ใช้กำลังปราบปราม ซึ่งเห็นได้จากชัยชนะในการยึดครองเมืองนครธม (พระนคร) ได้อย่างเด็ดขาดในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 และอีกวิธีหนึ่งคือ การสร้างความสัมพันธ์แบบเครือญาติ อันเห็นได้จากการผนวกกรุงสุโขทัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร
ช่วงสมัยรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์มีโอรสอยู่ 5 พระองค์ ซึ่งทั้ง 5 พระองค์ก็หมายอยากได้ในราชสมบัติ เมื่อพระเจ้าเอกทัศน์ (โอรสองค์โต) และพระเจ้าอุทุมพร (โอรสองค์รอง)ได้มีสิทธิในราชสมบัติเท่ากัน โดยพระเจ้าเอกทัศน์เป็นโอรสองค์โตย่อมได้ในราชสมบัติ ส่วนพระเจ้าอุทุมพรก็ทรงมีสติปัญญาเป็นเลิศ สามารถควบคุมกองกำลังได้ นั้นเป็นการจุดชนวนให้ทั้ง 2 พระองค์ต้องสลับการขึ้นครองราชย์กัน โดยในยามสงบ พระเจ้าเอกทัศน์จะทรงครองราชย์ในยามสงคราม พระเจ้าอุทุมพรจะทรงครองราชย์ในทางพม่าเมื่อกษัตริย์พระเจ้าอลองพญา สวรรคตจากการถูกกระสุนปืนใหญ่ พระโอรสจึงตั้งทัพเข้ายึดเมืองอยุธยาในปี 2309 ในเวลาต่อมาเมื่อพระเจ้าอุทุมพรหมดความมั่นใจในการครองราชย์เพราะพระเชษฐา (เอกทัศน์) ก็ทวงคืนราชสมบัติตลอดเมื่อไล่ข้าศึกได้ จึงออกผนวช โดยไม่สึก ทำให้พระเจ้าเอกทัศน์ครองราชย์ได้นาน9ปีที่ค่ายบางระจันชาวบ้านบางระจันได้ขอกำลังเสริมจากอยุธยา แต่พระองค์ไม่ให้ และในเวลายิงปืนใหญ่ก็ให้ใส่กระสุนน้อย เพราะจะทำให้มเหสีรำคาญเสียง ทำให้พระเจ้าตากสินผู้นำกองทัพหมดศรัทธาและนำทัพดีค่ายออกจากกรุงในที่สุด กรุงศรีอยุธยาถูกเผาไม่เหลือแม้นวัดวาอารามนับเวลาของราชธานีได้ 417 ปี เสึยกรุงให้แก่พม่า2ครั้งคือครั้งแรกปี พ.ศ.2112ในสมัยสมเด็จพระมหินทราธิราช(โอรสของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าเป็นเวลา 15 ปี และเมื่อปี พ.ศ.2117พระนเรศวรมหาราช ทรงกูเอกราชกลับคืนมาและเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาก็ถึงกาลล่มสลาย
กรุงศรีอยุธยามีกษัตริย์ปกครองทั้งหมด 33พระองค์จาก 5 ราชวงศ์ได้แก่ ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณบุรี ราชวงศ์สุโขทัย ราชวงศ์ปราสาททอง ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
อาณาจักรกรุงธนบุรี
สมเด็จพระเจ้าตากสินสามารถยึดธนบุรีและกรุงศรีอยุธยาคืนมาจากพม่าได้ ทำให้พระองศ์มีความชอบธรรมในการสถาปนาพระองศ์เป็นพระมหากษัตริย์ แต่เนื่องจากเห็นว่า กรุงศรีอยุธยาเสึยหายเกินกว่าที่จะบูรณะให้คืนได้ดังเดิม จึงทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานีในปีเดียวกัน
การสถาปนาธนบุรีเป็นราชธานี
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สามารถกู้เอกราชของชาติไทยได้แล้ว ปัญหาของไทยในขณะนั้นคือ การป้องกันตนเองให้พ้นจากการโจมดีโดยพม่าและหาอาหารให้พอเลี้ยงผู้คนที่มีชีวิตรอดจากสงครามแต่สภาพอยุธยาขณะนั้นไม่อาจจะฟื้นฟูบูรณะได้อย่างรวดเร็วด้วยกำลังคนเพียงเล็กน้อย อีกทั้งพม่าได้รู้ลู่ทางและจุดอ่อนของอยุธยาเป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้น พระองศ์จำเป็นที่จะต้องหาชัยภูมิที่เหมาะสมในการสถาปนาราชธานีแห่งใหม่และได้รับพระราชทานนามว่า “กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร” กรุงธนบุรีตั้งอยู่ทางส่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นพื้นที่ของเมืองบางกอกเดิมในสมัยอยุธยาเมืองบางกอก มีฐานะเป็น “เมืองท่าเดิม”คือ เป็นที่จอดเรือสินค้าและเป็นเมืองหน้าด่านที่ทำหน้าที่ป้องกันข้าศึกที่จะยกทัพเข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยารวมทั้งมีหน้าที่ตรวจตราเก็บภาษีเรือและสินค้าที่ขึ้นล่องตามล0าน้ำเจ้าพระยาตอนล่างบางกอกซึ่งมีป้อมปราการและมีด่านเก็บภาษีด่านใหญ่ที่เรียกว่า ขนอนบางกอก
