ภาวะอันตรายของความเงียบงัน
(The Danger of Silence)
(1) The danger of silence | Clint Smith | TED - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=NiKtZgImdlY
Transcript:
(00:00) Translator: Pavitra Urathumkul Reviewer: Sritala Dhanasarnsombut ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ กล่าวสุนทรพจน์เมื่อ ค.ศ. 1968 เรื่องการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ว่า ท้ายที่สุด เราไม่ได้จดจำคำพูดของศัตรู หากแต่เป็นความเงียบของสหายเรา การเป็นครูทำให้ผมได้รู้แจ้งถึงความหมายนี้ ทุกวันนี้ จะเห็นว่าทุกสิ่งรอบตัวเรา ล้วนเป็นผลลัพธ์จากความเงียบ ที่ปรากฏชัดในรูปแบบของการแบ่งแยก ความรุนแรง การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และสงคราม ผมกระตุ้นให้นักเรียนในห้อง วิเคราะห์ความเงียบในชีวิตของพวกเขา ผ่านบทกลอน เราร่วมมือกันเติมเต็มช่องว่าง
(00:48) ยอมรับมัน พูดถึงมัน เข้าใจว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่เรื่องน่าละอาย การพยายามสร้างวัฒนธรรมในห้องเรียนของผม ให้นักเรียนสะดวกใจจะเล่าเรื่องความเคยชิน กับความเงียบของตน มีหลักอยู่ 4 ข้อ แปะบนกระดาน ที่อยู่หน้าห้องเรียน ซึ่งนักเรียนทุกคนยอมรับตั้งแต่ต้นเทอมว่า ต้องอ่านอย่างวิเคราะห์ เขียนอย่างตั้งใจ กล่าวให้ชัดเจน พูดความจริง ผมพบว่าตัวเองขบคิดถึงประเด็นสุดท้าย เรื่องบอกความจริง แล้วผมก็ตระหนักว่า หากจะขอให้นักเรียนพูดออกมา ผมต้องพูดความจริง และต้องซื่อสัตย์กับนักเรียนเมื่อถึงเวลา ที่ผมพูดบอกความจริงไม่ได้ ผมบอกพวกเขาว่าการเติบโตมา
(01:31) ในครอบครัวคาธอลิกที่นิวออร์ลีนส์ ผมมักถูกสอนในช่วงเทศกาลมหาพรตว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่คนๆ หนึ่งทำได้ คือการยอมทิ้ง ยอมสละสิ่งที่คุณลุ่มหลง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงความเคารพต่อพระเจ้า ผมยอมเลิกโซดา แมคโดนัลด์ เฟรนช์ฟราย จูบดูดดื่ม และทุกอย่างในช่วงนั้น แต่อยู่มาปีหนึ่ง ผมเลิกพูด ผมคิดได้ว่าสิ่งล้ำค่าที่สุดที่ผมสละได้ คือเสียงของผมเอง แต่ผมไม่ได้ตระหนักเลยว่า ผมได้สละมันไปนานแล้ว ผมใช้ชีวิตมานานมาก เพื่อพูดสิ่งที่คนอื่นอยากฟัง แทนที่จะเป็นสิ่งที่ต้องฟัง บอกตัวเองว่าผมชี้ผิดถูกให้ใครไม่ได้ เพราะผมยังมัวค้นหาตัวเองอยู่เลย
(02:13) ฉะนั้น ผมเลยไม่พูดอะไร ระงับความเขลาด้วยความเงียบ โดยไม่รู้ตัวว่าความเขลาไม่ต้องใช้คำพูด เพื่อจารึกว่ามันมีตัวตน เมื่อชาวคริสต์ถูกซ้อมเพราะเป็นเกย์ ผมเอามือล้วงกระเป๋า แล้วเดินก้มหน้าแสร้งเป็นไม่เห็น ผมไม่ใช้ล็อคเกอร์หลายสัปดาห์ เพราะว่าล็อคกุญแจ ทำให้นึกถึงปากผมที่ปิดล็อคอยู่ เมื่อคนจรจัดตรงมุมตึก แหงนมองผม โดยขอแค่แลเขาบ้าง เพื่อให้เห็นว่าเขามีค่าพอให้มอง ผมกลับมัวเอาแต่ห่วงจิ้มจอมือถือ มากกว่าจะยอมมองเขา เมื่อผู้หญิงที่งานกาล่าระดมทุน พูดว่า ฉันภูมิใจคุณมาก การสอนเด็กยากจนด้อยปัญญาคงยาก ผมทนเงียบไว้ เพราะเห็นๆ อยู่ว่า เราต้องการเงินหล่อน
(02:52) มากกว่าศักดิ์ศรีของนักเรียน เราใช้เวลา ฟังสิ่งที่คนอื่นพูด มากเสียจน แทบไม่ได้ฟังสิ่งที่พวกเขาไม่ได้พูด ความเงียบเป็นกากตะกอนของความกลัว มันสัมผัสได้ถึงจุดอ่อนของคุณ ตัดลิ้นคุณขาดสะบั้น มันคืออากาศที่ล่าถอยออกจากอก เพราะมันรู้สึกว่าปอดคุณไม่ปลอดภัย ความเงียบคือการสังหารที่รวันดา คือพายุคาทรินา มันคือเสียงที่คุณได้ยิน เมื่อคนตายเป็นเบือ มันคือเสียงเมื่อห่วงเชือกรัดคอ มันคือตอตะโก คือโซ่ คืออภิสิทธิ์ คือความรวดร้าว คุณไม่มีเวลาคิดว่าจะสู้ศึกใด ในเมื่อศึกมาหาคุณเอง ผมจะไม่ยอมให้ความเงียบบดบังการตัดสินใจ ผมจะบอกชาวคริสต์ว่าเขาคือราชสีห์
(03:34) อันเป็นที่หลบภัยของความกล้าและความเจิดจ้า ผมจะถามชื่อชายจรจัดคนนั้น แล้วถามสารทุกข์สุกดิบ เพราะบางครั้ง สิ่งที่คนเราอยากเป็นคือเป็นมนุษย์ ผมจะบอกหญิงคนนั้นว่านักเรียนผม เล่าเรื่องการเรียนรู้ด้วยจิตตนเองได้ ราวกับนามสกุลธอโร แค่คุณเคยดูซีรีส์ เดอะไวร์ ตอนเดียว ไม่ได้แปลว่าคุณรู้จักนักเรียนผมดี ฉะนั้นปีนี้ แทนที่จะเลิกบางอย่าง ทุกวัน ผมจะใช้ชีวิตราวกับว่า มีไมโครโฟน อยู่ใต้ลิ้นผม มีเวทีอยู่ใต้การข่มใจ ใครจะต้องการแท่นยืนพูดกันล่ะ ในเมื่อสิ่งที่คุณต้องการคือเสียงคุณเอง ขอบคุณครับ (ปรบมือ)
(1) Jarrett J. Krosoczka: Why lunch ladies are heroes - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=6ra1MIKlYB0
Transcript:
(00:00) Translator: Dollaya Piumsuwan Reviewer: Sritala Dhanasarnsombut เมื่อหนังสือเด็กเล่มแรกของผมตีพิมพ์ ในปี 2001 ผมกลับไปเยือนโรงเรียนประถมของผม เพื่อพูดให้เด็กๆ ฟัง เรื่องเป็นนักเขียน และนักวาดภาพประกอบ ในขณะที่ผมกำลังตั้งเครื่องโปรเจ็คเตอร์ ในหอประชุมโรงอาหาร ผมมองไปยังอีกฝั่งหนึ่งของห้อง และเธอก็อยู่ตรงนั้น แม่ครัวประจำโรงอาหารคนเดิมของผม เธอยังทำงานอยู่ที่โรงเรียน และเธอก็กำลังยุ่งอยู่กับ การเตรียมอาหารกลางวัน ผมเลยเดินเข้าไปหาเธอเพื่อทักทาย ว่า "สวัสดี จีนนี่ คุณเป็นยังไงบ้าง" เธอมองผม และผมบอกได้เลยว่า
(00:45) เธอจำผมได้ แต่เธอดูยังลังเล เธอมองผมและพูดว่า "สตีเฟน โคซอสกาเหรอ?" ผมประหลาดใจที่เธอรู้ว่าผมนามสกุลโครซอสกา แต่สตีเฟนคืออาของผมที่แก่กว่าผม 20 ปี และเธอก็เป็นแม่ครัวที่นี่ตอนที่เขายังเด็ก เธอเริ่มเล่าเรื่องหลานๆ ของเธอให้ผมฟัง นั่นทำให้ผมตื่นเต้นมาก แม่ครัวของผมมีหลาน นั่นแปลว่าต้องมีลูก และเมื่อตกเย็นก็กลับบ้านอย่างนั้นหรือนี่? ผมนึกว่าเธออาศัย ในหอประชุมโรงอาหาร กับช้อนส้อม ผมไม่เคยคิดถึงอะไรเหล่านั้นเลย การได้เจอแม่ครัวของผมโดยบังเอิญ ทำให้จินตนาการของผมบรรเจิด ผมได้สร้างนิยายภาพวาดชุด Lunch Lady (แม่ครัวโรงเรียน)
(01:24) การ์ตูนเกี่ยวกับแม่ครัวโรงเรียน ที่ใช้กระบองปลาทอด ในการต่อสู้กับเหล่าหุ่นยนต์วายร้าย ปีศาจรถโรงเรียน และนักคณิตศาสตร์กลายพันธุ์ ตอนท้ายของหนังสือทุกเล่ม พวกเธอจะจับวายร้ายด้วยตาข่ายคลุมผม และก็ตะโกนว่า "ความยุติธรรมกลับมาแล้ว!" (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) มันน่าทึ่งมากๆ เพราะการ์ตูนชุดนี้ ได้รับการต้อนรับให้เป็นส่วนหนึ่ง ในชีวิตการอ่านของเด็กๆ พวกเขาส่งจดหมาย การ์ด และภาพวาดที่น่าอัศจรรย์มาให้ผม และผมสังเกตเห็นว่า เมื่อผมเดินสายไปยังโรงเรียนต่างๆ เหล่าแม่ครัวจะมาร่วมกับผม ในทางที่มีความหมาย จากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่งของประเทศ
(02:05) เหล่าแม่ครัวบอกกับผมว่า "ขอบคุณที่สร้างซุปเปอร์ฮีโร่ ที่เหมือนพวกเรา" เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไร แม่ครัวไม่เคยได้รับการปฏิบัติ อย่างเคารพในวัฒนธรรมสมัยนิยม มันมีความหมายมากกับจีนนี่ ตอนที่หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรก ผมเชิญเธอมาที่งานเลี้ยงฉลองหนังสือ และต่อหน้าทุกคนที่นั่น ที่เธอเคยทำอาหารให้ตลอดหลายปี ผมมอบงานศิลปะและหนังสือให้กับเธอ สองปีหลังจากที่ถ่ายรูปนี้ เธอก็เสียชีวิตลง ผมไปเคารพศพเธอ และผมไม่ได้ตั้งตัวกับสิ่งที่ผมเห็นที่นั่น เพราะข้างๆ โลงศพของเธอคือภาพวาดชิ้นนี้ สามีของเธอบอกกับผมว่า มันมีความหมายกับเธอมาก
(02:44) มันหมายความว่าผมรับรู้ว่าเธอทำงานหนัก ผมทำให้สิ่งที่เธอทำมีค่า มันเป็นแรงบันดาลใจให้ผมกำหนดวันขึ้น ที่จะสร้างความรู้สึกนั้นขึ้นมาได้อีกครั้ง ในหอประชุมโรงอาหารทั่วประเทศ วันฮีโร่อาหารกลางวันโรงเรียน วันที่เด็กๆ จะสามารถทำกิจกรรมสร้างสรรค์ ให้กับเหล่าแม่ครัว ผมจับมือกับสมาคมโภชนาการโรงเรียน คุณรู้มั้ยว่าเด็กกว่า 30 ล้านคน ร่วมโครงการอาหารกลางวัน โรงเรียนทุกวัน นั่นเท่ากับในทุกๆ ปีการศึกษา จะมีการเสิร์ฟอาหารกลางวัน มากกว่า 5 พันล้านที่ เรื่องราวของฮีโร่เป็นมากกว่า แค่เด็กคนหนึ่ง อยากได้นักเก็ตไก่เพิ่ม ในถาดอาหารกลางวันของเขา
(03:19) นี่คือคุณเบรนดาจากแคลิฟอเนีย ซึ่งคอยจับตาดูเด็กทุกคน ที่ต่อแถวอาหารของเธอ และรายงานครูแนะแนว หากมีอะไรผิดปกติ มีแม่ครัวโรงเรียนในเคนทักกี ที่ตระหนักว่ามีนักเรียนร้อยละ 67 อาศัยอาหารกลางวันโรงเรียนทุกวัน และเด็กๆ ไม่มีอาหารกินในช่วงปิดเทอม พวกเขาเลยดัดแปลงรถโรงเรียน เพื่อสร้างรถอาหารเคลื่อนที่ พวกเขาเดินทางไปรอบชุมชน นำอาหารไปให้กับเด็กกว่า 500 ชีวิต ในช่วงปิดเทอม ส่วนเด็กๆ ก็ทำกิจกรรมที่น่าทึ่งมากๆ ผมรู้ว่าพวกเขาจะทำ พวกเขาทำการ์ดแฮมเบอร์เกอร์ จากกระดาษ พวกเขาเอารูปศีรษะของแม่ครัว ติดมันกับรูปการ์ตูนแม่ครัวของฉัน
(03:54) และติดทั้งหมดกับกล่องนม และจัดวางกับดอกไม้ พวกเขาเขียนการ์ตูนของพวกเขาขึ้นมา โดยมีตัวการ์ตูน Lunch Lady และรูปของแม่ครัวของพวกเขา พวกเขาทำพิซซ่าขอบคุณ ซึ่งเด็กทุกคนเขียนคำขอบคุณบนหน้า ของพิซซ่ากระดาษ สำหรับผมแล้ว ผมรู้สึกประทับใจกับปฏิกิริยา ที่มาจากเหล่าแม่ครัวทั้งหลาย เพราะหญิงคนหนึ่งบอกกับผมว่า "ก่อนหน้านี้ ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า อยู่ใต้พื้นโลกในโรงแรียนแห่งนี้ ฉันไม่คิดว่าจะมีใครสังเกตเห็นฉันข้างใต้นี่ แม่ครัวอีกคนพูดกับผมว่า "คุณรู้มั้ย สิ่งที่ฉันได้จากสิ่งที่คุณทำ คือ สิ่งที่ฉันทำมันสำคัญ และแน่นอนว่าสิ่งที่เธอทำมันสำคัญ
(04:35) สิ่งที่พวกเธอทั้งหมดทำมันสำคัญ พวกเขาทำอาหารให้ลูกๆ ของเราทานทุกๆ วัน และการที่เด็กจะเรียนหนังสือได้ พวกเขาจะต้องอิ่มท้องก่อน หญิงและชายเหล่านี้ ทำงานอยู่ในแนวหน้า เพื่อสร้างสังคมการศึกษา ผมจึงหวังว่า คุณจะไม่รอให้ถึงวันฮีโร่อาหารกลางวัน เพื่อกล่าวขอบคุณพ่อครัวแม่ครัวของคุณ และหวังว่าคุณจะจดจำ พลังของคำขอบคุณ คำขอบคุณเปลี่ยนชีวิตได้ มันเปลี่ยนชีวิตของคนที่ได้รับมัน และเปลี่ยนชีวิต ของคนที่มอบมัน ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)
(1) My Daughter, Malala | Ziauddin Yousafzai | TED Talks - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=h4mmeN8gv9o
Transcript:
(00:00) Translator: Kwn Siri Reviewer: Tisa Tontiwatkul ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ และในชนพื้นเมืองต่างๆ ลูกชายมักเป็นผู้นำชื่อเสียงมาสู่บิดา แต่ผมเป็นหนึ่งในพ่อไม่กี่คน ที่เป็นที่รู้จักเพราะลูกสาว และผมก็ภาคภูมิใจ (เสียงปรบมือ) มาลาลาเริ่มโครงการรณรงค์เพื่อการศึกษา และยืนหยัดเพื่อสิทธิของเธอ ในปี 2007 และเมื่อความพยายามของเธอ ได้รับการยกย่องในปี 2011 เธอได้รับรางวัลเยาวชนเพื่อสันติภาพแห่งชาติ แล้วเธอก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เป็นสาวน้อยที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศ ก่อนหน้านั้น เธอมีฐานะเป็นลูกสาวของผม แต่ตอนนี้ผมมีฐานะเป็นพ่อของเธอ
(01:03) ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ถ้าเรามองเข้าไปในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เรื่องราวของผู้หญิง เป็นเรื่องราวของความอยุติธรรม ความไม่เท่าเทียม ความรุนแรง และการถูกใช้ตักตวงผลประโยชน์ คุณจะเห็นว่า ในสังคมปิตาธิปไตย ตั้งแต่แรกเริ่มเลยทีเดียว เมื่อเด็กผู้หญิงเกิดมา ไม่มีการเฉลิมฉลองแด่การกำเนิดของเธอ ไม่มีใครยินดีต้อนรับเธอ ไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ เพื่อนบ้านจะมา แสดงความเวทนาต่อผู้เป็นแม่ และไม่มีใครแสดงความยินดีต่อผู้เป็นพ่อ และแม่เด็กจะรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน ที่มีลูกผู้หญิง เมื่อเธอให้กำเนิดลูกคนแรกเป็นหญิง ลูกคนแรกเป็นลูกสาว เธอจะเศร้าใจ
(02:07) เมื่อเธอมีลูกคนที่สองเป็นลูกสาว เธอจะหวาดผวา และด้วยความคาดหวังที่จะมีลูกชาย เมื่อเธอให้กำเนิดลูกสาวคนที่สาม เธอจะรู้สึกผิดเหมือนเป็นอาชญากร ไม่เพียงแค่แม่เด็กที่ต้องทุกข์ระทม แต่ลูกสาว ลูกสาวที่เพิ่งเกิดใหม่ เมื่อเธอเติบโตขึ้น เธอจะต้องตรอมใจเช่นกัน เมื่อเธออายุได้ห้าขวบ ช่วงที่เธอควรจะได้ไปโรงเรียน เธอต้องอยู่กับบ้าน ขณะที่พี่ชายน้องชายของเธอได้เข้าโรงเรียน จนกระทั่งเธออายุ 12 ปี แม้ว่า เธอจะได้มีชีวิตที่ดี เธอจะได้สนุกสนาน เธอสามารถออกไปเล่นกับเพื่อนตามถนนหนทาง และเธอสามารถโบยบินไปตามท้องถนน ดั่งผีเสื้อ แต่เมื่อเธอย่างเข้าช่วงวัยรุ่น
