• เทคนิค Word สำหรับงานเอกสารวิชาการ และการวิจัย
https://www.youtube.com/watch?v=tTE8DmmfaGs...
• เทคนิคการทำดัชนีคำศัพท์ใน Word สำหรับบทความวิชาการ เอกสารงานวิจัย
• การตั้งค่าระยะขอบกระดาษแต่ละหน้า และหน้าที่เริ่มขึ้นบทใหม่ใน Word สำหรับเอกสารงานวิชาการ งานวิจัย วิทยานิพนธ์
• เทคนิคการใช้เครื่องมือในโปรแกรม Microsoft Word
https://www.youtube.com/watch?v=Wj42h0z9aqE...
• เทคนิคการใส่เลขหน้าใน Word ที่สามารถแยกส่วนเลขหน้าของสารบัญและตัวเนื้อหา
https://www.youtube.com/watch?v=EpyRWsrFI5Q...
• เทคนิคการใส่เลขหน้าใน Word สำหรับเอกสารที่มีหน้าแนวตั้งและแนวนอนในไฟล์เดียวกัน
https://www.youtube.com/watch?v=zRZpzxo19xI...
• เทคนิคการทำสารบัญให้ไว ง่ายกว่าที่คิด!!
https://www.facebook.com/punpromotion/posts/4231050783597909
5 ขั้นตอนง่ายๆ การดาวน์โหลดวิทยานิพนธ์จาก ThaiLIS
มีบทความวิจัย วิทยานิพนธ์ที่เป็นเอกสารฉบับเต็ม รายงานการวิจัยของอาจารย์ นักศึกษา และบุคลากรจากมหาวิทยาลัยรัฐ เอกชน สถาบัน และหน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทย
1. ไปที่เว็บไซต์ https://bit.ly/3iStJHw
2. เลือก Basic Search
3. พิมพ์คำค้นที่ต้องการ กดค้นหา เลือกรายการที่ต้องการ
(สามารถเลือกชนิดเอกสาร มหาวิทยาลัยในประเทศไทยได้)
4. เลือกดาวน์โหลด
5. ทำเครื่องหมาย ในช่องเพื่อยอมรับข้อตกลง จากนั้น
กด Download ที่ ThaiLIS หรือ Local
ตีพิมพ์วิจัยที่ไหนดี? เครื่องมือที่จะช่วยคุณค้นหาวารสารที่ตรงกับงานวิจัย
กลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
#Springer ใส่ชื่อเรื่องและเนื้อหาของงานวิจัยลงไปในช่องว่าง จากนั้นเลือก Subject area ระบบจะแสดงตัวเลือกวารสารที่เหมาะกับงานวิจัย
https://journalsuggester.springer.com
#Elsevier ใส่ชื่อเรื่องและบทคัดย่อลงในช่องว่างที่กำหนด จากนั้นเลือกสาขาที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย
http://journalfinder.elsevier.com
.
กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี / วิทยาศาสตร์สุขภาพ
#JANE Journal Author Name Estimator โดยใส่ชื่อเรื่อง บทคัดย่อ หรือคีย์เวิร์ด สามารถเลือกได้ว่าเป็นวารสาร OA
อยากอ่านงานวิจัยแต่ทำไมยากจัง นี่ไง!
#ตัวช่วยให้งานวิจัยเข้าใจได้ง่ายขึ้น
.
