สรุปเทคนิคการพูดในที่สาธารณะ
จากหนังสือ TEDTALKS The Official TED
Guide to Public Speaking
1. รากฐาน
บทแรกนี้ยังไม่มีอะไรมาก แค่หนังสือพยายามจะบอกว่า ทุกคนมีความหวั่นกลัวต่อการพูดในที่สาธารณะ ซึ่งอาการหวั่นวิตกอาจทำให้ดึงดูดผู้คนมากขึ้น ไม่ต้องกังวลไป เพียงแค่เป็นตัวของคุณเอง เพราะทักษะการเล่าเรื่องมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว
2. การก่อร่างความคิด
การพูดในที่สาธารณะไม่ใช่ความมั่นใจ ดูดีบนเวที หรือวิธีพูดที่ลื่นไหล เพียงแต่ต้องมีสิ่งที่ควรค่าจะพูด ไม่ต้องเป็นการค้นพบอะไรที่ยิ่งใหญ่แต่อาจเป็นวิธีง่ายๆ ซึ่งความคิดคืออะไรก็ได้ที่สามารถเปลี่ยนวิธีมองโลกของผู้คน ถ้าใส่ความคิดที่มีพลังโน้มน้าวลงไปในจิตใจผู้คนสำเร็จ นั่นแปลว่าคุณได้ทำสิ่งมหัศจรรย์บางอย่าง โดยต้องคิดว่าประสบการณ์บางอย่างมันมีความพิเศษเฉพาะตัวคุณเอง
3.สไตล์การพูดที่ควรหลีกเลี่ยง
3.1 พูดเพื่อขายของ หลักการสำคัญคือจงจำไว้ว่างานของผู้พูดคือ ให้บางสิ่งแก่ผู้ฟังไม่ใช่ขอจากพวกเขา
3.2 พูดเรื่อยเปื่อย
3.3 โม้เรื่ององค์กรตัวเอง
ฟังดูง่าย แต่แท้จริงทำยาก เพราะงานที่พูดถึงย่อมเกี่ยวพันกับองค์กร ลองเปรียบเทียบสองประโยคอย่าง “ในปี 2005 เราตั้งแผนกใหม่ ในอาคารสำนักงานดัลลัส โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาว่าเราจะลดต้นทุนค่าพลังงานอย่างไร ผมจึงมอบหมายให้ แฮงค์ บอร์แฮม รองประธานบริษัทจัดการงานนี้...” กับประโยค “เมื่อปี 2005 เราค้นพบบางอย่างที่น่าประหลาดใจ นั่นคือความเป็นไปได้ที่ว่า โดยเฉลี่ยแล้วสำนักงานต่างๆสามารถลดต้นทุนค่าพลังงานลงได้ถึงร้อยละ 60 โดยไม่เห็นว่าประสิทธิภาพการผลิตจะลดลงเลย ผมขอเล่าให้ฟังถึงวิธี...”
3.4 การแสดงเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
ผู้พูดในที่สาธารณะหลายคนอยากให้ผู้ชมส่งเสียงเชียร์และทวีตเต็มหน้าจอ นั่นคือกับดัก เคยมีคนหนึ่งทำการบ้านมาดีมาก เมื่อขึ้นเวทีเหมือนทุกอย่างจะดีครบหมด แต่กลับกลายเป็นว่า สาระสำคัญของเรื่องกลับหายไป นั่นแหละหากใช้ทางลัด กลับลืมพื้นฐานสำคัญ ไม่นานครั้งต่อๆไปผู้ฟังก็จะจับได้และไม่ฟังคุณอีกต่อไป
4.แก่นเรื่อง
เป็นแนวคิดหลักที่เชื่อมโยงกันและขมวดองค์ประกอบแต่ละชิ้นของเรื่องเล่าเข้าด้วยกัน
ลองเปรียบเทียบสองประโยคต่อไปนี้
“ผมอยากเล่าให้คุณฟังถึงประสบการณ์บางอย่างที่ผมได้สัมผัสระหว่างเดินทางไปเมืองเคปทาวน์เมื่อไม่นานมานี้ จากนั้นผมจะพูดถึงข้อสังเกตสองสามอย่างเกี่ยวกับชีวิตบนเส้นทางดังกล่าว”
กับ
“ระหว่างการเดินทางไปเคปทาวน์ครั้งล่าสุดของผม ผมเรียนรู้อะไรใหม่ๆเกี่ยวกับคนแปลกหน้า เมื่อใดที่คุณไว้วางใจคนแปลกหน้าได้ และเมื่อใดที่ไม่ควรไว้ใจ ผมจะเล่าประสบการณ์สองเรื่องที่แตกต่างกันสุดๆให้คุณฟัง”
เห็นความแตกต่างหรือไม่ครับ
ซึ่งแก่นเรื่อง ควรนำเสนอเพียงเรื่องเดียวให้ครบถ้วนสมบูรณ์ในเวลาที่จำกัด โดยแก่นเรื่องนั้นไม่ใช่อย่างเดียวกับหัวข้อเช่นหัวข้ออาจจะเป็นการผจญภัยในคาซัคสถานด้วยเรือคายัค แต่แก่นของเรื่องคือความอดทน
และในเวลาอันจำกัดไม่ควรใส่ทุกอย่างที่พูดมา แล้วตัดให้สั้นลงตามเวลา แต่ใช้เฉพาะเรื่องที่มีแก่นเรื่องเชื่อมโยงกัน
