ความหมายของทรัพยากร
ทรัพยากรในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง สิ่งมีค่าทั้งปวง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเองหรือมีอยู่ตามธรรมชาติและเกิดจากการที่มนุษย์สร้างหรือประดิษฐ์ขึ้น
ประเภทของทรัพยากร
ทรัพยากรแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
1. ทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง บุคคลหรือมนุษย์ในฐานะที่เป็นแรงงานหรือผู้ประกอบการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตและการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ
2. ทรัพยากรที่ไม่ใช่มนุษย์ ประกอบด้วย
ก. ทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้น หมายถึง ทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น เครื่องจักรคอมพิวเตอร์ รถยนต์ รถจักรยาน บ้าน และเครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ
ข. ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งหมายถึง ทรัพยากรที่เกิดขึ้นเองหรือมีอยู่ตามธรรมชาติซึ่งอาจแบ่งย่อยได้ 3 ประเภท ดังนี้
- ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้ว ไม่หมดเปลืองหรือสูญหายไป ได้แก่ อากาศ น้ำในวัฏจักรหมุนเวียน
- ทรัพยากรที่ทดแทนหรือรักษาไวีได้ เช่น น้ำ (ที่อยู่เฉพาะที่เฉพาะแห่ง ดิน ที่ดินป่าไม้ ทุ่งหญ้า สัตว์ป่า
- ทรัพยากรที่ไม่เพิ่มขึ้นใช้แล้วหมดไป เช่น แร่ธาตุ น้ำมัน
ทรัพยากรธรรมชาติที่ทดแทนหรือรักษาไว์ได้และทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่เพิ่มขึ้นใช้แล้วหมดไปถือเป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เพราะถึงแม้บางอย่างจะสร้างทดแทนหรือบำรุงรักษาได้ แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน เช่น ทรัพยากรป่าไม้ เป็นด้น
ภาวะวิกฤติทรัพยากรธรรมชาติ
ปัจจุบันประเทศไทยประสบภาวะวิกฤติการณ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อนำมาใช้มากเกินไปโดยไม่มีการสร้างทดแทนก็จะทำให้เกิดการสูญเสียหรือถูกทำลายได้ เช่น การตัดถนน เพื่อใช้ในการคมนาคม การสร้างเขื่อนเก็บน้ำ จะต้องใช้เนื้อที่และบริเวณพื้นดินจำนวนมหาศาล ทำให้พื้นดินที่เป็นป่าไม้ถูกโค่นทำลายลง ทำให้ป่าไม้ลดลง สัตว์ป่าลดลงเกิดความแห้งแล้ง ฤดูกาลผันแปร ฝนตกไม่ตรงตามฤดูกาลหรือตกน้อย มีการทำลายป่าเพื่อการเพาะปลูกและใช้สารเคมีในการเพาะปลูกเกินความจำเป็น ทำให้ดินที่อุดมสมบูรณ์ เสื่อมสภาพ เมื่อทรัพยากรเสื่อมสภาพแวดล้อมก็เสื่อมสภาพไปด้วย
ลักษณะอาชีพของครอบครัว ชุมชน ประเทศ
ความหมายของอาชีพ
อาชีพ หมายถึง งานหรือกิจกรรมใด ๆ ที่ก่อให้เกิดผลผลิตที่สามารถประเมินค่าเป็นเงินหรือรายได้และกิจกรรมนั้นต้องสุจริตเป็นที่ยอมรับของสังคม
ความสำคัญของอาชีพ
1. ความสำคัญต่อบุคคลและครอบครัว การที่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพนั้น จำเป็นต้องประกอบอาชีพเพื่อให้มีรายได้ เพื่อที่จะนำไปซื้อเครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งของที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของตนเองและคนในครอบครัว
2. ความสำคัญต่อชุมชน ประเทศ ในระดับชุมชน อาชีพมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจภายในชุมชน ทำให้มีการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น แก้ปัญหาความยากจนของคนในชุมชนเมื่อประชาชนมีรายได้ย่อมกินดีอยู่ดี ร่างกายแข็งแรง สุขภาพจิตดี ส่งผลต่อการพัฒนาชุมชน และในระดับประเทศ เมื่อชุมชนพัฒนาสังคมส่วนรวมก็จะเจริญก้าวหน้าไปด้วย
ประเภทของอาชีพ
อาชีพแบ่งได้หลายประเภท ดังนี้
1. แบ่งตามลักษณะอาชีพ