(03:05) เมื่อเธออายุ 13 ปี เธอจะถูกห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน หากไม่มีญาติผู้ชายเป็นผู้ติดตาม เธอถูกกักตัวไว้ภายในกำแพงสี่ด้านของบ้าน หมดสิ้นเสรีของปัจเจก เธอกลายเป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า "เกียรติยศ" ของพ่อ ของพี่น้องผู้ชาย และของครอบครัวเธอ และหากเธอละเมิด หลักเกณฑ์ของสิ่งที่เรียกว่าเกียรติยศนั้น เธออาจถูกฆ่า และมันยังน่าสนใจในสิ่งที่เรียกว่า กฎเกณฑ์ของเกียรติยศ ไม่ได้ส่งผลต่อผู้หญิงเพียงอย่างเดียว ยังส่งผลต่อชีวิต ของสมาชิกผู้ชายในครอบครัว ผมรู้จักครอบครัวหนึ่งซึ่งมีลูกสาวเจ็ดคน และมีลูกชายหนึ่งคน และลูกชายคนนั้น
(04:09) ต้องย้ายไปอยู่ที่รัฐรอบอ่าวเปอร์เซีย เพื่อหาเลี้ยงพี่สาวน้องสาวทั้งเจ็ด และพ่อแม่ เพราะเขาคิดว่ามันน่าอับอาย หากพี่สาวน้องสาวทั้งเจ็ดของเขาจะต้องฝึกทักษะ และออกจากบ้าน ไปหาเลี้ยงชีพ ดังนั้นชายคนนี้ จึงต้องสละความสำราญในชีวิตของเขา และความสุขในชีวิตพี่สาวน้องสาวของเขา ณ แท่นบูชาของสิ่งที่เรียกว่าเกียรติยศ และยังมีอีกอย่างที่เป็นบรรทัดฐาน ในสังคมชายเป็นใหญ่ นั่นคือการอยู่ในโอวาท ผู้หญิงที่ดีจะต้อง สงบปากสงบคำ อ่อนน้อมถ่อมตน และว่าง่ายสุดๆ นี่เป็นหลักเกณฑ์ แบบอย่างของผู้หญิงที่ดีควรจะต้องสงบปากสงบคำ จะต้องเงียบไว้
(05:14) และต้องยอมรับการตัดสินใจ ของพ่อ ของแม่ และของผู้ใหญ่ แม้ว่าจริงๆ แล้ว เธอจะไม่เห็นด้วยก็ตาม ถ้าเธอต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้ชอบพอ หรือต้องแต่งงานกับชายแก่ เธอก็ต้องยอมรับ เพราะเธอไม่ต้องการถูกตราหน้าว่า ไม่อยู่ในโอวาท ถ้าเธอต้องแต่งงานตอนยังเด็กมาก เธอก็ต้องยอม ไม่อย่างนั้นเธอจะถูกตราหน้าว่าไม่อยู่ในโอวาท แล้วจะเกิดอะไรขึ้นในตอนสุดท้าย ในโลกของหญิงสาว เธอแต่งงาน ร่วมหลับนอน แล้วก็ให้กำเนิดลูกชายลูกสาว และนี่เป็นเหตุการณ์ตลกร้าย ที่แม่คนนี้ ก็จะสั่งสอนเรื่องการอยู่ในโอวาท ให้กับลูกสาว และสั่งสอนเรื่องเกียรติยศให้แก่ลูกชาย
(06:11) และวงจรอุบาทว์นี้ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ชะตาของหญิงสาวนับล้านคน สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากเราคิดให้ต่างออกไป หากผู้หญิงและผู้ชายคิดต่างไปจากเดิม ถ้าชายและหญิงในชนพื้นเมือง และในสังคมปิตาธิปไตย ในประเทศกำลังพัฒนา หากพวกเขาสามารถยกเลิกบรรทัดฐานบางอย่าง ของครอบครัวและสังคม หากพวกเขาสามารถล้มล้างกฏหมาย ซึ่งสร้างความไม่เท่าเทียม ในระบบของบ้านเมืองของเขา ซึ่งขัดแย้งกับหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ของผู้หญิง พี่น้องชายหญิงที่รัก เมื่อตอนมาลาลาเกิด และนั่นเป็นครั้งแรก เชื่อผมเถอะ ผมไม่ชอบเด็กอ่อนเลยจริงๆ สาบานได้
(07:14) แต่เมื่อผมมองเข้าไปในดวงตาของเธอ เชื่อผมมั้ย ผมรู้สึกภาคภูมิใจอย่างที่สุด และเป็นเวลานานก่อนที่เธอจะเกิด ผมคิดเรื่องตั้งชื่อเธอ แล้วผมก็หลงใหลในเรื่องของวีรสตรีคนหนึ่ง ผู้เป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพในตำนานของอัฟกานิสถาน ชื่อของเธอคือ มาลาลี (Malalai) แห่ง มาไลวันด์ (Maiwand) ผมตั้งชื่อลูกสาวของผมตามชื่อของเธอ ไม่กี่วันหลังจากที่มาลาลาเกิด ลูกสาวของผมเกิด ญาติของผมมาหา มันบังเอิญพอดี เขามาที่บ้านของผม และเอาแผนผังครอบครัวมาด้วย แผนผังตระกูลยูซาฟไซ (Yousafzai) เมื่อผมดูแผนผังครอบครัวของผม มันโยงย้อนกลับไปถึง 300 ปี ของประวัติบรรพบุรุษของเรา
(08:12) แต่เมื่อผมมองไป ก็เห็นแต่ชื่อของผู้ชาย แล้วผมก็หยิบปากกา ขีดเส้นจากชื่อของผม แล้วเขียนชื่อ "มาลาลา" และเมื่อเธอโตขึ้น เมื่อเธออายุได้สี่ขวบครึ่ง ผมก็รับเธอเข้าเรียนในโรงเรียนของผม คุณคงจะถามว่า แล้วไง? ทำไมผมต้องพูดถึง เรื่องการรับเด็กผู้หญิงเข้าเรียนในโรงเรียน ครับ ผมต้องกล่าวถึงมัน มันอาจเป็นเรื่องธรรมดาในแคนาดา ในอเมริกา ในหลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ในประเทศยากจน ในสังคมแบบปิตาธิปไตย ในสังคมชนพื้นเมือง นี่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตของเด็กผู้หญิง การลงทะเบียนเป็นนักเรียนในโรงเรียนหมายถึง การได้รู้จักอัตลักษณ์และชื่อของเธอ
(09:09) การเข้าโรงเรียนหมายถึง เธอเข้าสู่โลกแห่งความฝัน และความมุ่งมาดปรารถนา ที่ที่เธอสามารถจะค้นพบศักยภาพของเธอ เพื่ออนาคตของชีวิตเธอ ผมมีพี่น้องผู้หญิงห้าคน และไม่มีสักคนที่ได้เข้าโรงเรียน และคุณคงจะประหลาดใจ สองอาทิตย์ก่อนหน้านี้ ตอนผมกำลังกรอกเอกสารวีซ่าแคนาดา และตอนผมกำลังกรอกส่วนเรื่องครอบครัว ผมไม่สามารถนึก นามสกุลของพี่น้องบางคนออกได้ และเหตุผลก็คือ ผมไม่เคย ไม่เคยเลย ที่จะเห็นชื่อ ของพี่น้องผมในเอกสารใดๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ ผมให้คุณค่ากับลูกสาวของผม สิ่งที่พ่อของผมไม่สามารถให้แก่พี่น้องของผมได้ ไม่สามารถให้กับลูกสาวของเขาได้
(10:12) ผมคิดว่าผมจะต้องเปลี่ยนแปลงมัน ผมชื่นชมในความฉลาด และความสามารถของลูกสาวผม ผมให้เธอนั่งอยู่กับผม เมื่อเพื่อนของผมมาเยี่ยมเยือน ผมพาเธอไปออกงานตามที่ต่างๆ สิ่งที่ผมทำนั้นคุ้มค่า ผมพยายามที่จะเสริมสร้างบุคลิกภาพของเธอ และไม่ใช่เฉพาะแต่กับมาลาลาเท่านั้น ผมยังสั่งสอนสิ่งที่มีคุณค่าเหล่านี้ ในโรงเรียนของผม ให้กับนักเรียนทั้งหญิงและชายเช่นกัน ผมใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือปลดปล่อย ผมสอนเด็กสาว ผมสอนนักเรียนหญิงของผม ให้ลืมบทเรียนของการอยู่ในโอวาท ผมสอนลูกศิษย์ผู้ชาย ให้ลืมบทเรียนของไอ้ที่เรียกว่า เกียรติยศจอมปลอมนั่น พี่น้องที่รัก
(11:18) เรามุ่งมั่นฝ่าฟันเพื่อสิทธิของผู้หญิง และเราดิ้นรนเพื่อที่จะให้มี พื้นที่ของผู้หญิงในสังคมเพิ่มมากขึ้น แต่เราก็ได้พบกับอุบัติการณ์ใหม่ ที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิสตรี มันเรียกว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มตาลีบัน (Talibanization) มันหมายถึงการปฏิเสธบทบาท การมีส่วนร่วมของผู้หญิงโดยสิ้นเชิง ในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และกิจกรรมทางสังคม โรงเรียนหลายร้อยโรงถูกทำลาย เด็กผู้หญิงถูกห้ามไม่ให้ไปโรงเรียน ผู้หญิงถูกบังคับให้ใส่ผ้าคลุมหน้า และถูกห้ามไม่ให้ออกไปตลาด นักดนตรีถูกห้ามไม่ให้บรรเลงเพลง
(12:16) เด็กผู้หญิงถูกเฆี่ยนตี และนักร้องถูกสังหาร ผู้คนนับล้านต้องทนทุกข์ แต่มีคนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ไม่ทนเงียบเฉย และมันเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด เมื่อผู้คนที่อยู่รายรอบตัวคุณ เป็นคนที่ฆ่าและทำร้าย แต่คุณยังประกาศสิทธิของตน มันช่างเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุดจริงๆ เมื่ออายุได้ 10 ขวบ มาลาลายืนหยัด และเธอยืนหยัดเพื่อสิทธิ ในการศึกษา เธอเขียนไดอารี่ให้กับบล๊อกของ บีบีซี (BCC) เธออาสาตัวเอง ให้กับการถ่ายทำสารคดีของ นิวยอร์ค ไทม์ (New York Times) และป่าวประกาศไปในทุกทางที่เธอจะสามารถ และเสียงของเธอเป็นเสียงที่ทรงพลังมากที่สุด
(13:10) มันแพร่กระจายและดังขึ้นเรื่อยๆ ไปทั่วโลก และนั่นเป็นเหตุผลที่พวกตาลีบัน ไม่สามารถทนต่อโครงการของเธอได้ และในวันที่ 9 ตุลาคม 2012 เธอถูกยิงเข้าที่ศีรษะในระยะประชิด มันเป็นวันโลกาวินาศ สำหรับครอบครัวของผมและตัวผม โลกกลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ ในขณะที่ลูกสาวของผม อยู่ที่ทางแยกระหว่างความเป็นกับความตาย ผมกระซิบที่ข้างหูของภรรยาว่า นี่เป็นความผิดของผมหรือเปล่า สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น กับลูกสาวของผมและลูกสาวของคุณ? เธอพูดขึ้นมาทันทีว่า โปรดอย่าโทษตัวเองเลย คุณยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง คุณเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน ในการต่อสู้เพื่อความจริง
(14:09) ต่อสู้เพื่อสันติภาพ ต่อสู้เพื่อการศึกษา และลูกสาวของเราได้แรงบันดาลใจจากคุณ เธอจึงเข้าร่วมทางเดินเดียวกับคุณ คุณทั้งคู่อยู่บนทางที่ถูกต้อง และพระเจ้าจะคุ้มครองเธอ คำไม่กี่คำเหล่านี้มีความหมายมากมายสำหรับผม และผมก็ไม่เคยถามคำถามนี้อีกเลย เมื่อตอนที่มาลาลาอยู่ในโรงพยาบาล เธอได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เธอปวดหัวอย่างหนัก เพราะเส้นประสาทใบหน้าของเธอขาด ผมเห็นเงามืด ฉายทาบบนหน้าของภรรยาผม แต่ลูกสาวของผมไม่เคยบ่น เธอบอกพวกเราว่า หนูสบายดี แค่ยิ้มได้เบี้ยว และรู้สึกชาบนใบหน้า หนูจะไม่เป็นไร อย่ากังวลเลย เธอเป็นสิ่งประโลมใจของเรา
(15:07) เธอปลอบโยนเราให้สบายใจ พี่น้องที่รัก เราเรียนรู้จากเธอว่าจะกลับสู่ภาวะปกติอย่างไร ในเวลาที่ยากลำบากที่สุด และผมยินดีที่จะแบ่งปันกับพวกคุณ ว่าแม้ว่าเธอจะเป็นบุคคลที่เป็นสัญลักษณ์ ของสิทธิเด็กและสตรี เธอก็เป็นเหมือนเด็กสาวอายุสิบหกคนอื่นๆ เธอร้องไห้เมื่อทำการบ้านไม่เสร็จ เธอตีกันกับพี่น้องผู้ชาย แต่ผมก็มีความสุขมาก คนมากมายถามผมว่า มีอะไรพิเศษในการเลี้ยงดูของผม ที่ทำให้มาลาลาพร้อมที่จะต่อสู้ มีความกล้าหาญ กล้าที่จะแสดงความเห็น และมีสติ ผมตอบพวกเขาว่า อย่าถามเลยว่าผมทำอะไร ถามสิว่าผมไม่ได้ทำอะไร
(16:13) ผมแค่ไม่ได้ตัดปีกของเธอออก ก็แค่นั้นเอง ขอบคุณมากๆ ครับ (เสียงปรบมือ) ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก ขอบคุณ (เสียงปรบมือ)
(1) Sarah Lewis: โอบกอดชัยชนะอันใกล้นี้ - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=IS_upr6ayqw
บทถอดเสียง:
(00:14) ฉันรู้สึกโชคดีมากที่งานแรกของฉันคือทำงานที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่โดยเล่าเรื่องย้อนหลังของจิตรกรเอลิซาเบธ เมอร์เรย์ ฉันเรียนรู้มากมายจากเธอ หลังจากที่ภัณฑารักษ์ Robert Storr เลือกภาพวาดทั้งหมดจากผลงานตลอดชีวิตของเธอ ฉันชอบดูภาพเขียนจากปี 1970 มีลวดลายและองค์ประกอบบางอย่างที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในชีวิตของเธอ
(00:40) ฉันจำได้ว่าถามเธอว่าเธอคิดอย่างไรกับผลงานในยุคแรกๆ เหล่านั้น หากคุณไม่รู้ว่าเป็นของเธอคุณอาจเดาไม่ออก เธอบอกฉันว่ามีบางคนไม่ตรงตามสิ่งที่เธอต้องการให้เป็น ที่จริงแล้วผลงานชิ้นหนึ่งไม่ตรงตามที่เธอต้องการ เธอทิ้งมันลงถังขยะในสตูดิโอของเธอ และเพื่อนบ้านของเธอก็เอาไปเพราะเธอเห็นคุณค่าของมัน
(01:05) ในขณะนั้น มุมมองต่อความสำเร็จและความคิดสร้างสรรค์ของฉันเปลี่ยนไป ฉันตระหนักว่าความสำเร็จเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่ง แต่สิ่งที่เราเฉลิมฉลองอยู่เสมอคือความคิดสร้างสรรค์และความเชี่ยวชาญ แต่นี่คือสิ่งที่ทำให้เราเปลี่ยนความสำเร็จให้เป็นความเชี่ยวชาญได้ นี่เป็นคำถามที่ฉันถามตัวเองมานานแล้ว ฉันคิดว่ามันเกิดขึ้นเมื่อเราเริ่มเห็นคุณค่าของรางวัลจากการชนะที่ใกล้เข้ามา
(01:34) ฉันเริ่มเข้าใจสิ่งนี้เมื่อฉันไปในวันที่อากาศหนาวเย็นวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม เพื่อชมกลุ่มนักธนูตัวแทน ผู้หญิงทุกคนตามที่โชคชะตาน่าจะมี ณ ปลายด้านเหนือของแมนฮัตตันที่ Baker Athletics Complex ของโคลัมเบีย ฉันอยากเห็นสิ่งที่เรียกว่าความขัดแย้งของนักธนู แนวคิดที่ว่าเพื่อที่จะเข้าถึงเป้าหมายได้จริง คุณต้องเล็งไปที่สิ่งที่เบี่ยงเบนไปเล็กน้อย
(01:59) ฉันยืนดูขณะที่รถโค้ชขับรถตู้สีเทาคันนี้พาผู้หญิงเหล่านี้ขึ้นไป และพวกเขาก็เดินออกไปด้วยท่าทีผ่อนคลายเช่นนี้ คนหนึ่งถือโคนไอศกรีมที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งในมือข้างหนึ่ง และลูกศรทางด้านซ้ายมีลูกศรสีเหลือง และพวกเขาเดินผ่านฉันไปและยิ้ม แต่พวกเขาทำให้ฉันตัวใหญ่ขึ้นขณะเดินไปที่สนามหญ้า และพูดคุยกันไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่ฉันคิดว่าเป็นตัวเลข องศา ตำแหน่งว่าพวกเขาวางแผนจะบรรลุเป้าหมายอย่างไร
(02:27) ฉันยืนอยู่ข้างหลังนักธนูคนหนึ่ง ขณะที่โค้ชของเธอยืนอยู่ระหว่างเราเพื่อประเมินว่าใครที่อาจต้องการการสนับสนุน และเฝ้าดูเธอ และฉันไม่เข้าใจว่าแม้แต่คนเดียวจะตีวงแหวนทั้งสิบได้อย่างไร ห่วงทั้ง 10 วงจากระยะ 75 หลามาตรฐาน มีลักษณะเล็กพอๆ กับปลายก้านไม้ขีดที่ยื่นออกไปตามความยาวของแขน และนี่คือขณะถือน้ำหนักดึง 50 ปอนด์ในแต่ละนัด
(02:52) ฉันจำได้ ตอนแรกเธอตีเจ็ด ตามด้วยเก้า ตามด้วยสองสิบ จากนั้นลูกธนูลูกถัดไปก็ไม่โดนเป้าหมายด้วยซ้ำ และฉันเห็นสิ่งนั้นทำให้เธอมีความอดทนมากขึ้น และเธอก็ไล่ตามมันครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเวลาสามชั่วโมงสิ่งนี้ดำเนินไป ในตอนท้ายของการฝึกซ้อม นักธนูคนหนึ่งถูกเก็บภาษีมากจนเธอนอนอยู่บนพื้นเหมือนปลาดาว และเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พยายามค้นหาสิ่งที่ T.S.