เมืองบางกอกจึงมีชุมชนคนต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย มุสลิม ที่เดินทางมาติดต่อค้าขายและเป็นทางผ่านของนักเดินทาง เช่น นักการทูต พ่อค้า นักการทหาร และนักบวชที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนา รวมทั้งนักเผชิญโชคที่ด้องการเดินทางไปยังอยุธยา ดังนั้น โดยพื้นฐานที่ตั้งของกรุงธนบุรีจึงอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ของปากน้ำเจ้าพระยา และเป็นเมืองที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจมาก่อน ตลอดจนเป็นเมืองที่มีความปลอดภัย เพราะมีทั้งป้อมปราการและแม่น้ำลำคลองที่ป้องกันไม่ให้ข้าศึกโจมดีได้โดยง่าย
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้สถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังขึ้นเป็นที่ประทับ โดยสร้างพระราชวังชิดกำแพงเมืองทางด้านใต้ มีอาณาเขตตั้งแต่ป้อมวิไชย-ประสิทธิและวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยาราม) ขึ้นมาจนถึงวัดอรุณราชวราราม วัดทั้งสองจึงเป็นวัดในเขตพระราชฐาน สำหรับวัดแจ้งมีฐานะเป็นพระอารามหลวง และเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากเวียงจันทร์เมื่อ พ.ศ. 2322
การปกครอง หลังจากกรุงศรีอยุธยาเลียให้แก่พม่า เมื่อ พ.ศ. 2310 บ้านเมืองอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย มีการปล้นสะดมกันบ่อย ผู้คนจึงหาผู้คุ้มครองโดยรวมตัวกันเป็นกลุ่มเรียกว่า ชุมนุม ชุมนุมใหญ่ ๆได้แก่ ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก ชุมนุมเจ้าพระฝาง ชุมนุมเจ้าพีมาย ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช เป็นด้นสมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงใช้เวลาภายใน 3 ปี ยกกองทัพไปปราบชุมนุมต่าง ๆ ที่ตั้งตนเป็นอิสระจนหมดสิ้นสำหรับระเบียบการปกครองนั้น พระองค์ทรงยึดถือ และปฏิบัติตามระเบียบการปกครองแบบสมัยกรุงศรี-อยุธยาตอนปลายตามที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงวางระเบียบไว้ แต่รัดกุมและมีความเด็ดขาดกว่าคนไทยในสมัยนั้นจึงนิยมรับราชการทหาร เพราะล้าผู้ใดมีความดีความชอบ ก็จะได้รับการปูนบำเหน็จอย่างรวดเร็ว
เศรษฐกิจ ในขณะที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชขึ้นครองราชย์นั้น บ้านเมืองกำลังประสบความตกตํ่าทางเศรษฐกิจอย่างที่สุด เกิดการขาดแคลนข้าวปลาอาหาร และเกิดความอดอยากยากแค้น จึงมีการปล้นสะดมแย่งอาหาร มิหน้ำซํ้ายังเกิดภัยธรรมชาติขึ้นอีก ทำให้ภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายอยู่แล้วกลับทรุดหนักลงไปอีกถึงกับมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงแก่ไขวิกฤตการณ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อข้าวสารมาแจกจ่ายแก่ราษฎรหรือขายในราคาถูก