นี่คือเรื่องที่ผมเขียนถึง คณะราษฎร เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2458 ว่ามันคือพวกปล้นพระราชอำนาจ
ภาณุมาศ ทักษณา
เช้าวานนี้ ผมเขียนเรื่อง 23 มิถุนายน 2475 หรือ 83 ปีที่แล้วคณะราษฎร “หลอกทหาร” ให้ร่วมปล้นพระราชอำนาจจากล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7
มีตอนหนึ่งในเรื่องนั้น ผมเขียนว่า พระยาทรงสุรเดชบันทึกไว้เช่นกันว่า เพราะอะไรคนเหล่านี้จึงคิดก่อการร้าย แต่ผมคงไม่นำมาถ่ายทอดในที่นี้
เหตุผลคือ “เพราะข้อความเหล่านั้น หากปรากฏในยุคนี้ ก็คงไม่พ้นอาญามาตรา 112 อย่างแน่นอน” ปรากฏว่ามีมิตรรักหลายคนอยากเห็นเนื้อหา
ผมยืนยันไปแล้วว่า นำมาเผยแพร่ไม่ได้ แต่มีบันทึกช่วงท้ายของหนังสือ 100 ปีพระยาพหลฯ ที่บอกนัยยะได้ว่า เป็นถ้อยคำที่รุนแรงมาก ลองพิจารณาดู
“… มีคำเล่าซึ่งไม่ค่อยเป็นที่เปิดเผยนักว่า เมื่อคณะราษฏรเข้าเฝ้าขอพระราชทานอภัยโทษในวันที่ 30 มิถุนายน 2475 นั้น
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงถามพระยาพหลฯ ตรง ๆ ว่า ใครเป็นผู้ร่างแถลงการณ์ฉบับนั้นให้อ่านหรือเขียนขึ้นเอง
ปรากฏว่า หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) ซึ่งเข้าเฝ้าด้วยได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วยอมรับว่า ตนเองเป็นผู้ร่างให้พระยาพหลฯ อ่านทั้งหมด
ทรงถามด้วยความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งว่า ทำไมจึงใช้ถ้อยคำรุนแรงและใส่ร้ายกันถึงเพียงนั้น ?
นักเรียนเก่าฝรั่งเศส ผู้เป็น “มันสมอง” ของคณะราษฏร กราบบังคมทูลว่า
“พระราชอาญามิพ้นเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าคิดแต่ในทางที่จะเอาชนะ
หรือเพื่อความสำเร็จเป็นการโดยเร็ว โดยพยายามโน้มใจราษฎรให้สนับสนุนแต่ฝ่ายเดียว เพราะไหน ๆ ก็ตกลงใจก่อการขึ้นแล้ว จะแพ้ไม่ได้ ถ้าแพ้ก็ตายกันหมด”
ทรงยิ้มเป็นครั้งแรก และทรงชมว่า “ก็ยังดีที่ผิดแล้ว กล้ารับผิดอย่างลูกผู้ชาย และกล้าพอที่จะพูดตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม”
นเรศ นโรปกรณ์ ผู้เรียบเรียงหนังสือนี้ออกตัวว่า เท็จจริงอย่างไรไม่ทราบ เพราะไม่เคยสัมภาษณ์รัฐบุรุษทั้งสอง แต่รับฟังมาจากนักข่าวรุ่นพี่รุ่นพ่อเท่านั้น
ในความรู้สึกของผม คิดว่าน่าจะมีเค้าความจริงสูงครับ ดูได้จากพฤติการณ์ของขบวนการล้มเจ้ารุ่นหลัง ๆ นี้ก็ได้ครับ
พวกมันไม่สนใจเลยว่า พระมหากษัตริย์ไทยทรงมีพระเมตตากรุณาต่อทวยราษฎร์ของพระองค์ในทุกเรื่อง หาได้เอาเปรียบพสกนิกรแม้แต่น้อย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงครองแผ่นดินโดยธรรมมาตลอด ยังมิวายถูกใส่ร้ายป้ายสีจากพวกคิดคดต่อแผ่นดินด้วยถ้อยคำรุนแรงเช่นกัน
ผมก็ได้แต่หวังว่า กลุ่มคนที่คิดร้ายต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จักมีอันเป็นไปไม่ต่างจากขบวนการล้มเจ้ารุนแรกด้วยเทอญ !
About blogger
สำนักข่าวเจ้าพระยา
________________________________________________________________________________________________________________________
ความจริงที่ต้องอ่าน!!
รัชกาลที่ 7 พระมหากษัตริย์ไทยผู้ถูกรังแก จากปรีดีและคณะราษฎรจนวาระสุดท้าย
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2015 เพจแฉ..ความลับโดยเสธน้ำเงิน ได้นำเสนอบทความ เรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยเอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ปีนี้เป็นปีที่ครบ 85 ปีของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบที่อ้างชื่อว่าประชาธิปไตย
ในยุคสมัยนั้นประชาชนไทยยังไม่รู้จักคำนี้เลย ทุกคนคิดว่าเป็น “ชื่อลูกชาย” ของนักการเมืองใหญ่สมัยนั้นด้วยซ้ำ
แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังไม่พร้อมใดๆ กับการเปลี่ยนแปลงการปกครองในครั้งนั้น
ในตอนนี้จะชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่ ปรีดี และคณะราษร ในการข่มเหงรังแกพระมหากษัตริย์ไทยต่างๆ นาๆ หลวงประดิษฐ (ปรีดี) หัวหน้าคณะราษฎรสายพลเรือน
ได้รีบแจกจ่ายใบปลิว และแผ่นพับโฆษณาชวนเชื่อขณะทำการปฏิวัติว่า “ถ้าใครขัดขืนจะทำร้ายเบื้องสูง” ตลอดจนการกระจายเสียงทางวิทยุ
ข้อความในประกาศคณะราษฎร ซึ่งเขียนขึ้นโดยหลวงประดิษฐ วิพากษ์วิจารณ์ ใส่ร้าย พระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงมากอย่างลบหลู่พระเกียรติ.....จนไม่อาจนำมากล่าวซ้ำในที่นี้ได้ เนื่องจากเกินกว่าคนไทยจะรับได้
จากนั้นประกาศคณะราษฎร ซึ่งลงนามโดย พระยาพหล , พระยาทรง และพระยาฤทธิ์ ถูกส่งโทรเลขไปให้แด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่วังไกลกังวล หัวหิน
มีใจความข่มขู่ว่า
“..หากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงปรารถนาที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
คณะราษฎรจะเต็มใจถอดพระองค์ออก และแทนที่ด้วยพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่น”
ในโทรเลขดังกล่าวข่มขู่ด้วยว่า “หากสมาชิกคณะราษฎรคนใดได้รับบาดเจ็บ พระบรมวงศานุวงศ์ที่ถูกคุมขังก็จะทรงทรมานไปด้วย...”
อันเป็นถ้อยความข่มขู่พระมหากษัตริย์ที่ยะโสโอหังมาก
วันที่ 23 ตุลาคม 2476 เพื่อความปลอดภัย ข้าราชบริพารพร้อมใจกันพารัชกาลที่ 7 ระหกระเหิน โดยเรือศรวรุณ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์
ท่ามกลางสภาวะอากาศเลวร้ายในทะเล ใช้เวลากว่าสองวันจึงถึงจังหวัดสงขลา ไปประทับ ณ ตำหนักเขาน้อย จังหวัดสงขลา
หม่อมเจ้าอัปษรสมาน ได้ทรงรับหม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ กิติยากร (พระยศของสมเด็จพระราชินีขณะนั้น) ที่ยังพระเยาว์มีพระชนม์เพียง 1 พรรษา.....ตามเสด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ไปสงขลาด้วย
ต่อมารัชกาลที่ 7 ทรงเสด็จพรมแดนมลายู ที่อังกฤษควบคุมอยู่.....คณะราษฎรมีการฆ่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมเสียชีวิตไปหลายคน.....มีการจับกุมและกวาดล้าง จนในระยะนั้นประเทศไทยเป็นระบอบเผด็จการอย่างแท้จริง ไม่มีเค้าโครงระบอบประชาธิปไตยแม้แต่น้อย
คณะราษฎรฝ่ายมีอำนาจ จึงตกลงกันว่าจะไม่ร่วมงานกับพระมหากษัตริย์.....จะเลิกล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งรัชกาลที่ 7 ทรงแสดงความในพระราชหฤทัยครั้งนั้นว่า
"ฉันไม่คิด ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ถ้าจะตายก็ตายด้วยกัน" เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นที่สะเทือนพระราชหฤทัยมาก
พระปรมาภิไธยในพระราชหัตถเลขา ประกาศสละราชสมบัติฉบับเต็ม ที่สะท้อนเหตุการณ์ในช่วงนั้น คนไทยในยุคนั้น
และในเวลาต่อๆ มาแทบไม่เคยเห็นเพราะไม่ปรากฎแพร่หลายในที่สาธารณะมากนัก
เนื่องจากถูกนักการเมืองปกปิดมาตลอดกว่า 80 ปี ซึ่งทุกอักษรของพระราชหัตถเลขานี้ คนไทยควรทราบ และศึกษาเป็นอย่างยิ่ง.....เพราะนี้คือจารึกประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศไทย
ขอให้ตั้งใจอ่านทุกคำ ทุกอักษรแล้วจะเข้าใจพระองค์อย่างถ่องแท้ และเล่าขานกันต่อไปตราบนานเท่านาน
------------------------------------------------------------------------------------------------
บ้านโนล
แครนลีประเทศอังกฤษ
เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนากับพวก ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองโดยใช้กำลังทหาร ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว
ได้มีหนังสือมาอัญเชิญข้าพเจ้าให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ข้าพเจ้าได้รับคำเชิญนั้น เพราะเข้าใจว่าพระยาพหลฯ และพวกจะสถาปนารัฐธรรมนูญ ตามแบบอย่างประเทศทั้งหลายซึ่งใช้การปกครองตามหลักนั้น เพื่อให้ประชาราษฎรได้มีสิทธิ ที่จะออกเสียงในวิธีดำเนินการปกครองประเทศ และนโยบายต่าง ๆ อันจะเป็นผลได้เสียแก่ประชาชนทั่วไป....ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใส ในวิธีการเช่นนั้นอยู่แล้ว และกำลังดำริจะจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ของประเทศสยามให้เป็นไปตามรูปแบบนั้น....โดยมิได้มีการกระทบกระเทือนอันร้ายแรง.....เมื่อมามีเหตุรุนแรงขึ้นเสียแล้ว และเมื่อมีผู้ก่อการรุนแรงนั้น อ้างว่ามีความประสงค์จะสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นเท่านั้น ก็เป็นอันไม่ผิดกับหลักการที่ข้าพเจ้ามีความประสงค์อยู่เหมือนกัน
ข้าพเจ้าจึงเห็นสมควรโน้มตามความประสงค์ ของผู้ก่อการยึดอำนาจนั้นได้ เพื่อหวังความสงบราบคาบในประเทศ
ข้าพเจ้าได้พยายามช่วยเหลือ ในการที่จะรักษาความสงบราบคาบ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงอันสำคัญนั้นเป็นไปโดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นได้ แต่ความพยายามของข้าพเจ้าไร้ผล โดยเหตุที่ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หาได้กระทำให้บังเกิดมีความเสรีภาพในการเมืองอย่างบริบูรณ์ขึ้นไม่ และมิได้ฟังความคิดเห็นของราษฎรโดยแท้จริง
และจากรัฐธรรมนูญทั้ง ๒ ฉบับ จะพึงเห็นได้ว่าอำนาจที่จะดำเนินนโยบายต่าง ๆ นั้น จะตกอยู่แก่คณะผู้ก่อการ และผู้ที่สนับสนุนเป็นพวกพ้องเท่านั้น....มิได้ตกอยู่แก่ผู้แทนซึ่งราษฎรเป็นผู้เลือก เช่น ในฉบับชั่วคราว แสดงให้เห็นว่า
ถ้าผู้ใดไม่ได้รับความเห็นชอบของผู้ก่อการ จะไม่ให้เป็นผู้แทนราษฎรเลย
ฉบับถาวรได้มีการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ตามคำร้องขอของข้าพเจ้า แต่ให้มีสมาชิกซึ่งตนเองเป็นผู้เลือกเอง เข้ากำกับอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรถึงครึ่งหนึ่ง.....การที่ข้าพเจ้าได้ยินยอมให้มีสมาชิก ๒ ประเภท
ก็โดยหวังว่าสมาชิกประเภทที่ ๒ ซึ่งข้าพเจ้าตั้งนั้น จะเลือกจากบุคคลที่รอบรู้การงาน
และชำนาญในวิธีดำเนินการปกครองประเทศโดยทั่วๆ ไปไม่จำกัดเป็นพวกใดคณะใด
เพื่อจะได้ช่วยเหลือนำทาง ให้แก่สมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้งขึ้นมา แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะตั้งสมาชิกประเภทที่ ๒ ขึ้น
ข้าพเจ้าหาได้มีโอกาสแนะนำในการเลือกเลย และคณะรัฐบาลก็เลือกเอาแต่เฉพาะผู้ที่เป็นพวกของตนเกือบทั้งนั้น
มิได้คำนึงถึงความชำนาญ นอกจากนี้คณะผู้ก่อการบางส่วน ได้มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงโครงการณ์เศรษฐกิจของประเทศอย่างใหญ่หลวง......จึงเกิดแตกร้าวขึ้นกันเองในคณะผู้ก่อการและพวกพ้อง จนต้องมีการปิดสภา และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา......โดยคำแนะนำของรัฐบาล ซึ่งถือตำแหน่งอยู่ในเวลานั้น
ทั้งนี้เป็นเหตุให้มีการปั่นป่วนในการเมือง ต่อมาพระยาพหลฯ กับพวกก็กลับเข้าทำการยึดอำนาจโดยกำลังทหารเป็นครั้งที่ ๒ และแต่นั้นมาความหวังที่จะให้การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เป็นไปโดยราบรื่นก็ลดน้อยลง
