TED ( Technology Entertainment and Design ) คือ งานประชุมสากล ที่จัดตั้งโดยองค์กรเอกชนไม่แสวงหาผลกำไร ที่เริ่มจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1984 และต่อมาอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1990 ภายใต้สโลแกน คำขวัญที่ว่า “ ความคิดที่ควรค่าแก่การเผยแพร่.” ( Ideas Worth Spreading ) โดยในช่วงแรกมีเพียงแค่การนำเสนอ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีและการออกแบบเพียงเท่านั้น แต่ว่าต่อมาได้มีการขยายประเด็น การนำเสนอความคิดต่างๆให้มีหัวข้อมากขึ้น ตั้งแต่ วิทยาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ จิตวิทยา วัฒนธรรม ศิลปศาสตร์ วิชาการต่างๆเพิ่มมากขึ้น รวมถึงทั้ง เรื่องราว ประสบการณ์ แรงบันดาลใจ เรื่องราวที่ควรค่าแก่การรับฟังต่างๆจากผู้พูดมากมายอีกด้วย
TED Talk คืออะไร ถ้าพูดง่ายๆ TED Talk ก็คือ เวทีการพูด เวทีทอล์ค ในหัวข้อต่างๆที่หลากหลาย จากผู้พูดที่เชี่ยวชาญ ที่นำ เรื่องราว ความคิดดีๆมาเผยแพร่ ภายใต้คำขวัญที่ว่า “ ความคิดที่ควรค่าแก่การเผยแพร่.” ( Ideas Worth Spreading ) ที่มีหัวข้อต่างๆมากมาย และเริ่มเผยแพร่ไปมากมายแทบทั่วทั้งมุมโลก ในหลากหลายหัวข้อ หลากหลายประเด็น ตั้งแต่ วิทยาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ จิตวิทยา วัฒนธรรม ศิลปศาสตร์ จริยศาสตร์ ศาสนศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมวิทยา การศึกษา รวมถึง การแบ่งปันเรื่องราว เล่าประสบการณ์ แรงบันดาลใจ มุมมองที่แตกต่าง ที่ควรค่าแก่การรับฟังอีกต่างๆมากมาย
สิ่งที่ทำให้ TED Talk เป็นเวทีการพูด เทวีทอล์ค ที่เป็นยอดนิยมในสากล หนึ่งในนั้นก็คือ การเลือกผู้พูด หรือเลือก Speaker ในแต่ล่ะหัวข้อ แต่ล่ะประเด็นนั้น มีการคัดเลือก คัดสรร ที่ดีแล้วดีอีก และไม่ใช่ใครก็ได้ เพราะผู้พูด Speaker ที่จะมาพูดในเวทีนี้นั้นต้องเป็นผู้ที่สามารถนำความคิด นำไอเดียที่สร้างสรรค์ ยอดเยี่ยมไปสู่การลงมือปฏิบัติจริงแล้วเห็นผลสำเร็จ ไม่ใช่เพียงแค่นั่งปั้นคำพูดสวยหรู มาพูดลอยๆ ไม่มีผลงานให้เห็น ทุกๆ เรื่องประเด็นใน TED Talk ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้พูดนั้น ได้ลงมือปฏิบัติมาแล้วจริงๆทุกๆคน มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และความคิดที่นำมาเผยแพร่นั้นสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงสำหรับทุกๆคน
อีกสิ่งหนึ่งทำให้ TED Talk เป็นที่ยอดนิยมในสากล นั้นก็คือ ในแต่ล่ะ การพูด ในแต่ล่ะ ทอล์ค นั้น จะมีการแปลคำบรรยาย เป็นภาษาต่างๆมากมายหลากหลายภาษา ภาษาไทยเองก็เป็นหนึ่งในนั้นอีกด้วย และการแปลคำบรรยายนี่มาจากเหล่าอาสาสมัครที่ร่วมช่วยเหลือกันในการแปล ทอล์ค แต่ละในทอล์คเป็นภาษาของตนเอง เพราะอย่างนี้จึงทำให้ทุกๆ ทอล์คมีการแปลคำบรรยายเป็นภาษาต่างๆเป็นอย่างมากมายและทำให้ทุกๆคนสามารถรับชม รับฟัง ความคิดที่คุ้มค่าแก่การเผยแพร่ ได้ทุกคน ไม่มีภาษามาเป็นอุปสรรคในการรับชม รับฟัง