- อาชีพอิสระ หมายถึง อาชีพที่ผู้ประกอบการดำเนินการด้วยตนเอง อาจเป็นผู้ผลิตสินค้าหรือเป็นผู้บริการก็ได้
- อาชีพรับจ้าง หมายถึง อาชีพที่ผู้ประกอบการไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ได้รับจ้างจากนายจ้างเป็นช่วงระยะเวลา เช่น รายชั่วโมง รายวัน รายเดือน
2. แบ่งตามลักษณะรายได้และความมั่นคง
- อาชีพหลัก หมายถึง อาชีพที่ผู้ประกอบการใช้เวลาส่วนใหญ่ในการประกอบการ
- อาชีพรองหรืออาชีพเสริม หมายถึง อาชีพที่ผู้ประกอบการใช้เวลานอกเวลางานหลักดำเนินการ
3. แบ่งตามสาขาประกอบการ
- อาชีพด้านอุตสาหกรรม เช่น ช่างยนต์ ช่างไฟฟ้า ช่างวิทยุ เป็นด้น
- อาชีพด้านเกษตรกรรม เช่น ทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ทำการประมง เป็นด้น
- อาชีพด้านคหกรรม เช่น ศิลปหัตถกรรม เช่น ตัดเย็บเสื้อผ้า ทำอาหาร ขนม เป็นด้น
- อาชีพด้านพาณิชยกรรม เช่น ค้าขาย บัญชี เลขานุการ เป็นด้น
- อาชีพด้านอื่น ๆ เช่น ด้านกีฬา ด้านบันเทิง ดนตรี นาฏกรรม เป็นด้น
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางอาชีพ
ทำให้เกิดอาชีพใหม่ ทำให้เกิดการพัฒนาอาชีพหรือแม้กระทั่งเกิดความเสื่อมทางอาชีพ มีหลายปัจจัยดังนี้
1. ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ปัจจุบันวิทยาการได้เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วและเป็นสาเหตุทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตลอดเวลา ซึ่งมีผลต่อการเกิดการพัฒนาและการเสื่อมของอาชีพเป็นอย่างยิ่ง เช่น การนำเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงานคน การนำเทคโนโลยีทางการเกษตรมาใช้ในการเกษตรการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในสำนักงาน เป็นด้น
2. ความเปลี่ยนแปลงทางทรัพยากร
ทรัพยากรนับว่าเป็นปัจจัยในการผลิตเบื้องด้นที่สำคัญ ซึ่งก่อให้เกิดอาชีพ ทรัพยากรนั้นมีมากมายและแตกต่างกันไปในท้องถิ่น เช่น ป่าไม้ นี้า แร่ธาตุ นี้ามัน พืช ผัก และผลไม้ สัตว์บก สัตว์นี้า ฯลฯทรัพยากรมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีทั้งที่จำนวนลดลงอันเนื่องมาจากมนุษย์นำไปใช้ประโยชน์ มีทั้งทรัพยากรที่เกิดขึ้นมาใหม่ เช่น นี้ามัน และก๊าซธรรมชาติ เป็นด้น
3. ความเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง
การเมืองเป็นปัจจัยสำคัญในการลงทุน การที่จะมีนักลงทุนมาลงทุนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพทางการเมือง ถ้ารัฐบาลมีเสถียรภาพมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อย ๆ ผู้ที่จะมาลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็จะเกิดความมั่นใจที่จะมาลงทุน นอกจากนั้นนโยบายของรัฐบาลจะเป็นตัวกำหนดอาชีพต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
4. ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม
โดยเฉพาะการที่มีประชากรเพิ่มมากขึ้น ต้องการสิ่งของอุปโภค บริโภคและสิ่งดำรงชีวิตมีมากขึ้น ทำให้เกิดการลงทุนเพื่อผลิตสินค้าและบริการมากขึ้นด้วย
การที่จะเลือกประกอบอาชีพใด ควรได้สำรวจความพร้อมทุก ๆ ด้าน ดังนี้
1. ความพร้อมของตนเอง แบ่งได้ดังนี้
- สิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพที่ตนเองมีอยู่ในขณะนั้น เช่น เงินทุน ที่ดินแรงงาน วัสดุเครื่องมือ เครื่องใช้ และอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพที่กำลังตัดสินใจเลือก
- ความรู้ ทักษะและความถนัดของตนเอง การที่จะประกอบอาชีพให้ได้ผลดีจะต้องพิจารณาถึงความรู้ ทักษะและความถนัดของตนเองด้วยเสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การกระทำในสิ่งที่ตนถนัดนั้น เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว คล่องแคล่วและมองเห็นช่องทางที่จะพัฒนาอาชีพให้รุดหน้าได้ดีกว่าคนที่ไม่มีความรู้ ทักษะและถนัดในอาชีพนั้น ๆ แต่ตัดสินใจเลือกประกอบอาชีพนั้น ๆ
