ถ้าพูดถึงการนำเสนอที่ดีที่สุด หลายคนคงนึกถึงการนำเสนอในงาน TED Talk [1] งานประชุม TED ซึ่งย่อมาจาก Technology, Entertainment, และ Design มีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่แนวคิดที่สร้างแรงบันดาลใจในทั้ง 3 ด้านข้างต้น
โดยเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1984 ซึ่งได้จัดเป็นงานประชุมปีละครั้ง ครั้งละ 4 วัน โดยให้วิทยากรแต่ละคนนำเสนอด้วยการพูดในที่สาธารณะ (public speaking) คนละไม่เกิน 18 นาที
เมื่อเวลาผ่านไป งานประชุม TED นี้ก็มีแต่โด่งดังขึ้น และเมื่อถูกซื้อไปโดย Chris Anderson ซึ่งเป็นประธานผู้ดูแลงานประชุมตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา ชื่อเสียงของงานประชุม TED ก็ยิ่งทวีความยิ่งใหญ่ โดยมีชุมชนต่าง ๆ ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลกจัดงาน TEDx ซึ่งเป็นงานประชุมลักษณะเดียวกับ TED ที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจาก TED ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย ที่เพิ่งจัดงานประชุม TEDxBangkok ครั้งที่ 2 ไปเมื่อเดือน สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา[2]
หัวข้อการนำเสนอก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ Technology, Entertainment และ Design อีกต่อไป แต่ครอบคลุมหัวข้อใดๆ ที่สามารถกระตุกต่อมความคิดและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ฟังได้
ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเสียงของงานประชุม TED ก็แพร่ขยายไปทั่วทุกมุมโลกอย่างรวดเร็วผ่านการเผยแพร่การนำเสนอในเว็บไซต์ TED.com ซึ่งในปี 2015 เพียงปีเดียว ก็มีผู้ชมรวมทั้งสิ้นกว่าพันล้านครั้ง
TED Talk ทำให้ผู้ชมติดตราตรึงใจกับการนำเสนอความยาวไม่ถึง 18 นาทีได้อย่างไร มีหนังสือหลายเล่มพยายามจับประเด็นหัวใจหลักของการนำเสนอ TED นี้
อย่างไรก็ตาม หนังสือเกี่ยวกับ TED Talk ที่ติดอันดับ Top 10 Best Seller ด้าน Public Speaking ในเว็บไซต์ amazon.com มีเพียง 2 เล่ม นั่นก็คือ Talk Like TED [3] โดย Carmine Gallo นักนำเสนอมืออาชีพ ซึ่งออกมาตั้งแต่ปี 2014 และ TED Talks [4] โดย Chris Anderson ประธาน TED Talk ตัวจริง ที่เพิ่งออกมาเมื่อต้นปี 2016 นี้เอง
Carmine Gallo ถอดรหัสลับการนำเสนอ TED Talk โดยศึกษาจากคลิปการนำเสนอกว่า 500 คลิป มีเทคนิคอะไรบ้าง เรามาเริ่มกันเลยค่ะ
เคล็ดลับที่ 1 ปลดปล่อยผู้เชี่ยวชาญภายใน (Unleash the Master Within)
ความหลงใหลคือสิ่งที่จะนำคุณไปสู่ความสุข สู่ความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และสู่ความสำเร็จ
และแน่นอน นำไปสู่หัวข้อของการนำเสนอที่น่าประทับใจด้วย ดังนั้นคุณควรเลือกหัวข้อที่คุณหลงใหล
เพราะความหลงใหลติดต่อได้ และมันจะถูกส่งต่อจากผู้พูดไปยังผู้ฟังอย่างแน่นอน
เคล็ดลับที่ 2 เล่าเรื่องให้เชี่ยวชาญ (Master the Art of Storytelling)
การเล่าเรื่องส่วนตัว ทำให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ร่วมไปกับผู้พูด และการที่ผู้ฟังมีอารมณ์ร่วมจะทำให้ผู้ฟังสามารถจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีหรือจะเลือกเล่าเรื่องที่มีตัวเอกตกระกำลำบาก แต่ก็ต่อสู้ฝ่าฟันเอาชนะอุปสรรคมาได้ คนฟังชอบเรื่องเล่าเหล่านี้