เนื่องจากเหตุที่คณะผู้ก่อการมิได้กระทำให้มีเสรีภาพในการเมืองอันแท้จริง และประชาชนไม่ได้มีโอกาสออกเสียง
ก่อนที่จะดำเนินนโยบายอันสำคัญต่างๆ จึงเป็นเหตุให้มีการกบฎขึ้น ถึงกับต้องต่อสู้ฆ่าฟันกันเองระหว่างคนไทย
เมื่อข้าพเจ้าได้ร้องขอให้เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ให้เข้ารูปประชาธิปไตยอันแท้จริง เพื่อให้เป็นที่พอใจแก่ประชาชน
คณะรัฐบาลและพวกซึ่งกุมอำนาจอยู่บริบูรณ์ในเวลานี้ ก็ไม่ยินยอม ข้าพเจ้าได้ร้องขอให้ราษฎรได้มีโอกาสออกเสียง
ก่อนที่จะเปลี่ยนหลักการและนโยบายอันสำคัญ มีผลได้เสียแก่พลเมืองรัฐบาลก็ไม่ยินยอม
และแม้แต่การประชุมในสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องสำคัญ เช่น เรื่องคำร้องขอต่างๆ ของข้าพเจ้า
สมาชิกก็มิได้มีโอกาสพิจารณาเรื่องโดยถ่องแท้ และละเอียดละออเสียก่อน เพราะถูกเร่งรัดให้ลงมติอย่างรีบด่วน ภายในวาระประชุมเดียว
นอกจากนี้รัฐบาลได้ออกกฎหมายใช้วิธีปราบปรามบุคคล ซึ่งถูกหาว่าทำความผิดทางการเมืองในทางที่ผิดยุติธรรมของโลก.....คือไม่ให้โอกาสต่อสู้คดีในศาล มีการชำระโดยคณะกรรมการอย่างลับไม่เปิดเผย
ซึ่งเป็นวิธีการที่ข้าพเจ้าไม่เคยใช้ในเมื่ออำนาจอันสิทธิขาดยังอยู่ในมือของข้าพเจ้าเอง
และข้าพเจ้าได้ร้องขอให้เลิกวิธีนี้ รัฐบาลก็ไม่ยอม.....ข้าพเจ้าเห็นว่าคณะรัฐบาลและพวกพ้อง
ใช้วิธีการปกครองซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคล และหลักความยุติธรรมตามความเข้าใจ และยึดถือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใด คณะใด “ ใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้ ” ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป
แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด
และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร.....บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ความประสงค์ของข้าพเจ้า ที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทาง ที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือให้ความคุ้มครองให้แก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว.....ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติ และออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป.....ข้าพเจ้าขอสละสิทธิของข้าพเจ้าทั้งปวง ซึ่งเป็นของข้าพเจ้าอยู่ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์.....แต่ข้าพเจ้าสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวง อันเป็นของข้าพเจ้าแต่เดิมมาก่อนที่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์
อนึ่ง ข้าพเจ้าไม่มีความประสงค์ที่จะบ่งนามผู้ใดผู้หนึ่ง ให้เป็นผู้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ต่อไปตามที่ข้าพเจ้ามีสิทธิ
ที่จะทำได้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ อนึ่ง ข้าพเจ้าไม่มีความประสงค์ที่จะให้ผู้ใดก่อการไม่สงบขึ้นในประเทศ เพื่อประโยชน์ของข้าพเจ้า
ถ้าหากมีใครอ้างใช้นามของข้าพเจ้า พึงเข้าใจว่ามิได้เป็นไปโดยความยินยอมเห็นชอบ หรือความสนับสนุนของข้าพเจ้า.....ข้าพเจ้ามีความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถจะยังประโยชน์ให้แก่ประชาชนและประเทศชาติของข้าพเจ้าต่อไปได้ ตามความตั้งใจและความหวัง ซึ่งรับสืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ยังได้แต่ตั้งสัตยอธิษฐาน ขอให้ประเทศสยามจงได้ประสบความเจริญ
และขอให้ประชาชนชาวสยามจงได้มีความสุขความสบาย
(พระปรมาภิไธย) ประชาธิปก ปร
วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗
เวลา ๑๓ นาฬิกา ๕๕ นาที
========================================================
รัฐบาลของฝ่ายผู้ก่อการได้ยื่นฟ้อง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจำเลยที่ 1 และสมเด็จพระนางเจ้า รำไพพรรณี เป็นจำเลยที่ 2 ให้ชดใช้เงินแก่กระทรวงการคลัง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,272,712 บาท 92 สตางค์ (หกล้านสองแสนเจ็ดหมื่นสองพันเจ็ดร้อยสิบสองบาท เก้าสิบสองสตางค์)
การฟ้องร้องครั้งนี้ ช็อกประชาชนคนไทยทั้งประเทศตกตะลึงพรึงเพริด เพราะไม่มีใครคาดคิดเลย ว่า
รัฐบาลนั้นจะทำอัปรีย์ ถึงขั้นฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ของชาติ…ได้ลงคอ!
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ โจทก์คือกระทรวงการคลัง โดย หลวงประดิษฐมนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ได้ขอให้ศาลสั่งยึดทรัพย์จำเลยระหว่างการพิจารณาไว้ก่อนด้วย โดยอ้างเหตุผลคือ
เกรงจำเลยทั้งสอง จะยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน!!
แม้คณะราษฎรจะกุมอำนาจได้แล้ว ยังได้พยายามกระทำการ อันเป็นการมุ่งร้าย และมีผลกระทบต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทำให้เรามองเห็นถึงความอาฆาตมาดร้าย ของฝ่ายผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง
คงเป็นเพราะคนพวกนี้ เกรงว่าราษฎรอาจหันกลับมา หนุนให้มีการปกครองในระบอบเก่า คือระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) กันอีกครั้ง
หลังการยึดอำนาจ ยังคงมีความขัดแย้งระหว่าง ร.7 กับคณะราษฎร.....เพราะทรงไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะให้มีบทเฉพาะกาล ให้คณะผู้ก่อการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเอาไว้ 10 ปี แล้วจึงเปลี่ยนการปกครองไปอยู่ในมือของประชาชน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พร้อมพระราชินี ได้เดินทางออกนอกประเทศ เพื่อไปรับการรักษาพระเนตร เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2476
ความขัดแย้งระหว่าง ร.7 และรัฐบาลดำเนินไปจนถึงขั้นแตกหัก พระองค์ทรงลาออกจากราชสมบัติในที่สุด เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2477 เวลา 13 นาฬิกา 45 นาที!
เมื่อทรงลาออกไปแล้ว รัฐบาลไม่รอช้าที่จะออกพระราชบัญญัติ เพื่อจัดการทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์
โดยมุ่งจะยึดเอา “พระคลังข้างที่” (เงินสะสมของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี สืบมาแต่รัชกาลที่ 3 ซึ่งทรงค้าขายเก่งมาก่อนครองราชย์ และได้ทรงนำเงินนั้นใส่ “ถุงแดง” ไว้ข้างแท่นพระบรรทม จึงเรียกว่า “พระคลังข้างที่”…วาทตะวัน) โดยออกเป็นกฎหมายชื่อว่า “พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479” และเริ่มใช้บังคับตั้งแต่ 15 มิถุนายน 2479 เป็นต้นมา
พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้แยกทรัพย์สินหรือสิทธิ ออกเป็นสองส่วนคือ
“ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” และ “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” และ “ทรัพย์สินส่วนสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน”
ปัญหาการฟ้องร้องเกิดขึ้น เมื่อผู้ก่อการกลุ่มหนุ่มในตอนนั้นซึ่งอยู่ภายใต้การนำของ หลวงประดิษฐมนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ที่จ้องมอง ‘ถุงเงิน’ อย่าง ‘พระคลังข้างที่’ ตาเป็นมัน
ด้วยความมุ่งหมายที่จะยึดเอามาเป็นของรัฐ เพื่อนำมาเป็นทุนในการจัดระบอบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (แต่ถูกวิจารณ์ว่า “คอมมิวนิสต์”) ได้ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบบัญชีพระคลังข้างที่ ซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงฐานะ มาอยู่ในกำกับดูของกระทรวงการคลัง ตามกฎหมายใหม่ ที่ว่าด้วยการจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ปรากฏว่าคณะกรรมการชุดนี้ ได้พบเงินหายไปหลายรายการ ซึ่งเป็นเงินที่ฝากไว้ในนามของพระมหากษัตริย์ไทย ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าหลวง ในธนาคารของต่างประเทศ
รัฐบาลของฝ่ายผู้ก่อการได้ยื่นฟ้อง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจำเลยที่ 1 และสมเด็จพระนางเจ้า รำไพพรรณี เป็นจำเลยที่ 2 ให้ชดใช้เงินแก่กระทรวงการคลัง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,272,712 บาท 92 สตางค์
(หกล้านสองแสนเจ็ดหมื่นสองพันเจ็ดร้อยสิบสองบาท เก้าสิบสองสตางค์)
การฟ้องร้องครั้งนี้ ช็อกประชาชนคนไทยทั้งประเทศตกตะลึงพรึงเพริด เพราะไม่มีใครคาดคิดเลย ว่า
รัฐบาลนั้นจะทำอัปรีย์ ถึงขั้นฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ของชาติ…ได้ลงคอ!
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ โจทก์คือกระทรวงการคลัง โดย หลวงประดิษฐมนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)
ได้ขอให้ศาลสั่งยึดทรัพย์จำเลยระหว่างการพิจารณาไว้ก่อนด้วย โดยอ้างเหตุผลคือ
เกรงจำเลยทั้งสอง จะยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน!!
อธิบดีศาลแพ่ง คุณพระสุทธิอรรถนฤมนต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งในเวลานั้นมีคำสั่งว่า “ไม่อนุญาต” ตามคำร้องของโจทก์ ที่ขอยึดทรัพย์จำเลยไว้ระหว่างการพิจารณา แต่ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในคอนนั้น มีคำสั่งย้ายพระสุทธิอรรถนฤมนต์ ขึ้นไปดำรงตำแหน่งในศาลฎีกาเอาดื้อๆ
แต่ยังครับ ยังไม่ใช่แค่นั้น…เพราะยังมีดาบสองตามมาอีก ที่น่าตกใจมากๆก็คือ ไม่กี่เดือนถัดมา ได้มีคำสั่งให้คุณพระสุทธิอรรถนฤมนต์ ออกจากราชการฐาน…รับราชการนาน! นี่คือความระยำ ของฝ่ายผู้ถืออำนาจ…รังแกผู้พิพากษา!!
(คุณพระสุทธิอรรถนฤมนต์ ต้องออกจากราชการไปนานกว่า สี่ปี ก่อนมีคำสั่งจากรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ให้กลับเข้ารับราชการอีกครั้ง) เมื่อย้ายคุณพระสุทธิอรรถนฤมนต์ได้แล้ว.....ความพยายาม ของรัฐบาลโดยผู้ก่อการกลุ่มหนุ่ม ในการเข้ายึดทรัพย์ของพระมหากษัตริย์ ก็สัมฤทธิผล....โดย น.อ.หลวงกาจสงคราม รัฐมนตรีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นกรรมการตรวจรับงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจบัญชีด้วย...ได้นำเจ้าหน้าที่กองหมายของศาล และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอีกหนึ่งโขยง บุกเข้าวังศุโขทัย เพื่อทำการปิดหมายยึดทรัพย์
…คนพวกนี้กลับรู้สึกผิดหวังเป็นอันมาก เพราะพวกเขาคิดว่าจะได้พบเงินทองและทรัพย์สินมีค่ามหาศาล กลับต้องผิดหวังเป็นที่สุด เพราะทรัพย์สินทั้งหมด รวมอสังหาริมทรัพย์คือตัววังสุโขทัยด้วย ก็มีมูลค่าเพียง 3 ล้านกว่าบาทเท่านั้น
การพิจารณาคดีดำเนินไปหลายปี จนกระทั่งในที่สุดศาลได้มีคำสั่ง ตามคดีหมายเลขดำที่ 242/2482
คดีหมายเลขแดง ที่ 404/2484 ลงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2484 (พิพากษาหลังสวรรคตแล้ว) ให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจำเลยที่ 1 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี จำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายแพ้คดี!
