1)การแก้ รธน 50 เพื่อการยึดครองประเทศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
2)การออก รธน ฉบับปราบโกงปี 60 ของ คสช
3)การเสนอ รธน ฉบับ i-Law ที่จอร์จ โซรอส อุดหนุน เงิน
4)การเสนอ รธน ฉบับของไอติม+ปิยะบุตร เพื่อการทำเผด๋จการรัฐสภาโดย สส
1)การแก้ รธน 50 เพื่อการยึดครองประเทศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
2)การออก รธน ฉบับปราบโกงปี 60 ของ คสช
3)การเสนอ รธน ฉบับ i-Law ที่จอร์จ โซรอส อุดหนุน เงิน
4)การเสนอ รธน ฉบับของไอติม+ปิยะบุตร เพื่อการทำเผด๋จการรัฐสภาโดย สส
การแก้ รธน เพื่อการยึดครองประเทศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ...หวังผลาญไทยให้สิ้นชาติ
-แก้ไข รธน มาตรา ที่มาของ สว โดยยกเลิก สว สรรหา ให้เหลือแต่ สว เลือกตั้ง เพื่อให้ทำสภาผัวเมีย เอื้อประโยชน์แก่กันได้ ระหว่าง สส และ สว
การแก้ไขที่มาของวุฒิสภาให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้ระบอบทักษิณสถาปนา “สภาทาส” หรือ “สภาผัวเมีย”เหมือนในอดีตเพื่อยึดครองวุฒิสภาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้งนี้วุฒิสภามีอำนาจสำคัญในการถอดถอนนักการเมืองและแต่งตั้งตัวแทนในองค์กรอิสระต่างๆ อาทิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากระบอบทักษิณยึดวุฒิสภาได้สำเร็จเท่ากับผูกขาดอำนาจอยู่ในกำมือจนไร้ระบบตรวจสอบถ่วงดุลอีกต่อไปอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนั้น ยิ่งลักษณ์ ยังปลอมร่าง รธน เพื่อหลอกในหลวง เรื่องการล้ม สว.สรรหา
-แก้ มาตรา 68 ให้ยกเลิก การร้องเรียนผ่านศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้ร้องเรียนผ่าน อัยการสูงสุดเท่านั้น...ทั้งนี้เพราะจุดอ่อนของกระบวนการยุติธรรมไทย อยู่ที่ ตำรวจและอัยการสูงสุด เช่นตำรวจทำสำนวนให้อ่อน มีจุดโหว่มากๆ และอัยการสูงสุด ใช้ดุลยพินิจในการตัดสิน...ทักษิณ จึงซื้ออัยการสูงสุด และตำรวจ ไว้เป็นพวก และพยายาม กำจัดศาล รัฐธรรมนูญ ที่ต้องมีกระบวนการและหลักฐาน ให้เป็นไปตามกฏหมาย
ลดอำนาจศาล รธน (โดยให้ กระบวนการตำรวจและอัยการสูงสุด มามีอำนาจเหนือ เพราะทักษิณ มีอัยการสูงสุดหลายคนเป็นพวก จึงมักมี ดุลยพินิจของอัยการสูงสุด ที่พิลึก และเป็นคุณต่อทักษิณและพวก มาโดยตลอด )
ทั้งนี้ ในการยุติคดี หรือ เบี่ยงเบนคำตัดสินใดๆ ... สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ การร่วมมือระหว่าง อัยการสูงสุด กับตำรวจชั่ว ...โดยตำรวจทำสำนวนฟ้องให้อ่อน มีจุดอ่อนเยอะๆ ...อัยการสูงสุดแค่ใช้ดุลยพินิจตัดสิน ตามสำนวนแค่นั้น
ในยุคทักษิณญิ่งลักษณื มีการใช้เงินซื้อคำตัดสิน จากผู้พพากษาบางคน อัยการบางคน ตำรวจชั่วและ DSI ชั่่ว มาเป็นพวก
-รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แก้ รธน 190 เพื่อให้ระบอบทักษิณ สามารถทำข้อตกลงกับประเทศต่างๆ ได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
การแก้ไขมาตรา 190 เพื่อเปิดทางให้ระบอบทักษิณสามารถทำข้อตกลงกับประเทศต่างๆ โดยนำทรัพยากรของประเทศแลกกับผลประโยชน์ทับซ้อนที่ตัวเองจะได้รับ