พร้อมกับมีการส่งเสริมให้มีการทำนาปีละ 2 ครั้ง เพื่อเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอ การสิ้นสุดอำนาจทางการเมืองของสมเด็จ-พระเจ้าตากสินมหาราช ในตอนปลายรัชกาล สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เนื่องจากพระองค์ทรงตรากตรำทำงานหนักในการสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่ชาติบ้านเมือง พระราชพงศาวดารฉบับต่าง ๆ ได้ บันทึกไว้ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงมีพระสติวิปลาส ทำให้บ้านเมืองเกิดความระสํ่าระสายและได้เกิดกบฏขึ้นที่กรุงเก่าพวกกบฏได้ทำการปล้นจวนพระยาอินทรอภัยผู้รักษากรุงเก่าจนถึงหลบหนีมายังกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้พระยาสวรรค์ไปลีบสวนเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่พระยาสรรค์กลับไปเข้าด้วยกับพวกกบฏ และคุมกำลังมาดีกรุงธนบุรี ทำให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกต้องรีบยกทัพกลับจากเขมรเพื่อเข้าแก่ไขสถานการณ์ในกรุงธนบุรี และจับกุมผู้ก่อการกบฏมาลงโทษ รวมทั้งให้ข้าราชการปรึกษาพิจารณาความที่มีผู้ฟ้องร้องกล่าวโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในฐานะที่ทรงเป็นด้นเหตุแห่งความยุ่งยากในกรุงธนบุรีและมีความเห็นให้สำเร็จโทษพระองค์ เพื่อมิให้เกิดปัญหายุ่งยากอีกต่อไป สมเด็จพระเจ้าตากสิน-มหาราชจึงถูกสำเร็จโทษ
กรุงรัตนโกสินทร์
จุดเริ่มด้นของรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์นักรบอีกพระองค์หนึ่งของชาติไทยที่มีอัจฉริยะภาพทางการทหารอย่างหาผู้ใดเทียมมิได้ สิบห้าปีตลอดรัชกาลทรงตรากตรำทำศึกไม่เว้นแต่ละปี หัวเมืองใหญ่น้อยและอาณาจักรใกล้เคียงต่างครั่นคร้ามในพระบรมเดชานุภาพ กองทหารม้าอันเกรียงไกรของพระองค์นั้น เป็นด้นแบบในการรุกรบยุคต่อมาเป็นตัวอย่างอันดีของทหารในยุคปัจจุบันพระองค์ก็อยู่ในสภาวะที่มิต่างอะไรจากสมเด็จพระนเรศวรฯ คือ มีกำลังน้อยกว่าแทบจะทุกครั้ง แต่พระองค์ก็สามารถเอาชัยได้จากพระวิริยะอุตสาหะและพระปรีชาสามารถทางการทหาร ทรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ล้าหลัง ที่ศัตรูรู้ ที่ใคร ๆ ก็รู้ ทรงกล้าที่จะปฏิวัติความเชื่อใหม่ ๆ ที่ทหารควรจะใช้เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ที่คับขัน การคุมพลยกแหกวงล้อมพม่าจากค่ายวัดพิชัยนั้น ถือได้ว่าเป็นทหารหนีทัพที่คิดกบฏเป็นทรยศต่อแผ่นดิน แต่พระองค์ก็มิได้ลังเลที่จะทรงกระทำเพื่อบ้านเมืองในวันข้างหน้า หากพระองค์ไม่คิดเอาบ้านเมืองเป็นหลักชัยแล้ว ไหนเลยจะย้อนกลับมาเพื่อกูกรุงในอีกแปดเดือนถัดมา ดังนั้น จึงเห็นได้ว่ายศคักดต่าง ๆ ที่พระองค์มีในตำแหน่งพระยาวชิรปราการ ผู้รั้งเมืองกำแพงเพชรนั้น หาได้มีความสำคัญต่อพระองค์ไม่แม้แต่น้อย ทรงรู้ดีว่า เมื่อสิ้นชาติ ยศคักดใด ๆ ก็ไม่มีความหมาย และในพระนครนั้นก็ไม่มีขุนทหารผู้ใหญ่คนใดที่จะมีน้ำใจและกล้าหาญที่พอจะรักษาชาติไว้ได้ พระองค์จึงกระทำการอันที่ยากที่ทหารคนใดผู้ใดจะกล้าทำ