(03:19) เอเลียตอาจเรียกสิ่งนั้นว่าจุดเปลี่ยนของโลก มันหายากมากในวัฒนธรรมอเมริกัน มีน้อยมากที่จะเป็นอาชีพเกี่ยวกับมันอีกต่อไป การดูว่าความดื้อรั้นมีลักษณะอย่างไรกับความแม่นยำระดับนี้ การจัดท่าทางร่างกายของคุณหมายถึงอะไร สามชั่วโมงเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย แสวงหาความเป็นเลิศในความสับสน
{03:43) แต่ฉันอยู่ต่อเพราะฉันตระหนักว่าฉันกำลังได้เห็นสิ่งที่หายากนักที่จะมองเห็น นั่นคือความแตกต่างระหว่างความสำเร็จและความเชี่ยวชาญ ดังนั้นความสำเร็จคือการไปถึงสิบวง แต่ความเชี่ยวชาญคือการรู้ว่ามันไม่มีความหมายอะไรหากคุณไม่สามารถทำมันซ้ำแล้วซ้ำอีก ความเชี่ยวชาญไม่เพียงแต่เหมือนกับความเป็นเลิศเท่านั้น มันไม่เหมือนกับความสำเร็จที่ผมมองว่าเป็นเหตุการณ์ ช่วงเวลาหนึ่ง และเป็นป้ายที่โลกมอบให้กับคุณ
(04:12) ความเชี่ยวชาญไม่ใช่ความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย แต่เป็นการแสวงหาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ทำให้เราทำเช่นนี้ สิ่งที่ทำให้เราส่งต่อได้มากขึ้นคือการเห็นคุณค่าของชัยชนะที่ใกล้เข้ามา กี่ครั้งแล้วที่เรากำหนดให้บางสิ่งบางอย่างคลาสสิกเป็นผลงานชิ้นเอกในขณะที่ผู้สร้างคิดว่ามันยังสร้างไม่เสร็จอย่างสิ้นหวัง เต็มไปด้วยความยากลำบากและข้อบกพร่อง หรืออีกนัยหนึ่งคือชัยชนะที่ใกล้เข้ามา? เอลิซาเบธ เมอร์เรย์ทำให้ฉันประหลาดใจเมื่อเธอยอมรับเกี่ยวกับภาพวาดก่อนหน้านี้ของเธอ
(04:45) จิตรกร Paul Cézanne มักคิดว่างานของเขาไม่สมบูรณ์จนเขาจงใจทิ้งงานเหล่านั้นไว้โดยมีความตั้งใจที่จะหยิบงานเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง แต่เมื่อบั้นปลายชีวิตของเขา ผลลัพธ์ก็คือเขาลงนามได้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ของภาพวาดของเขา นวนิยายที่เขาชื่นชอบคือ "ผลงานชิ้นเอก [Unknown]" โดยHonoré de Balzac และเขารู้สึกว่าตัวเอกคือจิตรกรเอง
(05:09) ฟรานซ์ คาฟคา มองเห็นความไม่สมบูรณ์เมื่อคนอื่นมองหาแต่ผลงานที่น่ายกย่อง มากจนเขาต้องการให้ไดอารี่ ต้นฉบับ จดหมาย และแม้แต่ภาพร่างทั้งหมดของเขาถูกเผาเมื่อเขาเสียชีวิต เพื่อนของเขาปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำขอ และด้วยเหตุนี้ เราจึงมีผลงานทั้งหมดที่เราทำโดยคาฟคาอยู่ในขณะนี้: "อเมริกา" "การพิจารณาคดี" และ "ปราสาท" งานไม่สมบูรณ์จนหยุดกลางประโยคด้วยซ้ำ
(05:35) กล่าวอีกนัยหนึ่ง การแสวงหาความเชี่ยวชาญนั้นเกือบจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ปรารถนามากกว่าที่ข้าพระองค์จะบรรลุผลได้" มีเกลันเจโลวิงวอนราวกับพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมบนโบสถ์น้อยซิสทีน และตัวเขาเองก็คืออดัมที่ยื่นนิ้วออกมาและไม่ได้แตะพระหัตถ์ของพระเจ้าเลย
{05:59} ความชำนาญอยู่ที่การเข้าถึง ไม่ใช่การมาถึง มันต้องการปิดช่องว่างระหว่างจุดที่คุณอยู่และจุดที่คุณต้องการอยู่อยู่เสมอ ความชำนาญเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเสียสละเพื่องานฝีมือของคุณ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ในการสร้างอาชีพของคุณ มีนักประดิษฐ์และผู้ประกอบการจำนวนเท่าใดที่อาศัยอยู่ในปรากฏการณ์นี้? เราเห็นสิ่งนี้แม้กระทั่งในชีวิตของนักสำรวจอาร์กติกผู้ไม่ย่อท้อ เบน ซอนเดอร์ส ผู้ซึ่งบอกฉันว่าชัยชนะของเขาไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังมาจากแรงผลักดันของเชื้อสายแห่งชัยชนะที่ใกล้เข้ามาอีกด้วย
(06:39) เราจะประสบความสำเร็จเมื่อเราอยู่ในระดับแนวหน้าของเราเอง เป็นภูมิปัญญาที่ Duke Ellington เข้าใจ ซึ่งกล่าวว่าเพลงโปรดของเขาจากละครของเขามักจะเป็นเพลงถัดไปเสมอ เป็นเพลงที่เขายังไม่ได้แต่งเสมอ เหตุผลส่วนหนึ่งที่การชนะที่ใกล้เข้ามานั้นสร้างมาเพื่อความเชี่ยวชาญก็เพราะว่ายิ่งความสามารถของเรามากขึ้นเท่าไร เราก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่าเราไม่ได้รู้ทุกสิ่งที่เราคิดว่าเราทำไปเท่านั้น
(07:06) เรียกว่าเอฟเฟกต์ Dunning–Kruger The Paris Review ดึงข้อมูลจาก James Baldwin เมื่อพวกเขาถามเขาว่า "คุณคิดว่าความรู้จะเพิ่มขึ้นอย่างไร" และพระองค์ตรัสว่า "คุณเรียนรู้ว่าคุณรู้น้อยแค่ไหน" ความสำเร็จเป็นแรงจูงใจให้เรา แต่ชัยชนะที่ใกล้เข้ามาสามารถขับเคลื่อนเราในภารกิจที่กำลังดำเนินอยู่ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดประการหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราดูความแตกต่างระหว่างผู้ชนะเลิศเหรียญเงินโอลิมปิกและผู้ชนะเลิศเหรียญทองแดงหลังการแข่งขัน
(07:34) โธมัส กิโลวิช และทีมงานของเขาจากคอร์เนล ศึกษาความแตกต่างนี้ และพบว่าผู้ชนะเลิศเหรียญเงินที่หงุดหงิดรู้สึกเมื่อเปรียบเทียบกับเหรียญทองแดง ซึ่งโดยทั่วไปจะมีความสุขมากกว่าเล็กน้อยที่ไม่ได้รับอันดับที่สี่และไม่ได้รับเหรียญเลย ทำให้ผู้ชนะเลิศเหรียญเงิน มุ่งเน้นไปที่การติดตามผลการแข่งขัน เราเห็นมันแม้กระทั่งในอุตสาหกรรมการพนันที่เคยหยิบยกปรากฏการณ์ของการชนะที่ใกล้เข้ามานี้และสร้างตั๋วแบบขูดเหล่านี้ซึ่งมีอัตราการชนะที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยและบังคับให้ผู้คนซื้อตั๋วเพิ่ม
(08:06) ที่พวกเขาถูกเรียกว่าผู้หยุดหัวใจ และถูกตั้งขึ้นบนอุตสาหกรรมการพนันที่มีการละเมิดในสหราชอาณาจักรในทศวรรษ 1970 เหตุผลที่การชนะที่ใกล้เข้ามามีแรงผลักดันเพราะว่ามันเปลี่ยนมุมมองของเราเกี่ยวกับภูมิทัศน์และทำให้เป้าหมายของเราซึ่งเรามักจะวางไว้ที่ระยะไกลให้อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่เรายืนอยู่มากขึ้น ถ้าฉันขอให้คุณจินตนาการว่าวันดีๆ จะเป็นอย่างไรในสัปดาห์หน้า คุณอาจอธิบายโดยใช้คำที่กว้างกว่านี้
(08:34) แต่ถ้าฉันขอให้คุณบรรยายถึงวันดีๆ ที่ TED พรุ่งนี้ คุณอาจอธิบายมันได้อย่างละเอียดและชัดเจน และนี่คือสิ่งที่เกือบจะชนะ มันทำให้เรามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เราวางแผนจะทำในขณะนี้เพื่อจัดการกับภูเขาลูกนั้นในสายตาของเรา คือ Jackie Joyner-Kersee ซึ่งในปี 1984 พลาดคว้าเหรียญทองในการแข่งขันสไตรกรีฑาไปหนึ่งในสามของวินาที และสามีของเธอคาดการณ์ว่านั่นจะทำให้เธอมีความดื้อรั้นตามที่เธอต้องการในการแข่งขันติดตามผล
(09:03) ในปี 1988 เธอคว้าเหรียญทองในการแข่งขันสไตรกรีฑาและสร้างสถิติที่ 7,291 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่ไม่มีนักกีฬาคนใดเข้าใกล้ได้มากนักตั้งแต่นั้นมา เราไม่ได้เจริญรุ่งเรืองเมื่อเราทำทุกอย่างแล้ว แต่เมื่อเรายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก ฉันยืนอยู่ที่นี่คิดและสงสัยเกี่ยวกับวิธีต่างๆ ทั้งหมดที่เราอาจสร้างชัยชนะที่ใกล้เข้ามาในห้องนี้ ชีวิตของคุณอาจเล่นเรื่องนี้อย่างไร เพราะฉันคิดว่าในระดับสัญชาตญาณที่เรารู้เรื่องนี้
(09:36) เรารู้ว่าเราประสบความสำเร็จได้ เมื่อเราอยู่ในระดับแนวหน้าของตัวเอง และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการจงใจที่ไม่สมบูรณ์จึงถูกฝังอยู่ในตำนานแห่งการสร้างสรรค์ ในวัฒนธรรมนาวาโฮ ช่างฝีมือและผู้หญิงบางคนจงใจทำให้สิ่งทอและเซรามิกมีความไม่สมบูรณ์ เป็นสิ่งที่เรียกว่าเส้นวิญญาณซึ่งเป็นข้อบกพร่องโดยเจตนาในรูปแบบเพื่อให้ช่างทอหรือช่างทำมีทางออก แต่ยังเป็นเหตุให้ทำงานต่อไป
(10:04) อาจารย์ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเพราะพวกเขามุ่งไปสู่จุดสิ้นสุดของแนวคิด พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเพราะพวกเขาตระหนักว่าไม่มีอยู่จริง ตอนนี้มันเกิดขึ้นกับฉัน ขณะที่ฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหตุใดโค้ชยิงธนูจึงบอกฉันเมื่อสิ้นสุดการฝึกซ้อมนั้น จากสายตานักธนูของเขา ว่าเขาและเพื่อนร่วมงานไม่เคยรู้สึกว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้เพียงพอสำหรับทีมของพวกเขา ไม่เคยรู้สึกอยู่ที่นั่น เป็นเทคนิคการแสดงภาพและการฝึกซ้อมท่าทางที่เพียงพอเพื่อช่วยให้พวกเขาเอาชนะชัยชนะที่ใกล้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
(10:34) ฟังดูไม่เหมือนเป็นการบ่นเลย แต่เป็นเพียงวิธีแจ้งให้ฉันทราบ เป็นการยอมรับอย่างอ่อนโยน เพื่อเตือนฉันว่าเขารู้ว่าเขากำลังมอบตัวเองให้กับเส้นทางที่โลภและยังไม่สิ้นสุด ที่ต้องการมากกว่านี้เสมอ เราสร้างจากความคิดที่ยังสร้างไม่เสร็จ แม้ว่าความคิดนั้นจะเป็นตัวตนของเราในอดีตก็ตาม นี่คือพลวัตของความเชี่ยวชาญ
(11:00) การเข้าใกล้สิ่งที่คุณคิดว่าต้องการสามารถช่วยให้คุณบรรลุผลมากกว่าที่คุณเคยฝันไว้ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องจินตนาการว่าเอลิซาเบธ เมอร์เรย์กำลังคิดอยู่เมื่อฉันเห็นเธอยิ้มให้กับภาพวาดในยุคแรกๆ เหล่านั้นในวันหนึ่งในแกลเลอรี่ แม้ว่าเราจะสร้างยูโทเปีย ฉันเชื่อว่าเราจะยังมีสิ่งที่ไม่สมบูรณ์อยู่
(11:24) ความสําเร็จเป็นเป้าหมาย แต่เราหวังว่ามันจะไม่มีวันสิ้นสุด ขอบคุณ (เสียงปรบมือ)
(1) Success, failure and the drive to keep creating | Elizabeth Gilbert - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=_waBFUg_oT8
Transcript:
(00:00) Translator: Thipnapa Huansuriya Reviewer: Penchan Kongpet สองสามปีก่อน ฉันอยู่ที่สนามบินจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ (JFK) กำลังจะขึ้นเครื่องบิน มีผู้หญิงสองคนเข้ามาทัก เธอคงไม่รู้สึกว่าฉันดูถูกนะ ถ้าฉันจะบรรยายว่าเธอทั้งสอง เป็นสาวแก่ตัวจิ๋วชาวอิตาเลียนอเมริกัน ที่พูดจาห้วนห้าว คนที่สูงกว่า ซึ่งสูงประมาณนี้ เธอเดินปรี่เข้ามาหาฉัน แล้วถามว่า "แม่หนู ถามอะไรหน่อยดิ เธอมีอะไรเกี่ยวข้องกับกระแส Eat, Pray, Love ที่ดังๆ ไม่นานมานี้ใช่ปะ" ฉันตอบว่า "ใช่ค่ะ" แล้วเธอก็หันไปตีแขนเพื่อนเธอแล้วบอกว่า "เห็นไหมแก ชั้นบอกแล้ว นังหนูคนนี้แหละ
(00:44) คนที่เขียนหนังสือออกมา ตามหนังเรื่องนั้นน่ะ" (เสียงหัวเราะ) นั่นแหละ ฉันเอง และเชื่อเถอะ ฉันรู้สึกขอบคุณสุดๆ ที่ได้เป็นคนคนนั้น เพราะกระแส Eat, Pray, Love ท้ังหมดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตฉันครั้งใหญ่ แต่ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ฉันตกที่นั่งลำบาก ในการก้าวต่อไปในฐานะนักเขียน ที่ต้องพยายามคิดว่า ชีวิตนี้ ฉันจะเขียนหนังสืออะไร ที่จะทำให้ใครพอใจได้อีก เพราะฉันรู้ดีล่วงหน้าอยู่แล้ว ว่าคนที่ชอบเรื่อง Eat, Pray, Love ก็จะผิดหวังอย่างแรง ไม่ว่าฉันจะเขียนเรื่องอะไรออกมา เพราะมันจะไม่ใช่ Eat, Pray, Love และบรรดาคนที่เกลียด Eat, Pray, Love
(01:21) ก็จะผิดหวังสุดๆ เหมือนกัน ไม่ว่าฉันจะเขียนอะไรออกมา เพราะมันจะเป็นหลักฐานว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจึงรู้ดี ว่าฉันไม่มีทางชนะ และการรู้ตัวว่าไม่มีทางชนะ ทำให้ฉันคิดอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่ง ว่าจะเลิกเขียนหนังสือ แล้วย้ายไปเลี้ยงหมาคอร์กี้อยู่ต่างจังหวัด แต่ถ้าฉันทำอย่างนั้น ถ้าฉันเลิกเขียนหนังสือ ฉันก็จะสูญเสียอาชีพที่ฉันรัก ฉันจึงตระหนักว่า สิ่งที่ฉันต้องทำคือ หาทางจุดไฟแรงบันดาลใจขึ้นมา เพื่อเขียนหนังสือเล่มต่อไป แม้จะต้องเจอกระแสทางลบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง พูดอีกอย่างก็คือ ฉันต้องหาทางทำให้ ความคิดสร้างสรรค์ของฉันรอดตาย จากความสำเร็จของมันเอง
(01:56) และในที่สุดฉันก็ค้นพบแรงบันดาลใจนั้น แต่ฉันเจอมันในที่ที่ ฉันไม่คาดคิดเลย นั่นคือ ในบทเรียนที่ฉันได้รับตอนวัยรุ่น ว่าความคิดสร้างสรรค์จะรอดตาย จากความล้มเหลวของมันเองได้อย่างไร ฉันอยากอธิบายเพิ่มหน่อยว่า สิ่งเดียวที่ฉันฝันอยากเป็น มาตลอดชีวิต ก็คือ นักเขียน ฉันเขียนตลอดเวลา ตั้งแต่ตอนเด็กๆ จนเป็นวัยรุ่น ตอนที่ฉันเป็นวัยรุ่น ฉันส่งเรื่องสุดห่วยของฉัน ไปนิตยสาร เดอะ นิวยอร์คเกอร์ (The New Yorker) หวังว่าจะมีคนค้นพบฉัน หลังจบมหาวิทยาลัย ฉันได้งานเป็นพนักงานเสิร์ฟ ทำงาน และเขียนหนังสือต่อไป พยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้ตีพิมพ์