-ยกเลิก มาตรา 237 ที่ให้การยุบพรรคการเมือง กรณีซื้อเสียงหรือทำผิดกฏหมาย...เพราะเป็นยาที่แรงเกินไปสำหรับนักการเมืองชั่ว
-ยกเลิก องคมนตรี
ฯลฯ
ตามที่มีพรรคการเมือง นักการเมือง มีแนวคิดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อนำไปสู่การตั้งส.ส.ร. และยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ กลุ่มไทยภักดีได้ติดตาม และมีข้อสังเกตที่อยากเรียนให้ ประชาชน ซึ่งเป็นผู้สถาปนา รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 นี้ 16.8 ล้านเสียงได้ทราบนั่นคือ พรรคการเมืองและนักการเมือง มองว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหา คือ บทเฉพาะกาลในมาตรา 272 ที่ให้อำนาจสว.เลือกนายกรัฐมนตรีในช่วง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรก ในทางปฏิบัติ มาตรานี้ผ่านประชามติ และเป็นบทเฉพาะกาล อีกประมาณ 3 ปีก็จะสิ้นสุด หากคนกลุ่มนี้มองว่ามาตรานี้มีปัญหา ทำไมไม่เสนอแก้มาตรานี้มาตราเดียว แต่กลายเป็นว่า นำมาอ้างเพื่อต้องการล้มล้างรัฐธรรมนูญนี้ทั้งฉบับ ซึ่งกลุ่มไทยภักดี ขอเชิญชวนประชาชน ที่เป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ร่วมกันปกป้อง คัดค้านการล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วยเหตุผล 1.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผ่านการลงประชามติเสียงข้างมากของประชาชน 16.8 ล้านเสียง ซึ่งถือว่าเป็นการใช้อำนาจอธิปไตย โดยตรงของประชาชน และถือว่าเป็นอำนาจสูงสุด ที่นักการเมืองต้องเคารพ 2.ถ้ายอมให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะนำไปสู่ การต้องร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญอีก 10 ฉบับ เท่ากับว่าจะต้องร่างกฏหมายใหม่ทั้งสิ้น 11ฉบับ ทำให้ง่ายแก่การซุกประโยชน์ของนักการเมือง 3.มีพรรคการเมืองบางพรรค อาศัยการล้มล้างรัฐธรรมนูญเพื่อร่างใหม่ ในครั้งนี้ นำไปสู่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และแบ่งแยกประเทศ โดยอาศัยม็อบมาร่วมกดดัน 4.จุดเด่นของรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ การปราบโกง โดยเฉพาะคดีอาญาไม่หมดอายุความ และการพิจารณาคดีลับหลังหากจำเลยหนี ซึ่งอยู่ในกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญ มีคดีทุจริตถูกตัดสิทธิ์สมัครส.ส.ตลอดชีวิต ซึ่งนักการเมืองไม่ชอบ 5.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ สามารถป้องกันส.ส.มาผลาญงบประมาณแผ่นดิน ปีละสามถึงสี่หมื่นล้านบาท เพราะในอดีตรัฐธรรมนูญไม่เข้มงวด แต่ฉบับนี้ทั้งรัฐมนตรีและส.ส. ถ้าถูกจับได้มีความผิด ต้องถูกถอดถอน 6.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ใช้ระบบเลือกตั้งบัตรใบเดียว ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้ ตระกูลนักการเมือง นักการเมืองเก่าแก่ที่เป็นเจ้าถิ่น เจ้าพ่อ นักเลง พ่อค้าหวย ค้ายาประจำจังหวัดค่อยๆถูกทำลาย และมีโอกาสได้นักการเมืองคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ดังที่เห็นในปัจจุบัน 7.