รัฐบาลยึดวังสุโขทัยและริบทรัพย์สินอื่นของพระปกเกล้าฯ เพื่อนำไปขายทอดตลาด แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ขาย
ต่อมาในปี พ.ศ.2485 กระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็นกระทรวงที่ตั้งขึ้นใหม่ก็ได้ขอเช่าวังศุโขทัยจากกระทรวงการคลังในอัตรา 5,000 บาทต่อเดือน เพื่อใช้เป็นที่ทำการ จนกระทั่งย้ายออกไปในเดือนพฤศจิกายน 2493
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2489 ขณะนั้นเป็นรัฐบาลของพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รัฐบุรุษอาวุโส
ได้บันดาลให้เกิดสัญญาประนีประนอมประวัติศาสตร์ขึ้นระหว่างรัฐบาลกับจำเลยที่ 2 ในคดีที่รัฐบาลเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง
คือ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี และกองมรดกผลประโยชน์ทั้งหลายของเจ้าฟ้าประชาธิปก
มีสาระสำคัญว่า บรรดาทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหลายที่ผูกพันกันอยู่นั้น เป็นอันให้เลิกแล้วต่อกัน รัฐบาลได้มาแล้วเท่าไรก็เอาเท่านั้น และหลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้ย้ายออกไปแล้ว ทางการก็ได้ถวายวังศุโขทัยคืนแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเพื่อเป็นที่ประทับต่อไป
_________________
บทความชิ้นนี้ หาได้มีเจตนาที่จะก้าวล่วงหรือลบหลู่สถาบันเบื้องสูงแต่อย่างใดไม่
เพียงเพื่อนำมาเสนอเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง น้ำพระทัยพระราชาผู้ทรงธรรม ผู้ปกป้องชีวิตคนไทย ทั้งขณะเสวยราชย์และหลังการสละราชสมบัติ กับ พวกที่ใฝ่สูงแต่ไร้ซึ่งธรรม ทำทุกอย่างได้ เพียงเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตน
_________________
[๑] คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๗๘/๒๔๘๒ ระหว่าง กระทรวงการคลัง โจทก์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จำเลยที่ ๑กับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี จำเลยที่ ๒
แฉคณะราษฎร ยึดทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เข้าพกเข้าห่อ....
สมัยรัฐบาล พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้า “คณะราษฎร” ได้ออก “พระราชบัญญัติจัดทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์”
เมื่อ 31 มี.ค. 2480 เพื่อจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ใหม่
โดยจะโอนพระคลังข้างที่ ซึ่งเดิมอยู่กับสำนักพระราชวัง ไปขึ้นกับกระทรวงการคลัง แต่ก่อนที่จะรับโอน กระทรวงการคลัง ได้ขอให้สำรวจและจัดทำบัญชีให้เรียบร้อยก่อน
พบว่า บุคคลสำคัญในวงการรัฐบาล หลายคนอยากได้ที่ดินบางแปลงไว้ปลูกบ้าน
พระดุลยธารปรีชาไว รัฐมนตรีรักษาการณ์ กำกับดูแลสำนักพระราชวังแทนนายกฯ ได้ทำหนังสือแจ้งต่อคณะผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์ ซึ่งประกอบด้วย พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา พระยายมราช และ พล.อ.เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ซึ่งคณะผู้สำเร็จราชการฯ ก็ไม่ขัดข้อง พระดุลยธารฯ จึงนำที่ดินเหล่านั้น มาขายแบบผ่อนส่งในราคาถูกๆ ซึ่งผู้ซื้อก็ล้วนแต่อยู่ในกลุ่มพรรคพวกรัฐบาล โดย พระดุลยธารฯ เอง ซื้อที่ดินย่านสำเพ็งไว้แปลงหนึ่งในราคา 14,000 บาท
นายเลียง ไชยกาล ส.ส. ปากกล้าแห่งอุบลราชธานี ทราบเรื่อง ยื่นกระทู้ด่วนถามนายกรัฐมนตรี ทำให้ พ.อ.หลวงพิบูลสงคราม รมต.กลาโหม และ พล.ร.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ รมต.มหาดไทย ซึ่งซื้อไว้เหมือนกัน รีบเอาไปคืนทันที อ้างว่าซื้อไว้เพราะไม่รู้ เลยถูกลบชื่อออกจากรายชื่อผู้ซื้อไป
1. พระยาฤทธิอัคเนย์ โฉนดเลขที่ 3243 อ.บางรัก ราคา 8,000 บาท
2. พระยาฤทธิอัคเนย์ โฉนดเลขที่ 3130 อ.บางรัก ราคา 700 บาท
3. พระยาฤทธิอัคเนย์ โฉนดเลขที่ 2610 อ.บางรัก ราคา 1,300 บาท
4. นายนเรศธิรักษ์ โฉนดเลขที่ 4104 อ.บางซื่อ ราคา 4,000 บาท
5. นายวิลาส โอสถานนท์ โฉนดเลขที่ 3845 อ.บางรัก ราคา 6,000 บาท
6. พระพิจิตรราชสาร โฉนดเลขที่ 4243 อ.บางซื่อ ราคา 5,954 บาท
7. หลวงนิเทศกลการ โฉนดเลขที่ 576 อ.บางซื่อ ราคา 7,105 บาท
8. นายเอก ศุภโปฎก โฉนดเลขที่ 1336 อ.บางกอกใหญ่ ราคา 2,844 บาท
9. หลวงชำนาญนิติเกษตร โฉนดเลขที่ 3849 อ.บางรัก ราคา 9,231 บาท
10. นายแสวง มหากายี โฉนดเลขที่ 522,2383 อ.บางรัก ราคา 4,070 บาท
11. นายสอน บุญจูง โฉนดเลขที่ 2395,2400 อ.สัมพันธววงศ์ ราคา 5,584 บาท
12. นายนรราชา โฉนดเลขที่ 2110 อ.บางรัก ราคา 6,615 บาท
13. หลวงอรรถสารประสิทธิ์ โฉนดเลขที่ 3473 อ.บางรัก ราคา 10,729 บาท
14. นายประจวบ บุรานนท์ โฉนดเลขที่ 6943 อ.บางซื่อ ราคา 11,790 บาท
15. นายจำนง ราชกิจ โฉนดเลขที่ 433 อ.พระนคร ราคา 6,134 บาท
16. ร.อ.กระวีฯ โฉนดเลขที่ 380 อ.ดุสิต ราคา 5,480 บาท
17. ร.อ.กุหลาบฯ โฉนดเลขที่ 484,530,460 อ.สำเพ็ง ราคา 6,734 บาท
18. หลวงยุทธศาสตร์โกศล โฉนดเลขที่ 1467,6128 อ.บางซื่อ ราคา 10,303 บาท
19. พระดุลยธารณ์ประชาไวท์ โฉนดเลขที่ 2486 อ.สำเพ็ง ราคา 14,000 บาท
เรื่องนี้ก็จบลงโดย ผู้ซื้อไว้ต้องคืนที่ดินทั้งหมด และสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเลือก คณะผู้สำเร็จราชการชุดเดิม กลับเข้ารับตำแหน่งอีก
เช่นเดียวกับ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนให้กลับเข้ารับตำแหน่งนายกฯ อีกสมัย
แฉ
Siriwanna Jill New
คณะราษฏร์ ปล้นพระราชอำนาจ และปล้นพระราชทรัพย์
ตั้งแต่ราชวงศ์จักรีปกครองสยามมา ทุกพระองค์มีแต่พระราชทานพระราชทรัพย์ให้ประชาชนเสมอมา แม้แต่สวรรคตก็ยังพระราชทานให้ตลอดเช่นในรัชกาลที่สาม
มีคนกลุ่มเดียวที่เอาของพระเจ้าแผ่นดินไปขายกันเองนั่นคือ คณะราษฎร
พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้า “คณะราษฎร” ออกพระราชบัญญัติจัดทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 31 มี.ค. 2480 เพื่อ "จัดการ"กับทรัพย์สมบัติของสถาบัน โอนพระคลังข้างที่ขึ้นกับกระทรวงการคลัง แต่ก่อนโอน พบว่า
"รัฐบาล" หลายคนอยากได้ที่ดินบางแปลงไว้ปลูกบ้านจึงนำที่ดินเหล่านั้น มาขายแบบผ่อนส่งในราคาถูกๆ ซึ่งผู้ซื้อก็ล้วนแต่อยู่ในกลุ่มพรรคพวกรัฐบาล พระดุลยธารฯ เอง ซื้อที่ดินย่านสำเพ็งไว้แปลงหนึ่งในราคา 14,000 บาท
พระยาฤทธิอัคเนย์โฉนดเลขที่ 3243 อ.บางรัก ราคา 8,000 บาท
พระยาฤทธิอัคเนย์ โฉนดเลขที่ 3130 อ.บางรัก ราคา 700 บาท
พระยาฤทธิอัคเนย์โฉนดเลขที่ 2610 อ.บางรัก ราคา 1,300 บาท
นายนเรศธิรักษ์โฉนดเลขที่ 4104 อ.บางซื่อ ราคา 4,000 บาท
นายวิลาส โอสถานนท์โฉนดเลขที่ 3845 อ.บางรัก ราคา 6,000 บาท
พระพิจิตรราชสารโฉนดเลขที่ 4243 อ.บางซื่อ ราคา 5,954 บาท
หลวงนิเทศกลการโฉนดเลขที่ 576 อ.บางซื่อ ราคา 7,105 บาท
นายเอก ศุภโปฎกโฉนดเลขที่ 1336 อ.บางกอกใหญ่ ราคา 2,844 บาท
หลวงชำนาญนิติเกษตรโฉนดเลขที่ 3849 อ.บางรัก ราคา 9,231 บาท
นายแสวง มหากายีโฉนดเลขที่ 522,2383 อ.บางรัก ราคา 4,070 บาท
นายสอน บุญจูงโฉนดเลขที่ 2395,2400 อ.สัมพันธววงศ์ ราคา 5,584 บาท
นายนรราชาโฉนดเลขที่ 2110 อ.บางรัก ราคา 6,615 บาท
หลวงอรรถสารประสิทธิ์โฉนดเลขที่ 3473 อ.บางรัก ราคา 10,729 บาท
นายประจวบ บุรานนท์ โฉนดเลขที่ 6943 อ.บางซื่อ ราคา 11,790 บาท
นายจำนง ราชกิจโฉนดเลขที่ 433 อ.พระนคร ราคา 6,134 บาท
ร.อ.กระวีฯโฉนดเลขที่ 380 อ.ดุสิต ราคา 5,480 บาท
ร.อ.กุหลาบฯโฉนดเลขที่ 484,530,460 อ.สำเพ็ง ราคา 6,734 บาท
หลวงยุทธศาสตร์โกศลโฉนดเลขที่ 1467,6128 อ.บางซื่อ ราคา 10,303 บาท
พระดุลยธารณ์ประชาไวท์โฉนดเลขที่ 2486 สำเพ็ง ราคา 14,000 บาท
ภาษาสมัยนี้เรียกว่า หวานเจี๊ยบ
เปิดผลสอบปล้นพระคลังข้างที่ 87 ปีที่แล้ว (ตอนที่ 1): 12 คน “ยังไม่ถวายที่ดินพระคลังข้างที่คืน”
----------------------------------------------------------------------
เปิดผลสอบปล้นพระคลังข้างที่ 87 ปีที่แล้ว (ตอนที่ 1): 12 คน “ยังไม่ถวายที่ดินพระคลังข้างที่คืน”
----------------------------------------------------------------------
รายงานผลสอบสวนของคณะกรรมการเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินของพระคลังข้างที่ หรือสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปัจจุบันเป็นรายงานที่ทำโดยสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อปี พ.ศ.2480 เกี่ยวกับพฤติกรรมและวิธีการของสมาชิกคณะราษฎรซึ่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 ในการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาถูกๆมาเป็นกรรมสิทธิของตัวเองและพวกพ้อง
โดยย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2480 หลังการปฏิวัติ 2475 ได้ราว 5 ปี นายเลียง ไชยกาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุบลราชธานี ได้ตั้งกระทู้ถามเรื่องที่นักการเมืองในฝ่ายรัฐบาลซึ่งรวมถึงอดีตผู้ก่อการคณะราษฎร และรวมถึงข้าราชการ ประมาณ 38 คนได้แห่รุมซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาถูกๆ
หลังจากตั้งกระทู้ถามแล้ว นายไต๋ ปาณิกบุตร ส.ส.จังหวัดพระนคร ก็ได้เข้าชื่อเพื่อการอภิปรายกรณีเดียวกันนี้เพื่อรุกไล่รัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
การอภิปรายในครั้งนั้นนายเลียง ไชยกาล พาดพิงไปถึงพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งเป็นประธานคณะผู้สำเร็จราชการ ซึ่งได้ขายที่ดินส่วนตัวของพระองค์ คือโรงเรียนการเรือนในราคาแพงๆ คือตารางวาละ 35 บาทให้กับสำนักพระคลังข้างที่ ทั้ง ๆ ที่ราคาที่ดินใกล้เคียงมีราคาเพียงตารางวาละ 15 บาท
ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้นต่อมาคือ วันที่ 28 กรกฎาคม 2480 พระยามานวราชเสวี (ปลอดวิเชียร ณ สงขลา) ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้แจ้งต่อที่ประชุม 2 เรื่อง คือ
เรื่องที่ 1 พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แจ้งใคร่จะขอลาออกจากตำแหน่ง โดยทรงอ้างว่าเพราะถูกพาดพิงในสภามาก และเป็นผลทำให้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีก 2 ท่านลาออกด้วย คือ เจ้าพระยายมราช และ เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน
เรื่องที่ 2 นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีลาออกทั้งคณะ
ต่อมา วันที่ 4 สิงหาคม 2480 สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติให้คณะผู้สำเร็จราชการกลับมาดำรงตำแหน่งเหมือนเดิม
อีก 3 วันต่อมา ในวันที่ 7 สิงหาคม 2480 สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงมติให้นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนเดิม
ต่อมา วันที่ 11 สิงหาคม 2480 สภาผู้แทนราษฎรก็ได้เปิดวาระการลงมติไว้วางใจคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และอภิปรายต่อในเรื่องคดีการรุมซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาถูกๆ ของอดีตคณะผู้ก่อการคณะราษฎรและข้าราชการ โดยยังไม่ได้มีการแก้ไขใด ๆ
พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี จึงได้ยืนยันว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมา โดยไม่ใช่คนของรัฐบาล แต่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลังจากนั้นที่ประชุมจึงมีมติเสียงข้างมากไว้วางใจรัฐบาลชุดนี้