จริงๆ ก็อยากอ่านบทความวิทยาศาสตร์ประดับความรู้นะ แต่บางทีก็เจอศัพท์แสงเทคนิคมากมาย จนถ้าไม่ถอดใจก็อยากจะกินดิกชันนารีเข้าไปให้รู้แล้วรู้รอด และก็สงสัยว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์ถึงต้องเขียนอะไรให้เข้าใจยากด้วย แต่นั่นอาจะเป็น ‘คำสาปของคนรู้มาก’ (Curse of knowledge) ที่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าคนอื่นไม่เข้าใจ แต่ไม่เป็นไรนะ ตอนนี้มีตัวช่วยให้นักวิทย์สื่อสารภาษาคน (ทั่วไป) และช่วยให้เราอ่านงานวิจัยได้ง่ายขึ้นแล้ว
ทีมวิจัยจาก Holon Institute of Technology (HIT) และ Technion-Israel Institute of Technology ได้ร่วมมือกันพัฒนาโปรแกรม ‘De-Jargonizer’ ขึ้น เพื่อตรวจจับศัพท์เทคนิคที่เข้าใจยากๆ เป็นการเตือนให้นักวิทยาศาสตร์หลีกเลี่ยงการใช้คำเหล่านั้นในบทความ หรืออย่างน้อยก็รู้ว่า อ๋อ.. ต้องอธิบายคำพวกนี้เพิ่มเติมให้คนทั่วไปเข้าใจหน่อยนะ โดยโปรแกรมนี้คิดค้นขึ้นมาเพื่อให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ผู้รอบรู้สามารถสื่อสารกับคนทั่วไปได้ดีขึ้น
วิธีการก็ง่ายมาก แค่อัพโหลดบทความหรืองานวิจัยใส่หน้าเว็บ scienceandpublic.com โปรแกรมก็จะทำการตรวจสอบและจัดลำดับคำตามความบ่อยที่ถูกใช้ในโลกออนไลน์ หลังประมวลผล จะมีคำที่เป็นสีดำซึ่งหมายถึงคำที่พบบ่อยๆ และคนทั่วไปน่าจะเข้าใจได้ ส่วนคำที่คนน่าจะเข้าใจยากหน่อยก็จะเป็นสีส้มและสีแดง ซึ่งเจ้าของงานเขียนนั้นก็ควรเปลี่ยนคำหรือให้คำอธิบายเพิ่มเติม ส่วนตัวโปรแกรมนั้น ทีมวิจัยก็อัพเดทคลังข้อมูลอยู่เรื่อยๆ และกำลังพัฒนาไปสู่ภาษาอื่นๆ ต่อไป
ในการพัฒนาโปรแกรมตัวนี้ ทีมวิจัยยังพบว่าปัญหาในการสื่อสารที่เกิดจาก ‘คำสาปของคนรู้มาก’ นี้ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การตีพิมพ์งานวิจัยหรือบทความทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาในการสื่อสารระหว่างหมอกับคนไข้ รวมไปถึงบรรดาผู้เชี่ยวชาญ เวลาออกนโยบายหรือเขียนเอกสารต่างๆ ที่มักใช้ศัพท์แสงที่ซับซ้อนจนยากจะเข้าใจ De-Jargonizer จึงน่าจะเป็นตัวช่วยพัฒนาการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพขึ้นได้
บรรดานักวิทยาศาสตร์เองก็เห็นด้วยกับการพัฒนาด้านการสื่อสาร โดยหวังว่างานด้านวิทยาศาสตร์จะเข้าถึงได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น นอกจากเป็นการสร้างคุณค่าและความน่าเชื่อถือให้กับวงการวิทยาศาสตร์แล้ว ยังเป็นการสร้างพลเมืองที่อุดมความรู้ และเพิ่มบทสนทนาที่มีประโยชน์ให้สังคมได้มากขึ้นด้วย
ที่มา https://futurism.com/a-new-tool-makes-scientific-writing...