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะช่วยทำลายการตั้งมุ้ง กลุ่มการเมือง เพื่อมาต่อรอง ตำแหน่งและผลประโยชน์ของตนเอง ดังจะเห็นชื่อมุ้งการเมืองในอดีต ที่มีบทบาทสำคัญ แทบจะหายไปในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน 8.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะทำให้การซื้อตัวส.ส.ช่วงยุบสภา หรือหมดวาระสภา ลดลงไปมาก เพราะอิทธิพลส่วนใหญ่จะมาจากหัวหน้าพรรค นโยบายพรรค กระแสพรรคเป็นตัวนำ 9.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะช่วยลดอิทธิพลของนายทุน เจ้าของพรรค ที่จะกำหนดลำดับส.ส.บัญชีรายชื่อตามเงินบริจาค หรือแม้แต่การจะชี้ตัวผู้สมัครส.ส.เขต เพราะอำนาจนี้จะถูกโอนมาให้ประชาชน ที่เป็นสมาชิกพรรคตัดสิน ผ่านการทำไพรมารีโหวต 10.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะเพิ่มอำนาจการต่อรองให้ประชาชน และพรรคการเมืองไม่สามารถมาขู่ประชาชนได้ว่า จังหวัดไหนไม่เลือกไม่ได้งบ เพราะทุกคะแนนเสียงไม่ตกน้ำ และมีความหมาย 11.ถ้าสว.หมดวาระ ตามบทเฉพาะกาล จะได้สว.ที่มีความเป็นอิสระ เพราะสว.จะมีการเลือกตั้งจากประชาชนกลุ่มอาชีพ ยากที่พรรคการเมืองจะมาครอบงำ เหมือนสว.ในชุดเก่า ที่ต้องอาศัยฐานเสียงพรรคการเมือง การเกิดเผด็จการรัฐสภาเช่นในอดีตจึงไม่มีโอกาสเกิดขึ้น 12.การต้องร่างรัฐธรรมนูญและกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญ รวม 11ฉบับ มีโอกาสที่จะถูกยัดใส้ด้วยภาษากฏหมาย เพื่อนำไปสู่การนิรโทษกรรมตามมา โดยที่ประชาชนตามไม่ทัน เนื่องจากส.ส.ร. จะมีความใกล้ชิดพรรคการเมือง 13.เหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่พบว่าปัญหาของรัฐธรรมนูญนี้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน กลับกลายว่ารัฐธรรมนูญนี้ ช่วยปกป้องประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ 14.ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ที่ประชาชนยังยากลำบาก ควรจะประหยัดงบประมาณ 15,000 ล้านบาท ในการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชน น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า นี่คือเหตุผลสำคัญ ที่พวกเราประชาชนทุกคน ต้องช่วยกันปกป้อง รักษารัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับนี้ และหากปล่อยให่มีการแก้ไข โดยเฉพาะระบบบัตรเลือกตั้งสองใบ จะนำไปสู่ปัญหาเดิมๆของประเทศ และเป็นผลเสียต่อประชาชนมากกว่า เปิดโอกาสให้รัฐธรรมนูญนี้ได้ทำหน้าที่ต่อไป หากดำเนินไปแล้วพบปัญหาใดๆ ในการปกป้องประโยชน์ของประชาชน จึงค่อยมาแก้ไขรายมาตรา และแจ้งเหตุผลให้ประชาชนได้ทราบ
การออก รธน ฉบับ i-Law ที่จอร์จ โซรอส อุดหนุน เงิน โดยแก๊งส์ ล้มเจ้า ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
NED ให้เงินหนุนแก่ จอนอึ้งภากรณ์ และ ยิ่งชีพ ชัชฌานนท์ ซึ่งเป็นผู้จัดการโครงการ ในการเขียน รธน.i-Law...