ต่อมาวันที่ 12 สิงหาคม 2480 คณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาซื้อขายที่ดินบางรายของพระคลังข้างที่ 5 คนโดยมี เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) เป็นประธานกรรมการ ต่อมาเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) ได้ขอถอนตัวออกจากการเป็นประธานกรรมการ คณะรัฐมนตรีจึงแต่งตั้ง พระยานลราชสุวัจน์ (ทองดี นลราชสุวัจน์) เป็นประธานแทน
ผ่านไปอีก 8 เดือน ข้ามไปเป็นปี 2481 ผลการสอบก็ยังไม่เผยแพร่ออกมา ทำให้ในวันที่ 8 มีนาคม 2481 นายเลียง ไชยกาล ส.ส.จังหวัดอุบลราชธานี ได้ตั้งกระทู้ถามติดตามผลการสอบสวนต่อพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี
โดยพระยาพหลพลพยุหเสนา ก็ได้แต่บ่ายเบี่ยงอ้างว่าคณะกรรมการวินิจฉัยหมดแล้วและรัฐบาลก็ได้ดำเนินการตามคำวินิจฉัยเกือบหมดแล้ว(หมายถึงคืนที่ดินกลับเกือบหมดแล้ว)
นายเลียง ไชยกาล จึงเรียกร้องให้โฆษณาเผยแพร่รายงานการสอบ แต่พระยาพหลพลพยุหเสนาอ้างว่าเนื่องจากรายงานต่อประธานสภาไปแล้วจึงแล้วแต่สภา
ปรากฏว่า พระยามานนวราชเสวี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ตัดบทแจ้งว่าจะไม่แจกรายงานฉบับเต็มนี้ในที่ประชุม โดยอ้างว่าให้อ่านแบบสรุปตามที่รัฐบาลได้ส่งไปลงหนังสือพิมพ์ เท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องเผยแพร่ในรายละเอียดแล้ว
โดยพระยามานนวราชเสวี ประธานสภาผู้แทนราษฎรอ้างต่อว่า
“ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นประธานสภาฯ ข้าพเจ้าได้รับรายงานก่อนใครๆ หมด เมื่อกรรมการพิจารณาเสร็จแล้ว รัฐบาลชุดเก่าได้ส่งมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้อ่านเสร็จแล้วก็เก็บใส่กุญแจไว้”
ต่อมาทราบว่า รัฐบาลได้ลงคำแถลงผลการสอบสวนโดยสรุปในหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2480 แต่ไม่มีการเปืดเผยรายละเอียดผลการสอบสวนทั้งหมดที่ไหนอีกเลย
ด้วยเหตุนี้ รายงานทั้งหมดได้เป็นความลับมานานถึง 8 ทศวรรษครึ่ง หรือ 87 ปี ตั้งแต่ปี 2480 จนถึงปัจจุบันปี 2567 ยังไม่มีใครได้เห็นรายงานฉบับเต็มเลย ด้วยเพราะรายงานฉบับเต็มนั้นมีความหน้า 71 หน้า
คงมีแต่รายงานในผู้จัดการออนไลน์เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2566 ที่ได้รายงานภาพรวมเอาไว้
ทั้งนี้ด้วยเพราะนักการเมืองอดีตสมาชิกคณะราษฎรที่ก่อการรัฐประหารปี พ.ศ. 2475 พร้อมด้วยข้าราชการ ได้เร่งซื้อโอนที่ดิน ตัดหน้าก่อนที่ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 จะประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับในวันที่ 19 กรกฎาคม 2480
เพราะการโอนหรือจำหน่ายที่ดินพระคลังข้างที่ภายใต้กฎหมายฉบับใหม่นี้ จะต้องทำโดยพระบรมราชานุมัติเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือ เพื่อประโยชน์แก่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เท่านั้น มิใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของพวกอดีตผู้ก่อการของคณะราษฎร
โดยรายงานผลการสอบสวนดังกล่าวได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 7 ในรายงานความบางตอนที่น่าสนใจความว่า
“มีกรณีที่พระคลังข้างที่ให้ขายที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปรวม 28 ราย ได้มีบัญชาคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้ขายแล้ว แต่ยังมิได้กระทำการโอนทะเบียนการซื้อขายรวม 10 ราย
คงมีที่พระคลังข้างที่รับซื้อไว้เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2 รายเท่านั้น คือ ซื้อจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา รายหนึ่ง กับ ซื้อจากนายจิตตะเสนปัญจะอีกรายหนึ่ง…..”
ความบางตอนใน หน้าที่ 7 ยังได้รายงานเพิ่มเติมอีกด้วยว่า….
“ข้อเท็จจริงส่วนใหญ่เป็นไปในทำนองเดียวกัน กล่าวคือ ในกรณีที่พระคลังข้างที่เป็นผู้ขายปรากฏว่าผู้ซื้อได้ถวายหนังสือขอพระราชทานพระมหากรุณายื่นต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ข้อความในหนังสือนั้นเป็นในทำนองเดียวกัน คือ ปรารภถึงความจำเป็นในส่วนตัวและหน้าที่ราชการว่าจะต้องมีที่อยู่เป็นหลักฐาน และขอซื้อที่ ที่นั่นที่นี่
บางรายก็เสนอราคาขึ้นไป บางรายก็มิได้เสนอราคา
โดยขอเป็นทำนองเดียวกันว่าจะผ่อนใช้ราคาเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่าเท่านั้นเท่านี้ หรือปีหนึ่งไม่ต่ำกว่าเท่านั้นเท่านี้”
และความบางตอนระบุเอาไว้หน้าที่ 8 ว่า
“เมื่อเรื่องพร้อมด้วยคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่พระคลังข้างที่และความเห็นของนายกรัฐมนตรี ขึ้นไปถึงคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว ทุกเรื่องได้มีบัญชาสั่งเป็นทำนองเดียวกันมีความว่า
ผู้ขอพระมหากรุณาเป็นผู้มีความดีความชอบในราชการแผ่นดินและนายกรัฐมนตรีก็ได้ถวายความเห็นว่าควรอยู่ในข่ายพระมหากรุณา จึงให้ขายที่ๆของพระราชทานเป็นราคาเท่านั้นเท่านี้ (คือราคาที่เจ้าหน้าที่พระคลังข้างที่ตีขึ้นมาก) …”
ข้อความสำคัญคือ “และเกือบทุกรายให้ลดราคาลง 1 ใน 3 ในฐานพระมหากรุณา แล้วให้โอนโฉนดให้ไป ส่วนราคาให้ผ่อนใช้ตามส่วนที่ขอพระราชทานขึ้นมา”
นอกจากนั้นในรายงานหน้าที่ 9 ยังระบุด้วยว่า เรื่องนี้ดำเนินกันไปอย่าง “ลับ” และ “ด่วน” ความว่า…
“การซื้อขายที่ดินได้กระทำกันภายในเดือนกรกฎาคมนั้น ได้ความตามคำเจ้าหน้าที่ในสำนักพระราชวังว่า เอกสารราชการที่มีใบมาเกี่ยวข้องแก่การนี้เกือบทุกฉบับมีคำว่า “ลับ” และ “ด่วน”
และปรากฏว่าคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ยังได้มีบัญชาสั่งมาทางสำนักพระราชวังเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2480 อีกด้วยว่า
“โดยที่วันนี้มีเรื่องที่ขอพระมหากรุณาเสนอขึ้นมาหลายรายรวมด้วยกัน และอนุญาตให้ขายได้ตามที่ขอพระมหากรุณาขึ้นมา
ว่าด้วยตามทางการแล้ว เมื่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีมติแล้ว จะต้องทำหนังสือส่งสำนักงานพระคลังข้างที่ แต่ทั้งนี้เพื่อจะให้เรื่องเหล่านี้ได้ดำเนินไปโดยรวดเร็ว
ให้ราชเลขานุการในพระองค์เชิญบัญชาคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทั้งนี้ ไปให้เลขาธิการพระราชวังเพื่อดำเนินการต่อไปให้ทันการ”
ในบัญชาสั่งฉบับนี้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ลงนาม 2 ท่านคือ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน โดยปราศจากการลงนามจากเจ้าพระยายมราช
การสอบสวนได้สรุปว่าการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในครั้งนั้น ปรากฏว่าไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ทำให้การโอนที่ดินกระทำไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดยในรายงานฉบับดังกล่าวหน้าที่ 65-69 ระบุว่า
“ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 57 ว่าพระบรมราชโองการที่โปรดเกล้าฯ ให้ซื้อและขายนั้น จะต้องมีรัฐมนตรีนายหนึ่งลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้รับผิดชอบ”
ปรากฏว่าในช่องคำสั่งนั้น มีรัฐมนตรีนายหนึ่งคือ พระดุลยธารณ์ปรีชาไวท์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีผู้บังคับบัญชาสำนักพระราชวัง เขียนคำว่า“ทราบ”ลงไปคำเดียวแล้วลงนามและวันที่หน้าในบันทึกเรื่อง แทนที่จะลงนามต่อท้ายพระปรมาภิไธย ซึ่งเป็นแบบแผนเดียวกับทุกพระราชบัญญัติ
คณะกรรมการพิจารณาลงความเห็นในหน้า 67 ความว่า
“การลงนามว่า “ทราบ” หน้าบันทึกเรื่องของพระดุลยธารณ์ปรีชาไวท์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรี ไม่ถือว่าเป็นการรับสนองพระบรมราชโองการ ผลทางกฎหมายจึงทำให้การซื้อขายที่ดินเหล่านี้ ยังหาได้มีพระบรมราชโองการซึ่งมีผลเป็นการสมบูรณ์ในทางกฎหมายให้ซื้อให้ขายได้ไม่”
และคณะกรรมการยังให้ความเห็นต่อในรายงานหน้า 68 ด้วยว่า
“ในกรณีที่พระคลังข้างที่ขายที่เหล่านี้ ไม่ต้องด้วยลักษณะการซื้อโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1330, 1332 และ 1333 จึงเห็นว่าผู้ซื้อทุกคนไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ตนรับซื้อ
และเห็นว่าเจ้าของทรัพย์สิน คือพระมหากษัตริย์ย่อมมีสิทธิที่จะติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336”
และข้อความสุดท้ายคณะกรรมการได้ปิดท้ายในรายงานหน้าที่ 71 เอาไว้ว่า
“ข้อที่ให้มีการสนองพระบรมราชโองการนี้เป็นกฎหมาย เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน (Public Order) อีกด้วย สัญญาซื้อขายที่กระทำแล้วนั้นจึงเป็นการเสียเปล่า ไม่บังเกิดผลผูกพันแก่ฝ่ายใดเลย คู่กรณีย่อมคืนสู่ฐานะเดิม
วันที่ 26 ตุลาคม พุทธศักราช 2480
ลงนามโดย
นลราชสุวัจน์ (ทองดี นลราชสุวัจน์) ประธานกรรมการ
อรรถการียนิพนธ์ (สิทธิ จุณณานนท์) กรรมการ
อชราชทรงสิริ (แม้น อรุณลักษณ์) กรรมการ
พลางกูรธรรมพิจัย (เผดิม พลางกูร) กรรมการ
พระยาสารคามคณาภิบาล (ทิพย์ โรจน์ประดิษฐ์) กรรมการ”
เนื่องจากรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องมีทั้งสิ้นมากถึง 38 ราย เพื่อความง่ายต่อการแบ่งหมวดหมู่ จึงสามารถ รายละเอียดออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก คือ กลุ่มที่คณะกรรมการสอบสวนระบุว่าได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ไปแล้วและยังไม่ได้คืนที่ดินจำนวน 12 ราย
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่คณะกรรมการสอบสวนระบุว่าได้ซื้อและได้รับโอนที่ดินพระคลังข้างที่ไปแล้ว (กระทำผิดสำเร็จแล้ว) แต่ต่อมาได้ยอมถวายคืนหรืออยู่ระหว่างการคืนจำนวน 14 ราย
กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มที่คณะกรรมการสอบสวนระบุว่าได้เตรียมซื้อที่ดินเอาไว้แล้วแต่ยังไม่ทันได้รับโอนที่ดิน จำนวน 10 ราย
สำหรับในตอนแรกนี้ จะนำเสนอในรายละเอียดเฉพาะกลุ่ม 1 จำนวน 12 รายที่มีการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ไปแล้ว และในรายงานระบุว่า “ยังไม่ได้ถวายคืน” มีรายละเอียดดังนี้
รายที่ 1 ร้อยเอกขุนนิรันดรชัย (สเหวก นิรันดร) อดีตสมาชิกคณะราษฎรสายทหารบกผู้ช่วยราชเลขานุการ มีการซื้อที่ดิน 2 ครั้ง
ครั้งแรก วันที่ 12 พฤศจิกายน 2478 ร้อยเอกขุนนิรันดรชัย (สเหวก นิรันดร)ซื้อที่ดินจากพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 2176 เนื้อที่ 400 ตารางวา ริมถนนราชวิถีอำเภอดุสิต ซื้อราคา 4,000 บาท โดยผ่อนใช้เดือนละ 100 บาท โดยในรายงานระบุเอาไว้หน้า 10 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน” ปัจจุบันคือพื้นที่ รร.โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส ดุสิต บริเวณหัวมุมหน้าพระราชวังสวนจิตรลดา
ครั้งที่สอง วันที่ 7 มกราคม 2479ร้อยเอกขุนนิรันดรชัย (สเหวก นิรันดร)ซื้อที่ดินจากพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 2306 เนื้อที่ 191 1/2 ตารางวา ริมถนนราชวิถี อำเภอดุสิต ซื้อมาในราคา 3,915 บาท โดยผ่อนใช้เดือนละ 100 บาท โดยในรายงานระบุเอาไว้หน้า 11 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน” โดยระบุหมายเหตุในรายงานในหน้า 11 อีกด้วยว่า
“การที่นายร้อยเอกขุนนิรันดรชัย ขอพระราชทานซื้อที่ดินรายนี้ ก็เพื่อขยายที่ๆ นายร้อยเอก ขุนนิรันดรชัยมีอยู่แต่เดิม และที่ขอพระราชทานซื้อครั้งแรกให้กว้างขวางขึ้นเพราะที่เหล่านี้เป็นที่ติดต่อกัน”
โดยพลโทสรภฏ นิรันดร บุตรชายของขุนนิรันดรชัยเคยให้สัมภาษณ์ว่า ขุนนิรันดรชัย เป็นท่อน้ำเลี้ยงส่งเงินให้กับ จอมพล ป.พิบูลสงคราม
โดยในชีวิตบั้นปลาย ขุนนิรันดรชัย ได้ป่วยต้องผ่าตัดสมองหลายครั้งและเป็นอัมพาตอยู่หลายปี โดยก่อนเสียชีวิตได้ฝากให้บุตรชายให้ขอพระราชทานอภัยโทษและถวายที่ดินคืนให้พระมหากษัตริย์
