ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดหรือเป็นกฎหมายหลักของประเทศที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ คือรัฐสภาอันประกอบด้วยตัวแทนของประชาชน ดังนั้น รัฐธรรมนูญ จึงเป็นกฎหมายที่ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความเห็นชอบ
ความสำคัญ
รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายหลักที่สำคัญที่สุด เป็นเสมือนกฎหมายหรือกติกาที่ประชาชนในสังคมยอมรับให้เป็นหลักในการปกครองและการบริหารประเทศ ซึ่งการออกกฎหมายใด ๆ ย่อมต้องดำเนินการภายในกรอบของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ กฎหมายใดที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญจะไม่สามารถใช้บังคับได้
สาเหตุที่มีรัฐธรรมนูญในประเทศไทย
สาเหตุที่สำคัญมาจากการที่ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเริ่มมีแนวคิดมาตั้งแต่รัชกาลที่ 6 โดยกลุ่มบุคคลที่เรียกตนเองว่า “คณะราษฎร” ประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร พลเรือน ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินฉบับชั่วคราวที่คณะราษฎร์ได้เตรียมไว้นับว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ถือได้ว่าประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยนับแต่นั้นมา
จนถึงปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลง แกไข และประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองหลายฉบับเพื่อให้เหมาะสม สอดคล้องกับสภาวการณ์บ้านเมืองที่ผันแปรเปลี่ยนในแต่ละยุคสมัย โดยมีสาระสำคัญเหมือนกัน คือ ยึดมั่นในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะมีเนื้อหาแตกต่างกันก็เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ของบ้านเมืองในขณะนั้น ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้วจำนวน 18 ฉบับ และปัจจุบันใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
หลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธคักราช 2550
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีหลักการและเจตนารมณ์ที่จะธำรงรักษาไว้ซึ่งเอกราชและความมั่นคงของชาติ เทิดทูนพระมหากษัตริย์ ซึ่งหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้ระบุไว้ในหมวด 1 บททั่วไป
สรุปได้ดังนี้
ประเทศไทย เป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาพของบุคคลต้องได้รับความคุ้มครองประชาชนชาวไทยทุกคน ไม่แยกเพศ ศาสนา และย่อมได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกัน
โครงสร้างของรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 แบ่งโครงสร้างออกเป็น 105 หมวด และมีบทเฉพาะกาล สรุปสาระสำคัญแต่ละหมวดดังนี้
หมวด 1 บททั่วไป
ประเทศไทย เป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล
หมวด 2 พระมหากษัตริย์
ทรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ทรงเลือกและแต่งตั้งประธานองคมนตรีและองคมนตรีไม่เกิน 18 คน
หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย
การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐ ต้องคำนึงถึงศักดศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของบุคคลทั้งด้านการประกอบอาชีพ การสื่อสาร การแสดงความคิดเห็น ความเป็นธรรมด้านการศึกษา การสาธารณสุขและสวัสดิการของรัฐ เสรีภาพในการชุมชนที่ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่นและกฎหมาย
หมวด 4 หน้าที่ของชนชาวไทย
บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีหน้าที่ป้องกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ ปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
เน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วม การกระจายอำนาจ การดำเนินงาน มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพ คุณธรรมมีประสิทธิภาพ โปร่งใสให้ความคุ้มครองและพัฒนาเด็ก เยาวชน ล่งเสริมความรู้รักสามัคคี
หมวด 6 รัฐสภา
รัฐสภามีหน้าที่บัญญัติกฎหมายและควบคุมการปฏิบัติงานของฝ่ายบริหาร ประกอบด้วย 2 สภา คือสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และวุฒิสภา (ส.ว.)
หมวด 7 การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน
ประชาชนมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อวุฒิสภาให้ถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งได้เพราะมีสิทธิออกเสียงประชามติ
หมวด 8 การเงิน การคลัง และงบประมาณ
เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดหารายได้ การกำหนดรายจ่าย การก่อหนี้หรือการดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐ หลักเกณฑ์การกำหนดวงเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งเป็นกรอบในการกำกับการใช้จ่ายเงินตามแนวทางการรักษาวินัยการเงิน การคลังและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน
หมวด 9 คณะรัฐมนตรี
รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีนายกรัฐมนตรี 1 คน และมีรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คน โดยได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์
หมวด 10 ศาล
กำหนดให้ศาลหรืออำนาจตุลาการ แบ่งเป็น
ทั่วไป
ศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลยุติธรรม
ศาลปกครอง
ศาลทหาร
หมวด 11 องค์กรตาม รัฐธรรมนูญ
กำหนดให้มีองค์กรที่จะดำเนินการตรวจสอบ ติดตามการทำงานของบุคคล คณะบุคคล และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ดังนี้
1. องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการ-แผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
2. องค์กรอันตามรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย องค์กรอัยการ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน-แห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หมวด 12 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
กำหนดให้มีการตรวจสอบข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง
หมวด 13 จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
การพิจารณา สรรหา แต่งตั้งบุคคลเข้าสู่ตำแหน่ง ต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมด้วย
หมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น
ให้ความเป็นอิสระแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสภาท้องถิ่นในการบริหารงานเน้นการกระจายอำนาจ ให้การสนับสนูน กำหนดนโยบายการบริหาร
หมวด 15 การแก่ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
มีการแก่ไขเพิ่มเติมได้ แต่ห้ามแก่ไขที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ
บทเฉพาะกาล
ให้องคมนตรีดำรงตำแหน่งอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