พระเจ้าตากสินฯ ทรงเป็นกษัตริย์นักรบที่เริ่มด้วยพระองค์เอง จากที่มีทหารเพียงแค่ห้าร้อยคนทรงกระทำการจากเล็ก ๆ เรื่อยไปจนถึงการใหญ่ ซึ่งนั้นคือ การสถาปนากรุงธนบุรี ราชธานีใหม่ที่มีกองทัพกว่าสองแสนคน ไว้เป็นที่สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับคนไทย การเมืองการปกครองในกรุงธนบุรีในยุคเริ่มแรกนั้นร่มเย็นเป็นสุข เพราะกรุงธนบุรีมักจะเป็นฝ่ายรุกในเรื่องของการทหาร ไพร่ฟ้าประชาชนในเมืองจะปลอดภัยจากข้าศึก เพราะกองทัพของพระเจ้าตากสินฯ จะยกพลไปรบในดินแดนข้าศึกเป็นส่วนใหญ่ พระเจ้าตากสินฯทรงมีนโยบายทางการทหารเป็นแนวเชิงรุกอาณาจักรใกล้เคียงต่างยอมอยู่ได้เศวตฉัตร เพราะกรุงธนบุรีมีกองทัพที่เข้มแข็งและยุทธวิธีในการรบก็ไม่เหมือนใครเป็นแบบใหม่ที่ไม่อาจมีใครแก้ทางศึกได้พระราชอาณาจักรจึงกว้างขวางยิ่งกว่าในสมัยราชธานีเดิม
กรุงธนบุรีและพระเจ้าตากสินฯ เริ่มมีปัญหาในทางการปกครองจากการที่รับเอาขุนนางเก่าของอยุธยามารับราชการ มีการแบ่งพรรคแย่งพวก ลางร้ายเริ่มปรากฏ กองทัพกรุงธนบุรีปราชัยเป็นครั้งแรกที่เมืองเขมรเพราะทหารแต่ละทัพระแวงกันเอง ไม่เร่งเดินทัพเพื่อสมทบทัพหลวงที่พระเจ้าตากสินฯ ทรงให้พระโอรสเป็นจอมทัพทัพต่างๆไม่บรรจบกันตามพิชัยสงครามดังที่เคยปฏิบัติสุดท้ายเกิดกบฏที่เมืองหลวงนำโดยพระยาสรรค์ขุนนางอยุธยาเก่าเชื้อสายไทยแท้ๆที่พระเจ้าตากสินทรงนำมาชุบเลี้ยงจนเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกต้องยกทัพกลับจากเขมรมาปราบปรามและปราบดาภิเษกเป็นปฐมราชวงศ์จักรี หมดลิ้นยุคกรุงธนบุรี
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ชื้นเสวยราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินไทย ได้ทรงทำพิธีตั้งเสาหลักเมืองตามประเพณี เสาหลักเมืองได้สร้างเป็นศาลเทพารักษ์เรียกกันสามัญว่า “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง” และรับสั่งให้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกรุงธนบุรี อยู่ฟากตะวันออก เรียกเมืองบางกอก ซึ่งมีคนจีนอาศัยอยู่มาก เมื่อย้ายมาอยู่ส่งตะวันออกแล้ว ได้ทรงสร้างเป็นเมืองหลวงชื้น เรียกว่า กรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร์ ต่อมาในรัชกาลที่ 4 จึงทรงเปลี่ยนเป็น กรุงเทพพระมหานคร อมรรัตนโกสินทร์
เหตุที่ย้ายกรุง เพราะทรงเล็งเห็นว่า
1. กรุงธนบุรีคับแคบ อยู่ระหว่างวัดเป็นการยากที่จะขยาย
2. อยู่ส่งคดของแม่น้ำทำให้น้ำเซาะตลิ่งพังอยู่เรื่อย
3. การที่มาตั้งที่กรุงเทพฯ นั้นที่ตั้งเหมาะสมกว่า อาศัยแม่น้ำเป็นกำแพงเมือง และตัวเมืองอาจขยายได้
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นผู้สามารถ ทรงแก้ปัญหาต่าง ๆ คือเมื่อเสวยราชย์ชื้นครองก็ต้องรีบสร้างเมือง สร้างพระนครอยู่ 3 ปี จึงสำเร็จ พ.ศ. 2325 พอสมโภชพระนครแล้วในปีนั้นเองพม่าก็ยกกองทัพใหญ่มาประชิด
การตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คือ ระยะเวลาตั้งแต่แรกตั้งกรุงเทพมหานคร เมื่อ พ.