สิ่งสุดท้ายที่ทำให้ TED Talk เป็นที่ยอดนิยมในสากล นั้นก็ คือ การจำกัดเวลาการพูดที่ไม่ยาวนานจนเกินไป กระชับ และเตรียมการมาอย่างดี โดยในแต่ล่ะ Talk นั้นจะมีความยาวไม่เกิน 30 นาที จะอยู่ที่ราวๆ 20 – 22 นาที หรือภายใน 10 นาทีเท่านั้นเอง เพราะอะไร? เพราะว่าในแต่ล่ะ ทอล์คนั้น TED Talk มีจุดประสงค์ ที่จะทำให้มีเป็นการพูดที่ทรงพลัง ตราตรึง และเข้าถึงผู้ฟังได้มากที่สุด นั้นเอง และแต่ล่ะ ทอล์ค ได้มีการวางแผน ตระเตรียมการนำเสนอมาได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่เพียงแค่ผู้พูดอยากจะพูด ก็ขึ้นไปพูดเลย เพราะต้องมีการพูดคุย เตรียมงานกับทางทีมงาน TED Talk ก่อน ว่าเรื่องที่จะพูดนั้น กระชับ โอเคแล้วหรือยัง นอกจากแค่จะคัดสรรผู้พูดอย่างดีแล้ว ทาง TED Talk ยังคัดสรร เรื่องราวที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกขั้นหนึ่งด้วย จึงทำให้ทุกๆ TED Talk ทุกๆการพูด เป็นที่ยอดนิยมเป็นอย่างมากในทุกๆประเด็น ซึ่ง 3 สิ่งเหล่านี่ก็เป็นเหตุผลหลักๆที่ทำให้ TED Talk เป็นทียอดนิยมเป็นอย่างมากในสากล แทบทั่วทั้งโลก.
TED เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่แนวความคิด ใหม่ๆ ผ่านรูปแบบของ TED Talk ที่มีความยาวไม่เกิน 18 นาที TED เริ่มต้นในปี 1984 ในรูปแบบของการสัมมนา ภายใต้หัวข้อเทคโนโลยี ความบันเทิง และการออกแบบ และมีการจัดงานอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันนี้ TED Talk ครอบคลุมหัวข้อในเกือบทุกศาสตร์ ตั้งแต่ด้านวิทยาศาสตร์ ธุรกิจ ไปจนถึงประเด็นน่าคิดรอบโลก โดยได้รับการแปลไปกว่า 100 ภาษาแล้ว
TED เป็นงานสัมมนาที่จัดขึ้นโดย TED Conferences LLC ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนงาน TEDx เป็นงานที่จัดขึ้นโดยอาสาสมัครในระดับท้องถิ่น ภายใต้ใบอนุญาตและแนวทางการจัดงานจาก TED Conferences LLC
ไม่ใช่ งาน TEDx ต่างๆ ในประเทศไทยล้วนแล้วถูกจัดขึ้นอย่างเป็นเอกเทศ โดยมีผู้ถือใบอนุญาตต่างท่าน และทีมงานแตกต่างกันออกไป
TEDx เป็นโครงการที่ถูกริเริ่มขึ้นเพื่อสานต่อเจตนารมย์ของ TED ที่เชื่อว่าความคิดดีๆ ควรถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง งาน TEDx จะถูกจัดขึ้นอย่างอิสระโดยอาสาสมัครในชุมชนหรือเมืองนั้น ๆ เพื่อให้ผู้คนในชุมชนได้มีโอกาสรับประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับงาน TED ให้มากที่สุด งานที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้ถูกจัดภายใต้ชื่อ TEDxBangkok โดย x หมายถึงงาน TED ที่ถูกจัดขึ้นอย่างอิสระ ในงาน TEDxBangkok จะมีทั้งการฉายวีดีโอ TEDTalks และการพูดโดยผู้พูดที่จะจุดชนวนให้เกิดความสัมพันธ์และการพูดคุยสนทนาที่ลึกซึ้ง งาน TEDx ทั้งหมดจัดขึ้นโดยคนในท้องที่ โดยมี TED Conferences