(02:27) และก็ล้มเหลวมาตลอด เรื่องของฉันไม่เคยได้รับการตีพิมพ์เลย ตลอดเวลาเกือบหกปี ตลอดหกปีนั้น ทุกๆ วัน ฉันไม่มีอะไรเลย นอกจากจดหมายปฏิเสธ ที่รอฉันอยู่ในกล่องจดหมาย และมันก็ทำร้ายจิตใจฉันทุกๆ ครั้ง และทุกๆ ครั้ง ฉันต้องถามตัวเองว่า ฉันควรจะเลิกตอนนี้ ยอมแพ้ซะ จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีกดีไหม แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ตัดสินใจ เหมือนกันทุกครั้ง โดยบอกตัวเองว่า "ฉันไม่เลิกหรอก ฉันจะกลับบ้าน" คุณต้องเข้าใจว่า สำหรับฉัน การกลับบ้านไม่ได้หมายถึง กลับไปอยู่ที่ฟาร์มของครอบครัว สำหรับฉัน การกลับบ้าน หมายถึงการกลับไปเขียนหนังสือ เพราะการเขียนหนังสือคือบ้านของฉัน
(03:03) เพราะฉันรักการเขียน มากยิ่งกว่า ที่ฉันเกลียดความล้มเหลวจากการเขียน นั่นก็คือ ฉันรักการเขียน ยิ่งกว่ารักอัตตาของฉันเอง ซึ่งที่สุดแล้ว จะเรียกว่า ฉันรักการเขียนมากกว่ารักตัวเองก็ได้ และนั่นคือวิธีที่ทำให้ฉันผ่านมาได้ แต่ที่ประหลาดคือ ยี่สิบปีต่อมา ท่ามกลางกระแสความสำเร็จที่บ้าคลั่งของ "Eat, Pray, Love" ฉันพบว่าตัวเองรู้สึกร่วมกับ สาวเสิร์ฟที่ไม่เคยมีงานตีพิมพ์คนนั้นอีกครั้ง คนที่ฉันเคยเป็น ฉันคิดถึงเธอตลอด และรู้สึกว่าฉันเป็นเธอคนนั้นอีกครั้ง ซึ่งดูไร้เหตุผลด้วยประการทั้งปวง เพราะชีวิตของเราต่างกันสุดขั้ว
(03:32) เธอคนนั้นล้มเหลวตลอดเวลา ส่วนฉันประสบความสำเร็จทะลุความคาดหมาย เราไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ทำไมอยู่ดีๆ ฉันจึงรู้สึกว่าฉันเป็นเธอคนนั้นอีกครั้ง จนเมื่อฉันพยายามแกะปมนี้ ฉันจึงเริ่มเข้าใจ ความเชื่อมโยงทางจิตใจที่แปลกและไม่น่าเป็นไปได้ ในชีวิตเรา ระหว่างการเผชิญความล้มเหลวหมดท่า และการประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม คุณลองคิดอย่างนี้นะ เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตคุณ คุณใช้ชีวิตดำรงอยู่ ท่ามกลางห่วงโซ่ประสบการณ์ของมนุษย์ ซึ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ มั่นคง สม่ำเสมอ แต่ความล้มเหลวเหวี่ยงเรากระเด็นวูบมาถึงนี่ สู่ความมืดบอดของความผิดหวัง
(04:07) ความสำเร็จก็เหวี่ยงคุณไปไกลพอๆ กัน มาถึงตรงนี้ ที่แสงสว่างจ้าจนคุณมองไม่เห็นอะไร เพราะชื่อเสียง การเป็นที่รู้จัก และคำชื่นชม ประสบการณ์สองอย่างนี้ อย่างหนึ่ง คนส่วนใหญ่มองว่าเลวร้าย อีกอย่างหนึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าดี แต่จิตใต้สำนึกของคุณไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิง ที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างเลวร้ายกับดี สิ่งเดียวที่มันรับรู้ได้ คือค่าสัมบูรณ์ของสมการอารมณ์ นั่นคือระยะทางที่คุณถูกขว้างออกไป ไกลจากตัวตนของคุณ และในทั้งสองกรณี ก็มีความเสี่ยงพอๆ กัน ที่เราจะหลงทางอยู่ตรงนั้น ในดินแดนไกลโพ้นของจิต แต่ก็ปรากฏว่าในทั้งสองกรณีนั้น
(04:44) มีทางแก้แบบเดียวกัน เพื่อนำตัวตนของเรากลับสู่ภาวะปกติ นั่นคือ คุณต้องหาทางกลับบ้าน อย่างรวดเร็วและราบรื่นที่สุดที่จะทำได้ และถ้าคุณสงสัยว่าบ้านของคุณอยู่ที่ไหน ฉันจะบอกใบ้ให้ บ้านของคุณคือที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ ที่คุณรักมากยิ่งกว่าที่คุณรักตัวเอง อาจจะเป็นความคิดสร้างสรรค์ ครอบครัวของคุณ การประดิษฐ์คิดค้น การผจญภัย ศรัทธา การช่วยเหลือผู้อื่น หรือการเลี้ยงหมาพันธุ์คอร์กี้ ฉันไม่รู้หรอก แต่บ้านของคุณก็คือ สิ่งที่คุณสามารถอุทิศพลังของคุณ ด้วยความทุ่มเทที่เป็นหนึ่งเดียว จนคุณไม่สนใจว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร สำหรับฉัน บ้านคือการเขียนหนังสือมาตลอด
(05:18) ดังนั้น หลังจากผ่านความสำเร็จ ที่แปลกและน่าสับสน ที่ฉันเจอจากเรื่อง "Eat, Pray, Love" ฉันก็รู้ตัวว่า สิ่งที่ฉันต้องทำก็แค่ ทำเหมือนเดิมที่เคยทำตลอดมา ตอนที่ฉันสับสนพอๆ กันจากความล้มเหลว ฉันต้องสะบัดก้นกลับไปทำงาน และนั่นคือสิ่งที่ฉันทำ ซึ่งทำให้ ในปี 2010 ฉันสามารถตีพิมพ์หนังสือภาคต่อ ของ "Eat, Pray, Love" ออกมาได้ แล้วคุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนังสือเล่มนั้น มันเจ๊ง แต่ฉันไม่เป็นไรเลย ที่จริง ฉันรู้สึกว่าฉันมีเกราะกันกระสุน เพราะฉันรู้ว่าฉันลบล้างคำสาปได้แล้ว และฉันได้กลับบ้านไปเขียนหนังสือ
(05:45) เพียงเพราะอยากทุ่มเทให้กับมัน หลังจากนั้นฉันก็พักพิงอยู่ในบ้านของการเขียน และเขียนหนังสืออีกเล่มออกมาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างงดงาม ซึ่งก็ดีมากๆ เลย แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับฉัน สิ่งที่สำคัญสำหรับฉันคือ ตอนนี้ฉันกำลังเขียนหนังสืออีกเล่ม และฉันจะเขียนอีกเล่มต่อจากเล่มนี้ อีกเล่ม อีกเล่ม และอีกเล่ม หลายๆ เล่มในจำนวนนี้จะล้มเหลว บางเล่มอาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉันจะปลอดภัยเสมอ จากพายุเฮอร์ริเคนของผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน ตราบใดที่ฉันไม่ลืมว่า บ้านที่แท้จริงของฉันอยู่ที่ไหน ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าบ้านที่แท้จริงของคุณอยู่ไหน
(06:13) แต่ฉันรู้ว่า มีบางอย่างในโลกนี้ ที่คุณรักมากยิ่งกว่าตัวคุณเอง บางสิ่งที่มีคุณค่า อ่อ แต่เดี๋ยวก่อน การเสพติดและการลุ่มหลงไม่นับนะคะ เพราะเราทุกคนรู้ดีว่าที่นั่น มันไม่ปลอดภัยที่จะอยู่นะ ใช่ไหมคะ เคล็ดลับอยู่ที่ คุณต้องหาให้เจอว่า อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด มีค่าที่สุด ที่คุณรักที่สุด แล้วปลูกบ้านของคุณตรงลงนั้น และอย่าเคลื่อนย้ายไปไหน และหากวันหนึ่ง ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ถ้าคุณหกคะเมนตีลังกาออกไปจากบ้าน เพราะความล้มเหลวหรือความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ หน้าที่ของคุณคือ ต่อสู้ฟันฝ่า เพื่อหาทางกลับบ้านหลังนั้นให้ได้ ทางเดียวที่จะทำได้
(06:44) คือก้มหน้าก้มตาทำงานหนัก ด้วยความขยันและทุ่มเท ความเคารพและเทิดทูน ไม่ว่างานนั้นคืออะไร ที่ความรัก เรียกร้องให้คุณทำต่อไป แค่คุณลงมือทำ และทำมันต่อไป ทำแล้ว ทำอีก และทำอีก ฉันยืนยันกับคุณได้เลย จากประสบการณ์ส่วนตัวอันยาวนาน ไม่ว่าในทิศทางไหน ฉันรับรองได้ ว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี ขอบคุณค่ะ (เสียงปรบมือ)
(1) Christopher Emdin: Teach teachers how to create magic - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=H3ddtbeduoo
Transcript:
(00:00) Translator: Patcharathanasit Metheewatcharasirichart Reviewer: Penchan Kongpet ในตอนนี้ มีครูรุ่นใหม่ไฟแรง ผู้ซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการทำรายงานหนา 60 หน้า ที่อ้างอิงจากทฤษฎีการศึกษาเก่าแก่ ซึ่งสร้างขึ้นโดยศาสตราจารย์ด้านการศึกษา ที่เสียชีวิตไปแล้ว เธอได้แต่เฝ้าถามตัวเองว่า งานที่เธอทำอยู่นี่ มันเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เธออยากทำในชีวิตจริง นั่นคือการเป็นนักการศึกษา ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน และจุดประกายเวทมนต์ ในตอนนี้ มีครูรุ่นใหม่ไฟแรง กำลังเรียนระดับบัณฑิตศึกษา ในคณะศึกษาศาสตร์ เขาเฝ้ามองศาสตราจารย์พูดพล่ามไม่รู้จบ
(00:52) เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของผู้เรียน ในสถานการณ์ที่การมีส่วนร่วมแทบเป็นไปไม่ได้ ในตอนนี้ มีครูที่เพิ่งเริ่มงานเป็นปีแรก เธออยู่ที่บ้าน กำลังทบทวนแผนการสอน พยายามทำความเข้าใจกับมาตรฐานต่าง ๆ เธอพยายามทำความเข้าใจว่า จะให้คะแนนนักเรียนอย่างเหมาะสมได้อย่างไร ในขณะเดียวกัน ก็พูดย้ำกับตัวเอง ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า "อย่ายิ้มจนกว่าจะถึงเดือนพฤศจิกายน" เพราะนั่น คือสิ่งที่เธอถูกสอนมา จากหลักสูตรอบรมวิชาการศึกษา ในตอนนี้ มีนักเรียนคนหนึ่ง กำลังคิดหาวิธี ที่จะทำให้พ่อหรือแม่ของเขาเชื่อ ว่าเขาป่วยหนักมาก จนทำให้เขาไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้ไม่ได้
(01:35) ในทางกลับกัน ตอนนี้ มีนักการศึกษาที่น่ามหัศจรรย์หลายท่าน กำลังแบ่งปันข้อมูล ข้อมูลที่ถูกถ่ายทอดอย่างสวยงาม จนทำให้นักเรียนนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ เฝ้ารอให้เม็ดเหงื่อ หยดลงจากใบหน้าของบุคคลผู้นี้ เพื่อที่พวกเขาจะซึมซับเอาความรู้เหล่านั้นไปใช้ ในตอนนี้ ก็ยังมีคนคนหนึ่ง ที่ทำให้ผู้ฟังทุกคนตั้งใจฟังอย่างต็มที่ คนที่ถักทอเรื่องราวอันทรงพลัง เกี่ยวกับโลก ที่ผู้ฟังที่กำลังฟังอยู่นั้น ไม่เคยจินตนาการถึง หรือพบเห็นมาก่อน แต่ถ้าพวกเขาหลับตาลงให้สนิทพอ พวกเขาจะสามารถจินตนาการถึงโลกใบนั้นได้ เพราะเรื่องที่เล่ามันสมจริงและน่าสนใจมาก
(02:18) ตอนนี้ มีคนที่สามารถบอกให้ผู้ฟัง ชูมือขึ้นไปบนฟ้า และยกมันค้างไว้จนกว่า เขาจะพูดว่า "เอามือลง" ในตอนนี้ ผู้คนคงพูดว่า "เอาละ คริส คุณได้อธิบายถึงคนคนหนึ่ง ที่ต้องผ่านการอบรมที่เหนื่อยยาก แต่คุณก็บรรยายถึง เหล่านักการศึกษาผู้ทรงพลังเหล่านี้ ถ้าคุณนึกถึงโลกของการศึกษา หรือ โดยเฉพาะการศึกษาในเมืองใหญ่ ผลกระทบจากคนสองพวกนี้ก็คงหักล้างกันไป แล้วเราก็คงไม่มีปัญหาอะไร ในความเป็นจริงนั้น ผู้คนที่ผมพูดถึง ว่าเป็นครูชั้นยอด เป็นผู้สร้างสรรค์เรื่องราวมือฉมัง นักเล่าเรื่องผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายนั้น ไม่เคยได้เฉียดเข้าใกล้ห้องเรียนเลย
(02:56) บรรดาคนที่รู้ทักษะเกี่ยวกับวิธีการสอน และ ยังสามารถทำให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม กลับไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า ใบประกาศนียบัตรวิชาชีพครู มันคืออะไร พวกเขาอาจจะไม่มีปริญญา ไม่มีอะไรสักอย่างด้วยซ้ำ ที่จะเรียกมันว่า การศึกษา และสำหรับผม นั่นเป็นเรื่องเศร้า มันน่าเศร้า เพราะกลุ่มคนที่ผมได้กล่าวถึง พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก กับกระบวนการเรียนรู้ พวกเขาต้องการเป็นครูที่ทรงประสิทธิภาพ แต่กลับไม่มีแบบอย่าง ผมจะขอเรียบเรียงคำพูดของ มาร์ก ทเวน (Mark Twain)ใหม่ มาร์ก ทเวน กล่าวว่า การเตรียมพร้อมที่ดี หรือ การสอน นั้นทรงพลังมากจนสามารถ เปลี่ยนพฤติกรรมที่แย่ให้กลายเป็นดี
(03:31) มันสามารถ เปลี่ยนนิสัยแย่ ๆ ให้เป็น นิสัยที่มีพลังอำนาจได้ มันสามารถเปลี่ยน และแปลงสภาพพวกเขา ให้กลายเป็นเทวดาหรือนางฟ้าได้ เหล่าคนที่ผมพูดถึงนั้น ได้รับการฝึกอบรมเรื่องการสอน ไม่ใช่จากโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยใดๆ แต่จากการเข้าไปอยู่ในที่เดียวกันกับ ผู้คนที่เขาต้องการให้มีส่วนร่วม ลองเดาดูสิครับ ว่าสถานที่เหล่านั้นมีที่ไหนบ้าง ร้านตัดผม คอนเสิร์ตแร๊พ และที่สำคัญที่สุด ในโบสถ์ของคนผิวดำ ผมได้เรียบเรียงแนวคิดในการสอน ที่เรียกว่าเพนทีคอสตัล (Pentecostal) ในที่นี้ มีใครเคยไปโบสถ์ของคนผิวดำบ้างครับ มีบางคนเคยไปนะครับ
(04:06) คุณเข้าไปในโบสถ์ของคนผิวดำ บาทหลวงก็จะเริ่มเทศน์ และเขารู้ว่า เขาต้องทำให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม ดังนั้น บ่อยครั้ง เขาจะเริ่มด้วยการเล่นคำ ในช่วงต้นของการเทศน์ แล้วเขาจะหยุดพูดสักครู่ และพูดว่า "โอ้ พระเจ้า, พวกเขา ดูไม่ค่อยจะให้ควาามสนใจ" เขาจึงพูดขึ้นว่า "ขอเสียงเอเมน (amen) ได้ไหม" ผู้ฟัง: เอเมน คริส เอ็มดิน: เอาละ ผมขอเสียงเอเมนหน่อย ผู้ฟัง: เอเมน คริส เอ็มดิน: เท่านั้นเอง ทุกคนก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง บาทหลวงตบธรรมาสน์เสียงดังเพื่อดึงความสนใจ เขาพูดเสียงเบาลง เบามาก ๆ เมื่อเขาต้องการให้ผู้ฟังสนใจเขา