ศ. 2325 เป็นด้นมาเหตุที่เรียกว่า สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ก็เพราะเรียกตามความนิยมที่สืบเนื่องมาแต่โบราณที่นิยมเรียกชื่อตามเมืองหลวง เช่น สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา เหตุการณ์สมัยปลายกรุงธนบุรี ในปลายรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีบ้านเมืองเกิดจลาจล เนื่องจากพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีพระสติวิปลาส สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระราชโองการให้พระยาสรรค์ไปปราบกบฏแต่พระยาสรรค์กับเข้าร่วมกับพวกกบฏ นำพรรคพวกควบคุมตัวพระเจ้า-กรุงธนบุรีไว้ ความทราบถึงสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงรีบยกทัพใกล้มากรุงธนบุรีเพื่อปราบกบฏและสามารถจับผู้เป็นกบฏมาลงโทษได้ ข้าราชการทั้งหลายลงความเห็นว่า สมควรสำเร็จโทษพระเจ้ากรุงธนบุรีและได้ทูลเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปกครองประเทศต่อไป
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงรับการกราบบังคมทูลเชิญจากประชาชนชื้นเป็นพระมหากษัตริย์จากประชาชน โดยทรงทำพิธีปราบดาภิเษกชื้นเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อวันที่6 เมษายน พ.ศ. 2325 และทรงสถาปนาเมืองหลวงใหม่ มีนามว่า “กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์มหินทรายุธยามหาดิลก ภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตาลสถิตสักกะหัตติยวิษนุกรรมประสิทธิ”ใช้เวลาในการสร้าง 7ปีพระองค์ทรงมีพระราชปณิธานว่า “ตั้งใจอุปถัมภกยอยกพระศาสนาจะปกป้องขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี”
สมัยรัชกาลที่ 1 ไทยทำสงครามกับพม่าถึง 7 ครั้ง ครั้งที่สำคัญที่สุด คือ สงคราม 9 ทัพ โดยพระเจ้าปคุงกษัตริย์พม่ารวมพลจำนวนถึง 144,000 คน จัดเป็น 9 ทัพเข้าดีไทยโดยแบ่งเป็นดีกรุงเทพ 5 ทัพ หัวเมืองฝ่ายเหนือ 2 ทัพ และฝ่ายใต้ 2 ทัพ ไทยมีกำลังเพียงครึ่งหนึ่งของพม่า แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและกรมพระราชวังบวรสถานมงคล จึงทำให้ฝ่ายพม่าพ่ายแพ้กลับไป
ด้านการปกครอง มีการปกครองตามแบบกรุงศรีอยุธยาและธนบุรี คือ ยึดแบบที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงวางไว้ แต่วางระเบียบให้รัดกุมมากขึ้น โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขสูงสุดในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ด้านเศรษฐกิจ จังกอบ คือ การซักส่วนจากสินค้า หรือเก็บเงินเป็นอัตราตามขนาดของยานพาหนะที่ขนสินค้า อากร คือ การเก็บซักส่วนจากผลประโยชน์ที่ราษฎรทำได้ เช่น การทำนา ทำสวน ส่วยคือ สิ่งที่ราษฎรเสียให้แก่รัฐแทนการใช้แรงงาน ฤชา คือ ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากบริการต่าง ๆ ที่รัฐทำให้ราษฎร
1. เงินค่าผูกปีข้อมือจีน เป็นเงินค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากชายชาวจีน เพื่อทดแทนการถูกเกณฑ์แรงงาน ซึ่งเริ่มในสมัยรัชกาลที่ 2
2. เงินค่าราชการ เป็นเงินที่ไพร่จ่ายแทนการเข้าเวรราชการ เริ่มในสมัยรัชกาลที่ 3 อัตราคนละ 18 บาทต่อปี
3. การเดินสวนเดินนา เริ่มมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยเรียกเก็บเป็น ข้าวเปลือก เรียกว่าหางข้าว
4. ระบบเจ้าภาษีนายอากร เอกชนเป็นผู้ประมูลเพื่อเป็นผู้จัดเก็บภาษี
ด้านสังคม สังคมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนด้นยังคงมีลักษณะคล้ายสังคมสมัยอยุธยาตอนปลาย แต่มีความสบายมากกว่าเพราะไม่ค่อยมีสงคราม เป็นสังคมเกษตรกรรม ครอบครัวมีขนาดใหญ่ยึดระบบอาวุโส มีการแบ่งฐานะของบุคคลออกเป็นพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ไพร่(ประชาชนธรรมดา) ทาส สำหรับพระสงฆ์เป็นชั้นพิเศษที่ได้รับการเคารพนับถือจากประชาชน