และมักจะจำเรื่องเล่าได้ดีกว่า สถิติ ตัวเลข เหตุผล หรือแม้กระทั่งผู้พูดที่น่าเชื่อถือ
เคล็ดลับที่ 3 พูดแบบสนทนา (Have a Conversation)
เมื่อออกแบบการนำเสนอเรียบร้อยแล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องทำคือการซ้อมพูด ซ้อม...ซ้อม...ซ้อม...และซ้อม (เป็นร้อยรอบถ้าทำได้) จนกระทั่งการพูดออกมาจากใจอย่างอัตโนมัติ อาจซ้อมให้เพื่อนฟัง แล้วนำ feedback มาวิเคราะห์ปรับปรุงการพูด หรืออาจอัดคลิปการซ้อม แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยตนเอง
นอกจากนี้ ควรพูดให้ช้ากว่าการสนทนาปกติ เนื่องจาก พูดฟังอาจไม่ได้เห็นสีหน้าและปากของคุณเหมือนกับสนทนากันต่อหน้า ส่วนน้ำเสียง ให้ใช้น้ำเสียงเหมือนการสนทนาปกติ ใช้เสียงหนักเบาเน้นคำสำคัญ
และใช้ท่าทางสอดคล้องกับเรื่องที่พูด รวมถึงแสดงถึงความมั่นใจและกระตือรือล้น
เคล็ดลับที่ 4 สอนอะไรใหม่ ๆ ให้กับฉัน (Teach Me Something New)
มนุษย์มีความสงสัยใคร่รู้เป็นธรรมชาติ การได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะทำให้ผู้ฟังตื่นเต้น บางครั้งข้อมูลที่คุณนำเสนออาจไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่คุณอาจหาวิธีการนำเสนอใหม่ๆ ก็สามารถทำให้ผู้ฟังตื่นเต้นได้เช่นกัน เช่น การใช้ animation หรือ การใช้รูปที่แปลกตา นอกจากนี้ การออกไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ไปพบมุมมองใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอเป็นประโยชน์สำหรับผู้พูด หรือหากไม่มีเวลา การดูคลิปที่ TED.com ก็อาจจะช่วยคุณได้
เคล็ดลับที่ 5 ส่งมอบช่วงเวลาอ้าปากค้าง (Deliver Jaw-Dropping Moments)
สร้างช่วงเวลาที่น่าตกตะลึง น่าประทับใจ สะเทือนใจ หรือน่าประหลาดใจ จะทำให้ผู้ฟังจดจำคำพูดของคุณไปอีกนานแสนนานเพราะสมองจะสนองตอบต่ออารมณ์เป็นอย่างดี โดยคุณอาจใช้ อุปกรณ์ การสาธิต สถิติที่มีเรื่องเล่าประกอบ วลีติดหู รูปภาพ หรือ วิดีโอ แต่ควรหลีกเลี่ยงแนวคิดที่จับต้องไม่ได้ เพราะสมองผู้ฟังจะไม่สนองตอบต่อแนวคิดเชิงนามธรรม
ขอให้จำไว้ว่า “คนจะลืมสิ่งที่คุณพูด คนจะลืมสิ่งที่คุณทำ แต่คนจะไม่มีวันลืมว่า คุณทำให้พวกเขารู้สึกอย่างไร” (--มายา แองเจลู)
เคล็ดลับที่ 6 ผ่อนคลาย (Lighten up)
ใช้อารมณ์ขันอย่างสร้างสรรค์และเป็นธรรมชาติ เพราะ อารมณ์ขันสามารถสร้างอารมณ์ร่วมในกลุ่มผู้ฟัง และสร้างทัศคติที่ดี มุกตลกที่ดีต้องผ่านการฝึกฝนจึงจะทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ
คุณอาจใช้เรื่องเล่าในชีวิตประจำวันของคุณ วลีขำขันของคนอื่น หรือ รูป และวิดีโอจากอินเทอร์เน็ต
แต่อย่าใช้มุกตลกลามกหรือสกปรก เพราะมันจะทำลายภาพลักษณ์ของคุณ
เคล็ดลับที่ 7 ยึดกฎ 18 นาที (Stick to the 18-Minutes Rule)
งานวิจัยระบุว่า เวลา 18 นาทีเป็นเวลาที่ยาวพอสำหรับเรื่องที่จริงจัง และสั้นพอที่ผู้ฟังจะฟังได้โดยไม่หมดความสนใจไปเสียก่อน นอกจากนี้ ผู้พูดต้องเตรียมตัวมาอย่างดีในการนำเสนอความยาวเพียง 18 นาที จึงจะทำให้ผู้ฟังตระหนักถึงประเด็นที่ต้องการสื่อสาร
ดังนั้น ผู้พูดควรเตรียมตัวดังนี้