(04:34) และ สิ่งเหล่านั้นคือทักษะที่เราต้องการในตัวครู ครูที่ทำให้นักเรียนอยากมีส่วนร่วมมากที่สุด แล้วทำไมการให้การศึกษาแก่ครู จึงพูดแต่ทฤษฎี และทฤษฎี และบอกคุณเกี่ยวกับมาตรฐานต่าง ๆ และเรื่องอื่น ๆ มากมาย ที่ไม่เกี่ยวอะไร กับทักษะพื้นฐาน กับเวทมนต์ที่คุณต้องมี เพื่อทำให้ผู้ฟัง และนักเรียนมีส่วนร่วมไปกับคุณ ดังนั้น ผมจึงขอเสนอ ให้ปฏิรูปการศึกษาของครูเสียใหม่ เราสามารถให้ความสำคัญกับตัวเนื้อหาได้ และนั่นเป็นสิ่งที่ดี และเราสามารถเน้นในเรื่องทฤษฎี นั่นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เนื้อหาและทฤษฎี ที่ขาดเทคนิคการสอนและการเรียนรู้ อันมีมนต์ขลัง
(05:06) ย่อมไม่มีความหมายอะไรเลย ถึงตรงนี้ ผู้คนก็มักจะพูดว่า "อย่างว่าแหละ เวทมนต์มันก็เป็นแค่เวทมนต์" มีครูหลายคนที่มีทักษะเหล่านั้น แม้จะต้องเผชิญความท้าทายทั้งหลาย แต่เขาก็เข้าไปในโรงเรียนต่างๆ และทำให้นักเรียนสนใจและมีส่วนร่วมได้ แล้วเมื่อผู้บริหารเดินผ่านมา และพูดว่า "ว้าว เขาเจ๋งจริงๆ ผมหวังว่า คุณครูในโรงเรียนนี้ทุกคนจะเก่งได้แบบนี้บ้าง" และเมื่อพวกเขาพยายามอธิบายว่ามันคืออะไร พวกเขาก็พูดได้แค่ว่า "เขามีพรสรวรรค์ มีเวทย์มนต์" แต่ผมมาอยู่ที่นี่เพื่อจะบอกคุณว่า เวทมนต์ที่ว่า มันสอนกันได้
(05:29) เวทมนต์ มันสอนกันได้ เวทมนต์ มันสอนกันได้ แล้วคุณจะสอนมันยังไง คุณต้องสอนด้วยการให้คนเหล่านั้น เข้าไปอยู่ในสถานที่ ที่เวทมนต์นั้นมันกำลังทำงานอยู่ ถ้าคุณต้องการจะเป็นครูไฟแรง แบบที่การศึกษาในเมืองต้องการ คุณต้องลืมข้อจำกัดต่างๆ ในมหาวิทยาลัย แล้วเข้าไปอยู่ในสังคมเดียวกับเขา คุณต้องเข้าไปและ ใช้เวลาร่วมกับผู้คนในร้านตัดผม คุณต้องไปเข้าร่วมในโบสถ์คนผิวสี และคุณต้องไปนั่งสังเกตคนเหล่านั้น ที่มีพลังในการสร้างความมีส่วนร่วม แล้วจดบันทึกว่าพวกเขาทำอะไรกันบ้าง ในวิชาการศึกษาของครู ที่มหาวิทยาลัยผม ผมได้เริ่มโครงการที่ให้นักเรียนแต่ละคน
(06:01) ที่เข้ามานั่งเรียน ชมคอนเสิร์ตเพลงแร๊พ พวกเขาดูวิธีการเคลื่อนไหวร่างกาย และสื่อสารโดยใช้มือ ของพวกนักร้องเพลงแร็พ พวกเขาศึกษาวิธีที่นักร้องเพลงแร็พ เดินอยู่นเวทีได้อย่างมั่นใจ พวกเขาฟังการเปรียบเปรย และการอุปมาของนักร้อง และพวกเขาเริ่มเรียนรู้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ และถ้าพวกเขาฝึกฝนมันอย่างเพียงพอ มันจะกลายเป็นกุญแจสู่เวทมนต์ พวกเขาเรียนรู้ว่า ถ้าคุณจ้องไปที่นักเรียน แล้วยกคิ้วขึ้นแค่หนึ่งส่วนสี่นิ้ว คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเพิ่ม เพราะพวกนักเรียนรู้ว่า นั่นแปลว่า คุณต้องการให้เขาพูดมากกว่านี้ และถ้าเราสามารถปฏิรูปการศึกษาของครู
(06:32) ให้เน้นไปที่การสอนครู ให้รู้วิธีการสร้างเวทมนต์ จากนั้น โอมเพี้ยง! เราจะสามารถเปลี่ยน ห้องเรียนที่ซังกะตายให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ เราจะสามารถจุดประกายจินตนาการ และเราจะเปลี่ยนแปลงการศึกษาได้ ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)
(1) Peter Doolittle: How your "working memory" makes sense of the world - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=UWKvpFZJwcE
Transcript:
(00:00) Translator: yamela areesamarn Reviewer: Paravee Asava-Anan ครับ เมื่อวานนี้ ผมออกไปที่ถนน ด้านหน้าของอาคารนี้ และขณะที่ผมกำลังเดินไป ตามทางเท้าข้างถนน ผมมีเพื่อนไปด้วยกัน พวกเราสองสามคน และเราทั้งหมดก็ทำตามกฎกติกา ของการเดินบนทางเท้า เราไม่ได้พูดคุยกัน เราตรงไปข้างหน้า เราเดินไปเรื่อยๆ เมื่อคนที่อยู่ข้างหน้าผม เริ่มเดินช้าลง ผมนั้นก็เฝ้าดูเขา และเขาช้าลง และท้ายที่สุด เขาก็หยุดเดิน แต่นั่นไม่ได้เร็วพอสำหรับผม ผมจึงทำสัญญาณหมุนตัว และเดินอ้อมเขาไป และในขณะที่เดิน ผมก็มองดูว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ และเขากำลังทำสิ่งนี้อยู่
(00:48) เขากำลังส่งข้อความ เขาส่งข้อความและเดินในขณะเดียวกันไม่ได้ เอาละครับ เราเข้ามาสู่เรื่องนี้ได้แล้ว จากมุมมองในเชิงความจำระยะสั้น (working memory) หรือจากมุมมองเชิงงานหลายภาระกิจ (multitasking perspective) ในวันนี้ เรากำลังพูดเรื่องความจำระยะสั้นกัน ครับ ความจำระยะสั้น คือ ส่วนของจิตสำนึกของเรา ที่เรารู้ตัว ณ เวลาใดก็ตามของวัน คุณกำลังจำอยู่ในขณะนี้ มันไม่ได้เป็นอะไรที่เราสามารถปิดหรือหยุดมันได้ ถ้าคุณปิดมันลง นั่นเขาเรียกกันว่า อาการโคม่า น่ะครับ ฉะนั้น ขณะนี้คุณสบายดีกันอยู่ ครับ ความจำระยะสั้น มีส่วนประกอบพื้นฐานสี่ส่วน
(01:20) มันทำให้เรา เก็บสะสมประสบการณ์ทางตรง (immediate experience) และความรู้อีกเล็กน้อย มันสามารถทำให้ให้เรานึกย้อนกลับเข้าไป ในความจำระยะยาว และดึงความจำบางอย่างในนั้นออกมา ตามที่เราต้องการ ผสมให้เข้ากัน ผ่านกรรมวิธี โดยคำนึงถึงจุดประสงค์อะไรก็ตามของเราในขณะนั้น จุดประสงค์ในขณะนั้นไม่ใช้อย่างเช่น ผมอยากจะเป็นประธานาธิบดี หรือ นักกระดานโต้คลื่นที่เก่งที่สุดของโลก มันธรรมดาๆ กว่านั้น ผมอยากได้คุกกี้อันนั้น หรือไม่ก็ ผมต้องหาวิธีเข้าห้องพักของผมในโรงแรม ทีนี้ เรื่องสมรรถภาพของความจำระยะสั้น ก็คือ ความสามารถของเรา ที่จะใช้มันได้
(01:48) ความสามารถของเรา ที่จะรับเอาสิ่งที่เรารู้ และสิ่งที่พวกเราสามารถเกาะเกี่ยวเอาไว้ได้ และใช้มันได้ในแบบที่ให้เรา ได้สนองเป้าหมายในขณะนั้นของเรา ครับ สมรรถภาพของความจำระยะสั้น มีประวัติศาสตร์ ที่ค่อนข้างยาวนาน และมันสัมพันธ์กับผลลัพธ์ด้านบวกมากมาย คนที่มีสมรรถภาพความจำระยะสั้น ในระดับสูง มีแนวโน้มที่จะเป็นคนเล่านิทานเก่ง มีแนวโน้มที่จะคิดแก้ปัญหา และทำแบบทดสอบมาตรฐานได้ดี ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสำคัญแค่ไหนก็ตาม พวกเขามีความสามารถในการเขียนในระดับสูง พวกเขายังสามารถหาเหตุผลในระดับที่สูงได้อีกด้วย ดังนั้น สิ่งที่เรากำลังจะทำตรงนี้ คือ เล่นกับมันบ้างสักเล็กน้อย
(02:24) ผมจะขอร้องให้คุณช่วยทำอะไรสักอย่างสองอย่าง และเราจะเอาความจำระยะสั้นของคุณออกมาใช้ คุณพร้อมไหมครับ ตกลงครับ ผมจะให้คำคุณ สักห้าคำ และผมต้องการแค่ ให้คุณจดจำมันไว้ อย่าเขียนมันลงไปนะครับ เอาแค่จำมันไว้ ห้าคำ ขณะที่คุณกำลังจำคำพวกนั้นอยู่ ผมจะขอให้คุณตอบคำถามสามข้อ ผมต้องการจะดูว่า เกิดอะไรขึ้นกับคำเหล่านั้น เอาละครับ นี่คือคำที่คุณต้องจำ: ต้นไม้ ทางหลวง กระจกเงา ดาวเสาร์ และ ขั้วไฟฟ้า ยังเรียบร้อยดีนะครับ ครับ สิ่งที่ผมต้องการให้คุณทำ ก็คือ ผมต้องการให้คุณบอกผมว่า คำตอบของ 23 คูณ 8 เป็นเท่าไหร่ ตะโกนคำตอบออกมาเลยครับ
(03:13) (เสียงพึมพำ) (เสียงหัวเราะ) จริงๆแล้วเป็น--(เสียงพึมพำ) --แน่ๆ (เสียงหัวเราะ) ครับ ผมขอให้คุณเอามือซ้ายออกมา และผมต้องการให้คุณนับ "หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ" เป็นการทดสอบทางประสาทวิทยาครับ ถ้าหากคุณกำลังสงสัยอยู่ ครับตอนนี้ สิ่งที่ผมต้องการให้คุณทำ คือ ให้คุณท่องอักษรห้าตัวสุดท้าย ของตัวอักษรภาษาอังกฤษ จากด้านหลังย้อนไปข้างหน้า คุณควรจะเริ่มจากอักษร z ครับ (เสียงหัวเราะ) ครับ มีกี่คนที่นี่ ที่ยังคงแน่ใจอยู่ว่า คุณยังจำคำได้ทั้งห้าคำ ครับ ตามปกติแล้ว ท้ายสุดเราจะจำได้ประมาณน้อยกว่าครึ่ง
(03:52) ครับ เป็นเรื่องปกติ มันจะมีช่วง บางคนจำได้ห้าคำ บางคนจำได้ถึงสิบ บางคนจำได้แค่สองหรือสามคำ สิ่งที่เรารู้ก็คือ สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่ง ต่อวิธีที่เราทำงาน ใช่ไหมครับ และมันจะมีความสำคัญอย่างมากที่ TED นี่ เพราะคุณกำลังจะรับรู้แนวคิดที่มีความหลากหลาย ทีนี้ปัญหาที่เรามี คือมีหลายสิ่งเกิดขึ้นในชีวิตเรา และมันเข้ามาหาเราอย่างรวดเร็วมาก และสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำ ก็คือ เอาสายธารของ ประสบการณ์ที่ไม่มีรูปร่างนั้น และด้วยวิธีใดก็ตาม สกัดความหมายออกมาจากมัน ด้วยความจำระยะสั้น ซึ่งมีขนาดประมาณเมล็ดถั่ว อย่าเข้าใจผมผิดนะครับ ความจำระยะสั้นนั้นดีเลิศ
(04:27) ความจำระยะสั้นทำให้เรา สามารถตรวจสอบ ประสบการณ์ปัจจุบันของเราได้ ขณะที่เราเคลื่อนไปข้างหน้า มันให้เราสามารถเข้าใจโลกรอบๆ ตัวเราได้ แต่มันก็มีขอบเขตจำกัดอยู่ ครับ ความจำระยะสั้นนั้นยิ่งใหญ่ มันทำให้เราสื่อสารกันได้ เราสามารถพูดคุยกันได้ และผมสามารถสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับมันได้ ผมจึงรู้ว่าเรามาถึงไหนแล้ว และเรากำลังจะไปไหน และจะมีส่วนร่วมในการสนทนานี้ได้อย่างไร มันให้เราได้แก้ปัญหา ได้ใช้การคิดเชิงวิพากษ์ เราสามารถอยู่ กลางที่ประชุม ฟังการนำเสนอของคนบางคน ประเมิน และตัดสินใจว่า เราชอบหรือไม่ชอบมัน ตั้งคำถามตามมา
(04:59) ทุกอย่างนั้น เกิดขึ้นภายในความจำระยะสั้น มันยังให้เราไปที่ร้านค้า และให้เราไปเอา นม ไข่ และเนยแข็ง เมื่อสิ่งที่เรากำลังมองหาอยู่จริงๆ นั้น คือ กระทิงแดง และ เบคอน (เสียงหัวเราะ) ต้องให้แน่ใจว่า เราจะได้สิ่งที่เรากำลังมองหาอยู่ เอาละ ปัญหาสำคัญของความจำระยะสั้น ก็คือ มันมีขอบเขตจำกัด จำกัดในเรื่องสมรรถภาพ จำกัดในเรื่องช่วงระยะเวลา จำกัดในการเพ่งความสนใจ เรามีแนวโน้มที่จะจำได้ประมาณสี่อย่าง ใช่ไหมครับ เดิมเคยเป็นเจ็ด แต่กับเครื่องสแกนสมอง (MRI) แล้ว ชัดเจนว่าเป็น สี่ และในอดีต เราจำได้มากเกินไปครับ ปัจจุบัน เราสามารถจำสี่อย่างนั้นได้
(05:35) นานราว 10 ถึง 20 วินาที เว้นเสียแต่ เราทำอะไรบางอย่างกับมัน เว้นเสียแต่ เราจะนำมันไปเข้ากระบวนการ เว้นเสียแต่ เราจะนำมันไปประยุกต์ใช้กับบางอย่าง เว้นเสียแต่ เราจะพูดถึงมัน กับคนบางคน เมื่อเราคิดถึงความจำระยะสั้น เราต้องตระหนักว่า สมรรถภาพที่จำกัดนี้ มีผลกระทบที่แตกต่างมากมายต่อเรา คุณเคยเดินจากห้องหนึ่ง ไปอีกห้องหนึ่ง แล้วก็ลืมไปว่า ทำไมจึงไปอยู่ที่นั่นมั๊ยครับ คุณรู้วิธีแก้ปัญหานั้น ใช่มั๊ยครับ คุณก็เดินกลับไปยังห้องเดิม (เสียงหัวเราะ) คุณเคยลืมกุญแจไหมครับ คุณเคยลืมรถของคุณไหมครับ คุณเคยลืมลูกๆ ของคุณไหมครับ
(06:14) คุณเคยเข้าไปเกี่ยวข้องในการสนทนา และคุณก็ตระหนักว่า การสนทนาทางซ้ายมือของคุณนั้น จริงๆแล้ว น่าสนใจมากกว่า ไหมครับ (เสียงหัวเราะ) นั่น คุณกำลังพยักหน้า และยิ้ม แต่คุณกำลังเอาใจใส่จริงๆ กับเรื่องตรงนี้อยู่ จนกระทั่งคุณได้ยินคำสุดท้ายนั่น ดังขึ้นมา และคุณจึงตระหนักว่า คุณถูกถามคำถาม (เสียงหัวเราะ) และจริงๆ แล้ว คุณหวังว่าคำตอบจะเป็น ไม่ใช่ เพราะว่า นั่นคือ สิ่งที่คุณกำลังจะพูด ทุกอย่างนั้น พูดเรื่องเกี่ยวกับความจำระยะสั้น เกี่ยวกับสิ่งที่เราทำได้ และสิ่งที่เราทำไม่ได้ เราจำเป็นต้องตระหนักว่า ความจำระยะสั้นนั้น
(06:43) มีสมรรถภาพจำกัด และสมรรถภาพของความจำระยะสั้นเองนั้น คือ เราจะต่อรองสิ่งนั้นอย่างไร เราต่อรองสิ่งนั้น ผ่านทางกลยุทธ์ ดังนั้นสิ่งที่ผมอยากจะทำ ก็คือ พูดนิดหน่อยเกี่ยวกับกลยุทธ์สองอย่างตรงนี้ และกลยุทธ์เหล่านี้สำคัญมากทีเดียว เพราะปัจจุบันนี้ คุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มุ่งไปสู่ ข้อมูลข่าวสารที่เข้มข้น สำหรับอีกหลายๆ วันข้างหน้า ครับ ส่วนแรกของเรื่องนี้ ที่เราจำเป็นต้องคิดถึง และเราจำเป็นต้องนำความมีตัวตน หรือชีวิตของเรา มาผ่านกระบวนการ อย่างทันทีทันใด และซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราจำเป็นต้องเอาสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ มาผ่านกระบวนการ
(07:09) ขณะที่มันเกิดขึ้น ไม่ใช่ 10 นาที หลังจากนั้น หรือไม่ใช่หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น แต่ในขณะนั้นเลย เราจึงต้องคิดถึงว่า เช่น ฉันเห็นด้วยกับเขาไหม อะไรขาดหายไปหรือไม่ ฉันอยากจะรู้อะไรบ้าง ฉันเห็นด้วยกับสมมติฐานนั้นมั๊ย ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปใช้ในชีวิตของฉันได้อย่างไร มันเป็นวิธีการนำสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น มาผ่านกรรมวิธี เพื่อที่เราจะสามารถนำมาใช้ได้อีก ในภายหลัง เราจำเป็นที่ต้องทำซ้ำด้วย เราจำเป็นต้องฝึกฝน เราจึงจำเป็นต้องคิดถึงมัน ตรงนี้ ในระหว่างทาง เราต้องการจะพูดถึงมันกับผู้คน เราจะจดโน้ตไว้ และเมื่อคุณกลับถึงบ้าน