ซึ่ง เซอร์เคน โรบินสัน แนะนำให้ ใช้โครงสร้างง่ายๆในการเล่าเรื่องคือ
1. บทนำ
2. บริบท(ทำไมประเด็นนี้จึงสำคัญ
3.แนวความคิดหลัก
4.แนวทางการประยุกต์ใช้
5.บทสรุป
5.สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิด
คุณต้องเผยความเป็นมนุษย์ที่ซ่อนในตัวคุณออกมา เป็นการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ หากไม่สร้างสัมพันธ์ ก็ไม่เป็นเพียงที่จะโน้มน้าวใจได้
5.1 สบตาตั้งแต่เริ่มต้น
อาจใช้วิธีเรียบง่าย เช่น เดินขึ้นเวทีด้วยความมั่นใจ กวาดสายตาไปทั่ว สบตาผู้ฟังสองสามคนแล้วยิ้ม นักวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่า แค่คนสองคนนั่งจ้องกันและกันก็กระตุ้นให้เซลล์สมองกระจกเงาทำงาน และทำให้ต่างคนต่างเกิดสภาวะอารมณ์ตามอีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าผมยิ้มแย้มแจ่มใส ผมก็จะทำให้คุณยิ้มอยู่ข้างใน
5.2 เผยความเปราะบางของคุณออกมา
เช่น หากรู้สึกประหม่า ก็ใช้เป็นประโยชน์เลย บอกผู้ชมว่าคุณประหม่านิดหน่อย คุณจะได้รับการเอาใจช่วยให้คุณทำสำเร็จ
5.3 เล่าเรื่อง เรื่องเล่า
เรื่องเล่า เป็นวิธีเปิดเรื่องที่ยอดเยี่ยม แอร์เนสโต ซีโรลลี อยากกล่าวปาฐกถาเกี่ยวกับแนวทางที่ดีกว่าเพื่อช่วพัฒนาประเทศแถบแอฟริกา เขาเริ่มต้นแบบนี้
โครงการแรกของเรา คือโครงการที่ชาวอิตาลีตัดสินใจว่าจะสอนชาวแซมเบียให้ปลูกพืชอาหาร เราประหลาดใจว่าทำไมชาวบ้านในหุบเขาที่อุดมสมบูรณ์ ทุกอย่างในแอฟริกาเติบโตอย่างสวยงาม เรามีมะเขือเทศที่แสนอวบอิ่ม เราเฝ้าบอกชาวแซมเบียว่า “ดูสิว่าเกษตรกรรมนั้นง่ายขนาดไหน ” เมื่อมะเขือเทศสุกแดงสด ฮิปโปสองร้อยกว่าตัวก็ขึ้นจากแม่น้ำและกินทุกอย่าง เราพูดว่า “โอ้ พระเจ้า ฝูงฮิปโป! ” และชาวแซมเบียก็ตอบว่า “ใช่ นั่นแหละ เหตุผลว่าทำไมเราไม่ทำเกษตรกรรมกันที่นี่”
เมื่อสามารถดึงเอาอารมณ์ขัน การล้อเลียนตนเอง และความเข้าใจอันลึกซึ้งมารวมไว้ในเรื่องเดียว คำกล่าวเปิดเรื่องของคุณก็จะชนะในคน
6.เรื่องเล่า
เรื่องเล่ามีบทบาทสำคัญมากที่จะช่วยขยายความสามารถในการจินตนาการ ฝัน และเข้าใจจิตใจผู้อื่น เราไม่เพียงชอบฟังเรื่องเล่า แต่เรื่องเล่าอาจช่วยกำหนดวิธีจิตใจของเราแบ่งปันและรับข้อมูลด้วย
สูตรคลาสสิคองค์ประกอบของเรื่องเล่าที่ยอดเยี่ยม คือ ตัวละครเอกมีเป้าหมายบางอย่าง แต่ต้องเผชิญอุปสรรค พยายามเอาชนะอุปสรรค นำไปสู่ไคลแมกซ์และบทสรุป
เวลาแบ่งปันเรื่องเล่าขอให้เน้น 4 อย่างนี้
1. เป็นเรื่องของตัวละครที่ผู้ฟังมีอารมณ์ร่วม
2. สร้างความตึงเครียด
3. ให้รายละเอียดพอเหมาะ
4. คลี่คลายเรื่องให้น่าพึงพอใจ ไม่ว่าจะตลก กินใจ หรือเผยความจริง
ซึ่งการใช้รูปแบบเรื่องเล่านั้นมีประโยชน์ คือ
1. มีแก่นเรื่องชัดเจน
2. ถ้าเรื่องเล่าน่าสนใจ ผู้ฟังจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างเข้มข้น
3. ถ้าเรื่องราวนั้นเกี่ยวกับคุณ คนอื่นจะเข้าอกเข้าใจคุณว่าอะไรที่คุณให้ความสำคัญที่สุด
4. คุณจำสิ่งที่จะพูดได้ง่าย เพราะโครงสร้างเป็นเส้นตรง สมองของคุณจึงระลึกเหตุการณ์หนึ่งต่อด้วยอีกเหตุการณ์ได้อย่างสบาย
นี่เป็นเพียงเทคนิคคร่าวๆ ที่นำมาฝาก เพียงไม่ถึง 10% ของหนังสือเล่มนี้ด้วยซ้ำ หากใครสนใจ ลองไปซื้ออ่านกันนะครับ มีประโยชน์มากจริงๆ