เป็นผู้กำหนดแนวทางในการจัดงานคุณสามารถค้นหางาน TEDx ทั้งหมดที่จัดขึ้นในประเทศไทยได้ที่ TEDx in Thailand
TEDxBangkok จัดขึ้นโดยทีมงานอาสาสมัครหลากหลายสาขาอาชีพ ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเผยแพร่ความคิดที่หลากหลายสู่สังคมไทย โดยเป็นกลุ่มอาสาสมัครคนละกลุ่มกับ TEDxBKK ที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2010 – 2012
Checklist นี้สร้างขึ้นจากมุมมองของผู้ฟัง เพื่อเตรียมความพร้อมให้ตัวคุณและเรื่องราวของคุณ มีความหมายต่อผู้ฟังมากยิ่งขึ้น
https://medium.com/skooldio/guide-to-delivering-a-good-talk-like-ted-f4212a9a0b7c
Is this a topic I’m passionate about? สิ่งที่คุณจะเล่าเป็นเรื่องที่คุณหลงใหลหรือเปล่า?
Does it inspire curiosity? สิ่งที่คุณจะเล่า กระตุ้นความอยากรู้ ความสงสัยของผู้ฟังหรือเปล่า?
Will it make a difference to the audience to have this knowledge? ผู้ฟังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นไหมเมื่อได้ฟังสิ่งที่คุณเล่า… หรือฟังแล้วก็ผ่านไป
Is the information fresh, or it is already out there? สิ่งที่คุณจะเล่าคือเรื่องสดใหม่ หรือว่าเป็นเรื่องที่มีให้เห็นอยู่แล้วทั่วไป?
Can I truly explain the topic in the 20-minute time slot allocated, complete with necessary examples? คุณสามารถเล่าเรื่องราวของคุณในกรอบเวลาที่กำหนดได้หรือไม่
Do I know enough about this to make a talk worth the audience’s time? คุณเข้าใจสิ่งที่จะเล่ามากพอที่จะทำให้ผู้ฟังไม่รู้สึกเสียเวลาหรือไม่?
Do I have the credibility to take on this topic? ต้องเป็นคุณเท่านั้นหรือไม่ที่จะเล่าในเรื่องนี้ได้?
Checklist ด้านบนจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะกระตุ้นความตั้งใจของผู้พูด ให้ลงรายละเอียดและเนรมิตเรื่องราวที่จะเล่าออกมาให้ได้ดีที่สุด เพื่อตอบคำถามเหล่านั้น
Andersen บอกว่าเป็นที่น่าเสียดายที่ตีความงานวิจัยคลาดเคลื่อน
ไปจากจุดมุ่งหมายเดิมของ Mehrabian
Mehrabian ตั้งใจจะสื่อถึงปัจจัยที่มาจาก “อารมณ์” ในการสื่อสาร
ว่าสามารถทำให้ตีความบิดเบือนถึงแม้จะเป็นคำพูดเดียวกัน
แต่กลายเป็นว่าเราเหมารวมกับทุก ๆ เรื่องในการสื่อสารว่าคำพูดไม่มีผล
จน Mehrabian เองเอือมระอาถึงขนาดมีข้อความตัวหนา
ใน Website ของเขาระบุเกี่ยวกับงานวิจัยนี้ว่าอย่าประยุกต์ใช้ผิด ๆ!