- ความรักและความจริงใจ เป็นองค์ประกอบที่เกิดจากความรู้สึกภายในของแต่ละคนซึ่งความรู้สึกนั้นจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการทำงานด้วยความมานะ อดทน ขยัน กล้าสู้ กล้าเสี่ยง ซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจที่สำคัญอย่างหนึ่ง หากการพิจารณาตัดสินใจมิได้คำนึงถึงสิ่งนั้แล้ว การที่จะประกอบอาชีพไปได้อย่างเด็ดเดี่ยว มั่นคง และลดน้อยลงไป
2. ความพร้อมของสังคม สิ่งแวดล้อม คือ ความพร้อมของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราหรือจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องที่จะล่งผลดี ผลเสียต่อการประกอบอาชีพของตน เช่น ทำเล ตลาด ส่วนแบ่งของตลาดทรัพยากรที่เอื้อในท้องถิ่น แหล่งความรู้ ตลอดจนผลที่จะเกิดขึ้นต่อชุมชน หากเลือกอาชีพนั้น ๆ
3. ความพร้อมทางวิชาการของอาชีพ คือ ความพร้อมของข้อมูลความรู้และเทคนิคต่าง ๆสำหรับการประกอบอาชีพนั้น ๆ เช่น การบำรุงรักษาด้นอ่อนพืช การฉีดยาฆ่าแมลงก่อนเก็บเกี่ยว การเคลือบสารเคมี เป็นด้น
1. ทุน เป็นปัจจัยที่สำคัญในการให้การสนับสนุนในการจัดหาทรัพยากรและเอื้้ออำนวยในกิจการให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย
2. คน เป็นทรัพยากรบุคคลที่ถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะก่อผลสำเร็จกับกิจการได้เป็นอย่างมาก
3. ที่ดิน คือ แหล่งหรือที่ทำมาหากินของผู้ประกอบอาชีพอิสระจะเป็นที่ตั้งสำนักงานและบริเวณประกอบอาชีพ
4. เครื่องจักร เป็นอุปกรณ์ที่จัดหามาเพื่อใช้ปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่า
5. วัสดุ เป็นปัจจัยสำคัญเพราะเป็นวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ผลิตหรือให้บริการ วัสดุที่ใช้ต้องมีคุณภาพดีและมีปริมาณพอ
6. การคมนาคม คือ เส้นทางติดต่อระหว่างผู้ดำเนินกิจการกับผู้มาใช้บริการ สามารถติดต่อได้สะดวกและปลอดภัย
7. การตลาด เป็นแหล่งช่วยกำหนดทิศทางความต้องการของสินค้า แลกเปลี่ยนสินค้า การแช่งขันสินค้าด้านคุณภาพและราคา
8. การจัดการ คือ การวางแผนการดำเนินการประกอบอาชีพอาชีพ เพื่อให้เกิดผลดีอย่างเหมาะสมคุ้มค่า คุ้มเวลา คุ้มทุนและหวังได้กำไรสูงสุด เริ่มด้นตั้งแต่การเลือกสิ่งที่จะผลิต จะบริการวิธีการและการใช้วัสดุอุปกรณ์
9. การประชาสัมพันธ์ เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะต้องกระทำเพื่อเป็นการบอกกล่าวชี้แจงให้ผู้อื่นทราบว่า เราดำเนินกิจการอะไร อย่างไร เมื่อไร ที่ไหน
พอสรุปสาระสำคัญ ๆ ได้ดังต่อไปนี้
1. การพึ่งตนเอง หลักเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นการผลิตพืชผลให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคในครัวเรือนก่อนที่เหลือจากบริโภค จึงดำริเพื่อการค้าเป็นอันดับรองและสามารถพึ่งตนเองได้ มีชีวิตอย่างไม่ฟ้งเฟ้อ ลดค่าใช้จ่าย โดยการสร้างสิ่งอุปโภคบริโภคในที่ดินของตนเอง เช่น ข้าว นี้า ปลา พืชผักเป็นด้น
2. การรวมกลุ่มของชาวบ้าน หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงจะให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มของชาวบ้าน มุ่งเน้นให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ อาทิเช่น การทำเกษตรแบบผสมผสาน รวมกลุ่มกันทำหัตถกรรม การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การใช้ภูมิปัญญาจากท้องถิ่น การพัฒนาเทคโนโลยีพื้นบ้าน และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการและสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นตนเอง