(07:39) ดึงเอาโน้ตนั้นออกมา และคิดถึงโน้ตพวกนั้น และท้ายสุดก็ได้ฝึกฝนเรื่อยมา ด้วยเหตุผลบางอย่าง การฝึกฝนกลายมาเป็น สิ่งที่เป็นด้านลบอย่างมาก มันเป็นด้านบวกอย่างมาก สิ่งต่อมาก็คือ เราจำเป็นต้องคิดอย่างละเอียดรอบคอบ และเราจำเป็นต้องคิด เพื่ออธิบายได้อย่างชัดเจน บ่อยครั้ง เราคิดว่า เราต้องโยงความรู้ใหม่ เข้ากับความรู้ก่อนหน้านั้น สิ่งที่เราต้องการจะทำ ก็คือ ปั่นมันไปรอบๆ เราต้องการจะเอา การดำรงอยู่ของเราทั้งหมด และห่อมันไว้รอบๆความรู้ใหม่นั้น และทำการเชื่อมต่อเหล่านี้ทั้งหมด และมันก็กลับมีความหมายเพิ่มขึ้น เรายังต้องการใช้มโนภาพด้วย เรานั้นถูกสร้างมาเพื่อมโนภาพ
(08:09) เราจำเป็นต้องใช้ข้อได้เปรียบนี้ คิดถึงสิ่งต่างๆ เป็นมโนภาพ เขียนสิ่งต่างๆ ลงไป ในแบบนั้น ถ้าคุณอ่านหนังสือ ก็ดึงเอาสิ่งต่างๆออกมา ผมเพิ่งจะอ่านหนังสือเรื่อง "The Great Gatsby" จบเล่มไป และผมก็มีแนวคิดอย่างสมบูรณ์ว่า เขาหน้าตาเป็นอย่างไร ในหัวสมองของผม มันเป็นเวอร์ชั่นของผม สิ่งสุดท้าย ก็คือ องค์กร และ การสนับสนุน ตัวเรานั้นเป็นกลไกของการสร้างความหมาย มันคือสิ่งที่เราทำ เราพยายามสร้างความหมาย จากทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา องค์กรก็มีส่วนช่วยด้วย เราจึงต้องสร้างโครงสร้าง ของสิ่งที่เรากำลังทำ ในแบบที่สมเหตุสมผล
(08:36) ถ้าเราจัดหาความรู้ และประสบการณ์ เราจำเป็นต้องสร้างโครงสร้างนั้นๆ ขึ้นมา และสุดท้าย คือ การสนับสนุน เราทุกคนเริ่มจาก ผู้ไม่เคยมีประสบการณ์ ทุกสิ่งที่เราทำ มันใกล้เคียงกับความช่ำชอง เราควรจะคาดได้ว่า มันจะเปลี่ยนแปลง เมื่อเวลาผ่านไป การสนับสนุนอาจจะเป็น การตั้งคำถามเพื่อถามผู้คน แจกเอกสารที่มีแผนภูมิองค์กรอยู่ในนั้น ให้กับพวกเขา หรือมีรูปภาพชี้นำ แต่เราจำเป็นต้องสนับสนุนความจำ ครับ ชิ้นส่วนสุดท้ายของเรื่องนี้ คือข่าวสารที่จะเอากลับบ้าน จากแง่คิดเรื่องสมรรถภาพของความจำระยะสั้น ก็คือ สิ่งที่เราเอามาผ่านกระบวนการ เราจะเรียนรู้ในสิ่งนั้น
(09:12) ถ้าเราไม่จัดการกับชีวิต เราก็ไม่ได้ใช้ชีวิต จงใช้ชีวิตนะครับ ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)
(1) Every kid needs a champion | Rita Pierson | TED - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=SFnMTHhKdkw
Transcript:
(00:00) Translator: Unnawut Leepaisalsuwanna Reviewer: Bank Photiruk Saengsawang ดิฉันใช้เวลาทั้งชีวิต อยู่ในโรงเรียน ไม่ก็เดินทางไปโรงเรียน หรือพูดคุยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในโรงเรียน พ่อแม่ของฉันเป็นคุณครู ตากับยาย ก็เป็นคุณครู และ 40 ปีที่ผ่านมา ดิฉันก็เป็นคุณครูเช่นเดียวกัน ดังนั้น แน่นอนว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดิฉันมีโอกาสได้เห็น การปฏิรูปการศึกษา จากหลายๆ มุมมอง การปฏิรูปหลายครั้งเกิดผลดี บางครั้งก็ไม่ค่อยจะดีนัก และเรารู้ว่าทำไม เด็กถึงเลิกเรียนกลางคัน เรารู้ว่าทำไมเด็กถึงไม่ยอมเรียนหนังสือ ก็เพราะความยากจน การขาดเรียน
(00:41) หรือแรงผลักดันที่ไม่ดีจากเพื่อนฝูง พวกเราก็รู้อยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยพูดคุย หรือพูดคุยน้อยมาก คือคุณค่าและความสำคัญของความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เจมส์ โคเมอร์ กล่าวว่า การเรียนรู้ที่มีความหมายจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากเราไม่มีความสัมพันธ์ที่มีความหมาย จอร์จ วอชิงตัน คาร์เวอร์ กล่าวว่า ทุกการเรียนรู้ คือการทำความเข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทุกคนในห้องนี้ต้องเคยถูกชี้นำ โดยคุณครู หรือผู้ใหญ่สักคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดิฉันได้เห็นผู้คนสอนหนังสือ ดิฉันเห็นคนที่เก่งที่สุด และคนที่แย่ที่สุด เพื่อนร่วมงานของฉันเคยบอกว่า
(01:25) "เขาไม่ได้จ้างให้ฉันมารักเด็กนะ เขาจ่ายให้ฉันมาสอนหนังสือ เด็กควรจะเรียนหนังสือ ฉันก็สอนไป เด็กก็เรียนไป ง่ายๆ แค่นั้น" ดิฉันเลยตอบกลับไปว่า "เธอรู้ไหม เด็กๆ มักไม่เรียนรู้ จากคนที่พวกเขาไม่ชอบขี้หน้าหรอก" (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) เธอกล่าว "นั่นมันเหลวไหลทั้งเพ" ฉันเลยพูดว่า "ถ้าคิดแบบนั้น ปีทั้งปีนี้ของเธอ คงจะยืดยาว และเหน็ดเหนื่อยน่าดูเลย" แน่นอน มันเป็นอย่างดิฉันบอกจริงๆ และบางคนคิดว่า การสร้างความสัมพันธ์นั้น เป็นความสามารถ เฉพาะบุคคล ดิฉันคิดว่า สตีเฟ่น โควีย์ (นักการบริหารและผู้แต่ง '7 อุปนิสัย') พูดไว้ได้ดีมากเลยทีเดียว
(02:05) เขาบอกว่า คุณต้องเติมอะไรเข้าไปสักหน่อยก่อน เช่น การทำความเข้าใจคนอื่น ก่อนที่จะหวังให้คนอื่นมาเข้าใจเรา เรื่องง่ายๆ เช่นการขอโทษ คุณเคยคิดถึงเรื่องนี้หรือเปล่า ลองขอโทษเด็กดู เด็กจะตกใจน่าดู ฉันเคยสอนเด็กนักเรียนเรื่องอัตราส่วน ดิฉันไม่ค่อยเก่งเลขนัก แต่ก็พยายามอยู่นะ พอดิฉันสอนเสร็จ ดิฉันกลับมาอ่านคู่มือครู พบว่าที่สอนไปนั้นผิดหมดเลย (เสียงหัวเราะ) พอเข้าชั่วโมงเรียนวันต่อมา ดิฉันพูดว่า "ทุกคนคะ ครูมีเรื่องจะขอโทษ ครูสอนเรื่องอัตราส่วนผิดหมดเลย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ" เด็กๆ ตอบว่า "ไม่เป็นไรครับ/ค่ะ ครูเพียร์สัน
(02:43) ครูคงตื่นเต้นมาก พวกเราให้อภัยนะ" (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) ดิฉันเคยสอนชั้นเรียนที่เรียนรู้ช้ามาก ช้าขนาดที่ว่า ดิฉันต้องร้องไห้ออกมา ดิฉันคิดไม่ตกว่า จะพาเด็กกลุ่มนี้ ภายใน 9 เดือน ก้าวจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ ไปสู่จุดหมายได้อย่างไร และมันยาก ยากมากๆด้วย ทำอย่างไรให้เด็กพวกนี้เชื่อมั่นในตนเอง และยกระดับความรู้วิชาการไปด้วยกัน มีอยู่ปีหนึ่ง ดิฉันก็คิดออก ดิฉันบอกนักเรียนทุกคนว่า "พวกเธอถูกเลือกให้มาเรียนห้องนี้ เพราะครูเป็นครูที่ดีที่สุด และพวกเธอก็เป็นนักเรียนที่เจ๋งที่สุด พวกเขาให้เรามาอยู่ด้วยกัน
(03:28) เพื่อเป็นตัวอย่างให้นักเรียนคนอื่นๆ ทุกคน" นักเรียนคนหนึ่งตอบกลับมาว่า "จริงหรอครู?!?" (เสียงหัวเราะ) ดิฉันตอบไป "จริงๆสิ เราต้องให้ห้องอื่นเห็น ว่าเราเรียนกันอย่างไร เพราะงั้น เวลาเราเดินนอกห้อง คนจะมองเรา เราจะเหลวไหลไม่ได้แล้วนะ เราจะต้องเดินอย่างสง่างาม" ดิฉันให้เด็กๆ พูดว่า "ฉันเป็นคนคนหนึ่ง ฉันเป็นคนคนหนึ่งตอนเดินเข้ามา และจะเป็นคนที่ดีกว่า เมื่อเดินออกไป ฉันมีพลัง และฉันก็เข้มแข็ง ฉันสมควรที่จะได้เรียนที่นี่ ฉันมีสิ่งที่ต้องทำ มีคนต้องประทับใจ และมีที่ที่ต้องไป" พวกเขาตอบ "ใช่เลย!"
(04:04) ลองพูดหลายๆ รอบ แล้วมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณ ดังนั้น... (เสียงปรบมือ) ฉันแจกแบบทดสอบ มี 20 คำถาม มีนักเรียนคนหนึ่ง ตอบผิดไป 18 ข้อ ดิฉันเขียน "+2" ลงบนกระดาษคำตอบ พร้อมหน้ายิ้มอันใหญ่ๆ เขาถาม "ครูเพียร์สันครับ ผมได้ F ใช่ไหมครับ" ฉันตอบ "ใช่แล้ว" เขาถาม "แล้วครูวาดหน้ายิ้มทำไม" ฉันตอบ "เพราะเธอกำลังไปได้สวยไง เธอตอบถูกตั้งสองข้อนะ ไม่ได้กินไข่ต้มซะหน่อย" ดิฉันพูดว่า "ในเมื่อเรารู้แล้ว เธอจะทำได้ดีกว่านี้ ถูกไหม" เขากล่าว "ใช่ครับ ผมจะทำได้ดีกว่านี้"
(04:49) คุณว่าไหมล่ะ คำว่า "-18" มันดูดพลังชีวิตคุณได้เลย แต่ "+2" แปลว่า "ฉันไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ" (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) เป็นเวลาหลายปี ที่ดิฉันเฝ้ามองคุณแม่ ทบทวนตัวเองตอนปิดเทอม ไปเยี่ยมบ้านนักเรียนในตอนกลางวัน ซื้อหวี ซื้อแปรง ซื้อพีนัทบัตเตอร์และขนมปังกรอบ ใส่ไว้ในลิ้นชัก เอาไว้แจกเด็กที่หิว ซื้อผ้าเช็ดตัวและสบู่ ให้เด็กที่เนื้อตัวไม่ค่อยหอมนัก มันยากที่จะสอนเด็กที่มีกลิ่นตัว และบางครั้งเด็กก็โหดร้ายเหมือนกัน เธอเก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ในลิ้นชัก และหลายปีผ่านไป หลังจากที่เธอเกษียณ
(05:31) ดิฉันพบเด็ก ที่ผ่านช่วงนั้นมาได้ พวกนั้นบอกว่า "ครูวอล์คเกอร์รู้ไหม ครูได้เปลี่ยนแปลงชีวิตผมเลยนะ ครูทำให้ผมมีชีวิตที่ดี ครูทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีค่า ในตอนที่ผมรู้ตัว ว่าผมไม่มีค่าเลย ผมอยากให้ครูเห็น ว่าผมเปลี่ยนไปแล้วนะ" 2 ปีที่แล้ว เธอได้จากไปด้วยวัย 92 ปี มีลูกศิษย์ของเธอมากมาย มางานศพของเธอ ภาพนั้นทำให้ดิฉันร้องไห้ ไม่ใช่เพราะเธอจากไป แต่เพราะเธอได้ทิ้งมรดกแห่งความสัมพันธ์ ที่จะไม่มีวันจางหายไป เราจะลงทุนในความสัมพันธ์ ให้มากขึ้นได้ไหมคะ แน่นอนว่าได้ คุณจะชื่นชอบเด็กทุกคนที่สอนไหม แน่นอนว่าไม่มีทาง!
(06:11) และคุณรู้อยู่แก่ใจ ว่าเด็กที่ซ่าที่สุด จะไม่เคยขาดเรียน (เสียงหัวเราะ) ไม่มีทาง คุณไม่สามารถชื่นชอบเด็กทุกคนได้ และที่คุณต้องเจอเด็กที่มีปัญหาเหล่านั้น ก็เพราะเหตุผลบางอย่าง นั่นก็คือการเชื่อมกัน มันคือความสัมพันธ์ ในขณะที่คุณ อาจไม่ชอบเด็กนักเรียนทุกคน ประเด็นก็คือ คุณจะให้เด็กเหล่านั้นรู้ไม่ได้เลย ดังนั้น ครูต้องเป็นนักแสดงที่ดีเยี่ยม เราต้องทำงาน แม้เราอาจไม่ชอบก็ตาม เราต้องเชื่อฟังนโยบายเบื้องบน ที่ฟังดูไร้เหตุผล แต่เราก็สอนต่อไป เราจะสอนต่อไป เพราะนั่นคือสิ่งที่เราทำ การเรียนและการสอน ควรนำมาซึ่งความสุข
(06:52) โลกเราจะก้าวไปไกลแค่ไหน ถ้าเรามีเด็กที่กล้าเผชิญความเสี่ยง กล้าที่จะคิด และมี "โค้ชผู้ปั้นแชมป์" อยู่เคียงข้าง เด็กทุกคนสมควรที่จะมี "โค้ชผู้ปั้นแชมป์" ของเขา เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เคยยอมแพ้ในตัวเขา เป็นคนที่เข้าใจพลังของความสัมพันธ์ และเชื่อมั่นว่าเด็กสามารถเป็น ในสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะเป็นได้ งานนี้ยากไหม? แน่นอนล่ะ พนันกันได้เลย แต่ไม่ได้หมายความว่า มันเป็นไปไม่ได้ เราสามารถทำสิ่งนี้ได้ เราเป็นนักการศึกษา เราเกิดมาเพื่อสร้างความแตกต่าง ขอบคุณมากค่ะ (เสียงปรบมือ)
(1) How to escape education's death valley | Sir Ken Robinson | TED - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=wX78iKhInsc
Transcript:
(00:00) Translator: Thipnapa Huansuriya Reviewer: Kelwalin Dhanasarnsombut ขอบคุณมากครับ ผมย้ายมาอยู่อเมริกาเมื่อ 12 ปีที่แล้ว พร้อมกับภรรยาของผมชื่อเทอร์รี่ และลูกสองคนของเรา จริงๆ แล้วคือ เราย้ายมาอยู่ลอสแองเจลิส (เสียงหัวเราะ) แต่หลงคิดว่าเราย้ายมาอยู่อเมริกา แต่ไม่เป็นไรครับ นั่งเครื่องบินจากลอสแองเจลิส ไปอเมริกาก็ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก ผมมาถึงที่นี่ 12 ปีที่แล้ว ตอนที่มาถึง มีคนบอกอะไรผมหลายอย่าง เช่น "คนอเมริกันไม่เข้าใจการประชด" คุณเคยได้ยินความคิดทำนองนี้ไหมครับ มันไม่จริงเลย ผมเดินทางไปทั่วทุกสารทิศในประเทศนี้
(00:56) ยังไม่เจอหลักฐานตรงไหนเลย ว่าคนอเมริกันไม่เข้าใจการประชด มันเหมือนความเชื่องมงายทางวัฒนธรรม เช่น "คนอังกฤษชอบเก็บตัวเงียบ" ผมไม่รู้ว่าทำไมคนถึงคิดอย่างนั้น ที่ผ่านมาเราเจอประเทศไหน เราก็ไปรุกรานเขาหมด (เสียงหัวเราะ) แต่การบอกว่าคนอเมริกันไม่เข้าใจการประชดนี่ ไม่จริงเลย ผมแค่อยากให้รู้ว่า นั่นคือสิ่งที่คนอื่น พูดถึงพวกคุณ (คนอเมริกัน) ลับหลัง คุณรู้ไหม เวลาคุณ (คนอเมริกัน) ลุกออกจากห้องนั่งเล่นของคนยุโรป เขาจะพูดกันว่า ดีนะที่ไม่มีใครพูดประชดขึ้นมาตอนที่คุณอยู่ แต่ผมได้รู้ว่าคนอเมริกันเข้าใจการประชด
(01:32) เมื่อผมได้ยินชื่อ พรบ. การศึกษา "ไม่มีเด็กคนไหนถูกทอดทิ้ง" (No Child Left Behind) เพราะคนคิดชื่อนี้ต้องรู้จักการประชดแน่ ใช่ไหมครับ เพราะว่า -- (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) เพราะว่าที่จริง พรบ. นี้ ทอดทิ้งเด็กนับล้านไว้เบื้องหลัง ผมก็เข้าใจนะ มันคงฟังไม่เพราะเท่าไหร่ถ้าจะตั้งชื่อว่า "พรบ.