ตั้งชื่อหัวข้อการนำเสนอให้มีความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร เพราะทำให้จดจำได้ง่าย และ เผยแพร่ไปยัง Social Media ได้ง่ายอีกด้วย
กำหนดประเด็นย่อย 3 ประเด็นเท่านั้น เพราะสมองผู้ฟังจะสามารถจดจำได้ดีที่สุดเพียง 3 สิ่งเท่านั้น
เสริมประเด็นย่อย ด้วยเรื่องเล่า สถิติ และตัวอย่าง ที่ดึงอารมณ์ร่วมของผู้ฟังได้ดี
เคล็ดลับที่ 8 วาดภาพภายในใจด้วยประสบการณ์ที่ใช้สัมผัสอันหลากหลาย (Paint a Mental Picture with Multisensory Experiences)
หากผู้ฟังได้สัมผัส ทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ผู้ฟังจะสามารถจดจำสิ่งที่คุณพูดได้อย่างดี ซึ่งสัมผัสแต่ละด้าน
อาจหมายถึงสื่อหลายชนิดก็ได้ เช่น ได้เห็นทั้งรูป และภาพเคลื่อนไหว ได้อ่านข้อความ และได้ยินเสียงคุณพูด
หรืออาจใช้การบรรยายถึงกลิ่น และรส ที่สอดคล้องไปกับเรื่องราว
อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ Power Point ที่อัดแน่นไปด้วยตัวอักษรและ bullet points ที่แสนน่าเบื่อ
ซึ่งทำให้สมองของผู้ฟังทำงานหนักเกินไปจากการอ่านข้อความยาว ๆ
และฟังไปพร้อม ๆ กัน ทางที่ดี ควรแปลงจากข้อความให้เป็นภาพที่สามารถสื่อถึงสิ่งนั้นได้จะเหมาะกว่า
นอกจากนี้ การสาธิต หรือนำผู้ฟังไปสัมผัสกับประสบการณ์จริง ก็เป็นการดึงดูดผู้ฟังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
เคล็ดลับที่ 9 อยู่ในทางของคุณ (Stay in your Lane)
เป็นตัวของตัวเอง เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันแท้จริงกับผู้ฟัง อาจฝึกโดยซ้อมพูดกับเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัว
เพื่อดึงเอาความเป็นตัวคุณออกมาให้มากที่สุด อย่าเลียนแบบคนอื่น เพราะผู้ฟังสามารถรับรู้ได้ถึงความไม่จริงใจ
เป็นอย่างไรบ้างคะ กับเทคนิคพิชิตการนำเสนอสไตล์ TED talk ของ Carmine Gallo ในตอนที่ 1
หวังว่าคงสามารถนำไปปรับใช้กับการนำเสนอของทุกคนนะคะ
แล้วพบกัน กับ เทคนิคการนำเสนอสไตล์ TED Talk จาก Chris Anderson ประธาน TED Talk ตัวพ่อ ในตอนที่ 2 ค่ะ
ผู้เขียน
ผศ.ดร.เนื่องวงศ์ ทวยเจริญ
วิทยากร 9EXPERT TRAINING
อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
แนะนำหลักสูตร 9Expert Training
ที่มา
TED. เข้าถึงได้จาก: https://ted.com
TEDxBangkok. เข้าถึงได้จาก: https://www.tedxbangkok.net/
Gallo,Carmine (2014) Talk Like TED: The 9 Public-Speaking Secrets of The World’s Top Minds. St. Martin's Griffin.
Anderson, Chris (2016) TED Talks:The Official TED Guide to Public Speaking.Houghton Mifflin Harcourt.
https://www.9experttraining.com/articles/ted-talk-2
ในบทความตอนที่แล้ว เราได้กล่าวถึงการนำเสนอสไตล์ TED Talk [1] จากหนังสือขายดีของ Carmine Gallo [2]
ซึ่งถอดรหัสออกมาเป็น 9 เคล็ดลับด้วยกัน
ซึ่งเทคนิคเหล่านี้นำมาจากหนังสือ TED Talks [3] ที่เขียนโดย Chris Anderson เอง และเพิ่งออกมาเมื่อต้นปี 2016 ซึ่งจะมีกลเม็ดเด็ดพรายอะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ
Chris Anderson ได้เปรียบเทียบการนำเสนอในงาน TED Talk เหมือนกับคนโบราณที่ถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น
ผ่านการเล่าเรื่องรอบกองไฟ ตั้งแต่โบราณกาล ผู้คนจะล้อมวงกัน ฟังเรื่องเล่าที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยอารมณ์ร่วม
การแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ผ่านการบอกเล่าเรื่องในรูปแบบนี้ จนพัฒนามาสู่การพูดและการนำเสนอในที่สาธารณะ
ซึ่งหากฝึกฝนมาอย่างดี จะกลายเป็นการจุดประกายความคิดให้กับผู้ฟังทั้งห้องและเปลี่ยนทัศคติของผู้ฟังไปตลอดกาล
ในหนังสือเล่มนี้ ได้เจาะลึกถึงเทคนิครวมทั้งสิ้น 18 เทคนิค ที่กลั่นออกมาจากประสบการณ์ตรงของ Chris Anderson เอง
ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 หมวดหมู่ ดังนี้ค่ะ
Foundation เรื่องพื้นฐานก่อนการนำเสนอ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนเราจะรับปากนำเสนอ มีดังนี้
มาสร้างทักษะการนำเสนอกัน การนำเสนอสามารถเปลี่ยนชีวิตได้ เช่น
ชีวิตของ Chris Anderson ที่การนำเสนอ 15 นาที ทำให้เขาได้รับโอกาสเป็นประธาน TED
และ การนำเสนอเพียงสั้น ๆ ทำให้ Elon Musk ประธาน SpaceX ยังคงดำเนินงานบริษัทต่อไปได้ในวันที่จรวดของเขาระเบิดเป็นครั้งที่ 3
ถึงแม้ว่าทุกคนกลัวการนำเสนอ แต่การนำเสนอเพียงต้องการความเป็นตัวคุณ และการเตรียมตัวที่ดีเท่านั้นเอง
การหาไอเดีย การนำเสนอที่ดีต้องให้ไอเดียที่จะคงอยู่กับผู้ฟังไปตลอดชีวิต
ดังนั้น หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของผู้นำเสนอคือนำพาเอาสิ่งที่สำคัญอย่างลึกซึ้งต่อตนเอง ไปก่อร่างสร้างตัวยังหัวใจของผู้ฟังให้ได้
ใครก็ตามที่มีไอเดียที่ดีที่ “น่าแบ่งปัน” ก็จะสามารถนำเสนออย่างมีพลังได้
ลองถามตัวเองดูว่า อะไรคือหนึ่งไอเดียที่คุณอยากแบ่งปันให้คนอื่นได้รับรู้
แล้วนำมันมานำเสนอผ่านภาษาและคำพูดที่เตรียมไว้อย่างดี ประดุจการเดินทางที่สนุกสนาน
ระวังหลุมพราง! วิธีพูดบางอย่างอาจไม่เหมาะที่จะใช้ในการนำเสนอ เช่น
การพูดเพื่อขายอย่างตรงไปตรงมา จะเป็นการลดความน่าเชื่อถือของผู้พูด
การบ่นไปเรื่อยๆ เป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้พูดไม่ได้เตรียมตัวมาดีพอ
ส่วนการเล่าถึงทีมงานมากเกินไป อาจเป็นการใช้เวลาโดยไม่ได้ประโยชน์กับผู้ฟัง
และ การตั้งใจปลุกเร้าแรงบันดาลใจจนเกินพอดีก็อาจทำให้ฟังดูเชยได้
เส้นเชื่อมประเด็น (Throughline) คือ ธีมที่เชื่อมประเด็นที่ต้องการสื่อสารเข้าด้วยกันอย่างมีทิศทาง
อาจมีการยั่วความสนใจของผู้ฟังให้ สงสัย หรือประหลาดใจ
เราอาจเริ่มต้นจากการสร้าง throughline ด้วยคำ 15 คำที่สื่อถึงเนื้อหาสำคัญ
เช่น “ยิ่งมีทางเลือกมากก็ยิ่งไม่มีความสุข” , “ด้วยภาษากาย คุณสามารถแกล้งทำจนกลายเป็นเรื่องจริง” ,
“ธงเมืองแย่ๆ สามารถเผยให้เห็นถึงความลับของการออกแบบที่น่าประหลาดใจ” เป็นต้น
ซึ่ง throughline จะทำให้ผู้ฟังติดตามเรื่องราวได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ควรระวังการใส่หัวข้อมากเกินไป ควรถามตัวเองเสมอว่าสิ่งที่จะพูดสำคัญอย่างไรต่อผู้ฟัง แล้วใส่เรื่องราวของสิ่งนั้น
ส่วนโครงสร้างการนำเสนอทั่วไปจะประกอบด้วย การแนะนำหัวข้อ ความสำคัญของหัวข้อ แนวคิดหลัก การใช้งานจริง และสรุป
Talk Tools เครื่องมือที่นำไปสู่การสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟัง ซึ่งเราสามารถผสมผสานเครื่องมือเหล่านี้ตามความเหมาะสม เครื่องมือสร้างความประทับใจ ได้แก่
Connection คือ การสร้างสัมพันธ์ไปสู่ผู้ชม