เครือข่าย จอร์จ โซรอส หากินจากการสรัางความวุ่นวายในรูปแบบต่าง เพื่อให้ชาติที่เป็นเหยื่อ อ่อนแอ ก่อนพาทีมเข้าทำลายเศรษฐกิจของชาติเหล่านั้นทั้งด้านการเมืองและด้านเศรษฐกิจ... จนถูกหลายชาติต่อต้าน ว่าเป็นตัวอันตรายของโลก...ตอนนี้เครือข่ายจอร์จ โซรอส กำลังทำงานอยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รวม ไทยและเมียนม่า เพื่อกำจัดจีนและรัสเซีย...การทำงานของเครือข่ายโซรอส ทำงานร่วมกับ NED ของรัฐบาลสหรัฐ ที่กำลังลงทุนเกือบหมื่นล้าน มาทำกงศุล เพื่อสอดแนมจีน ที่เชียงใหม่
ผู้ที่ได้รับเงินอุดหนุนจาก NED และ จอร์จ โซรอส
ปัญหาเรื่อง การเปลี่ยนจากบัตร 1 ใบ...เป็นบัตรสองใบ ทำเพื่อนักการเมืองหรือเพื่อประชาชน....ที่อาจทำให้พรรค ประชาธิปัตย์ ที่นำเสนอเรื่องนี้ ....สูญพันธ์ในที่สุด
เพราะ ทำให้ประชาชนเกลียดชังพรรคนี้ มากขึ้น
ผลงาน ของ ชลธิชา แจ้งเร็ว ก่อน นำเสนอ รธน ฉบับ ประชาชน ของไอติม+ปิยะบุตร ในรัฐสภา....อยากถามว่า ชลธิช มานำเสนอในฐานะอะไร หรือในฐานะปากกระบอกเสียงของสหรัฐที่หวังเปลี่ยนระบอบการปกครองไทย????...ทั้งนี้ ชลธิชา ทำงานบงการอยู่เบื้องหลังม๊อบมาโดตลอด และเนื่องจากเคยทำงานในสถานฑูตสหรัฐ จึงเป็นผู้เชื่อมโยง ระหว่างม๊อบและสหรัฐ
รวมคำอภิปรายบางช่วงบางตอนของ ส.ว. 5 คน ที่แสดงความเห็นไม่รับร่างแก้รัฐธรรมนูญ ที่เสนอโดยกลุ่ม Re-Solution ในการประชุมร่วมรัฐสภา เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2564
วันพฤหัสบดี ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563, 17.42 น.
5 พ.ย.63 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า ในขณะที่รัฐบาลและท่านประธานรัฐสภากำลังเอาจริงเอาจังกับการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ และพรรคเพื่อไทยก็ดูจะมีทีท่าอ่อนลง ยอมเข้าร่วมด้วย แต่กลุ่มคณะราษฎร 2563 ยังคงยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมเจรจาใดๆ ประกาศยืนยันข้อเรียกร้อง 3 ข้อ เช่นเดิม คือพลเอกประยุทธ์ต้องลาออก แก้รัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
ที่กล่าวหาพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าทำผิดร้ายแรง เนื่องจากทำรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่สู้เป็นธรรมต่อพลเอกประยุทธ์เท่าใดนัก เพราะเป็นการกล่าวหา โดยเลือกให้ข้อมูลเฉพาะที่สนับสนุนข้อกล่าวหามาบอก แต่ตั้งใจตัดข้อมูลส่วนที่เป็นเหตุผลความจำเป็นของการทำรัฐประหารออกไปเสียทั้งหมด
เพื่อความเป็นธรรม ในที่นี้จะให้ข้อมูลทั้ง 2 ด้าน เราจะย้อนกลับไปดูว่ารัฐบาลที่ว่ามาจากการเลือกตั้ง คือรัฐบาล คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีที่มาอย่างไร การทำรัฐประหารมีเหตุผลสมควรหรือไม่ อย่างไร
รัฐบาลชุดก่อนรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ คือรัฐบาลคุณอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ ซึ่งก็เป็นรัฐบาลที่มาตามครรลองของประชาธิปไตยเช่นกัน แต่ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมจนทุกวันนี้ว่าล้อมปราบและเข่นฆ่าประชาชน(เสื้อแดง) ที่เพียงออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ในเดือน พฤษภาคม 2553
ประการแรก การชุมนุมน่าจะไม่ใช่เป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะคุณอภิสิทธิ์ก็ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีในสภาผู้แทนราษฎร แต่ผู้ชุมนุมประท้วง ยื่นคำขาดให้คุณอภิสิทธิ์ยุบสภาภายใน 7 วัน เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพราะทราบดีว่า ผู้ที่กลุ่มนปช สนับสนุนจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก
ประการที่ 2 การพูดว่า “ล้อมปราบ และเข่นฆ่า...”เป็นการพูดที่เกินจริง เพราะไม่ใช่เป็นการล้อมปราบ แต่เป็นการใช้กำลังทหารเข้าสลายชุมนุม เนื่องจากการชุมนุมของกลุ่ม นปช มีกองกำลังติดอาวุธปะปนอยู่ในที่ชุมนุมด้วย หลังการชุมนุมยุติลง ก็ยังมีการเผาทำลายสถานที่ต่างๆในกรุงเทพฯ และมีการเผาศาลากลางในจังหวัดต่างๆหลายจังหวัด
แม้สลายการชุมนุมได้ แต่หลังจากนั้นอีก 1 ปี คุณอภิสิทธิ์ ก็ทำตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ คือยอมยุบสภาตามข้อเรียกร้องของนปช เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
ในการเลือกตั้งหลังยุบสภา คุณทักษิณ ชินวัตร ให้พรรคเพื่อไทย ซึ่งใช้สโลแกนว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”ส่งคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวคุณทักษิณ ซึ่งไม่ประสีประสา และไม่มีความพร้อมแม้แต่น้อย ลงสมัครเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี
ถึงกระนั้นพรรคเพื่อไทยก็ชนะการเลือกตั้ง เป็นผลให้คุณยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคุณทักษิณ
เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เคยประท้วงขับไล่ระบอบทักษิณก็ไม่กลับมาประท้วงอีก เพื่อให้โอกาส รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำงานพิสูจน์ตัวเอง
รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ เมื่อบริหารประเทศ ก็ยังคงบริหารตามแบบระบอบทักษิณ กล่าวคือ ส่งคนของตัวเองเข้าไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจที่ทำกำไรทุกรัฐวิสาหกิจ แทรกแซงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ แทรกแซงวุฒิสภา และมีการทุจริตคอรัปชั่น ที่เป็นการทุจริตที่ชัดเจนที่สุดคือโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ซึ่งทั้ง TDRI และ ปปช มีหนังสือทักท้วงหลายครั้ง ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น แต่คุณยิ่งลักษณ์ ก็ยังดึงดันทำต่อไป จนสร้างความเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท ยังไม่รวมถึงจำนวนเงินที่มีการทุจริต โดยขายข้าวให้กับพรรคพวกตัวเอง แต่ทำหลักฐานเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐ
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้มีคนออกมาประท้วงบนท้องถนนเป็นเรือนล้าน คือการที่นายวรชัย เหมะ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเสนอร่างพรบ นิรโทษกรรมแบบสุดซอย คือนิรโทษกรรมทั้งหมด ทั้งผู้ที่ต้องคดีการเมือง รวมทั้งคนที่โดนข้อหาทุจริต ก็จะได้อานิสงส์ไปด้วย ซึ่งหากผ่านแล้ว คุณทักษิณ จะสามารถกลับเข้าประเทศได้แบบไม่มีคดีอะไรติดตัวเลย
พรรคเพื่อไทยใช้เสียงข้างมากผ่านพรบฉบับดังกล่าวในสภาผู้แทนราษฎร อย่างฉลุยในเวลา 02.30 น ทำให้คนออกมาประท้วงชนิดมืดฟ้ามัวดิน เป็นผลให้วุฒิสภาไม่กล้าผ่านให้ พรบ ฉบับนี้จึงตกไปในที่สุด
การประท้วงไม่ได้หยุดยั้งลง ยังคงดำเนินต่อไป โดยคราวนี้เป็นการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี คือคุณยิ่งลักษณ์ลาออก แต่จะอย่างไรคุณยิ่งลักษณ์ก็ไม่ยอมลาออก แต่เลี่ยงไปเป็นการยุบสภา เพราะเชื่อว่าภายใต้กติกาเดิม ต้องได้รับเลือกตั้งกลับมาใหม่
ผู้ชุมนุมประท้วงก็ทราบดีว่า หากคุณยิ่งลักษณ์ได้รับการเลือกตั้งกลับมาใหม่ ผลก็คือรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์จะทำอะไรก็ได้ โดยอ้างความชอบธรรมที่ได้รับเลือกตั้งกลับมาอีกครั้ง การประท้วงจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นการขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้ง ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย ให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เนื่องจากไม่มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งถึง 28 เขตเลือกตั้ง