การรวมกลุ่มของชาวบ้านจะเป็นการพัฒนาสมาชิกในชุมชน ให้มีการสร้างเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง สมาชิกในกลุ่มจะคอยให้คำแนะนำในการแค้ปัญหาต่าง ๆ และหาวิธีการให้สมาชิกภายในกลุ่มมีรายได้จากการประกอบอาชีพเพิ่มขึ้น เมื่อกลุ่มชาวบ้านได้รับการพัฒนาที่ดีแล้วก็จะช่วยให้สังคมเข้มแข็งขึ้นเศรษฐกิจของประเทศก็จะเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความมั่นคง ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวและมีการกระจายรายได้ที่ดีขึ้นอีกด้วย
3. ความเอื้ออาทรและความสามัคคี เศรษฐกิจพอเพียงตั้งอยู่บนพื้นฐานของการที่สมาชิกของชุมชนมีความเอื้อเฟ้อ เอื้ออาทร ช่วยเหลือและสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ เพื่อประกอบกิจกรรมหรืออาชีพต่าง ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จ ย่อมเป็นผลประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นสำคัญ สมาชิกของชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
เพื่อที่จะสามารถดำรงชีวิตได้อย่างพออยู่พอกิน เราควรที่จะปฏิบัติตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงดังนี้
1. จะต้องยึดหลักพออยู่ พอกิน พอใช้
2. มีความประหยัด โดยพยายามตัดทอนรายจ่ายและลดความฟุ่มเฟือยในการดำรงชีวิต
3. ประกอบอาชีพด้วยความถูกต้องและสุจริต ไม่ประกอบอาชีพที่ผิดศีลธรรมและผิดกฎหมาย
4. ไม่ควรแก่งแย่งประโยชน์และแข่งขันในการประกอบอาชีพอย่างรุนแรง
5. รู้จักแสวงหาความรู้เพิ่มเดิมและพยามยามพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถมากขึ้นแล้วนำความรู้ ความเข้าใจที่ได้รับมานั้นมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
6. ใช้ความรู้ ความสามารถมาใวัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเป็นการเพิ่มพูนรายได้ให้กับตนเอง ครอบครัว และชุมชน
7. ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีความเอื้อเพื่อเผื่อแผ่ และมีความสามัคคีในครอบครัวและชุมชน
แนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง เป็นทางเลือกใหม่ของประชาชนชาวไทยเพื่อที่จะสามารถดำรงชีวิตแบบพออยู่พอกินและสามารถพึ่งพาตนเองได้ เศรษฐกิจพอเพียง มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศอันจะนำไปสู่สังคมที่มีคุณภาพทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้น ประชาชนชาวไทยทุกคนควรนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง
กองทุนหมู่บ้านไม่ใช่บ้าน กองทุนหมู่บ้านเป็นอะไรที่ใหญ่โตและมีคุณค่ายิ่งกว่าเงินมากนัก กองทุนหมู่บ้านมีความหมายและมีความสำคัญยิ่ง กองทุนนี้ไม่ใช่มีความหมายเป็นเพียงแต่เงินทุนของคนในหมู่บ้านเท่านั้น แต่กองทุนนี้เป็นกองทุนของการดำเนินชีวิตของชุมชน ซึ่งประกอบด้วยทุนที่เป็นตัวของแต่ละคนทุนทางสังคมที่ถักทอคนแต่ละคนมาเป็นกลุ่มคนหรือสังคมทุนทางวัฒนธรรม คือ วิถีชีวิตร่วมกันของกลุ่มคนที่ประสานสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม ทุนทางศีลธรรม หมายถึง ความถูกต้องแห่งการอยู่ร่วมกัน เช่น ความเอื้ออาทรต่อกัน ความเชื่อถือและไว้วางใจกันในความสุจริต เสียสละ ทุนทางทรัพยากร เช่น ดิน น้ำ ป่า อากาศที่มีการอนุรักษ์ มีการใช้อย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ทุนทางปัญญา ได้แก่ การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติและนำเอาความรู้ที่มีอยู่ในชุมชนและความรู้จากภายนอกชุมชนมาสังเคราะห์เป็นปัญญา ทุนที่เป็นเงินที่ช่วยกันออมไว้เพื่อให้กระบวนการออมและการจัดการเป็นเครื่องกระตุ้นและสิ่งเสริมทุนที่ไม่ใช่เงิน (ประเวค วะลือ้างใน เสรี พงศ์พิศ, 2544)