1. ชื่อนั้นสำคัญไฉน? สำคัญมากเพราะเป็นจุดแรกที่ผู้อ่าน ผู้ค้นคว้า หรือ ผู้ที่สนใจ จะได้ทำความรู้จักกับงานวิจัยของคุณ
2. ชื่อต้องสะท้อนเนื้อหาหลักของงานวิจัย สอดคล้องกับคำถามและวัตถุประสงค์ของการวิจัย แน่นอนว่า เมื่อใดที่มีการเปลี่ยนเนื้อหาการวิจัย ต้องเปลี่ยนชื่อเรื่องด้วย
3. ตรงประเด็น สั้น กระชับ ได้ใจความ สามารถสรุปรวบยอดสิ่งที่ทำทั้งหมด
4. ทุกคำที่ปรากฎในชื่อเรื่องมีความสำคัญ ต้องเข้าใจในความหมายของทุกคำเป็นอย่างดี
5. ชื่อเรื่อง ประกอบด้วย ประเด็นหลักของงานวิจัย และประเด็นย่อยอื่นๆ ที่จะช่วยในการขยายความ เช่น ทฤษฎี หรือ ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ พื้นที่ หรือ กลุ่มประชากรที่ศึกษา
6. ส่วนใหญ่มักจะใช้ภาษาเชิงวิชาการ แต่สามารถใช้ภาษาเชิงสร้างสรรค์เพื่อดึงดูดความสนใจ อย่างไรก็ตาม ชื่อเรื่องต้องยังคงสะท้อนเนื้อหาหลักของงานวิจัยอยู่
7. หลีกเลี่ยงการตั้งชื่อที่มีความลึกลับ ซ่อนเร้น ชื่อควรมีการอธิบายที่ชัดแจ้งอยู่ในตัวเอง ตรงไปตรงมาที่สุด
8. หลีกเลี่ยงการใช้ตัวย่อ อักษรย่อ คำย่อ ต่างๆ
9. หลีกเลี่ยงการใช้คำที่ก้าวร้าว หยาบคาย หรือ เป็นไปเพื่อโจมตีบุคคลอื่น
10. ตลอดระยะเวลาของการทำงานวิจัย ชื่อเรื่องสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการลดคำ เพิ่มคำ หรือ แม้แต่การเปลี่ยนชื่อเรื่อง ไม่มีคำว่าผิด เพราะทุกเส้นทาง คือ การเรียนรู้และเจริญเติบโต
ที่มา https://justaphdblog.com/.../10%e0%b8%82%e0%b9%89%e0.../...
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ควรพิจารณาคำถาม 4 ข้อ ของผู้อ่านบทความ สามารถโยงไปยังส่วนประกอบของบทความ ได้แก่
ทำไมผู้วิจัย/ผู้เขียนถึงศึกษาเรื่องนี้ --บทนำ (Introduction)
ผู้วิจัย/ผู้เขียนได้ศึกษาอะไรและดำเนินการอย่างไร-- วิธีวิจัย/ศึกษา (Methods)
ผู้วิจัย/ผู้เขียนค้นพบอะไรจากการศึกษา-- ผลการศึกษา (Results)
การศึกษานี้ก่อให้เกิดความก้าวหน้าในสาขาวิชาที่ศึกษาอย่างไร --การอภิปรายผล (Discussion)
.
ที่มา
Srivastav, S. (2020, August 26). How to get your research published [Webinar]. Springer Nature.
โครงสร้างของบทคัดย่อ คือ กระชับ (น้อยกว่า 250 คำ) สัดส่วนของเนื้อหาแบ่งเป็น การระบุถึงปัญหา (10%) วัตถุประสงค์ของการศึกษา (20%) เทคนิค (10%) ผลการศึกษาที่สำคัญที่สุด (40%) และบทสรุป (20%)
.
#บทคัดย่อ (Abstract) แสดงถึงเป้าหมายของการศึกษา ความสำคัญของผลการศึกษา และความเที่ยงตรงของบทสรุป
กฎทั่วไปสำหรับการเขียนบทคัดย่อ คือ ไม่รวมรายการอ้างอิง ตัวย่อ ศัพท์เฉพาะ/คำสแลง และตัวเลข/สถิติที่ไม่สำคัญ
.
ที่มา
Srivastav, S. (2020, August 26). How to get your research published [Webinar]. Springer Nature.