คุณยิ่งลักษณ์ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีมีคำสั่งย้ายคุณถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ อย่างไม่เป็นธรรม คุณชัยเกษม นิติศิริ ต้องรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการ แต่รัฐบาลก็ยังไม่ยอมออก
การประท้วงยังคงยืดเยื้อต่อไป แต่รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีรักษาการยังคงยืนกราน ไม่ลาออก
สถานการณ์บ้านเมืองจึงมาถึงทางตัน ไม่มีใครยอมใคร รัฐบาลรักษาการก็ไม่มีอำนาจพอที่จะบริหารประเทศตามปกติได้ เช่น กรณีการจำนำข้าว เนื่องจากขาดทุนมหาศาล รัฐบาลไม่มีเงินจ่ายชาวนา ต้องกู้เงิน แต่รัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจกู้เงินได้ ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้กับชาวนาได้ ทำให้มีชาวนาหลายคนถึงกับฆ่าตัวตาย
การประท้วงครั้งนี้ แม้ไม่มีการสลายการชุมนุม แต่ก็มีคนบางกลุ่ม ไม่ชัดเจนว่าเป็นใคร วางระเบิด ขว้างระเบิด และมีการใช้อาวุธสงครามกราดยิงผู้ประท้วงที่ค้างคืนที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นเหตุให้มีบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายคน รวมทั้งหมดตลอดการประท้วง มีผู้เสียชีวิต 27 ราย บาดเจ็บกว่า 200 ราย นอกจากนี้กลุ่ม นปช. ก็จัดการชุมนุมคู่ขนานไปด้วย ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าจะมีการปะทะกัน
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ได้เชิญผู้แทนทั้งฝ่ายประท้วงและฝ่ายรัฐบาลรักษาการ มาเจรจาทำความตกลงกันที่สโมสรทหารบกและขอให้ผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี คือคุณชัยเกษม นิติศิริ ลาออก คุณชัยเกษม ปฏิเสธ ทันที แบบไม่มีการลังเล
นั่นเป็นจุดแตกหักที่ทำให้เกิดการทำรัฐประหาร
จะเห็นว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้ทำรัฐประหารโดยไม่มีเงื่อนไขที่สุกงอม
ที่ไม่เหมาะสมคือ เมื่อทำรัฐประหารแล้ว พลเอกประยุทธ์ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง แทนที่จะให้คนกลางที่มีความรู้ความสามารถที่ได้รับการยอมรับ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งยังตั้งนายทหารเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในจำนวนที่มากเกินไป
ความไม่เหมาะสมอีกประการคือ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์หรือรัฐบาล คสช. ใช้เวลานานถึง 5 ปี กว่าที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยใช้เหตุผล ที่ฟังขึ้นว่า ต้องให้มีการปฏิรูปประเทศก่อน แต่แล้ว แต่การปฏิรูป นอกจากการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยผ่านประชามติ และการจัดทำพรบ ประกอบรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นแล้ว การปฏิรูปด้านอื่นๆ ยังคงอยู่บนแผ่นกระดาษหรือในไฟล์อีเล็คโทรนิค ไม่มีการนำไปปฏิบัติแต่อย่างใด จะเรียกว่าการปฏิรูปประเทศ ตามที่สัญญาไว้หากจะบอกว่านี่เป็นความล้มเหลวของรัฐบาล คสช. ก็คงไม่ผิดความจริงแต่อย่างใด
ความไม่เหมาะสมประการสุดท้ายคือการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ ด้วยเกรงว่า เมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว พรรคการเมืองของคุณทักษิณจะชนะเลือกตั้งอีก จึงพยายามสืบทอดอำนาจด้วยการตั้งพรรคการเมืองใหม่ของตัวเอง ลงสู้ในสนามเลือกตั้ง ซึ่งก็ทำให้พลเอกประยุทธ์ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มาตามครรลองของประชาธิปไตย มิได้มาจากการยึดอำนาจ
รัฐธรรมนูญที่ว่าเขียนขึ้นโดยเอื้อให้มีการสืบทอดอำนาจได้ ก็เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับ แต่ที่มีเนื้อความที่ทำให้ คสช. ได้เปรียบ ก็อยู่ในบทเฉพาะกาล เหลืออีก 2 ปีกว่าๆ ก็จะสิ้นสภาพไปเอง และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มีการถามประชาชน ตามคำถามแนบท้าย และได้ผ่านประชามติมาแล้ว