ต่อมาพลโทสรภฏ นิรันดร บุตรชาย ได้ทำพิธีขอพระราชทานอภัยโทษ และต้องการที่จะถวายที่ดินคืน แต่จนถึงวันนี้ลูกหลานคนอื่นๆ ก็ยังไม่ยินยอมที่ดินทั้ง 2 แปลงนี้ก็ยังไม่ได้ถวายคืน และถึงตอนนี้ผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงย่อมเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่จะต้องทำหน้าที่ในการทวงคืนตามกฎหมาย
รายที่ 2 นายเรือเอกวัน รุยาพร อดีตสมาชิกคณะราษฎรสายทหารเรือผู้ช่วยผู้อำนวยการพระคลังข้างที่
สำหรับ นายเรือเอกวัน รุยาพร เป็นอดีตสมาชิกคณะราษฎรสายทหารเรือ ถูกส่งเข้าไปรับราชการในสำนักพระราชวังตั้งแต่ปี 2478 โดยในขณะเกิดเหตุได้ดำรงตำแหน่งเป็นถึงผู้ช่วยผู้อำนวยการพระคลังข้างที่ แล้วโอนที่ดินของพระมหากษัตริย์เข้าเป็นทรัพย์สินของตัวเอง
โดยเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2480 นายเรือเอกวัน รุยาพร ร.น. ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดที่ 603 ริมถนนเพ็ชรบุรี ตำบลประแจจีน (พญาไท) อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร เนื้อที่ 164 ตารางวาง ซื้อในราคา 4,400 บาท โดยโอนที่ดินมาในชื่อตัวเองก่อน โดยอ้างว่าจะผ่อนใช้ไม่น้อยกว่าปีละ 800 บาท แต่ก็ไม่ได้ผ่อนตามสัญญา
โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 12 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 9 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ฟ้องร้องคดีความแพ่งต่อ นายเรือเอกวัน รุยาพร ซึ่งศาลฎีกาได้ตัดสินคดีความแพ่งที่ 784/2516 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2516 ให้การโอนที่ดินผืนนี้เป็นโมฆะ และต้องคืนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพราะไม่ได้มีการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
รายที่ 3 พระดุลยธารณ์ปรีชาไวท์ (ยม สุทนุศาสน์) รัฐมนตรีผู้ทำหน้าที่สั่งราชการสำนักพระราชวัง มีการซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ 2 ครั้ง
คร้้งแรก วันที่ 14 เมษายน 2480 ที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 6609 ตำบล คลองตัน อ.คลองตัน พื้นที่ 649 ตารางวา มีสิ่งปลูกสร้าง คือเรือนใหญ่ 2 ชั้น 1 หลัง เรือนเล็ก 2 ชั้น 1 หลัง โรงและที่อยู่คนใช้ชั้นเดียว 1 หลัง ซื้อได้มาในราคา 7,000 บาท ผ่อนใช้เดือนละ 100 บาท หรือปีหนึ่ง 1,000 บาท ต่อมาได้ถวายคืนที่ดินผืนนี้ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2480 เพื่อเปลี่ยนขอพระราชทานซื้อที่อื่น เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งที่ดินราคาแพงกว่า เป็นที่ดินตำบลประตูน้ำ อำเภอปทุมวัน
ครั้งที่สอง วันที่ 19 กรกฎาคม 2480พระดุลยธารณ์ปรีชาไวท์ (ยม สุทนุศาสน์) ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดที่ 2486 เนื้อที่ 403 ตารางวา พร้อมส่งปลูกสร้างตึก 2 ชั้นห้องแถว 3 ห้อง และโรงรถ 2 ชั้น ถนนรองเมือง ตำบลปทุมวัน ในราคา 14,000 บาท โดยลดราคาจากที่พระคลังข้างที่ตีไว้เมื่อรับโอนหลุดเป็นสิทธิ์ที่ 26,475 บาท โดยเป็นการผ่อนชำระราคาปีละไม่น้อยกว่า 1,000 บาท
โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 13 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”
รายที่ 4 นายพันตำรวจตรี ขุนนามนฤนาถ (นาม ประดิษฐานนท์) อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร
วันที่ 21 มิถุนายน 2480 นายพันตำรวจตรี ขุนนามนฤนาถ (นาม ประดิษฐานนท์)ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 4238 ถนนสามเสน ตำบลบางกระบือ อำเภอบางซื่อ จังหวัดพระนครเนื้อที่ 720 ตารางวา ราคา 7,200 บาทโดยขุนนามนฤนาถขอซื้อราคาตารางวาละ 8 บาท (เหลือ 5,760 บาท) ทั้งๆที่เจ้าพนักงานพระคลังข้างที่ตีราคามาตารางวาละ 10 บาท โดยผ่อนชำระปีละไม่น้อยกว่า 600 บาท
โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 15 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”
ต่อมา ปี 2482 ต่อมา นายพันตำรวจตรี ขุนนามนฤนาถ (นาม ประดิษฐานนท์) ถูกประหารชีวิตเพราะหลวงพิบูลสงครามได้จัดตั้งศาลพิเศษขึ้นตัดสินให้ประหารชีวิตกบฎ 18 คน ในคดีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้เข้าร่วมกบฏพระยาทรงสุรเดช
รายที่ 5 นายวิลาส โอสถานนท์ อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายพลเรือน และเป็น ส.ส.ประเภทที่ 2
วันที่ 15 กรกฎาคม 2480นายวิลาส โอสถานนท์ ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 3845 ริมถนนงามดูพลี ตำบลสาธร อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร มีเนื้อที่ 784 ตารางวา มีเรือนใหญ่ 1 หลัง มีครัวกับเรือนคนใช้ 1 หลัง ราคา 6,000 บาท ลดราคาจากที่พระคลังประเมินราคาในเวลานั้น 9,000 บาท โอนที่ดินก่อนแต่ผ่อนชำระปีละไม่น้อยกว่า 1,200 บาท ทั้งๆ ที่พระคลังข้างที่ปล่อยเช่าได้อยู่แล้วเดือนละ 100 บาท นายวิลาศ โอสถานนท์ จึงเหมือนที่ได้ที่ดินพระคลังข้างที่มาเป็นทรัพย์สินโดยมีผู้เช่าผ่อนให้
โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 17 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”
รายที่ 6 นายนาวาตรี หลวงนิเทศกลกิจ รน. (กลาง โรจนเสนา) อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายทหารเรือ และเป็น ส.ส.ประเภทที่ 2
16 กรกฎาคม 2480 ได้ที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 586 ริมถนนดินสอ ตำบล สำราญราษฎร์ อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร มีเนื้อที่ 224 ตารางวา เรือนปั้นหยา 2 ชั้น 1 หลัง, เรือนครัว 2 ห้องแถว 1 หลัง, เรือน 3 ห้องแถว 1 หลัง, เรือนห้องแถวชั้นเดียว 6 ห้อง ราคาตีไว้ 11,480 บาท แต่นายนาวาตรี หลวงนิเทศกลกิจ รน. (กลาง โรจนเสนา) ซื้อได้ในราคา 7,000 บาท ผ่อนเดือนละ 50 บาท
โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 19 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”
รายที่ 7 นายเอก สุพโปฎก อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายพลเรือน และ อดีตรองราชเลขานุการในพระองค์
วันที่ 16 กรกฎาคม 2480 นายเอก สุพโปฎกได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 1336 เนื้อที่ 474 ตารางวา ตำบลบางไส้ไก่ อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี ในราคา 2,844 บาท โดยลดราคาจากที่พระคลังข้างที่ตีราคาไว้ในเวลานั้นที่ 4,266 บาท
โดยระบุว่าหากนายเอก สุพโปฎกยังรับราชการอยู่ให้ผ่อนปีละ 600 บาท แต่ถ้าไม่รับราชการประจำให้ผ่อนได้ไม่น้อยกว่า 300 บาท
ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏในรายงานหน้าที่ 20 อีกด้วยว่า นายเอก สุพโปฎก ได้ขอกู้เงินจากพระคลังข้างที่ 6,000 บาท โดยไม่เสียดอกเบี้ย เพื่อสร้างบ้านใหม่บนที่ดินเดียวกันนี้ และให้ผ่อนใช้คืนได้อีกเดือนละ 50 บาท
โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 19 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”
รายที่ 8 นายเรือเอกกุหลาบ กาญจนสกุล ร.น. (กำลาภ กาญจนสกุล) อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายทหารเรือ
วันที่ 17 กรกฎาคม 2480 นายเรือเอก กุหลาบ กาญจนสกุล ร.น. (กำลาภ กาญจนสกุล) ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 429, 490, 560, 2469 เนื้อที่ 190 1/2 ตารางวา หลังตึกแถวถนนหลวง ตำบลสามยอด อำเภอสำเพ็ง สามยอด (ป้อมปราบ) พระนคร มีสิ่งปลูกสร้าง คือ เรือนปั้นหยา 2 ชั้น 1 หลัง เรือนทรงโบราณ 1 หลัง ห้องชั้นเดียว 1 หลัง โรงรถ 1 หลัง ราคา 6,734 โดยลดราคาจากที่พระคลังข้างที่ตีราคาไว้ในเวลานั้นที่ 10,100 บาท โดยให้ผ่อนชำระปีละไม่น้อยกว่า 500 บาท
โดยในรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบได้ระบุเอาไว้ในหน้าที่ 22 ว่า “ผู้ซื้อยังไม่ได้ถวายคืน”
รายที่ 9 นายสอน บุญจูง อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายพลเรือน/สำนักนายกรัฐมนตรี
วันที่ 17 กรกฎาคม 2480นายสอน บุญจูง ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 2383, 2395, 2400 เนื้อที่ 524 ตารางวา ถนนซอยจากถนนรองเมือง ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน พระนคร มีเรือน 2 ชั้นใหญ่ 1 หลัง เรือน 2 ชั้น 1 หลัง เรือนชั้นเดียว 1 หลัง กับโรงรถ 1 หลัง พระคลังข้างที่ลงทุนไว้ถึง 36,000 บาท พระคลังข้างที่ตีราคาเหลือเพียง 8,734 บาท แต่นายสอน บุญจูง สามารถซื้อได้ในราคา 4,584 บาท โดยเป็นการผ่อนชำระปีละไม่น้อยกว่า 600 บาท
ในรายงานคณะกรรมการในหน้าที่ 23 ไม่ได้กล่าวถึงว่ามีการคืนหรือไม่หรือยังไม่คืน
รายที่ 10 นายร้อยเอกกระวี สวัสดิบุตร
วันที่ 17 กรกฎาคม 2480 นายร้อยเอกกระวี สวัสดิบุตรได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่โฉนดเลขที่ 380(ของพระมงกุฏเกล้าฯ รัชกาลที่ 6) ริมถนนจักรพรรดิพงศ์ เชิงสะพานโสมนัส อำเภอนางเลิ้ง พระนคร เนื้อที่ 264 ตารางวา มีเรือน 2 หลังแฝด มีนอกชานระหว่างเรือนกับครัวและชานด้านสะกัด 1 หลัง พระคลังข้างที่ซื้อที่ดินมาในมูลค่า 16,000 บาท แต่พระคลังข้างที่ตีราคาไว้ในเวลานั้นที่ 8,220 บาท ถึงกระนั้นนายร้อยเอกกระวี สวัสดิบุตร ก็ได้ซื้อมาในราคา 5,480 บาท แล้วยังสามารถผ่อนชำระราคาปีละไม่น้อยกว่า 600 บาท
ในรายงานคณะกรรมการในหน้าที่ 23 ไม่ได้กล่าวถึงว่า “ผู้ซื้อยังมิได้ถวายคืน” หรือไม่
รายที่ 11 นายนาวาโทหลวงยุทธศาสตร์โกศล (ประยูร ศาสตระรุจิ) เป็นทหารเรือและต่อมาได้เป็น ถึง ผู้บัญชาการทหารเรือ
วันที่ 17 กรกฎาคม 2480 นายนาวาโทหลวงยุทธศาสตร์โกศล (ประยูร ศาสตระรุจิ) ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 6128 ริมถนนองครักษ์ ตำบลบางกระบือ อำเภอบางซื่อ พระนคร เนื้อที่ 1,909 ตารางวา มีเรือน 1 ชั้น 1 หลัง เรือนทรงมะนิลา 1 หลัง เรือนคนใช้ 2 หลัง พระคลังข้างที่ตีราคาไว้ในเวลานั้นที่ 14,454 บาท แต่นายนาวาโทหลวงยุทธศาสตร์โกศล (ประยูร ศาสตระรุจิ) ซื้อได้ในราคา 10,303 บาท โดยลดราคาจากที่โดยให้ผ่อนชำระราคาปีละไม่น้อยกว่า 1,000 บาท
ในรายงานคณะกรรมการในหน้าที่ 24 ไม่ได้กล่าวถึงว่า “ผู้ซื้อยังมิได้ถวายคืน”
รายที่ 12 พระวิเศษอักษรสาร (เคลื่อน ณ นคร) นายอำเภอราษฎร์บูรณะ ธนบุรี
วันที่ 17 กรกฎาคม 2480 พระวิเศษอักษรสาร(เคลื่อน ณ นคร) ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 1825 ถนนซอยจากกรุงเกษม ตอนเชิงสะพานเทเวศร์ ตำบลบางขุนพรหม อำเภอนางเลิ้ง เนื้อที่ 249 ตารางวา มีเรือนปั้นหยา 2 ชั้น 1 หลัง โดยพระคลังข้างที่ตีราคาไว้ในเวลานั้นที่ 5,335 บาท แต่พระวิเศษอักษรสาร (เคลื่อน ณ นคร) ซื้อได้ในราคา1,557 บาท โดยให้ผ่อนชำระราคาปีละ 200 บาท
ในรายงานคณะกรรมการในหน้าที่ 24 ไม่ได้กล่าวถึงว่า “ผู้ซื้อยังมิได้ถวายคืน”
บทสรุปในกลุ่มที่ยังไม่ปรากฏการถวายคืนที่ดินเหล่านี้ ควรจะให้ลูกหลานตระกูลดังกล่าวหรือคนที่รู้จักในตระกูลเหล่านี้ ได้สำรวจความจริงว่าปัจจุบันสถานภาพที่ดินเหล่านี้ได้ถ่ายโอนไปอย่างไรหรือไม่ และมีความคิดที่จะถวายคืนหรือไม่
รวมถึงคำถามที่ว่าหากที่ดินเหล่านี้ยังไม่ได้มีการถวายคืนแล้ว สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์สมควรที่จะต้องมีการดำเนินการทวงคืนหรือฟ้องร้องดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับคดีของนายเรือเอกวัน รุยาพร ร.น. หรือไม่?