การปฏิรูปราชการในสมัยรัชกาลที่ 4
1. เปิดโอกาสให้ราษฎรร้องทุกข์ ถวายฎีกาได้อย่างสะดวก ด้วยการดีกลองวินิจฉัยเภรี
2. ปรับปรุงด้านการกฎหมายและการศาล ตั้งโรงพิมพ์ อักษรพิมพ์การ เพื่อพิมพ์ประกาศและแถลงข่าว
3. ขุนนางข้าราชการสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า
4. ทรงจ้างแหม่มแอนนา มาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้แก่พระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบรมมหาราชวัง
5. ทรงทำนุบำรุงพระศาสนา ทรงให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา
เหตุการณ์เกี่ยวกับต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 มีเพื่อนบ้านของไทย เช่น พม่า มลายู ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในปี พ.ศ. 2398 สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งอังกฤษทรงส่งทูตชื่อ เซอร์ จอห์นเบาว์ริง มาขอทำสัญญากับไทย ชื่อ สัญญาเบาว์ริง สัญญานี้มีทั้งข้อดีและก็ข้อเสีย หลังจากที่ไทยทำสัญญานี้ไปแล้วก็มีหลายชาติมาทำสัญญานี้กันอีก เซอร์จอห์น เบาว์ริง ได้บรรดาคักดเป็น “พระยาสยามบุกูล สยามิศรมหายศ” พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เปลี่ยนชื่อกรุงเทพ จากคำว่า บวร เป็น อมร ที่แปลว่าเทวดา และมีการตัดถนนเจริญกรุง ซึ่งเป็นถนนสายแรกของไทย
การปฏิรูปในสมัยรัชกาลที่ 5
1. การเลิกทาส แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยโปรดให้เลิกการซื้อขายทาส ลดค่าตัวทาส ลูกทาส ในปีพ.ศ. 2411 ทรงใช้เวลา 31 ปี แผ่นดินไทยจึงหมดทาส
2. ด้านการศึกษา ได้มีการตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงและโรงเรียนวัดมหรรณพารามการปรับปรุงประเพณีต่าง ๆ
- ยกเลิกพิธีการหมอบคลานเวลาเข้าเฝ้า
- ยกเลิกทรงผมมหาดไทย
- จัดการไฟฟ้า
- จัดการประปา
ที่สำคัญ คือ ทรงต้องการดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างแท้จริง โดยเสด็จประพาสด้นจึงได้เสด็จเยือนราษฎรตามหัวเมืองต่าง ๆ อยู่เสมอ โปรดให้เลิกทาส ทำให้พระองค์ได้รับการถวายพระนามว่า “สมเด็จพระปีย-มหาราช” เพราะทรงเป็นที่รักของประชาชนทุกคน ทรงครองราชย์นาน 42 ปี วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453เป็นวันสวรรคต มีการนำพวงมาลาไปถวายสักการบูชา ณ พระบรมรูปทรงม้าทุกปี เรียกว่า วันปิยมหาราช
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพระมหาธีรราชเจ้า ทรงเป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ 5พระราชกรณียกิจของพระองค์ในการปฏิรูปงานด้านต่าง ๆ คือ
1. การปกครอง ทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ จึงทรงนำการปกครองแบบประชาธิปไตยมาทดลองแก่ข้าราชการด้วยการตั้งเมืองประชาธิปไตย คือ “ดุสิตธานี” (อยู่ในบริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎ) มีการเลือกตั้ง การแสดงความคิดเห็น แต่ยังไม่ได้ผล เพราะราษฎรได้รับการศึกษายังไม่เพียงพอ มีการออกหนังสือพิมพ์ “ดุสิตสมิต” ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น 2.ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2457 - 2461 ในยุโรป
