"เจ้าคุณพหลเป็นต้นเหตุ พระองค์บวรเดชเป็นต้นเรื่อง
ขับเจ้าเข้าป่า แล้วเอาหมามานั่งเมือง"
นี้เป็นคำร้องของลิเก ..
ปรากฎเรื่องราวอยู่ในหนังแอนิเนชั่น 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ในช่วงเวลาที่ 1ชั่วโมง 45 นาที
มาทบทวนเล่าเรื่องราวเหล่านี้กัน
....
หลังปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 และได้รัฐธรรมนูญมาไม่ถึงปี
.. ลายของเสือ ขนของหมา สันดานของคน ก็เผยออกมา
พอมีนาคม 2476 .. หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ได้นำเค้าโครงเศรษฐกิจสมุดปกเหลือง เข้าที่ประชุมสภา
เค้าโครงเศรษฐกิจที่เลียนแบบเศรษฐกิจคอมมิวนิสต์จากรัสเซีย . ด้วยเอาที่ดินต่าง ๆ มาเป็นของรัฐ และให้ราษฎรเป็นลูกจ้างของรัฐ - ได้ทำให้เกิดการแตกแยก
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี จึงได้ออกพระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ 2476 .. เพื่อป้องกันการเป็นคอมมิวนิสต์ขึ้น
ทำให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ต้องถูกเนรเทศไปยังฝรั่งเศส .. แต่ใช้ข้ออ้างว่า ไปดูงาน เพราะยังคงได้รับงบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากเงินหลวง
12 เมษายน 2476 ซึ่งเป็นวันเดินทาง มีคณะนายทหารที่ร่วมปฏิวัติกันมาได้ไปส่งหลวงประดิษฐ์มนูธรรม
พระยาพหลพลพยุหเสนา เดินไปกระซิบกับหลวงประดิษฐ์ฯว่า .. "แล้วเพื่อนฝูงจะแก้ไขให้กลับมา"
ถัดมาแค่ 2 เดือน ..
20 มิถุนายน 2476 พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้นำกำลังเข้ารัฐประหารยึดอำนาจจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา . อันเป็นการรัฐประหารด้วยกำลังเป็นครั้งแรกนับจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง
โดยมี พันโทหลวงพิบูลสงคราม เป็นมือขวา และเป็นจุดเริ่มต้นของเปลี่ยนอำนาจทางการเมืองครั้งใหญ่
พันโทหลวงพิบูลสงคราม นับว่าเป็นคนเก่งในการใช้โอกาสอย่างเจนจัด เมื่อเริ่มต้นมีอำนาจ สิ่งแรกที่ต้องจัดการก็คือ
- เด้งพระยาทรงสุรเดชและเพื่อนทหารสายพระยาทรงสุรเดช ตัดอำนาจในการคุมกำลัง ดีดไปไว้ที่ไกล ๆ
ครั้นพระยาพหลพลพยุหเสนา รัฐประหารยึดอำนาจได้แล้ว เพียงแค่ถัดมา 9 วันเท่านั้น
รัฐบาลพระยาพหลฯ ได้เรียกให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ซึ่งเป็นหัวหน้าแนวคิดเศรษฐกิจสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ กลับจากฝรั่งเศสคืนสู่ประเทศไทย ในวันที่ 29 มิถุนายน 2476
คำกระซิบที่ว่า "แล้ว เพื่อนฝูงจะแก้ไขให้กลับมา" ก็เป็นจริง
การกลับมาคราวนี้ของหลวงประดิษฐ์ ยิ่งโหมความขัดแย้งและความหวาดระแวงลุกลามไปทั่ว
....
1 ตุลาคม 2476 รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา แต่งตั้งให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นรัฐมนตรี โดยไม่สนใจคำครหาใด ๆ
ส่วนทางด้านกองทัพบก พันโทหลวงพิบูลสงคราม ก็ได้โยกย้ายสี่นายทหารเสือ ออกไป
แล้วย้ายเอาคนของตนเองเข้ามา โดยไม่สนใจเรื่องอาวุโสหรือคุณสมบัติใด ๆ
- ค่าของคน จึงอยู่ที่คนของใคร
11 ตุลาคม 2476 เกิดกบฏบวรเดชขึ้น จากความไม่พอใจของกลุ่มนายทหารที่ถูกเด้ง เล่นพรรคเล่นพวก โยกย้ายโดยไม่เป็นธรรม
ประกอบกับรัฐบาลพระยาพหลฯ เอานายปรีดีหรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม กลับเข้ามาประเทศไทย และให้เป็นรัฐมนตรี
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้ระหว่างคนไทยด้วยกันเองมาโดยตลอด
แต่ครั้งนี้พระองค์ห้ามใครไม่ได้อีกแล้ว เพราะพระองค์ไม่ได้มีอำนาจ ทรงเป็นกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่างกัน
การต่อสู้ระหว่างคนไทยกันเองจึงเกิดขึ้น !
...