(02:00) ทอดทิ้งเด็กนับล้านไว้เบื้องหลัง" ผมเข้าใจ "ไหน เรามีแผนยังไงนะ" อ้อ เราเสนอว่า ให้ทอดทิ้งเด็กนับล้านไว้เบื้องหลัง แผนการทำงานเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็ได้ผลอย่างงดงามเลย ในบางส่วนของประเทศ มีเด็กออกจากโรงเรียนกลางคันถึง 60 % ในชุมชนคนพื้นเมืองอเมริกัน มีอัตราการออกกลางคันสูงถึง 80 % มีการประมาณว่า ถ้าเราลดตัวเลขนี้ลงได้ครึ่งหนึ่ง ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะเติบโตเพิ่มขึ้น เกือบล้านล้านเหรียญเป็นเวลามากกว่า 10 ปี จากมุมมองทางเศรษฐกิจแล้ว เป็นผลลัพธ์ที่ดี ที่เราน่าจะลุกขึ้นมา ทำให้เป็นจริงใช่ไหมล่ะครับ นอกจากนี้ จริงๆ แล้วเราต้องใช้เงินมหาศาล เพื่อเยียวยาความเสียหาย จากวิกฤตที่นักเรียนออกจากโรงเรียนกลางคัน
(02:42) แต่วิกฤตที่เราเห็นนี้ เป็นแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง สิ่งที่เรายังไม่ได้นึกถึงก็คือ เด็กทั้งหมดที่ยังอยู่ในโรงเรียน แต่ไม่สนใจเรียน ไม่สนุกกับการเรียน และไม่ได้ประโยชน์ที่แท้จริงใดๆ จากการเรียน และเหตุผลนั้น ไม่ใช่เพราะว่าเราจ่ายเงินน้อยเกินไป อเมริกาใช้จ่ายเงินไปกับระบบการศึกษา มากกว่าประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ ขนาดชั้นเรียนก็เล็กกว่าในหลายๆ ประเทศ แล้วยังมีโครงการริเริ่มในแต่ละปีอีกเป็นร้อยโครงการ ที่มุ่งปรับปรุงการศีกษา ปัญหาคือ ทั้งหมดนี้มุ่งไปในทิศทางที่ผิด มีหลักการอยู่สามอย่าง ที่ทำให้ชีวิตของมนุษย์เติบโตงอกงาม
(03:19) แต่หลักสามอย่างนี้ ถูกขัดขวางโดยวัฒนธรรมการศึกษา ที่ครูส่วนใหญ่ต้องทำตาม และเด็กส่วนใหญ่ต้องจำทน หลักการข้อแรกคือ ธรรมชาติของมนุษย์ มีความแตกต่างหลากหลาย ผมถามหน่อยครับ ในที่นี้ มีกี่คน ที่มีลูกเป็นของตัวเอง โอเค แล้วหลานล่ะครับ แล้วใครมีลูกสองคนขึ้นไปบ้างครับ เอาล่ะ ส่วนคนอื่นที่เหลือ ก็คงเคยเห็นเด็กพวกนี้ใช่ไหมครับ (เสียงหัวเราะ) เจ้าคนตัวจี๋วที่ป้วนเปี้ยนไปมาพวกนี้ ผมพนันกับคุณเลย และผมเชื่อว่าผมจะชนะพนันงานนี้ด้วย ถ้าคุณมีลูกสองคนขึ้นไป ผมพนันได้เลยว่าเขาจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ใช่ไหมครับ ใช่ไหม? (เสียงปรบมือ)
(04:10) คุณจะไม่มีวันจำเขาสลับกันได้เลย ใช่ไหมครับ แบบ "เอ๊ะ ลูกคนไหนเป็นคนไหนเนี่ย บอกหน่อย พ่อกับแม่ว่าจะลอง เอาระบบรหัสสีมาใช้แล้วล่ะ จะได้ไม่สับสน" การศึกษาภายใต้ พรบ. การศีกษา No Child Left Behind นี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเหมือน ไม่ใช่ความหลากหลาย สิ่งที่โรงเรียนพวกนี้ถูกสั่งให้ทำ ก็คือ ค้นหาว่าเด็กทำอะไรได้ภายในนิยาม "ผลสัมฤทธิ์" แบบแคบๆ หนึ่งในผลกระทบของ พรบ.
(04:39) No Child Left Behind คือการมุ่งความสนใจแคบๆ อยู่แค่สี่สาขาวิชาที่เรียกว่า STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) ซึ่งก็สำคัญมากนะครับ ผมไม่ได้มาต่อต้านวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ตรงกันข้าม ผมจะบอกว่ามันจำเป็น แต่มันยังไม่เพียงพอ การศึกษาที่แท้จริงต้องให้ความสำคัญพอๆ กัน แก่ วิชาศิลปะ มนุษยศาสตร์ และพลศึกษาด้วย มีเด็กมากมายเหลือเกิน อ่อ ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ) มีการประมาณว่า ในอเมริกา มีเด็กราว 10 % ที่ได้รับการวินิจฉัยว่า มีภาวะผิดปกติต่างๆ นานา ที่จัดอยู่ในข่ายของโรคสมาธิสั้น (ADHD) ผมไม่ได้บอกว่าโรคนี้ไม่มีจริง
(05:22) แต่ผมไม่เชื่อว่ามันจะเป็นโรคระบาดแบบนี้ ถ้าคุณจับเด็กๆ มานั่งอยู่กับที่หลายๆ ชั่วโมงต่อกัน แล้วให้ทำงานน่าเบื่อเหมือนเสมียนระดับล่าง ก็อย่าแปลกใจถ้าเขาจะเริ่มอยู่ไม่สุข ใช่ไหมล่ะครับ (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) เด็กๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ทุกข์ทรมาน เพราะปัญหาทางจิตหรอกครับ เขาเป็นทุกข์เพราะชีวิตวัยเด็ก (เสียงหัวเราะ) ผมรู้ เพราะผมเคยใช้ชีวิตเป็นเด็กมาก่อน ผมผ่านเรื่องพวกนี้มาหมดแล้ว เด็กๆ เติบโตและประสบความสำเร็จมากที่สุด ในหลักสูตรที่เปิดกว้าง ที่ชื่นชมความสามารถหลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่ไม่กี่อย่าง อ้อ แล้วที่ศิลปะมีความสำคัญ ไม่ใช่เพียงเพราะ
(06:08) มันช่วยเพิ่มคะแนนวิชาคณิตศาสตร์นะครับ แต่ศิลปะสำคัญ เพราะมันสื่อสารกับตัวตนของเด็ก ส่วนที่ไม่มีสิ่งอื่นใด นอกจากศิลปะที่สามารถเข้าถึงได้ ประการที่สอง ขอบคุณครับ --- (เสียงปรบมือ) หลักการข้อที่สอง ที่ทำให้ชีวิตมนุษย์เติบโตงอกงาม คือความอยากรู้อยากเห็น ถ้าคุณจุดประกาย ความอยากรู้อยากเห็นในตัวเด็กได้ บ่อยครั้ง เขาจะเรียนรู้ต่อเอง โดยไม่ต้องให้เราคอยช่วยเลย เด็กๆ เป็นนักเรียนรู้โดยธรรมชาติ ความสำเร็จที่แท้จริง คือการที่คุณปลดปล่อยความสามารถนี้ออกมาได้ แทนที่จะปิดกั้นมันเอาไว้ ความอยากรู้อยากเห็น เป็นเครื่องจักรของความสำเร็จ
(06:46) เหตุที่ผมพูดอย่างนี้ก็เพราะ หนึ่งในผลพวงจากวัฒนธรรมปัจจุบันนี้ คือการทำลายวิชาชีพครู ไม่มีระบบใดในโลก หรือโรงเรียนใดในประเทศ ที่อยู่ได้โดยไม่มีครู ครูคือเลือดที่หล่อเลี้ยงความสำเร็จของโรงเรียน แต่การสอนเป็นอาชีพที่สร้างสรรค์ การสอน ในนิยามที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ระบบส่งสินค้า คุณไม่ได้อยู่ตรงนั้นเพียงเพื่อส่งต่อข้อมูล ครูผู้ยิ่งใหญ่ก็ส่งต่อข้อมูลครับ แต่สิ่งที่ครูผู้ยิ่งใหญ่ทำด้วย คือการเป็นพี่เลี้ยง กระตุ้นให้เด็กตื่นตัวและสนอกสนใจ คุณจะเห็นว่า ท้ายที่สุด การศึกษาก็คือการเรียนรู้ ถ้าไม่มีการเรียนรู้เกิดขึ้น ก็ถือว่าการศึกษาไม่ได้เกิดขึ้น
(07:34) แต่คนเรากลับใช้เวลามากมาย พูดเรื่องการศึกษา โดยไม่เคยพูดถึงการเรียนรู้ เป้าหมายของการศึกษา คือการทำให้คนเรียนรู้ เพื่อนคนหนึ่งของผม เพื่อนเก่า -- เก่าแก่มาก คือ เขาเสียชีวิตไปแล้วน่ะครับ (เสียงหัวเราะ) นั่นคงเก่าสุดเท่าที่จะเก่าได้แล้วมั้ง ผมว่า แต่เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก เป็นนักปรัชญาชั้นเลิศ เขาเคยพูดเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง ความหมายของคำกิริยา ว่าด้วยงานและความสำเร็จ คุณอาจจะลงมือทำกิจกรรมอะไรบางอย่าง แต่ก็อาจไม่ได้ผลสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ อย่างการลดน้ำหนักนี่เป็นตัวอย่างที่ดีเลย นี่ไง เขากำลังลดน้ำหนัก แล้วน้ำหนักเขาลดไหม ก็ไม่
(08:19) การสอนก็เป็นคำกิริยาแบบนี้ คุณพูดได้ว่า "นี่ไง เดบอรา เธออยู่ห้อง 34 เธอกำลังสอนอยู่" แต่ถ้าไม่มีใครเรียนรู้อะไรเลย ก็เรียกว่าเธอได้แต่สอน แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการสอน บทบาทของครู คือการเอื้ออำนวยการเรียนรู้ แค่นั้นเอง ผมว่าที่มาของปัญหาส่วนหนึ่งคือ วัฒนธรรมการศึกษากระแสหลัก มัวแต่ใส่ใจการทดสอบ ไม่ใช่การสอนและการเรียนรู้ ที่จริงการสอบก็สำคัญนะครับ การสอบมาตรฐานมีบทบาทสำคัญ แต่มันไม่ควรเป็นวัฒนธรรมหลักของการศึกษา เราควรใช้การสอบเป็นเครื่องมือวินิจฉัย เพื่อช่วยในการเรียนรู้ (เสียงปรบมือ) ถ้าผมไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกาย
(09:03) ผมต้องการผลการทดสอบมาตรฐาน ผมอยากรู้ระดับคอเลสเตอรอลของผม เทียบกับของคนอื่นบนมาตรวัดมาตรฐาน ผมไม่อยากได้ผลตรวจจากมาตรวัด ที่หมอของผมสร้างขึ้นเองในรถ "โคเลสเตอรอลของคุณอยู่ในระดับสีส้ม" "เหรอ แล้วมันดีหรือเปล่าล่ะครับ" "ไม่รู้เหมือนกัน" แต่การทดสอบมาตรฐาน ต้องสนับสนุนการเรียนรู้ ไม่ใช่ขัดขวางการเรียนรู้ แต่บ่อยครั้งมันก็ขัดขวางการเรียนรู้ ผลคือ แทนที่เราจะมีความอยากรู้อยากเห็น เราเลยมีแต่วัฒนธรรมของการคล้อยตาม เด็กๆ และคุณครูของเราถูกส่งเสริม ให้เดินตามระเบียบขั้นตอนเดิมๆ แทนที่จะตื่นเต้นไปกับพลังความคิดสร้างสรรค์ และความอยากรู้อยากเห็น
(09:46) และหลักการข้อที่สามคือ ชีวิตของมนุษย์มีความสร้างสรรค์อยู่ในตัว เราจึงเขียนประวัติย่อของเราแตกต่างกันไป เพราะเราสร้างชีวิตของเราเอง และเราก็สร้างมันขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ ระหว่างที่เราใช้ชีวิต มันเป็นวิถีธรรมชาติ ของการเป็นมนุษย์ วัฒนธรรมของมนุษย์จึงได้หลากหลาย น่าสนใจ และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ผมหมายความว่า สัตว์อื่นๆ ก็อาจมีจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่ค่อยมีหลักฐานมายืนยัน มากเท่ากับมนุษย์อย่างพวกเรา ใช่ไหมครับ คือ คุณอาจจะมีสุนัขสักตัว แล้วสุนัขของคุณก็อาจมีภาวะซึมเศร้า แต่มันก็ไม่ได้ลุกขึ้นมา ฟังเพลงของวงเรดิโอเฮด (Radiohead)
(10:18) ใช่ไหมครับ (เสียงหัวเราะ) มันคงไม่ไปนั่งริมหน้าต่าง จิบเหล้าแจค แดเนียล (เสียงหัวเราะ) แล้วเวลาคุณถามมันว่า "อยากออกไปเดินเล่นไหม" มันตอบว่า "ไม่เอาอ่ะ เจ้านายไปเถอะ ผมรออยู่บ้านแล้วกัน ถ่ายรูปมาให้ดูด้วยล่ะ" เราสร้างชีวิตของเราผ่านกระบวนการที่ต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ของการจินตนาการทางเลือกและความเป็นไปได้ และบทบาทหนึ่งของการศึกษา คือการปลุกและพัฒนาพลังความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้ แต่ตรงกันข้าม เรากลับสร้างวัฒนธรรมของการมีมาตรฐานเดียว เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ไม่จำเป็นเลยจริงๆ ประเทศฟินแลนด์มักติดอันดับสูงสุดของโลก
(11:02) ด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน เรารู้แค่ว่าเขาเก่งสามเรื่องนี้แหละ เพราะนั่นคือแค่สามเรื่องที่มีการทดสอบกันเมื่อเร็วๆ นี้ นั่นคือปัญหาหนึ่งของการทดสอบ มันไม่ได้ค้นหาสิ่งอื่นที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน ในฟินแลนด์เขาทำอย่างนี้ครับ ข้อแรก เขาไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับแค่สามวิชานี้ เขามีแนวทางด้านการศึกษาที่กว้างมาก ซึ่งรวมทั้งวิชามนุษยศาสตร์ พลศึกษา และศิลปะ ข้อสอง ที่ฟินแลนด์ไม่มีการทดสอบมาตรฐาน ผมหมายความว่า มีบ้างนิดหน่อย แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้นักเรียนต้องตื่นขึ้นมาทุกเช้า ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้นักเรียนต้องนั่งติดอยู่กับโต๊ะ
(11:36) ข้อสาม เมื่อเร็วๆ นี้ผมเพิ่งไปร่วมประชุม กับคนจากระบบการศึกษาฟินแลนด์ ซึ่งเป็นคนฟินแลนด์แท้ๆ และใครสักคนจากระบบการศึกษาของอเมริกา ถามคนจากฟินแลนด์ว่า "คุณทำอย่างไรกับอัตราการลาออกกลางคัน ของนักเรียนในฟินแลนด์" พวกเขาดูงงๆ ไปพักหนึ่งแล้วตอบว่า "เอ่อ เราไม่มีปัญหานักเรียนลาออกกลางคัน เด็กจะลาออกกลางคันไปทำไมล่ะ ถ้าเด็กมีปัญหา เราจะเข้าไปช่วยแก้ไขอย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือเขา สนับสนุนเขา" คนทั่วไปมักจะพูดว่า "แหม คุณก็รู้ว่า เราเปรียบเทียบฟินแลนด์กับอเมริกาไม่ได้หรอก" ไม่จริงครับ ฟินแลนด์มีประชากร
(12:07) ประมาณห้าล้านคน คุณจะเปรียบฟินแลนด์กับรัฐสักรัฐในอเมริกาก็ได้ หลายรัฐในอเมริกามีประชากรน้อยกว่าประเทศฟินแลนด์ ผมเคยไปบางรัฐในอเมริกา ซึ่งมีผมอยู่คนเดียว (เสียงหัวเราะ) จริงๆ นะ ก็ตอนผมจะกลับออกมา เขาบอกให้ผมล็อกทุกสิ่งทุกอย่างให้ด้วย (เสียงหัวเราะ) แต่สิ่งที่ระบบการศึกษาประสิทธิภาพสูงเหล่านี้เขาทำกัน เป็นสิ่งที่ ระบบการศึกษาอเมริกาไม่ได้ทำเลย โดยภาพรวม ในปัจจุบันนี้นะครับ น่าเศร้านะ ตัวอย่างเช่น ที่ฟินแลนด์เขาจัดการเรียนการสอน ให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน เขาตระหนักว่านักเรียนคือผู้เรียนรู้ และระบบจะต้องดึงดูดความสนใจ ความอยากรู้อยากเห็น
(12:55) ความเป็นตัวตนอันมีเอกลักษณ์ และความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก นั่นคือวิธีที่คุณจะทำให้เขาเรียนรู้ได้ สองคือ เขายกย่องอาชีพครู ให้มีสถานภาพสูงมากๆ เขาตระหนักว่าคุณไม่สามารถปรับปรุงการศึกษาได้ ถ้าคุณไม่เลือกคนที่ดีเลิศมาเป็นผู้สอน และไม่สนับสนุนและสร้างพัฒนาการทางวิชาชีพ แก่ครูเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง การลงทุนพัฒนาคนในวิชาชีพ ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย มันคือการลงทุน และทุกประเทศที่ประสบความสำเร็จล้วนเข้าใจข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย แคนาดา เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือเซียงไฮ้ ล้วนเข้าใจความจริงข้อนี้ และข้อสาม เขามอบอำนาจและความรับผิดชอบ
(13:34) ให้แก่โรงเรียนเป็นผู้บริหารจัดการเอง คุณเห็นไหม มันแตกต่างอย่างมาก จากรูปแบบการสั่งการและควบคุมการศึกษา นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในบางระบบ ที่รัฐบาลกลาง หรือผู้บริหารของรัฐ เป็นผู้ตัดสินใจ คนพวกนี้รู้ดีที่สุด และเขาจะคอยบอกว่าคุณต้องทำอะไร แต่ปัญหาคือ การศึกษาไม่ได้เกิดขึ้น ในห้องประชุมคณะกรรมการ หรืออาคารที่เรานั่งร่างกฏหมาย มันเกิดขึ้นในห้องเรียนและในโรงเรียน และคนที่ลงมือปฏิบัติคือครูและนักเรียน ถ้าคุณไม่ให้อำนาจตัดสินใจแก่เขา มันไม่มีทางสำเร็จ คุณต้องคืนอำนาจให้คนเหล่านี้ (เสียงปรบมือ) ที่จริงก็มีผลงานที่ยอดเยี่ยมในประเทศนี้เหมือนกันนะครับ
(14:17) ผมต้องพูดว่า มันเกิดขึ้นได้ ทั้งๆ ที่วัฒนธรรมการศึกษากระแสหลักคอยขัดขวาง ไม่ได้ช่วยส่งเสริมเลย เหมือนกับคนที่ต้องล่องเรือต้านกระแสลมตลอดเวลา เหตุผลที่ผมคิดอย่างนี้คือ นโยบายจำนวนมากในปัจจุบันตั้งอยู่บน การมองการศึกษาเป็นระบบเครื่องยนต์กลไก เหมือนการศึกษาเป็นกระบวนการอุตสาหกรรม ที่สามารถพัฒนาขึ้นได้ เพียงแค่มีข้อมูลที่ดีขึ้น และลึกๆ ในใจผู้วางนโยบายบางคน เขามีความคิดว่า ถ้าเราตั้งเครื่องให้ดี วางระบบให้ถูกต้อง มันจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบในอนาคต ไม่สำเร็จหรอกครับ ไม่เคยสำเร็จเลยด้วย ประเด็นสำคัญคือ การศึกษาไม่ใช่ระบบเครื่องยนต์กลไก
(15:00) มันเป็นระบบของมนุษย์ มันเป็นเรื่องของคน คนที่อยากเรียนรู้ หรือไม่อยากเรียนรู้ นักเรียนทุกคนที่ลาออกกลางคันย่อมมีเหตุผล ซึ่งมีต้นตอมาจากอะไรบางอย่างในชีวิตเขา เขาอาจรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ ไม่สำคัญ เขาอาจรู้สึกว่ามันขัดแย้ง กับการดำเนินชีวิตของเขานอกโรงเรียน ปัญหาพวกนี้อาจมีแนวคล้ายๆ กัน แต่เรื่องราวของแต่ละคนต่างมีลักษณะเฉพาะ ผมเพิ่งไปประชุมในลอสแองเจลิส กับกลุ่มที่เขาเรียกว่า หลักสูตรการศึกษาทางเลือก หลักสูตรเหล่านี้ออกแบบมา เพื่อดึงเด็กๆ กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา โดยมีลักษณะร่วมบางอย่าง เช่น ออกแบบให้เหมาะกับเด็กแต่ละคน
(15:38) ได้รับการสนับสนุนจากครู มีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับชุมชน และมีรายวิชาที่กว้างและหลากหลาย และหลักสูตรพวกนี้มักมีนักเรียนเข้าร่วม ทั้งจากนอกโรงเรียนและในโรงเรียน และมันก็ประสบความสำเร็จ สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมคือ เขาเรียกหลักสูตรพวกนี้ว่า "การศึกษาทางเลือก" คุณคิดดูสิ มีหลักฐานสนับสนุนจากทั่วโลกว่า ถ้าหลักสูตรทั้งหมดเป็นแบบนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องมีทางเลือก (เสียงปรบมือ) ผมเลยคิดว่า เราต้องใช้อุปมาที่แตกต่างออกไป เราต้องมองว่านี่เป็นระบบของมนุษย์ ซึ่งเติบโตงอกงามได้ดีภายใต้สภาวะบางอย่าง และไม่เติบโตงอกงามภายใต้สภาวะบางอย่าง
(16:26) เราทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตทางชีวภาพ และวัฒนธรรมของโรงเรียนนั้นสำคัญมากๆ วัฒนธรรมก็มีชีวิต ใช่ไหมครับ ไม่ไกลจากเมืองที่ผมอยู่ มีหุบเขาชื่อว่าเดทธ์ แวลลีย์ (Death Valley -- หุบเขาแห่งความตาย) เดทธ์ แวลลีย์เป็นที่ที่ร้อนที่สุด แห้งที่สุดในอเมริกา และไม่มีต้นไม้อะไรขิ้นเลย เพราะว่าฝนไม่ตก มันจึงได้ชื่อว่าเดทธ์ แวลลีย์ ในฤดูหนาวปี ค.ศ.