บทที่สนุกและใช้ภาษาแสบ ๆ คัน ๆ อีกบทหนึ่ง
คือเรื่องของกับดักของ 4 สไตล์ในการพูดที่ควรเลี่ยง
1. Sales pitch (พูดเพื่อขายของ)
ผู้พูด: “เรื่องนี้ต้องใช้เวลาเล่า 3 วันนะครับ
ไม่มีทางที่ผมจะพูดได้ภายใน 15 นาที
จุดประสงค์ของผมคือบอกให้คุณทราบว่ามันเวิร์คอย่างไร
แล้วที่เหลือคุณจะได้เกิดแรงบันดาลใจไปหาข้อมูลเพิ่มเติม“
มันอาจเป็นเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างคำว่า แบ่งปันความคิด
และ การขายของ ในมุมมองของแต่ละคน
หากสิ่งที่สำคัญคือ “การให้” ไม่ใช่ “การหาผลประโยชน์”
2. Ramble (พูดเรื่อยเปื่อย)
การพูดหลายเรื่องวกวนไปมา ไม่มีทิศทางชัดเจน
ไม่มีอะไรน่ารังเกียจ ไม่มีอะไรยากเกินเข้าใจ
แต่ก็ไม่มีความคิดที่ทรงพลัง ไม่มีความเกี่ยวเนื่อง
ไม่มี Wow moment และปราศจาก Takeaways
3. Org bore (โม้เรื่ององค์กรตัวเอง)
ประวัติศาสตร์อันยาวนาน คำสาธยายความสำเร็จของสินค้าเรา
เรื่องขององค์กรที่เราทำงานอยู่คงน่าสนใจ
แต่อาจจะน่าเบื่อที่มาเล่าวีรกรรมให้กับคนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องฟัง
4. Inspirational performance (การแสดงเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ)
Speaker หลายคนฝันถึงเสียงเชียร์เมื่อเขาลงจากเวที
ตามด้วยทวีตเต็มหน้าจอที่สรรเสริญถึงแรงบันดาลใจที่ได้รับ
นั่นอาจเป็นกับดักที่ทำให้ผู้พูดพยายามทุกวิถีทาง
ที่จะบงการความคิดและความรู้สึกของผู้ฟัง
เช่น ผู้พูดบางคนมีท่าทางดี ภาพและวิดีโอประกอบเด็ด
แต่…เขามักหยุดพูดบ่อยครั้ง
เพียงเพื่อรอเสียงปรบมือหรือเสียงหัวเราะจากคนฟัง
จากนั้นเขาจะกล่าวขอบคุณ
และเค้นเพื่อให้ได้เสียงปรบมือหรือเสียงหัวเราะมากขึ้นอีก
ซึ่งบางคนเริ่มไม่ขำด้วยแล้ว
ไป ๆ มา ๆ ก็เลยไม่ได้เข้าประเด็นที่เป็นหัวใจของหัวข้อที่พูด
นี่คือเปลือกที่ไร้ความหมายสำหรับการพูด Ted ที่ Andersen พยายามกำจัดทิ้ง
มีแต่รูปแบบ หากไร้ซึ่งแก่นสาร
พลังแห่งเรื่องเล่า (Narration)
4 ประเด็นที่ Andersen เน้นหนักหนาเมื่อเล่าเรื่อง ได้แก่
1. มีตัวละครที่ผู้ฟังเข้าถึง
2. มีปมในเรื่องให้คลี่คลาย เพื่อสร้างความอยากรู้อยากเห็น
3. มีรายละเอียดที่พอเหมาะ น้อยไปก็ไม่ชัด มากไปก็เวิ่นเว้อ
4. คลี่คลายตอนจบ แนวตลก ซาบซึ้ง หรือกระจ่าง
หนึ่งในสาเหตุที่ใบสมัคร TED ถูกปฏิเสธคือมีบทนำเสนอที่ดูน่าประทับใจ
แต่ไม่สามารถรวมความคิดแกนกลางที่ต้องการสื่อได้
การอธิบายเรื่องยาก ๆ (Explanation)
ลองจินตนาการถึงนักจิตวิทยาแห่งฮาร์วาร์ด
มาที่ TED เพื่อแบ่งปันแนวคิดอันซับซ้อนที่เรียกว่า
“Synthesized Happiness” (ความสุขสังเคราะห์) ในเวลา 21 นาที
โอ้แม่เจ้า!