ก่อนที่ผู้ชมจะรับฟังความคิดของเรา เราต้องทะลายกำแพงแห่งความลังเลสงสัยไปสู่ความไว้เนื้อเชื่อใจเสียก่อน
โดยการสร้างสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง เช่น การสบตาผู้ฟังพร้อมส่งรอยยิ้มเล็กน้อย การพูดถ่อมตัวอย่างจริงใจ
การสอดแทรกมุขตลก(ที่ไม่ส่อเสียดใคร) และการเล่าเรื่องราว
นอกจากนี้ เราควรหลีกเลี่ยงการพูดเรื่องการเมืองและศาสนา และการยกตนข่มผู้ฟัง
Narration การเล่าเรื่องราวเป็นการปรับสภาพจิตใจที่จะแบ่งปันและรับสาร
การเล่าเรื่องราวควรเน้นหลักการ 4 อย่าง ได้แก่
(1) มีตัวละครที่ผู้ฟังสามารถมีอารมณ์ร่วมได้ ซึ่งอาจเป็นตัวคุณเอง และเป็นเรื่องที่สำคัญกับคุณ
(2)สร้างความตึงเครียด เช่น ทำให้ผู้ฟังสงสัย หรือ ตัวละครหลักต้องเผชิญอันตราย
(3)ให้รายละเอียดที่มากพอ และ
(4)จบด้วยความพึงพอใจ เช่น ตลกขบขัน ประทับใจ หรือ เผยคำตอบที่น่าพอใจ
และอย่าลืมว่าเรื่องที่เล่าต้องเป็นไปตาม throughline ที่ตั้งไว้ และต้องเป็นเรื่องจริง
จึงจะทำให้ผู้ฟังค้นพบคุณค่าที่มีความหมายของเรื่องราวได้
Explanation ควรมีการอธิบายเรื่องที่เข้าใจยาก เมื่อคุณอธิบายเรื่องได้ดี ความตื่นเต้นของผู้ฟังก็จะตามมา
การอธิบายประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่
(1) ควรเริ่มจากความรู้พื้นฐานของผู้ฟัง
(2) จุดประกายความสงสัย
(3) อธิบายแนวคิดใหม่ทีละเรื่อง
(4) ใช้การเปรียบเทียบ
(5) ใช้ตัวอย่างประกอบ
นอกจากนี้ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์เทคนิคกับผู้ฟังที่มีพื้นฐานหลากหลาย
Persuasion การเชิญชวนเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนความคิดในระยะยาว
การเชิญชวนจะได้ผลมักเริ่มจากการเตรียมผู้ฟังด้วยการทำลายความเชื่อเดิม
แล้วให้เหตุผลเป็นขั้นเล็ก ๆ ที่ผู้ฟังสามารถสรุปได้เอง
อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวัง หากจะใช้วิธีทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม
โดยควรเน้นไปที่ประเด็น ไม่ใช่ตัวบุคคลหรือองค์กร
นอกจากนี้ อาจใช้วิธีที่ทำให้ผู้ฟังร่วมเป็นนักสืบไปกับคุณ
โดยการค่อย ๆ ตัดความเป็นไปได้ออกทีละประเด็น จนเหลือเพียงประเด็นที่คุณต้องการสื่อสารเพียงประเด็นเดียว
อย่างไรก็ตาม การใช้เหตุผลเพียงอย่างเดียวอาจไม่เชิญชวนผู้ฟังให้อยากฟังจนจบได้
อาจเพิ่มความน่าฟังด้วยอารมณ์ขัน เกร็ดความรู้ ตัวอย่างที่ชัดเจน การอ้างอิงสถาบันที่น่าเชื่อถือ หรือใช้สื่อชนิดอื่นร่วมด้วย
Revelation การเผยโฉมเป็นการทำให้ผู้ฟังประหลาดใจจนลืมหายใจ อาจใช้การแสดงภาพเรียงต่อกันอย่างน่าพิศวงและมีเป้าหมาย
การสาธิตผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยการแนะนำผลิตภัณฑ์เพียงเล็กน้อยก่อนการสาธิต
แต่ให้ผู้ชมได้เห็นความสามารถที่มหัศจรรย์ของผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง แล้วจึงกล่าวถึงการใช้งาน หรือการแสดงวิสัยทัศน์สำหรับอนาคต
การแสดงวิสัยทัศน์สามารถทำได้ผ่านรูปภาพ รูปสเก็ตช์ การสาธิต หรือผ่านเพียงการบรรยายเท่านั้น
การแสดงวิสัยทัศน์คือการแบ่งปันความฝันในอนาคตซึ่งมีหลักการเพียง 2 ข้อ คือ
(1) สร้างภาพอนาคตที่คุณต้องการอย่างชัดแจ้ง และ
(2) ทำให้ชัดเจนจนผู้ฟังฝันเห็นอนาคตเดียวกัน