สรุปเผยแพร่รายงานผลการสอบสวนโดย
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
27 มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/100044511276276/posts/949107159916318/?
https://mgronline.com/daily/detail/9670000027938
อ้างอิง
[1] ผู้จัดการออนไลน์, Exclusive!: เปิดความลับ 86 ปี ผลสอบแก๊ง “คณะราษฎร 2475” ปล้นที่ดินทรัพย์สินพระมหากษัตริย์, เผยแพร่: 29 ต.ค. 2566
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9660000097147
[2] รายงานกรรมการพิจารณาการจัดซื้อขายที่ดินบางรายของพระคลังข้างที่
Cr. ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ในพระตำหนัก ที่เป็นห้องเช่าเล็กๆ ของพระองค์ที่ประเทศอังกฤษ..
รัชกาลที่ 7 ทรงเช่าห้องชุด สำหรับสองพระองค์และครอบครัว
ในระหว่างนั้นทรงหนังสือพิมพ์ และทรงฟังข่าววิทยุเกี่ยวกับความเป็นไปของสงคราม ซึ่งมีการทิ้งลูกระเบิดที่อังกฤษตลอดเวลา..(น่าเศร้าสุดๆ)
บางครั้งทรงพระราชนิพนธ์พระราชประวัติตนเอง อากาศที่นั่นหนาวชื้นมาก พระโรคพระหทัยของพระองค์กำเริบหนัก
ทรงมีพระอาการหอบมาก และเจ็บพระหทัย ทรงอ่อนเพลียมาก
จึงตัดสินพระราชหฤทัยเสด็จกลับไปประทับที่ตำหนักคอมพ์ตัน เฮ้าส์ อีกครั้งหนึ่ง
ทรงรับสั่งว่า “ถ้าฉันจะตาย ก็ขอให้ตายสบายๆ ในบ้านช่องของเราเองดีกว่าที่จะมาตายในโรงแรม…”
ทรงเริ่มพระราชนิพนธ์พระราชประวัติของพระองค์เอง
โดยทรงวางแผนว่าจะทรงเล่าตั้งแต่สมัยยังทรงพระเยาว์ ถึงทรงสละราชสมบัติ
ด้วยต้องพระประสงค์จะให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบ
น่าเสียดายที่พระโรค ทำให้ทรงพระนิพนธ์ถึงแค่เมื่อทรงมีพระชนมพรรษา 25 พรรษาเท่านั้น
ในช่วงที่เหลือคือช่วง 26 - 47 พรรษา พระองค์พระราชนิพนธ์ไม่จบ..(โถ่ พระราชาทูนหัวของเกล้ากระหม่อม !!)
พ.ศ.2484 สัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคมปีนั้น พระชะตาชีวิตโหมกระหน่ำทั้งสองพระองค์อีกครั้ง
เมื่อทรงทราบว่า พระตำหนักเวนคอร์ตที่ทรงปิดไว้ ถูกยึดครอง เป็นที่ทำการของฝ่ายทหารอังกฤษไปแล้ว
จึงจะทรงส่งคนไปเก็บสิ่งของมีค่าในพระตำหนัก ก่อนที่จะส่งมอบตำหนักอย่างเป็นทางการต่อไป
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงอาลัยพระตำหนักนี้มาก จึงทรงมีพระราชดำริ จะเสด็จพระราชดำเนินไปด้วยพระองค์เอง
แต่พระอาการประชวรของ รัชกาลที่ 7 ทรุดหนักลง พระบาทบวมอยู่ 2-3 วัน ซึ่งเป็นอาการอันเนื่องมาจากที่ประชวรพระหทัย
วันที่ 30 พฤษภาคม 2484 ยังทรงฉลองพระองค์ชุดบรรทม เป็นสนับเพลาแพร และฉลองพระองค์แขนยาว
ทรงตื่นพระบรรทมแต่เช้าตรู่ พระอาการดูดีขึ้นมาก
จึงรับสั่งกับสมเด็จฯ ว่าหากจะเสด็จไปพระตำหนักเวนคอร์ตก็ได้ ไม่ต้องทรงเป็นพระกังวล
คำตรัสครั้งสุดท้ายคือ "จะไปไหนก็ได้ ฉันสบายดี".... "อยู่ได้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง จะอ่านหนังสือพิมพ์"
สมเด็จฯ จึงเสด็จออกไปโดยรถยนต์พระที่นั่งตั้งแต่เวลา 08.00 น.
รัชกาลที่ 7 ทรงเสวยไข่ลวกนิ่มๆ ซึ่งนางพยาบาลประจำพระองค์จัดถวาย ทรงหนังสือพิมพ์ แล้วบรรทมต่อ
สักพักหนึ่งก็ทรงบ่นว่ามีอาการวิงเวียน ไม่สบาย นางพยาบาลจึงลุกไปหยิบยา
พอกลับมาก็เห็นพระหัตถ์ตกห้อยลงมาอยู่ข้างๆ
หนังสือพิมพ์ตกอยู่กับพื้น หลับพระเนตรเหมือนกำลังหลับอย่างสบาย ประมาณ 09.00 น.
นางพยาบาลจับพระชีพจรดู จึงรู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เสด็จสวรรคตเสียแล้วด้วยพระหทัยวาย...
ไม่มีผู้ใดทราบว่าเวลาใดแน่...
นี่หรือ คือสิ่งที่ปรีดี และคณะราษฎร กระทำย่ำยีข่มเหงต่อพระมหากษัตริย์ของไทย
สิริรวมพระชนม์มายุพระองค์เพียง 48 พรรษา เท่านั้น และเป็นเวลา 6 ปี 3 เดือน
นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ
การจัดการพระบรมศพนั้นเป็นไปอย่างเงียบ ๆ
โดยไม่มีการบำเพ็ญพระราชกุศล ทรงพระพุทธศาสนา เพราะไม่มีพระสงฆ์ รวมทั้ง ไม่มีการพระราชพิธีอื่น ๆ ตามราชประเพณีด้วย
วันที่ 3 มิถุนายน 2484 อัญเชิญพระบรมศพองค์เล็กๆ ของรัชกาลที่ 7 ขึ้นประดิษฐาน บนรถซึ่งตกแต่งอย่างงดงาม มีธงมหาราชคลุมพระบรมศพ
แลเชิญพระชัยวัฒน์ไว้ทางเบื้องพระเศียร รถเคลื่อนขบวนออกจากพระตำหนักคอมพ์ตัน
ไปยังสุสานโกดเดอร์สกรีน ซึ่งอยู่ทางเหนือของกรุงลอนดอน อังกฤษ มีรถตามเสด็จประมาณ 5 คัน
ขณะกำลังเคลื่อนพระบรมศพ ออกจากพระตำหนัก สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ประทับทอดพระเนตรอยู่ที่พระแกล (หน้าต่าง) เป็นการส่วนพระองค์.....ทรงกลั้นพระกรรแสงไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ทรงรับสั่งว่าเบาๆ ว่า “เขาเอาไปแล้ว”
พระบรมศพทรงพระภูษา (โจงกระเบน) สีแดง ฉลองพระองค์สีแดง เช่นกัน ตามที่เคยรับสั่งกับหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท ให้จัดถวายให้เหมือนกับพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยในรัชกาลที่ 4
มีผู้มาคอยเฝ้ารับเสด็จอยู่มากทั้งคนไทย และชาวต่างประเทศ ชาวอังกฤษ ซึ่งเคยรับราชการอยู่เมืองไทย
ผู้เป็นทนายความประจำพระองค์ และเป็นพระสหายของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้อ่านสุนทรพจน์สรรเสริญพระเกียรติคุณ......ผู้ที่ไปชุมนุม ณ ที่นั้นถวายความเคารพทีละคน ไม่มีพิธีสงฆ์ใดๆ เพราะไม่มีพระภิกษุสงฆ์อยู่ในประเทศอังกฤษในขณะนั้น......มีแต่คนไทยซึ่งเคยบวชในพระพุทธศาสนา ได้สวดมนต์ถวายพระราชกุศล แล้วมีการบรรเลงเพลง เมนเดลโซน ไวโอลิน คอนแชร์โต......ซึ่งเป็นเพลงที่พระองค์โปรดเป็นพิเศษ ถวายเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เสด็จขึ้นไปถวายบังคมพระบรมศพเป็นพระองค์แรก ตามด้วยพระประยูรญาติ และผู้ใกล้ชิดทั้งไทยและเทศ พนักงานกดสวิตช์อัญเชิญหีบพระบรมศพ เลื่อนไปตามรางเหล็กสู่เตาไฟฟ้าจนลับตา
หลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพเสร็จสิ้นแล้ว พระบรมอัฐิและพระบรมสรีรางคาร ถูกอัญเชิญกลับไปประดิษฐานยังพระตำหนักคอมพ์ตัน อันเป็นที่ประทับของพระองค์
หลังรัชกาลที่ 7 เสด็จสวรรคต ช้างเผือกคู่พระบารมีพระองค์ที่อยู่เมืองไทย ที่ได้มาจากเชียงใหม่ คือ พระเศวตคชเดชน์ดิลก ขณะอายุย่างเข้า 20 ปี.....เริ่มมีอาการไม่ปกติ และต่อมาในเมืองไทยเกิดอาเพศน้ำท่วมใหญ่
ช้างเผือกคู่พระบารมี ไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควรจากรัฐบาลคณะราษฎร ขาดการเอาใจใส่ เจ็บมากขึ้น ไม่จับหญ้า ในที่สุดก็ล้มลงเสียชีวิตไปตามพระองค์
นี่คือชีวิตจริงๆ ขอพระมหากษัตริย์ไทย ที่ปรีดี กับคณะราษฎร รังแกพระองค์
พระปรมาภิไธยในพระราชหัตถเลขาประกาศสละราชสมบัติฉบับเต็ม รัชกาลที่ 7 มีความชัดเจนมากว่า
ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่ได้กระทำให้บังเกิดมีความเสรีภาพในการเมืองอย่างสมบูรณ์ และไม่ได้ฟังความคิดเห็นของราษฎรโดยแท้จริง......อำนาจที่จะดำเนินนโยบายต่างๆ ตกอยู่แก่คณะผู้ก่อการ และผู้ที่สนับสนุนเป็นพวกพ้องเท่านั้น ไม่ได้ตกอยู่แก่ผู้แทนซึ่งราษฎร เมื่อพระองค์ได้ร้องขอให้เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญให้เข้ารูปประชาธิปไตยอันแท้จริง เพื่อให้เป็นที่พอใจแก่ประชาชน คณะรัฐบาลและพวกซึ่งกุมอำนาจอยู่ในขณะนั้นก็ไม่ยินยอม......พระองค์จึงไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใด คณะใด
“ ใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของพระองค์ต่อไปได้ ”
จึงมีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของพระองค์อยู่แต่เดิม “ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป”
แต่ไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของพระองค์ให้แก่ผู้ใด คณะใด
โดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร
ในภาพจะเห็นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ที่กำลังทรงสวดมนต์ไหว้พระที่แม้แต่หิ้งพระยังต้องใช้หนังสือรองซ้อนกัน ในพระตำหนักเล็กๆ ของพระองค์ที่ประเทศอังกฤษ.. ลองดูภาพให้ละเอียดว่านี่หรือ คือสิ่งที่ปรีดีและคณะราษฎรกระทำข่มเหงรังแกสถาบันพระมหากษัตริย์ของราษฎรไทยทุกคน
นี่หรือคือข้ออ้างที่เรียกว่า "ประชาธิปไตย" มันเป็นธรรมกับพระองค์แล้วหรือ ?? พระมหากษัตริย์บรรพบุรุษของพระองค์เกือบ 50 พระองค์ สร้างบ้าน แปงเมืองสยามนี้มายาวนานกว่า 800 ปี แล้วปรีดีและคณะราษฎร์ ทำความดีอะไรมาจากไหน ?? ถึงได้ข่มเหงรังแกพระองค์ถึงเพียงนี้
เรียบเรียงโดย
สถาพร เกื้อสกุล : สำนักข่าวทีนิวส์
_____________________________________________________________________________________________________________________________
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติ ส่งจดหมายสละราชสมบัติลงวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗ มาที่รัฐบาลไทย
แต่เจ้าของจดหมายไม่ได้เสด็จกลับแผ่นดินเกิดอีกเลย
และเสด็จสวรรคตที่ประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๘๔ พระชนมมายุ ๔๗ พรรษา ยามนั้นสงครามโลกครั้งที่สองยังดำเนินอยู่ พิธีจัดการพระบรมศพจึงเป็นไปอย่างเรียบง่ายและเงียบเหงา เนื่องจากอังกฤษยังไม่มีวัดไทย ไม่มีพระสงฆ์ จึงไม่มีพิธีสวดใด ๆ มีเพียงนักดนตรีชาวอังกฤษคนหนึ่งบรรเลงไวโอลินคอนแชร์โตของเมนเดลซอห์นซึ่งพระองค์โปรดเป็นพิเศษ
คอนแชร์โตหยุดไปแล้ว
ไวโอลินแห่งประชาธิปไตยสยามยังเล่นเพลงขาดเป็นห้วง ๆ
(ต่อเรื่อง ๒๔๗๕ อีกหน่อย)
วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ รัชกาลที่ ๗ ทรงมีพระราชหัตถเลขาจากประเทศอังกฤษ เป็นจดหมายสละราชสมบัติ
ข้อความท่อนหนึ่งว่า "ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใดคณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร
บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่า ความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอสละสิทธิ์ของข้าพเจ้าทั้งปวงซึ่งเป็นของข้าพเจ้าอยู่ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวงอันเป็นของข้าพเจ้าแต่เดิม ก่อนที่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์...