หากถามว่า พลเอกประยุทธ์ควรลาออกหรือไม่ ว่ากันตามจริงรัฐบาลพลเอกยุทธ์ชุดนี้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลงานเสียทีเดียว นอกจากความล้มเหลวในการปฏิรูปประเทศแล้ว ผลงานที่เป็นรูปธรรมให้เห็นมีอยู่ไม่น้อย ทั้งการสร้างระบบคมนาคมต่างๆ การจัดระเบียบสถานที่ที่อยู่ริมคลอง จนสะอาด เป็นระเบียบ การผ่านกฎหมายสำคัญ เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งก่อสร้าง และภาษีมรดก เรื่องเศรษฐกิจ จะโทษรัฐบาลเสียทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะเป็นปัญหากันทั้งโลก
ที่สำคัญคือรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ ยังไม่มีการทุจริตคอรัปชั่นให้เห็นอย่างเด่นชัดเหมือนรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์
หากพลเอก ประยุทธ์ลาออก การเมืองก็จะมีความวุ่นวาย วิ่งเต้นจับขั้วกันใหม่ กว่าจะตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ก็ใช้เวลาไม่น้อย และยังอาจได้นายกรัฐมนตรีคนเดิมกลับมาอีกก็เป็นได้ เพราะหากไม่มีการเจรจาจนบรรลุข้อตกลงกันทุกฝ่าย การที่จะให้วุฒิสมาชิกทุกคนงดออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นความเพ้อฝันที่เป็นจริงได้ยากมาก
ทางเลือกที่ดีที่สุดของม็อบ และเป็นผลดีต่อบ้านเมืองด้วย คือหยุดการชุมนุม ยอมเข้าสู่โหมดเจรจา และมุ่งกดดันข้อเรียกร้องข้อที่ 2 นั่นคือให้มีการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็ว และเรียกร้องให้ยุบสภาและเลือกตั้งใหม่โดยเร็วเช่นกัน
เช่นนี้ จะเป็นการเห็นแก่บ้านเมือง อย่าลืมว่า พลังเงียบใส่เสื้อเหลืองออกมาแสดงพลังมากขึ้นทุกวัน และมีจำนวนมากกว่าม็อบคณะราษฎรแล้ว
เลิกหวังที่จะล้มสถาบันพระมหากษัตริย์เสียเถิด เพราะไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลย
หากยังดันทุรังกันไม่เลิก สุดท้ายแกนนำทั้งหลายนั่นแหละ จะลำบาก ส่วนคนที่อยู่เบื้องหลังจะอยู่รอดปลอดภัย แต่จะนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าผลกรรมที่ก่อไว้ จะตามทันเมื่อใด ต้องคอยดู
ปุจฉา-วิสัชนา เรื่อง การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย
โดย ณรงค์ โชควัฒนา
ปุจฉา
การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยคืออะไร? แตกต่างจากการเมืองการปกครองระบอบเผด็จการอย่างไร? 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 คณะราษฎรและนายหลวงรัชกาลที่ 7 ใครเป็นผู้ให้การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยแก่ประเทศไทยและประชาชชนคนไทยครับ?
วิสัชนา
การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย คือ การเมืองการปกครองที่ประชาชนเป็นใหญ่ มีอำนาจสูงสุดจนสามารถปกครองตนเองได้ ไม่ต้องมีผู้ปกครอง คำว่าประชาธิปไตย มาจากคำว่า “ประชาชน” + คำว่า “อธิปไตย” (ที่แปลว่าเป็นใหญ่) การเมืองการปกครองในระบอบนี้ รัฐบาลก็ดี นักการเมือง
พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งเป็นแค่ลูกจ้างชั่วคราวของประชาชนเท่านั้น ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ว่าจะมีตำแหน่งสูงขนาดไหนก็เป็นแค่ลูกจ้างประจำของประชาชน นายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีก็เป็นแค่หัวหน้าลูกจ้างของประชาชน (เพราะรับเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ไม่ได้เป็นนายของประชาชน)