หากเราสื่อสารวิสัยทัศน์ได้ดีจะทำให้เราสามารถส่งต่อความฝัน ไปสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้อื่นและทำให้มันเป็นความจริงได้
เพราะความฝันที่จะมีอนาคตที่สวยงาม ทำให้เราและผู้ฟังทำงานหนักขึ้นเพื่อทำให้มันเป็นจริง
Preparation Process รวมถึงการ การเตรียมสื่อประกอบ การเขียนบท การซ้อม การเปิดและปิดการนำเสนอ
Visuals รวมทั้งสื่อที่เป็น ภาพ ข้อความที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม กราฟ infographics แอนิเมชัน วิดีโอ เสียง และการ simulation ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถสร้างได้ด้วยซอฟต์แวร์สมัยใหม่อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม เราต้องถามตัวเองเสมอว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นหรือไม่
เนื่องจากการฉายสื่อเหล่านี้บนจอขณะที่เราพูด เป็นการดึงความสนใจผู้ชมออกจากผู้พูด
และการไม่มีสื่ออาจดีกว่าการมีสื่อแย่ ๆ อีกด้วย
การใช้สื่อต้องพิจารณาถึง 3 สิ่งนี้เป็นสำคัญ
(1) เปิดสื่อเพื่อแสดงบางสิ่งที่อธิบายด้วยคำพูดได้ยาก
(2) การอธิบายประกอบสื่อ โดยแสดง 1 ประเด็นต่อ 1 สไลด์ หากช่วงใดไม่ได้ใช้สื่อ ควรปิดสื่อไม่ให้รบกวนความสนใจ และ
(3) ความสวยงาม ซึ่งมีคำแนะนำในการใช้งานซอฟต์แวร์สร้างสื่อสไลด์ดังนี้
เลือกใช้สัดส่วนหน้าจอที่เหมาะสมกับโปรเจ็คเตอร์ เช่น 16:9 หรือ 4:3
อย่าใช้ template, bullet, dash ที่มากับซอฟต์แวร์
ขยายรูปให้เต็มหน้าจอ หรือใช้พื้นหลังสีดำ และใช้รูปที่มีความละเอียดสูงสุดที่เป็นไปได้
แนะนำให้ใช้ฟ้อนต์ Helvetica หรือ Arial (สำหรับภาษาอังกฤษ)
ใช้ขนาดฟ้อนต์ 24 หรือใหญ่กว่านั้น
ถ้าต้องวางตัวอักษรบนรูป หากวางแล้วอ่านยาก ให้ใส่สีเหลี่ยมสีดำรองตัวอักษรไว้
สีตัวอักษรและสีพื้นหลังควรตัดกันเช่น สีขาว/ดำ หรือ เหลือง/ดำ ควรใช้ตัวอักษรสีเดียวกันทุกสไลด์ ยกเว้นในกรณีที่ต้องการเน้นความสำคัญหรือสร้างความประหลาดใจ อย่าใช้ตัวอักษรสีอ่อนบนพื้นสีอ่อน หรือตัวอักษรสีเข้มบนพื้นสีเข้มเป็นอันขาด!
ให้ลองฉายตัวอักษรและสีพื้นที่เลือกบนจอที่จะนำเสนอ แล้วยืนห่างจากจอ 6-12 ฟุต ยังอ่านออกหรือไม่? ตัวอักษรแตกเป็นพิกเซลหรือไม่? ปรับให้เหมาะสม
อย่าใช้ bullet, dash, ตัวเอียง, ตัวขีดเส้นใต้ หรือใช้หลาย effect กับตัวอักษรบรรทัดเดียวกัน
แบ่งประเด็นให้ 1 สไลด์มีเพียงประเด็นเดียว
ใส่แหล่งที่มาแบบย่อให้กับสื่อที่นำมา และใช้ตัวอักษรไม่ใหญ่เกินไป เช่น ขนาดฟ้อนต์ 10 (ควรได้รับอนุญาตจากเจ้าของสื่อถ้าเป็นไปได้)
ถ้าต้องใส่รูปของทีมงาน ให้ใส่เพียงรูปเดียว เพราะไม่ได้มีความสำคัญใดๆ กับผู้ฟัง
คลิปวีดีโอไม่ควรยาวกว่า 30 วินาทีและไม่ควรมีมากกว่า 2-4 คลิป
ไม่ควรใส่ transition ระหว่างการเปลี่ยนสไลด์ ยกเว้นถ้าต้องการขึ้นเรื่องใหม่
ควรรวมไฟล์ด้วยการ zip เพื่อให้ไฟล์ทั้งหมดอยู่ที่เดียวกัน (และรวมไฟล์ฟ้อนต์ด้วย) และมอบให้ผู้จัดล่วงหน้า 1 ชุดและพกติดตัวใน Flash Drive 1 ชุด
ทดสอบเปิดไฟล์สไลด์ และไฟล์สื่อต่าง ๆ ก่อนการนำเสนอ
ตั้งชื่อไฟล์โดยใส่ version เข้าไปด้วย ได้แก่ ชื่อคนที่แก้ไขไฟล์ล่าสุด, หมายเลข version, ชื่อสถานที่นำเสนอ และชื่องานที่นำเสนอ
การเขียน SCRIPT ถึงแม้ว่า TED มักจะให้ผู้นำเสนอส่วนใหญ่เขียนสคริปต์ทุกคำและท่องจนกว่าจะจำได้อย่างดี