"ข้าพเจ้ามีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่สามารถจะยังประโยชน์ให้แก่ประชาชน และประเทศชาติของข้าพเจ้าต่อไปได้ตามความตั้งใจและความหวัง ซึ่งรับสืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คงได้แต่ตั้งสัตย์อธิษฐานขอให้ประเทศสยามจงได้ประสบความเจริญและขอประชาชนชาวสยามจงได้มีความสุขสบาย"
ชาวไทยส่วนใหญ่เรียนจากห้องเรียนว่า ระบอบประชาธิปไตยถือกำเนิดในรัชสมัยรัชกาลที่ ๗ แต่ความจริงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ก็ทรงเริ่มปูทางสำหรับระบอบประชาธิปไตยแล้ว
ในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงมีกระแสรับสั่งว่า ทรงปรารถนาให้พระราชโอรสองค์โตคือรัชกาลที่ ๖ เป็นผู้มอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยแก่คนไทย
เมื่อทรงศึกษาในอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯจึงทรงเรียนรู้ระบอบใหม่นี้ ทรงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้น โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุ ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔)
ร.ศ. ๑๓๐ เป็นความพยายามครั้งแรกที่จะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองสยามโดยนายทหารและปัญญาชนกลุ่มหนึ่ง แต่กระทำไม่สำเร็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่ากระทำโดยสุจริตใจ จึงให้ละเว้นโทษประหารชีวิต ภายหลังก็พระราชทานอภัยโทษทุกคน
ทรงรู้ดีว่าช้าหรือเร็วเมืองไทยก็ต้องเปลี่ยนการปกครอง จึงทรงมีพระราชปรารภว่า เมื่อครองราชย์ครบสิบห้าปี จะมอบสิทธิ์ปกครองบ้านเมืองให้ประชาชนมีส่วนมีเสียง แต่ทรงเห็นว่าพสกนิกรชาวสยามเวลานั้นยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิและหน้าที่ ซึ่งเป็นรากฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ในเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. ๒๔๖๑ ทรงทดลองจำลองรูปแบบระบอบประชาธิปไตยในพื้นที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เรียกว่า ดุสิตธานี บนพื้นที่ประมาณสามไร่ ดุสิตธานีประกอบด้วยตึกรามบ้านช่อง พระราชวัง ที่ทำการรัฐบาล วัด โรงเรียน โรงพยาบาล โรงทหาร ธนาคาร สถานีตำรวจ ตลาดร้านค้า ธนาคาร โรงละคร ประมาณ ๒๐๐ หลัง
ดุสิตธานีปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย มีพระธรรมนูญการปกครอง มีพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และสภาการเมือง ทว่าปรากฏเสียงวิพากษ์ว่า “การสร้างเมืองจำลองดุสิตธานี เป็นการเล่นอย่างหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เหมือนกับการเล่นละครเท่านั้น”
ครั้นถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๗ ก็ทรงสืบทอดความคิดนี้ โปรดเกล้าฯให้พระยาศรีวิสารวาจา (หุ่น ฮุนตระกูล) ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศกับ เรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ ร่วมร่างรัฐธรรมนูญ
ทั้งเมืองจำลองดุสิตธานีของรัชกาลที่ ๖ และความพยายามร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๔ ของรัชกาลที่ ๗ ไม่อาจหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
รัชกาลที่ ๗ ทรงตัดสินพระทัยพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเลี่ยงการสูญเสียเลือดเนื้อ
เมื่อเสด็จกลับจากหัวหินสู่พระนครแล้ว ทรงเรียกผู้ก่อการเข้าเฝ้าในวันที่ ๒๖ มิถุนายน และพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในวันรุ่งขึ้น
การชิงอำนาจครั้งนั้นเป็นการก้าวล่วงที่ทำให้พระองค์โทมนัสยิ่ง
หนังสือ สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ของ ม.จ. พูนพิศมัย ดิศกุล เล่าว่า เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระยาศรีวิสารวาจา ตรัสว่า “ตาหุ่น แกรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าฉันจะให้รัฐธรรมนูญ ทำไมจึงต้องทำให้ฉันอับอายเขาถึงเช่นนี้”
พระยาศรีวิสารวาจาก็ร้องไห้ ทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้รู้เห็นด้วยเลยจริง ๆ”
หลายคน ณ ที่นั้นก็ร้องไห้เช่นกัน
เมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้ว ในหลวงก็ประชวรพระวาโยถึงสลบ ต้องฉีดยาถวายการพยาบาลทั้งคืน
หนังสือเล่มเดียวกันนี้เล่าว่าในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นวันพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ทางราชการจัดงานฉลองใหญ่โต ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ทรงลงพระปรมาภิไธยด้วยพระหัตถ์สั่น
ก่อนหน้านั้นทรงสั่งให้ยกพระแท่นมนังคศิลาของพระร่วงเจ้าออกไปจากวังหลวง อย่าให้พระองค์ต้องประทับนั่ง และอย่าให้ทรงพระสังวาลย์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ เพราะพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองพระองค์ได้กู้บ้านกู้เมือง พระองค์ทรงรู้สึกว่าไม่สมควรประทับนั่งบนพระแท่นและทรงพระสังวาลย์นั้น
การพระราชทานรัฐธรรมนูญจึงเกิดขึ้นบนพระแท่นจำลอง
ในเวลาต่อมา ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ทรงรำพันอยู่เสมอว่า “ฉันกลัวตายไปเจอะปู่ย่าตายายเข้าจริง ๆ ท่านคงจะกริ้วว่ารับของท่านไว้ไม่อยู่เป็นแน่”
ครั้นถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๗๖ ทรงได้รับข่าวลับเตือนว่า อย่าเสด็จกลับกรุงเทพฯ เพราะพวกทหารนำโดยพระยาทรงสุรเดชจะยึดรถไฟพระที่นั่งที่บางซื่อ แล้วจะบังคับให้ทรงลาออกอย่างพระเจ้าซาร์ เพื่อเปลี่ยนเมืองไทยเป็นรีพับลิก
เมื่อทรงทราบ ในหลวงก็ตรัสแก่พระยามโนปกรณ์ฯ นายกรัฐมนตรีว่า ต้องทรงเชื่อ เพราะพระยาทรงสุรเดชเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมมาเข้าเฝ้า
พระยามโนฯจึงขอให้พระยาทรงสุรเดชมาเข้าเฝ้า และกราบบังคมทูลรับรองว่าจะไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้
ในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๗๖ มีข่าวนายถวัติ ฤทธิเดช ผู้นำกรรมกรรถราง ยื่นฟ้องพระปกเกล้าฯต่อสภาผู้แทนราษฎรว่าพระปกเกล้าฯหมิ่นประมาทตน โดยอ้างถึงพระบรมราชวินิจฉัยเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรม มีข้อความตอนหนึ่งพาดพิงถึงผู้นำกรรมกรรถรางว่า “การที่กรรมกรรถรางหยุดงานนั้น หาใช่เกิดการหยุดเพราะความเดือดร้อนจริงจังอันใดไม่ ที่เกิดเป็นดังนี้นั้นก็เพราะมีคนยุให้เกิดการหยุดงานขึ้น เพื่อจะได้เป็นโอกาสให้ตั้งสมาคมคนงาน และตนจะได้เป็นหัวหน้า และได้รับเงินเดือนกินสบายไปเท่านั้น”
ในเดือนถัดมาเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช ผู้ก่อการได้หยิบข่าวนายถวัติฟ้องพระปกเกล้าฯ เป็นข้ออ้างหนึ่งของการยึดอำนาจ
ต่อมานายถวัติได้เข้าเฝ้าพระปกเกล้าฯถึงสงขลาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษในการที่ได้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และได้รับพระราชทานอภัยโทษ
ไม่นานก็มีเสียงนินทาติเตียนในหลวงว่าเป็นคนขี้ขลาด เสด็จไปไหนก็พกปืนเล็กติดพระองค์ หลายคนหัวเราะเยาะว่า “ปืนเล็กขนาดนี้ทำอะไรได้”
ม.จ. พูนพิศมัย ดิศกุล เล่าว่า ได้ยินในหลวงตรัสว่า “ปืนนี้มีอยู่สองลูก ลูกหนึ่งสำหรับหัวหญิง (สมเด็จพระราชินี) ก่อนหนึ่งลูก แล้วฉันเองหนึ่งลูกเป็นเสร็จ เพราะถ้าจะจับฉันบังคับให้เซ็นอะไรที่หลอกลวงราษฎรแล้ว เป็นยิงตัวตาย”
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นทำให้พระหทัยสลาย เพราะทรงไม่เห็นว่าคณะราษฎรดำเนินไปตามระบอบประชาธิปไตยที่ทรงอยากเห็น เพียงได้รับอำนาจมาอยู่ในมือ ก็เกิดรัฐประหารถึงสามครั้งในปีเดียว
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๖ – ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เจริญพระราชไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป พร้อมทั้งรับการผ่าตัดรักษาพระเนตร
ก่อนเสด็จไป ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตลอดช่วงเวลาที่ไม่ได้ประทับอยู่ในเมืองไทยนั้น ทรงติดต่อราชการกับรัฐบาลผ่านทางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ช่วงเวลานั้นทั้งสองฝ่ายมีข้อขัดแย้งหลายประการที่ไปถึงจุดมิอาจแก้ไขได้ จึงทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติ ส่งจดหมายสละราชสมบัติลงวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗ มาที่รัฐบาลไทย
แต่เจ้าของจดหมายไม่ได้เสด็จกลับแผ่นดินเกิดอีกเลย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตที่ประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๘๔ พระชนมมายุ ๔๗ พรรษา ยามนั้นสงครามโลกครั้งที่สองยังดำเนินอยู่ พิธีจัดการพระบรมศพจึงเป็นไปอย่างเรียบง่ายและเงียบเหงา เนื่องจากอังกฤษยังไม่มีวัดไทย ไม่มีพระสงฆ์ จึงไม่มีพิธีสวดใด ๆ มีเพียงนักดนตรีชาวอังกฤษคนหนึ่งบรรเลงไวโอลินคอนแชร์โตของเมนเดลซอห์นซึ่งพระองค์โปรดเป็นพิเศษ
คอนแชร์โตหยุดไปแล้ว
ไวโอลินแห่งประชาธิปไตยสยามยังเล่นเพลงขาดเป็นห้วง ๆ
(ย่อความจาก จดหมายจากอังกฤษ ในหนังสือ ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม ๓ / วินทร์ เลียววาริณ)
จากพระราชโอรสพระมหากษัตริย์สู่พระสถานะ "นักโทษชาย" ในเรือนจำบางขวาง
พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นพระราชโอรส ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เนื่อง(พระธิดา ใน พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์)