ประชาชนเลือกนักการเมืองมาทำงาน ทำหน้าที่ออกกฎหมายเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่เลือกมามีอำนาจในการออกกฎหมายตามใจชอบเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวก สภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่ในการออกกฎหมายและเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลเพื่อทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ดูแลเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนให้ทำงานดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติ และทำงานบริการรับใช้ประชาชน ไม่ใช่มีอำนาจรีดไถทำความเสียหายให้ประเทศชาติและทำร้ายประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศ
การเลือกตั้งในการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยต้องเป็นการเลือกลูกจ้างของประชาชน ไม่ใช่การเลือกนายของประชาชน ถ้าการเลือกตั้งมีเนื้อหาเป็นการเลือกนายมาปกครองประชาชน เป็นการเลือกผู้เผด็จการมาปกครองประชาชน ไม่ใช่การเมืองระบอบประชาธิปไตย
นักการเมือง พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย คือ ผู้ที่เสียสละมาทำงานรับใช้ประเทศชาติและรับใช้ประชาชนทั้งชาติ ไม่ใช่นักการเมือง พรรคการเมืองที่มาลงทุนลงแรงเพื่อแย่งชิงอำนาจรัฐ อำนาจอธิปไตย อำนาจสูงสุดไปจากประชาชน แล้วใช้อำนาจนั้นถอนทุนแสวงหาผลประโยชน์ด้วยการทำทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง ถอนทุนที่ลงไป 10 เท่า 100 เท่า ทุกกระทรวงทุกกรมอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้ “ไม่ใช่” การเมืองระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นระบอบเผด็จการธนาธิปไตย (เผด็จการที่เงินเป็นใหญ่ ใครมีเงินมากชนะ)
หลังการเปลี่ยนแปลง 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 88 ปีแล้วที่ประชาชนคนไทยยังไม่เคยมีโอกาสมีอำนาจในการปกครองตนเอง ประชาชนถูกปกครองโดยเผด็จการรูปแบบต่างๆ ทั้งเผด็จการทหาร เผด็จการบุคคลหรือกลุ่มบุคคล รวมถึงเผด็จการพลเรือนที่มาจาการเลือกตั้งที่อ้างความชอบธรรมว่าประชาชนทั้งประเทศเลือกมามีสิทธิ มีอำนาจที่จะโกงกินได้ทุกรูปแบบ ทำผิดกฎหมายก็บอกว่ากฎหมายผิด สามารถแก้กฎหมายให้สิ่งที่ตัวเองทำผิดกลายเป็นถูกได้
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 ทรงเป็นผู้พระราชทานอำนาจอธิปไตย อำนาจรัฐ อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศและปกครองประชาชนให้กับคนไทยทุกคน แต่คณะราษฎรปี 2475 ต่างหากที่ยึดอำนาจของพระองค์ท่านไว้กับตัวเอง ไม่ส่งต่อให้กับประชาชนคนไทยทั้งชาติ
“อำนาจ” เป็นสิ่งหอมหวนของคนเลวคนชั่ว เพราะอำนาจสามารถเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์มหาศาลให้กับตัวผู้มีอำนาจได้
บุคคลระดับผู้นำในคณะราษฎรปี 2475 จึงขัดแย้ง แตกแยก แย่งชิงอำนาจกันสืบต่อๆ กันมาจนทุกวันนี้ จนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 ทรงเสียพระทัย ประกาศสละราชสมบัติด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์เอง ในขณะที่ทรงประทับอยู่ต่างประเทศว่า
“ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”
แม้เวลาว่าจะล่วงเลยถึง 88 ปีแล้ว ประชาธิปไตยที่แท้จริงยังไม่เคยถูกสอนในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัยทุกแห่งของประเทศไทย เพราะตลอด 88 ปี ประเทศไทย คนไทยยังไม่มีโอกาสมีอำนาจในการปกครองตนเอง ประเทศไทยยังวนเวียนปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการรูปแบบต่างๆ ทั้งเผด็จการทหารจากการรัฐประหาร และเผด็จการพลเรือน (นายทุน) จากการเลือกตั้ง
ระบบการศึกษาของไทยภายใต้การเมืองการปกครองระบอบเผด็จการ จึงไม่สามารถให้ความรู้ที่ถูกต้อง ให้ความจริงในประวัติศาสตร์ไทยกับคนไทยได้ครับ
ขอเชิญชวนคนไทยที่รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันสืบสานพระราชปณิธานของล้นเกล้านายหลวงรัชกาลที่ 7 ช่วยกันทำประชาธิปไตยของประเทศไทยให้เป็นจริงในยุคสมัยของเราให้สำเร็จเถิดครับ
“ได้โปรด”