(17:00) 2004 เกิดมีฝนตกในเดทธ์ แวลลีย์ น้ำฝนปริมาณเจ็ดนิ้วตกลงมาภายในช่วงเวลาสั้นๆ แล้วในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 2005 ก็เกิดปรากฎการณ์ ที่พื้นของเดทธ์ แวลลีย์ทั้งหมดปกคลุมไปด้วยดอกไม้ อยู่สักพักหนึ่ง นี่เป็นการพิสูจน์ว่า เดทธ์ แวลลีย์ยังไม่ตาย มันแค่หลับใหลอยู่ ภายใต้พื้นผิวของมัน เต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์ของความเป็นไปได้ รอคอยสภาวะที่เหมาะสมเพื่อแทงยอดออกมา สำหรับระบบแบบชีวภาพแบบนี้ เมื่อใดที่สภาพแวดล้อมเหมาะสม ชีวิตย่อมถือกำเนิดขึ้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเสมอ ถ้าคุณมีพื้นที่ โรงเรียน หรือเขตการปกครอง คุณเปลี่ยนเงื่อนไข ทำให้คนรับรู้ถึงความเป็นไปได้ที่แตกต่าง
(17:43) ความคาดหวังที่แตกต่าง โอกาสที่เปิดกว้างขึ้น หากคุณทนุถนอมและให้คุณค่า แก่ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียน คุณให้คนมีอำนาจตัดสินใจเลือกที่จะสร้างสรรค์ และสร้างนวัตกรรมในงานที่เขาทำ โรงเรียนที่เคยไร้วิญญาณก็จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เข้าใจเรื่องนี้ บทบาทที่แท้จริงของผู้นำในวงการการศึกษา ทั้ง ผู้นำระดับประเทศ ระดับรัฐ หรือระดับโรงเรียน ไม่ใช่ และไม่ควรเป็นการสั่งการและควบคุม บทบาทที่แท้จริงของผู้นำ คือการควบคุมสภาพอากาศ สร้างบรรยากาศของความเป็นไปได้ และถ้าคุณทำเช่นนั้น ผู้คนก็จะเติบโตขึ้น และประสบความสำเร็จในสิ่งที่คุณไม่เคยคาดคิด
(18:22) และคาดไม่ถึงเลยทีเดียว มีคำพูดที่คมคายอันหนึ่งของเบนจามิน แฟรงคลิน "ในโลกนี้มีคนอยู่สามประเภท คนที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว คนที่ไม่เข้าใจ และไม่อยากทำความเข้าใจ พวกนี้คงไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร แล้วก็มีคนที่เปลี่ยนแปลงได้ คนที่เห็นความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะรับฟัง แล้วก็มีคนที่เป็นผู้เปลี่ยนแปลง คนที่ทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ถ้าเราสามารถสนับสนุน และโน้มน้าวคนได้มากขึ้น ก็จะมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น แล้วถ้าการเคลื่อนไหวนั้นเข้มแข็งมากพอ มันก็จะกลายเป็นการปฏิวัติ และนั่นคือสิ่งที่เราต้องการ ขอบคุณมากครับ
(18:58) (เสียงปรบมือ) ขอบคุณมากครับ (เสียงปรบมือ)
Grit: the power of passion and perseverance | Angela Lee Duckworth - YouTube
https://www.youtube.com/watch?v=H14bBuluwB8
Transcript:
(00:00) Translator: Piboon Awasda-ruharote Reviewer: Kelwalin Dhanasarnsombut ตอนที่ดิฉันอายุ 27 ดิฉันลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาการบริหาร ซึ่งเป็นงานหนักมาก เพื่อไปทำงานที่ยากยิ่งกว่า คือการสอนหนังสือ ดิฉันสอนคณิตศาสตร์ให้เด็กเกรดเจ็ด ที่โรงเรียนเทศบาลเมืองนิวยอร์ค ซึ่งเหมือนครูคนอื่น ดิฉันสร้างแบบทดสอบและข้อสอบ ให้การบ้านและมอบหมายงาน เมื่อเด็กส่งงานมาก็ตรวจให้เกรด สิ่งที่ดิฉันแปลกใจคือ ไอคิว ไม่ใช่สิ่งเดียวที่แตกต่างกัน ระหว่างเด็กเรียนดีที่สุดและอ่อนที่สุดของดิฉัน เด็กที่ผลการเรียนดีที่สุดบางคน ไม่ได้มีคะแนนไอคิวสูงเทียมเมฆ
(00:50) แล้วเด็กที่ฉลาดที่สุดบางคนก็ไม่ได้มีผลการเรียนดีนัก นั่นทำให้ดิฉันได้ฉุกคิด สิ่งที่เด็กต้องเรียนในชั้นคณิตศาสตร์เกรดเจ็ดนั้น แน่นอน มันยาก อัตราส่วน ทศนิยม พื้นที่ของสี่เหลี่ยมด้านขนาน แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าจะเป็นไปไม่ได้ และดิฉันก็มั่นใจมากทีเดียวว่าเด็กของดิฉันทุกคน สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ ถ้าพวกเขาพยายามให้หนักและนานพอ การสอนนี้ผ่านไปหลายปี ดิฉันเริ่มได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่เราต้องการในแวดวงการศึกษา คือความเข้าใจที่มากกว่านี้ ในตัวนักเรียนและระบบการเรียนรู้ ทั้งในแง่ของการสร้างแรงจูงใจ และในแง่ของจิตวิทยา ในด้านการศึกษา สิ่งหนึ่งเรารู้จักดีที่สุดในการวัด
(01:36) ก็คือไอคิว แต่ถ้าการจะไปได้สวยในโรงเรียนและในชีวิต กลับไปขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น ที่ไม่ใช่ความสามารถในการเรียนรู้ได้เร็วและง่ายล่ะคะ ดังนั้น ดิฉันจึงออกมาจากห้องเรียน เพื่อต่อปริญญาโทเป็นนักจิตวิทยา ดิฉันศึกษาเด็กๆ และผู้ใหญ่ ภายใต้โจทย์ที่สุดแสนท้าทายทุกประเภท และในทุกการศึกษาค้นคว้า ดิฉันจะมีคำถามคือ ใครประสบความสำเร็จและทำไม ดิฉันและทีมวิจัยไปที่วิทยาลัยทหารเวสท์พอยท์ เราพยายามที่จะพยากรณ์ว่านายร้อยคนใด จะยังอยู่ฝึกต่อและใครจะลาออก เราไปเยือนการแข่งขันสะกดคำแห่งชาติ พยายามพยากรณ์ว่าเด็กคนไหนจะไปได้ ไกลที่สุดในการแข่งขัน
(02:22) เราศึกษาคุณครูมือใหม่ ที่ต้องทำงานในละแวกที่ยากลำบาก ด้วยคำถามว่า ครูคนใดจะยังคงสอนอยู่ต่อไป เมื่อปีการศึกษาจบลง และในกลุ่มนั้น ใครจะมีประสิทธิภาพที่สุด ในการยกระดับผลการศึกษาของเด็กที่สอน เราร่วมมือกับบริษัทเอกชน ด้วยการถามว่า เซลส์คนใดจะยังรักษางานไว้ได้ และใครจะเป็นผู้ที่ทำรายได้สูงสุด จากบริบทที่แตกต่างกันทั้งหมดนี้ มีคุณสมบัติหนึ่งโดดเด่นขึ้นมา ที่จะช่วยพยากรณ์ความสำเร็จได้ชัดเจนมาก และมันไม่ใช่ความฉลาดในการเข้าสังคม ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่ดูดี ไม่ความแข็งแรงของสุขภาพ และมันไม่ใช่ไอคิว แต่คือ ความเพียร ความเพียร แปลว่าฝักใฝ่ใคร่รัก ทุ่มเท และบากบั่นฟันฝ่า เพื่อเป้าหมายระยะยาว
(03:07) ความเพียร คือความทรหดอดทน ความเพียรคือการมุ่งมั่นไปข้างหน้า วันแล้ว วันเล่า ไม่เพียงแค่สัปดาห์ ไม่เพียงแค่เดือน แต่เป็นปี และทำมันอย่างหนัก เพื่อให้อนาคตที่ฝันกลายเป็นจริง ความเพียร คือการใช้ชีวิตแบบวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่งระยะสั้น ไม่กี่ปีนี้เองที่ดิฉันเริ่มศึกษาความเพียร ในโรงเรียนเทศบาลชิคาโก ดิฉันขอให้เด็กจูเนียร์ไฮสคูลนับพันคน ทำแบบสอบถามความเพียร แล้วรอดูผลในอีกปีกว่าถัดมา เพื่อดูว่าใครจะเรียนจบ ผลคือเด็กที่มีความเพียรมากกว่า มีความเป็นไปได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่า ที่จะเรียนจบ แม้ตอนที่ดิฉันเปรียบเทียบกับลักษณะอื่นที่สามารถวัดได้
(03:51) เช่นรายได้ครอบครัว คะแนนทดสอบความสำเร็จที่เป็นมาตรฐาน แม้กระทั่งความรู้สึกของเด็กว่าปลอดภัยแค่ไหนเวลาไปโรงเรียน ฉะนั้นจึงไม่ใช่แค่ที่เวสท์พอยท์หรือการแข่งสะกดคำแห่งชาติ ที่ความเพียรเป็นปัจจัย โรงเรียนก็ด้วย โดยเฉพาะกับเด็กที่มีความเสี่ยงที่จะลาออก สิ่งที่น่าตกใจที่สุดสำหรับดิฉันเกี่ยวกับความเพียร คือเรารู้จักมันน้อยมาก วิทยาศาสตร์รู้จักวิธีสร้างเสริมมันน้อยมาก ทุก ๆ วันมีผู้ปกครองและครูมาถามดิฉัน "เราสร้างบ่มเพาะความเพียรในเด็ก ๆ ได้อย่างไร เราต้องสอนอะไรให้เด็กมีจรรยาบรรณในการทำงาน เราจะคงแรงจูงใจในระยะยาวให้เด็ก ๆ ได้อย่างไร"
(04:28) ตอบอย่างจริงใจนะคะ ดิฉันไม่ทราบ (หัวเราะ) แต่ที่รู้แน่ ๆ คือ พรสวรรค์ ไม่ช่วยให้มีความเพียร ข้อมูลของเราแสดงไว้อย่างชัดเจน ว่ามีผู้มีพรสวรรค์มากมาย ที่ไม่ทำภาระผูกพันของตนให้บรรลุผล ที่จริงข้อมูลของเราชี้ว่า ความเพียรนั้นไม่มีความเกี่ยวข้อง หรือเกี่ยวข้องอย่างสวนทางกับพรสวรรค์ด้วยซ้ำไป จนวันนี้ ไอเดียดีที่สุดที่ดิฉันเคยได้ยิน เกี่ยวกับการสร้างเสริมความเพียร คือสิ่งที่เรียกว่า ความเชื่อในการเติบโต เป็นไอเดียที่พัฒนาขึ้นที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โดย แครอล ดเว็ก (Carol Dweck) ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่า ความสามารถในการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ไม่ตายตัว
(05:08) และเปลี่ยนแปลงได้ด้วยความพยายามของคุณเอง ดร.ดเว็กได้แสดงว่าเมื่อเด็กอ่านและเรียนรู้ เกี่ยวกับสมองและ การเปลี่ยนแปลงและเติบโตของสมอง ในการตอบสนองกับสิ่งท้าทาย พวกเขามีความเป็นไปได้สูงที่จะบากบั่นต่อไปเมื่อพวกเขาล้มเหลว เพราะพวกเขา ไม่เชื่อว่า ความล้มเหลว เป็นสภาวะที่ถาวร ดังนั้น ความเชื่อในการเติบโต เป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยม ในการบ่มเพาะความเพียร แต่เราต้องการไอเดียมากกว่านี้ และดิฉันขอจบการพูดของตัวเองลงตรงนี้ เพราะนี่คือตำแหน่งที่เราอยู่ เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญและทำต่อไปในเบื้องหน้า เราจำเป็นต้องนำไอเดียที่ดีที่สุด ความคิดริเริ่มที่ชัดเจนที่สุด
(05:44) แล้วนำสิ่งเหล่านั้นมาทดสอบ เราต้องวัดผลว่าเราทำสำเร็จแล้วหรือยัง เราต้องเปิดใจที่จะล้มเหลว ผิดพลาด เพื่อจะได้เริ่มใหม่ ด้วยบทเรียนที่เรียนรู้มา ในอีกนัยหนึ่ง เราเองต้องฝ่าฟันด้วยความเพียร ในการสร้างให้เด็ก ๆ ของเรามีความพากเพียรยิ่งขั้น ขอบคุณค่ะ เสียงปรบมือ