Andersen สกัดเคล็ดลับการเล่าเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายมาแล้ว
1. เริ่มจากจุดที่เรายืนอยู่ในปัจจุบัน
2. แล้วจุดประกายด้วยคำพูดหรือคำถามที่ชวนสนใจใครรู้ (Curiosity)
3. แนะนำแนวคิดเพิ่มทีละเรื่อง
4. ใช้อุปมาอุปมัยเปรียบเทียบ
5. ใช้ตัวอย่าง
เช่น ผู้พูดอาจจะอธิบาย Experience simulator ในสมองโดยเกริ่นว่า
“Ben & Jerry ไม่มีไอศครีมรสตับและหัวหอม
ไม่ใช่เพราะลองทำแล้วแหวะหรอกครับ
แต่เพราะความสามารถของสมองมนุษย์เรา
สามารถจินตนาการความแหวะโดยไม่ต้องลงมือทำด้วยซ้ำ“
การโน้มน้าวใจ (Persuasion)
ในเวอร์ชั่นของ Andersen การโน้มน้าวใจหมายถึง
การทำให้ผู้ฟังยอมรับว่าแนวทางที่เขามองโลกนั้นไม่ถูกต้อง
พร้อมทั้งนำเสนอแนวคิดที่ดีกว่าเพื่อแทนที่
เทคนิคที่น่าสนใจในหนังสือ
นั่นคือ Priming (การเหนี่ยวนำ)
เป็นการนำอุปมาอุปมัยหรือเครื่องมือทางภาษา
มาทำให้ข้อสรุปดูมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
เครื่องมือดังกล่าวได้แก่
1. แทรกอารมณ์ขัน
2. เติมเรื่องเล่า
3. ยกตัวอย่างที่ชัดเจน
4. มีคำรับรองจากบุคคลที่สาม เช่น งานวิจัย
5. ภาพที่ทรงพลัง เช่น ใช้กราฟหรือแผนภูมิ
ทีนี้เมื่อคนฟังพร้อมคล้อยตาม เราก็อัดฉีดเหตุผล (Reason) ได้เลย
การเขียนบท (Scripting)
จะต้องท่องจำไหมกับบทพูด?
มี 2 ทางเลือกค่ะ
1. เขียนสคริปต์อย่างละเอียด (Scripted talks)
2. มีโครงสร้างการพูดที่ชัดเจนแล้วพูดสดไปทีละประเด็น (Unscripted talks)
ถ้าเป็นแบบมีสคริปต์ มีกลยุทธ์การใช้ 3 อย่าง
1.1 ท่องจำจนขึ้นใจ จนฟังดูเหมือนไม่มีบท
1.2 เหลือบดูบทบ้าง
สังเกตว่า Andersen ใช้คำว่า “เหลือบ” ไม่ใช่ “อ่าน” บท
1.3 สรุปให้เหลือหัวข้อย่อย แล้วพูดแต่ละประเด็นแบบสด
ถ้าจะใช้เป็นแบบไม่มีสคริปต์ขอให้เราแยกแยะให้ขาด
ระหว่าง “การไม่มีบท” กับการ “ไม่เตรียมตัว”
การเริ่มต้นและลงท้าย (Open and close)
หนึ่งนาทีแรกสำคัญมากสำหรับการเริ่มต้นการพูด
อย่าปล่อยให้เสียเปล่าด้วย Small talk สัพเพเหระ
เช่น เป็นเกียรติที่ได้มายืน ขอบคุณภรรยาผู้จัดงาน
4 วิธีเริ่มต้นอย่างมีพลัง
1. หยอดเรื่องเร้าอารมณ์ (Drama)
เช่น “น่าเศร้านะครับที่ในอีก 18 นาทีข้างหน้า
จะมีคนอเมริกัน 4 คนเสียชีวิตจากอาหารที่เขากิน“
2. จุดประกายความอยากรู้ (Curiosity)