(เช่น ขับรถไปด้วยพูดสคริปต์ไปด้วยได้) แต่ Anderson ก็พบว่าวิธีนี้อาจไม่ได้ผลกับบางคน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใช้สคริปต์หรือไม่ ก็ต้องซ้อมจนกว่าการพูดของคุณจะออกมาอย่างจริงใจและเป็นธรรมชาติ
การซ้อม นักดนตรีต้องซ้อม นักแสดงต้องซ้อม และนักพูดก็เช่นกัน
มิฉะนั้นเราอาจต้องอับอายเพราะผู้ฟังต้องทนทุกข์ทรมาณฟังสิ่งที่เราพูดโดยไม่ได้ผ่านการเตรียมตัวมาอย่างดี
และมักจะพูดจนเลยเวลา เทคนิคในการซ้อม คือ เราอาจซ้อมกับเพื่อนสนิทที่ไม่รู้เรื่องที่เราจะพูดมาก่อน
เพื่อให้ได้ feedback ที่ตรงไปตรงมา ควรซ้อม 25 – 100 รอบ และให้การพูดแต่ละครั้งอยู่ภายใน 90% ของเวลา
(เช่นมีเวลาพูด 10 นาที ควรซ้อมให้ได้ 9 นาที)
การพูดเปิดและพูดปิด เราพูดเปิดเป็นการเร้าให้คนฟังอยากรู้เรื่องที่เราจะพูด และการพูดปิดเป็นการพูดเพื่อให้คนฟังจดจำประเด็นได้
ดังนั้น เราจึงควรเขียนสคริปต์และจดจำคำพูดเปิดและพูดปิดให้ได้เป็นอย่างดี คนฟังสนใจเราเมื่อขึ้นเวที
และหมดความสนใจทันทีหากเราไม่สามารถเร้าความสนใจได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นอย่าเริ่มด้วยการถามถึงดินฟ้าอากาศ ควรเริ่มด้วยคำถามที่น่าประหลาดใจ
เรื่องสั้นสุดดราม่า ภาพ/คลิปวิดีโอ/สิ่งของที่น่าตื่นเต้น หรือการเร้าความสนใจผู้ฟังโดยไม่เฉลย
เราอาจใช้เทคนิค 10-1 นั่นคือ เราต้องทำให้ผู้ฟังสนใจภายใน 10 วินาทีแรก และทำให้ผู้ฟังอยากฟังต่อจนจบภายใน 1 นาทีแรก
ส่วนการพูดปิดจะเน้นที่การทำให้ผู้ฟังจดจำประเด็นของเราได้ อาจใช้การสรุปให้เห็นภาพใหญ่
การพูดส่งเสริมให้ลงมือทำ การพูดให้เห็นถึงคุณค่าและวิสัยทัศน์
การสรุปให้ครบทุกประเด็น หรือ จบด้วยบทกวี ก็ได้
On Stage ทำอย่างไรเมื่ออยู่บนเวที เช่น เสื้อผ้าหน้าผม การเตรียมใจ ท่วงท่า ลีลา และน้ำเสียง และรูปแบบที่แปลกใหม่
เสื้อผ้า เลือกเสื้อผ้าที่ใส่แล้วมั่นใจและเหมาะกับโอกาส
อาจลองซ้อมพูดโดยใส่เสื้อผ้าที่เลือกไว้ก่อนเพื่อให้มั่นใจมากขึ้น ควรเลี่ยงการใส่ต่างหูหรือเครื่องประดับขนาดใหญ่
หากต้องใช้ไมโครโฟนไร้สายที่เหน็บไว้ที่เข็มขัด ควรเลือกใช้เข็มขัดที่แน่นหนามั่นคง เลือกเสื้อผ้าที่พอดีตัวและสีสดใสจะช่วยให้คุณโดดเด่นยิ่งขึ้น
เตรียมใจ ไม่ว่าจะเป็นนักพูดที่เชี่ยวชาญขนาดไหน ก็คงหลีกเลี่ยงความตื่นเต้นไปไม่พ้น Anderson ได้แนะนำเทคนิคสยบความตื่นเต้นดังนี้
ใช้ความกลัวเป็นแรงผลักดันให้ซ้อม...ซ้อม...และซ้อมจนมั่นใจ
ก่อนนำเสนอเล็กน้อย ให้ทำสมาธิด้วยการหายใจ หรือ ออกกำลังกาย ก็ได้ เพื่อลดอะดรีนาลีนในร่างกายลง
ดื่มน้ำ ประมาณ 1 ในสามของขวดก่อนขึ้นเวทีเล็กน้อย
อย่าให้ท้องว่าง ควรทานอาหารก่อนขึ้นเวที 1 ชั่วโมง
ระลึกว่าความตื่นเต้นทำให้คนดูเอาใจช่วยเราไปด้วย
มองหาเพื่อนในกลุ่มผู้ฟัง แล้วคิดเสียว่าพูดให้เพื่อนคนนั้นฟัง
มีแผนสำรองในกรณีที่สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
ให้นึกถึงประเด็นสำคัญที่ต้องการสื่อสาร หลีกเลี่ยงการนึกถึงตัวเอง
ลักษณะการจัดเวที บางเวทีมีโพเดียมให้ผู้พูดสามารถวางเอกสาร หรือ โน๊ตบุคได้ ซึ่งจะทำให้ผู้พูดสบายใจ แต่ผู้ฟังรู้สึกห่างเหิน
ดังนั้น TED จึงไม่ใช้โพเดียม เพื่อให้ผู้พูดสามารถเชื่อมต่อถึงใจของผู้ฟังได้ดียิ่งขึ้น