พระองค์ตัดสินพระทัยเข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมนีเป็นฝ่ายรุกรานและแพ้ ทำให้ไทยมีฐานะเท่าเทียมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ท่าให้สามารถแก่ไขสนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ทำในสมัยรัชกาลที่ 4
รัชกาลที่ 6 ทรงได้รับความร่วมมือช่วยเหลือจาก ดร.ฟรานขิส บี แชร์ ได้ช่วยเจรจาเกี่ยวกับสนธิสัญญาเบาว์ริงกับประเทศต่าง ๆ ประเทศแรกที่ยอมแกไข คือ โปรตุเกส จนครบทุกประเทศ ต่อมาดร. ฟรานขิส บีแชร์ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ๔เป็น พระยากัลยาณไมตรี เหตุการณ์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์จัดให้มีการกระทำที่เกี่ยวกับประชาธิปไตย ได้แก่
1. ทรงตั้งสภาต่าง ๆ ให้มีส่วนในการปกครองแผ่นดิน
2. โปรดเกล้าฯ ให้ร่างรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้รับความเห็นจากสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน
3. ทรงเตรียมการและ'ฟิกทดลองให้ประชาชน รู้จักใช้สิทธิในการปกครองท้องถิ่น
4. คณะราษฎร์ ประกอบด้วย บรรดาผู้ที่ไปศึกษาจากต่างประเทศเป็นนักเรียนไทยที่จบจากเมืองนอกมาทำงานในประเทศไทย พวกนี้ได้รับพระราชทานทุนไปศึกษาที่ต่างประเทศ รวมผู้ที่เป็นข้าราชการที่ถูกปลดจากงานและจากทหาร มีหัวหน้า คือ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ต่อมาได้เลื่อนเป็นพลตรี ได้พาคณะราษฎร์เข้าเฝ็ารัชกาลที่ 7 ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่หัวหิน เมื่อพระองค์ได้ข่าวการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็โปรดให้คณะราษฎร์เข้าเฝืาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 พระองค์ได้ตรัสว่าเตรียมจะพระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ไม่ต้องการให้เลียเลือดเนื้อ มีรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เมื่อวันที่27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 และวันนี้เป็นวันรัฐธรรมนูญ โดยมีนายกรัฐมนตรีคนแรก คือ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) ต่อมาได้มีนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 คือ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ค่อยได้ผลสมบูรณ์ เพราะอำนาจไปอยู่ในคนบางกลุ่มเท่านั้น ทำให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2477 และได้เสด็จไปที่ประเทศอังกฤษ พระองค์ได้เสด็จสวรรคตที่ประเทศอังกฤษ อนุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่ที่หน้ารัฐสภาใกล้กับสวนดุสิต นับเป็นพระบิดาแห่งประชาธิปไตยของไทย
ราชวงศ์จักรี
ชื่อของราชวงศ์จักรีมีที่มาจากบรรดาศักดิ์ “เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์” ตำแหน่ง สมุหนายก ซึ่งเป็นตำแหน่งทางราชการที่พระองค์เคยทรงดำรงตำแหน่งมาก่อนในสมัยกรุงธนบุรี คำว่า “จักรี” นี้พ้องเสียงกับคำว่า “จักร” และ “ตรี” ซึ่งเป็นเทพอาวุธของพระนารายณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระแสงจักรและพระแสงตรีไว้ 1 สำรับ และกำหนดให้ใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์จักรีสืบมาจนถึงปัจจุบัน