หนทางที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือการตั้งคำถาม
แต่ไม่ใช่คำถามธรรมดา ควรเป็นคำถามที่ทำให้ประหลาดใจ
ตัวอย่าง
“เราจะสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้มนุษย์ได้อย่างไร“
Andersen บอกว่าอย่าถามแบบนี้ มันกว้างเกิน เฝือ และเขาเบื่อแล้ว
“อะไรทำให้เด็กหญิงอายุ 14 ที่มีเงินในบัญชีน้อยกว่า $200
สามารถมอบหนทางที่ก้าวกระโดดให้กับคนในหมู่บ้านของเธอได้“
อือม์ ฟังอย่างนี้ชักอยากรู้ขึ้นมาแล้วสิ
3. โชว์ภาพ วิดีโอ หรือวัตถุที่เร้าใจ (Compelling)
เช่น “ภาพที่คุณกำลังจะได้เห็นเปลี่ยนชีวิตผม“
4. ยั่วเย้า เปลือยแต่ไม่โป๊ (Tease, but don’t give it away)
ระวังอย่าเผยหมดทุกอย่างตั้งแต่ย่อหน้าแรกที่เปิดตัว
วิธีลงท้ายอย่างมีพลัง
ข้อควรระวังในการพูดจบ
“เอาหล่ะเวลาหมดแล้ว ขอสรุปจบเลยละกัน”
(แปลว่ามีอะไรพูดแยะ แต่ไม่ได้พูดเพราะวางแผนไม่ดีงั้นสิ)
“ขอปิดท้ายด้วยวิดีโอนี้” (ปิดด้วยคำพูดของคุณเถอะ ได้โปรด)
“ขอโทษที่อาจไม่มีเวลาพูดประเด็นที่สำคัญ
แต่ที่พูดไปคงพอทำให้เห็นภาพ”
(ไม่ต้องขอโทษ วางแผนการพูดให้รอบคอบสิครับ)
“ขอบคุณวันเวลาดี ๆ ที่เราได้ใช้ร่วมกัน บลา ๆ ๆ”
(ขอบคุณเฉย ๆ ก็น่าจะพอนะ)
เราสามารถใช้วิธีลงท้ายอย่างมีพลัง เช่น
1. ถอยกล้องออกมามองภาพกว้าง (Camera pull-back)
2. เชิญชวนให้ลงมือทำ (Call to action)
3. ประกาศปณิธานของตนเอง แชร์วิสัยทัศน์หรือค่านิยม
4. ใช้บทกวี
พวกเราล่ะคะ ชอบเคล็ดลับไหนในหนังสือเล่มนี้บ้าง
ที่สำคัญที่ Andersen ย้ำบ่อย ๆ ในหนังสือคือ
เราต้องเชื่อว่า ไอเดียเราควรค่าแก่การแบ่งปัน
“Ideas Worth Spreading“
++++++++++++++++++++++++++++++++
Photos Credit:
http://media.the-ceo-magazine.com/leslieungar/one-simple-reason-ceo%E2%80%99s-give-boring-speeches
https://heathermonahan.com/speak-from-a-script-borrow-a-story/
https://pixabay.com/illustrations/storytelling-story-telling-tale-4203628/
https://www.khanacademy.org/science/health-and-medicine/mental-health/drug-abuse-and-drug-addictions/v/reward-pathway-in-the-brain
https://dorset-humanists1.blogspot.com/2018/10/influence-persuasion-how-to-get-other.html