ฝ่ายรัฐบาล พยายามจะดึงเอาตัวพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเวลานั้นอยู่ที่วังไกลกังวล หัวหิน
รัฐบาลพยายามให้ทหารไปนำพระองค์ให้เข้ามาในกรุงเทพ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ฝ่ายรัฐบาล
ขณะเดียวกันฝ่ายกบฏบวรเดช ซึ่งใช้ชื่อคณะก่อการว่า "คณะกู้บ้านกู้เมือง" ก็ได้พยายามติดต่อรัชกาลที่ 7 ให้พระองค์ทรงมาอยู่กับคณะก่อการ เพื่อสร้างความชอบธรรมเช่นกัน
2 ฝ่ายต่างออกแรงกดดัน เพื่อหวังใช้พระบารมีของพระองค์เป็นกระแสแห่งความชอบธรรม
แต่พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่เข้าข้างฝ่ายใดเลย พระองค์ทรงเสด็จหนีไปยังสงขลา เพื่อหลีกเลี่ยงการดึงตัว
ผลสุดท้าย ทหารฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมืองพ่ายแพ้แก่ทหารฝ่ายรัฐบาล
พระยาศรีสิทธิสงคราม ปักหลักอยู่ที่สถานีรถไฟหินลับ สระบุรี ใช้ชีวิตของตนเองสู้ตาย / เป็นแนวหลังให้พระองค์เจ้าบวรเดช และนายทหารคนอื่น ๆ ถอยทัพไปยังโคราชอย่างปลอดภัย
ทหารฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมืองที่เหลือยอมแพ้ ถูกจับขังคุก 321 นาย
พระองค์เจ้าบวรเดชและนายทหารที่หนีได้ จึงหนีลี้ภ้ยไปที่เขมร
เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ชาวบ้านร้านช่องแถวพระนคร อยุธยา สระบุรี โคราช ซึ่งใกล้ชิดกับการเมืองและการเปลี่ยนแปลง ต่างรู้ดี
การรับรู้ของชาวบ้าน ทำให้มีคณะลิเก ได้นำมาแสดงร้องรำว่า
"เจ้าคุณพหลเป็นต้นเหตุ พระองค์บวรเดชเป็นต้นเรื่อง
ขับเจ้าเข้าป่า แล้วเอาหมามานั่งเมือง"
...
การร้องรำสะท้อนการรับรู้ของคณะลิเก ไม่สบอารมณ์ของรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา - จึงได้มีการสั่งจับคณะลิเก
จุดเริ่มต้นของระบอบประชาธิปไตยคณะราษฎร ก็คือการปิดปากชาวบ้าน ปิดหูปิดตาชาวเมือง
ช่างเจริญพวง ดีแท้
....
"เพื่อชาติและประชาชน"
ผมได้เคยอ่านจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเป็นจดหมายที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่เจ็ด ทรงเขียนถึง ท่านผู้หญิงพูลศุข ภรรยาของคุณปรีดีฯ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๙
ซึ่งเนื้อความในจดหมายนั้นก็มีการขอบพระทัยในของฝาก(กุ้งแห้ง) และกล่าวถึงสารทุกข์สุกดิบทั่วๆไป แบบผู้มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน
ก็ทำให้ผมสงสัยจนต้องศึกษาต่อไปว่า มิตรภาพดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร จนพบว่า เมื่อประเทศชาติตกอยู่ในภยันตรายใหญ่หลวงจากการเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ ในสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ทางคุณปรีดี ได้ร่วมกับพรรคพวกก่อตั้งกลุ่ม"เสรีไทย" ซึ่งมีจุดหมายหลักในการต่อต้านกองกำลังญี่ปุ่น และ ร่วมกันหาแนวทางปกป้องอธิปไตยของประเทศชาติ หากฝ่ายอักษะพ่ายแพ้ในสงครามโลก
โดยนอกจากจะมีกลุ่มคุณปรีดีเป็นกองกำลังสำคัญในประเทศไทยแล้ว ก็ยังมีกลุ่มเสรีไทยในสหรัฐฯนำโดยกลุ่มของ หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช และกลุ่มเสรีไทยในประเทศอังกฤษ ซึ่งนอกจากจะมีนักเรียนไทยที่เรียนอยู่ที่นั้นแล้ว กำลังหนึ่งซึ่งสำคัญมากของเสรีไทยในประเทศอังกฤษ
ก็คือ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯที่ทรงช่วยเหลือ ทั้งกำลังทรัพย์ และร่วมสร้างเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ ด้วยพระองค์เอง
ด้วยการสามัคคีร่วมมือกัน โดยลด ละ ความบาดหมางใดๆในอดีต เพื่อเสียสละร่วมแรงกายใจ ช่วยเหลือประเทศชาติให้รอดปลอดภัยไปด้วยกัน ก็ก่อเกิดมิตรภาพที่แสดงให้เห็นในเนื้อหาของจดหมายที่ผมได้อ่านฉบับนั้นนั่นเอง
ซึ่งก็ทำให้ผมได้ระลึกถึงพระบรมราโชวาทของล้นเกล้ารัชกาลที่เจ็ด ที่ทรงกล่าวไว้ว่า
"...เมื่อถึงคราวที่จะต้องนึกถึงประเทศแล้ว ต่างคณะต้องต่างร่วมใจกันนึกถึงประโยชน์ของประเทศอย่างเดียวเป็นใหญ่ ต้องลืมความเห็นที่แตกต่างกันนั้นหมด ถึงจะเคยน้อยอกน้อยใจกันมาอย่างไร ต้องลืมหมด ต้องฝังเสียหมด ต้องนึกถึงประโยชน์ของประเทศของตนเท่านั้น จะนึกเห็นแก่ตัวไม่ได้..."
สำหรับผมแล้ว ความกล้าหาญ และความมุ่งมั่นจะช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชนของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ที่ยึดถึอตามพระราชดำรัสฯดังกล่าวนั้น
เป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อประเทศชาติและประชาชน ที่สมควรจะได้รับการจดจำระลึกถึงอย่างที่สุด
เครดิตภาพ สถาบันปรีดี พนงยงค์
ความพยายามให้การสานต่อภารกิจ 2475 ของพวกล้มเจ้า ในปัจจุบัน ต่อรัชกาลที่9และ10