หากเวทีไม่มีโพเดียม เราอาจวางสคริปต์หรือขวดน้ำไว้หลังเวทีเผื่อในกรณีที่ต้องใช้
หากกลัวลืมสคริปต์ อาจใช้สไลด์ หรือกระดาษโน้ตเล็กๆ เป็นตัวช่วยไกด์สคริปต์ได้
แต่ไม่แนะนำให้ใช้แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน เนื่องจากต้องคอย scroll ขึ้นลง และ ระวังหน้าจอเปลี่ยนไปเป็นแอพอื่น
นอกจากนี้ Anderson ยังไม่แนะนำการใช้จอภาพบอกบท เนื่องจากจะทำให้ผู้พูดต้องคอยมองจอเพื่ออ่านบท ทำให้ไม่สามารถมองตาผู้ฟังอย่างเป็นธรรมชาติได้
น้ำเสียงและท่วงท่า การพูดให้อะไรได้มากกว่าการอ่าน การพูดสร้างความไว้วางใจระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง
สร้างความตื่นเต้น สร้างอารมณ์ร่วม และสร้างแรงบันดาลใจได้ดีกว่าการอ่าน น้ำเสียงที่ดีควรใช้น้ำเสียงแบบเพื่อนพูดกับเพื่อน
โดยมีอารมณ์ร่วมและเน้นไปที่คำที่ต้องการให้เพื่อนรับรู้ความหมาย ส่วนท่าทาง อาจใช้การยืน การเดิน หรือการนั่งก็ได้ตามแต่ที่คุณมั่นใจและเป็นตัวคุณเอง แต่ระวังการโยกไปมา หรือเขย่าขา ด้วยความตื่นเต้น
รูปแบบใหม่ ๆ ในการพูดแต่ละครั้ง มีเพียงเวลาเท่านั้นที่เป็นข้อจำกัดของคุณ คุณอาจใช้รูปแบบใหม่ๆ ช่วยให้การพูดของคุณน่าสนใจยิ่งขึ้น
ได้แก่ อุปกรณ์สุดดราม่า เช่นทำให้เกิดเสียงดัง หรือ ทำให้กลัว, จอภาพรอบทิศทาง,
ตัวกระตุ้นหลายสัมผัส เช่น กลิ่น รส เสียง ภาพสามมิติ เป็นต้น,
จัดรายการวิทยุสดๆ, สัมภาษณ์พร้อมภาพประกอบ, ใช้บทกวีร่วมกับแอนิเมชัน, มีเพลงซาวน์แทรค,
ใช้วิธีของศาสตราจารย์ Lessig (แสดงสไลด์ที่มีทุกคำที่พูด ให้ตรงจังหวะที่พูดเป๊ะ ๆ) ,
ใช้ผู้พูด 2 คนที่มีเคมีตรงกัน, ใช้รูปแบบโต้วาที, ใช้การพูดแบบรีบเร่งโดยใช้เวลากับแต่ละสไลด์เพียง10 วินาที,
ใช้รูปภาพโดยไม่ใช้คำพูด, ใช้แขกรับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์, ใช้ผู้พูดแบบเสมือนจริง เช่น 3D Hologram หรือ หุ่นยนต์สื่อสารระยะไกล,
และสุดท้าย ใช้การบันทึกวีดีโอการพูดแบบไม่มีคนฟัง ซึ่งสามารถตัดต่อใส่ effect เข้าไปได้ด้วย
สุดท้าย Anderson สรุปว่า ทักษะในการนำเสนอด้วยการพูด เป็นทักษะที่จำเป็นในปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า
เนื่องจากเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว สามารถทำงานพื้นฐานต่าง ๆ แทนมนุษย์ได้แล้ว ส่วนงานที่เทคโนโลยีทำไม่ได้
และต้องใช้มนุษย์จะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ การวางแผนกลยุทธ์ การใช้ความคิดสร้างสรรค์และการสร้างนวัตกรรม
รวมไปถึงการถ่ายทอดความรู้และแรงบันดาลใจจากมนุษย์สู่มนุษย์
ดังนั้น ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไปไกลเพียงใด แต่งานของมนุษย์และการถ่ายทอดแรงบันดาลใจก็ยังคงต้องมีอยู่ต่อไป
ที่มา
TED. เข้าถึงได้จาก: https://ted.com.
Gallo,Carmine (2014) Talk Like TED: The 9 Public-Speaking Secrets of The World’s Top Minds. St. Martin's Griffin.
Anderson, Chris (2016) TED Talks:The Official TED Guide to Public Speaking.Houghton Mifflin Harcourt.
บทความโดย
ผศ.ดร.เนื่องวงศ์ ทวยเจริญ
ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
วิทยาลัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์