เมื่อพระองค์ประสูติได้เพียง ๑๒ วัน พระมารดาของพระองค์ก็ถึงแก่อสัญกรรม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอุ้มพระราชโอรสพระองค์นี้ ไปพระราชทานแก่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี(สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) แล้วมีพระราชดำรัสว่า "ให้มาเป็นลูกแม่กลาง" สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชเทวี ก็ทรงรักพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ดุจพระราชโอรสในพระครรโภทรของพระองค์
เจ้านายพระองค์นี้ทรงอาภัพนัก เมื่อทรงพระเยาว์ก็ทรงกำพร้าพระมารดา เมื่อเจริญพระชนม์ขึ้นจนได้เป็นถึงพระปิตุลาพระเจ้าแผ่นดิน ก็ยังถูกกลั่นแกล้งงอย่างแสนสาหัสจากพวกคณะราษฎร
ในคราวหนึ่งเมื่อหลวงพิบูลสงคราม(จอมพล ป.) ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ทำการกวาดล้างผู้ที่หลวงพิบูลสงครามคิดว่าเป็นปรปักษ์ของตน เพื่อให้พ้นทางและไม่สามารถหวนกลับมามีอำนาจได้อีก ด้วยการยัดเยียดข้อหากบฏให้กับผู้ที่เป็นปรปักษ์
และผู้ที่หลวงพิบูลสงครามระแวง โดยคนสำคัญที่ถูกกำจัดคือ พันเอก พระยาทรงสุรเดช(เทพ พันธุมเสน) ๑ ใน ๔ ทหารเสือคณะราษฎร ที่ต้องโทษข้อหากบฏ จึงถูกเนรเทศไปเขมรและตายอย่างอนาถที่นั่นเป็นต้น
ส่วนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ก็ถูกระแวงจากหลวงพิบูลสงคราม ด้วยข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอยว่า
ที่พระองค์เสด็จต่างจังหวัดและต่างประเทศบ่อยๆนั้น ก็เพื่อไปประสานงานกับผู้ร่วมก่อการกบฏ เช่น เสด็จชวาเพื่อไปพบสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เพื่อระดมทุนมาก่อการกบฏ
เสด็จไปอังกฤษเพื่อกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้กลับมาเป็นพระมหากษัตริย์อีกครั้ง และเพื่อระดมเงินทุนจากต่างประเทศสำหรับใช้ในการก่อกบฏ
ส่วนการเสด็จเชียงใหม่นั้นก็เพื่อไปพบ พันเอก พระยาทรงสุรเดช เพื่อเชิญให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อทำการสำเร็จ
สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาท ทรงถูกจับที่ลำปางขณะประทับอยู่กับหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในข้อหาร่วมก่อการกบฏ ในการจับกุมครั้งนั้น คุณชายคึกฤทธิ์ได้บันทึกไว้ว่า
"ตั้งแต่เวลาที่นายตำรวจเข้าไปจับหรือเชิญเสด็จตลอดจนถึงเวลาที่เสด็จขึ้นรถด่วนไป ในห้องมีเจ้าพนักงานตำรวจยืนคุมหัวรถท้ายรถ เสด็จในกรม (กรมขุนชัยนาทนเรนทร) มิได้มีอาการผิดปรกติหรือสะทกสะท้านแม้แต่น้อย คำว่า "ขัตติยมานะ" นั้น ผู้เขียนเคยได้ยินคนพูดกันมาบ่อยครั้ง แต่ตีความหมายกันไปมากมาย แต่ผู้เขียนได้เห็น "ขัตติยมานะ" ของจริงก็ในครั้งนั้นครั้งเดียว"
ทรงถูกนำพระองค์ไปคุมขังยังสถานีตำรวจพระราชวัง และส่งตัวไปจำขังที่เรือนจำคลองเปรม
ต่อมาจึงย้ายพระองค์ไปจำคุกยังเรือนจำบางขวาง และทรงถูกถอดถอนพระอิสริยยศลงเป็น "นักโทษชายรังสิตประยูรศักดิ์ รังสิต ณ อยุธยา"
เดิมทรงถูกตัดสินให้ประหารชีวิต แต่ด้วยทรงทำคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองจึงลดโทษลงเหลือจำคุกตลอดชีวิต
สภาพความเป็นอยู่ของผู้ที่ถูกคุมขังที่สถานีตำรวจพระราชวังนั้นแย่มาก ดังที่หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน์ ได้บันทึกไว้ เมื่อคราวที่ท่านถูกคุมขังที่สถานีตำรวจพระราชวัง ความว่า
"ห้องขังนั้นกว้างยาวเพียง ๒ วา (๑ วาเท่ากับ ๒ เมตร) ที่มุมห้องมีถังอุจจาระซึ่งไม่ได้ทำความสะอาดมาหลายวันแล้ว ผนังห้องเต็มไปด้วยเสมหะและน้ำลาย ที่พื้นเต็มไปด้วยฝุ่นละอองและในซอกกระดานเต็มไปด้วยเรือด ห้องเล็กซึ่งอับอากาศร้อนอบอ้าวเหม็นสกปรกนี้แหละจะต้องเป็นที่อยู่ที่กินและที่นอนของข้าพเจ้าต่อไปอีก ๓ เดือน แต่ถ้ากรมขุนชัยนาทนเรนทรทรงอดทนสิ่งเหล่านี้ได้ คนอย่างเราก็ไม่ควรบ่นเลย ข้าพเจ้าคิด... นี่เมืองไทยมาถึงยุคทมิฬจริงแล้วหรือ"
พระชะตากรรมของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร นั้น ช่างผกผันอย่างยิ่ง พระองค์ต้องถูกกลั่นแกล้งใส่ความด้วยข้อหาที่ร้ายแรง และทรงรับโทษที่พระองค์ไม่ได้ทรงมีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย จากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองขณะนั้น
มันช่างเป็นเรื่องที่สุดแสนจะอัปยศอีกเรื่องหนึ่งของชาติไทย
พระองค์ทรงเคยปรารภไว้หลายครั้ง เมื่อขณะถูกจองจำในเรือนจำบางขวางความว่า
"ถ้าฉันเป็นคนเหิมเห่อ ต้องการอำนาจ ธุระอะไรเล่าฉันจะไปเชิญพระปกเกล้าฯ มาเป็นกษัตริย์อีก คิดกบฏต่อหลานของฉัน ซึ่งฉันได้เลี้ยงดูมาเพื่อเอาไปคืนพระปกเกล้าฯ ซึ่งทรงเบื่อหน่ายเพราะรักษาไม่ได้จนต้องสละเช่นนี้น่ะเห็นเหมาะงามได้อย่างไร"
และ
"ทำไมหนอรัฐบาลหลายรัฐบาลมาแล้วจึงไม่ยอมที่จะเข้าใจว่า ฉันไม่มีความทะเยอทะยานในเรื่องอำนาจวาสนา... ฉันต้องการอยู่ลำพังอย่างคนสามัญทั้งหลาย"
ต่อมาในปี ๒๔๘๗ ตรงกับสมัยรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ทรงได้รับการคืนพระอิสริยยศ และทรงพ้นจากข้อกล่าวทั้งปวง
========================================================
คณะราษฏร์ ตามกำจัดผู้จงรักภักดีต่อกษัตริย์
เราลองมาฟัง ''พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์'' องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี
กล่าวถึงพระยาศรีสิทธิสงคราม คุณตาของท่าน ซึ่งถูกยิงตายจากการต่อสู้กับฝ่ายคณะราษฎรซึ่งเป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนั้น
"....ครั้งนั้นกำลังทหารของฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดชไปตั้งทัพอยู่ที่โคราช
"พระยาศรีสิทธิสงครามมาตรวจทางรถไฟที่ทหารรัฐบาลจะยกทัพไปปราบ แล้วเสียชีวิตเพราะถูกซุ่มยิงที่มวกเหล็ก
...เรื่องของคุณตามาได้รับรู้เอาตอนโต ญาติพี่น้อง และแม่เล่าให้ฟังว่า
เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นแล้ว ครอบครัวได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง ...
ที่ชัดเจนก็คือต้องหลบหนี.....คุณยาย (คุณหญิงศรีสิทธิสงคราม) ต้องพาลูกๆ หลบหนีออกจากบ้าน ซุกๆ ซ่อนๆ กัน เป็นเวลานาน.....ส่วนคุณตาก็ไม่รู้ว่าไปไหน แล้วมารู้ว่าเสียชีวิตในตอนหลังก็ไม่มีหลักฐานว่าศพอยู่ที่ไหนอย่างไร"
เมื่อเกิดความแน่ใจว่าคงไม่มีผลกระทบต่อครอบครัวแล้ว คุณยายก็กลับมา
"แต่ว่าสภาพครอบครัวที่ขาดผู้นำก็เห็นชัดเจน การเรียน ฐานะก็ด้อยลงไป ลูกบางคนได้เรียน บางคนก็ไม่ได้เรียน"
คุณแม่เป็นลูกคนโต ตอนนั้นเรียนชั้นมัธยม 6 เริ่มเป็นสาวแล้ว
การสูญเสียหัวหน้าครอบครัวในฐานะกบฏทำให้ยากลำบาก เพราะไม่ได้รับบำเหน็จบำนาญ อาศัยว่ามีที่ดินอยู่ก็ทำสวนพอเลี้ยงดูกันได้.....ที่น่าสลดก็คือ แม้แต่ศพของพันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม......ครอบครัวก็ไม่ทราบว่าถูกนำไปเผาที่ไหน
"เดาเอา - น้าเล่าให้ฟังว่าน่าจะเอามาเผาที่วัดมะกอก แถวโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ แต่เราก็ไม่เคยได้ทราบว่าเขาเผาอย่างไร แล้วทำบุญอะไรบ้าง ญาติพี่น้องก็ไม่ได้ติดตาม คาดว่าคงมีการนำศพมาจากมวกเหล็ก"
กฎแห่งกรรมของเหล่าบุคคลในคณะราษฏร์ ได้อำนาจไป แทนที่จะทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ กลับเข้ามากอบโกย รุมทึ้งประเทศกันมูมมาม แล้วมากำจัดกันเอง
สุดท้ายไม่ตายดีกันซักคน
_______________________________________________________________________________________________________________
เรื่องหมุดคณะราษฎรหายไปอย่างมีปริศนาเป็นข่าวหน้าหนึ่งทั่วประเทศ ตามมาด้วยบทวิเคราะห์การเมืองของ 'ผู้เชี่ยวชาญ' ทางการเมืองหลายท่าน
แต่ด้วยนิสัยลืมง่ายของคนไทย ฟังธงว่าอีกไม่กี่วัน เรื่องนี้ก็คงเงียบหายไปโดยไม่มีใครสนใจตามเคย
แต่ทฤษฎีหนึ่งมาแปลกกว่าชาวบ้าน มันเสนอว่าหมุดคณะราษฎรเกิดขึ้นเพื่อเป้าหมายทางไสยศาสตร์ นั่นคือมันทำหน้าที่สะกดดวงเมือง ไม่ให้อำนาจเก่ากลับมา อะไรประมาณนั้น
ทฤษฎีมนตร์ดำนี้ฟังสนุกกว่าบทวิเคราะห์ทั้งหลายมาก!
แน่ละ ทฤษฎีนี้ย่อมเป็นไปได้ แต่โบราณมา คนจะทำการใหญ่ก็ต้องพึ่งโหราศาสตร์ไสยศาสตร์ ผู้ก่อการ 2475 อาจเชื่อเช่นนั้นจริง
แต่หากวิเคราะห์ด้วยข้อมูลแล้ว มนตร์ดำในรูปหมุดไม่น่าจะจำเป็น เพราะมันเกิดขึ้นทีหลังการก่อการ
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน 2475
รัชกาลที่ 7 ทรงปฏิเสธทางเลือกให้สู้ และปีถัดมาเมื่อเกิดกบฏบวรเดช คณะราษฎรก็ยังคงดำรงอำนาจได้มั่นคง ไม่มีความจำเป็นต้องใช้มนตร์ดำอะไร
ตั้งแต่ 2476 ถึง 2490 อำนาจก็ยังคงเป็นของคณะราษฎร แม้ว่าภายในคณะราษฎรจะแตกร้าว จนเมื่อเกิดรัฐประหาร 2490 ก็สิ้นสุดคณะราษฎรโดยสิ้นเชิง
แต่ทฤษฎีหนึ่งมาแปลกกว่าชาวบ้าน มันเสนอว่าหมุดคณะราษฎรเกิดขึ้นเพื่อเป้าหมายทางไสยศาสตร์ นั่นคือมันทำหน้าที่สะกดดวงเมือง ไม่ให้อำนาจเก่ากลับมา อะไรประมาณนั้น
ทฤษฎีมนตร์ดำนี้ฟังสนุกกว่าบทวิเคราะห์ทั้งหลายมาก!
แน่ละ ทฤษฎีนี้ย่อมเป็นไปได้ แต่โบราณมา คนจะทำการใหญ่ก็ต้องพึ่งโหราศาสตร์ไสยศาสตร์ ผู้ก่อการ 2475 อาจเชื่อเช่นนั้นจริง
แต่หากวิเคราะห์ด้วยข้อมูลแล้ว มนตร์ดำในรูปหมุดไม่น่าจะจำเป็น เพราะมันเกิดขึ้นทีหลังการก่อการ
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน 2475
รัชกาลที่ 7 ทรงปฏิเสธทางเลือกให้สู้ และปีถัดมาเมื่อเกิดกบฏบวรเดช คณะราษฎรก็ยังคงดำรงอำนาจได้มั่นคง ไม่มีความจำเป็นต้องใช้มนตร์ดำอะไร
ตั้งแต่ 2476 ถึง 2490 อำนาจก็ยังคงเป็นของคณะราษฎร แม้ว่าภายในคณะราษฎรจะแตกร้าว จนเมื่อเกิดรัฐประหาร 2490 ก็สิ้นสุดคณะราษฎรโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นทฤษฎีเรื่องไสยศาสตร์ ต่อให้เป็นเรื่องจริง ก็พิสูจน์ว่าไม่ได้ผล
แต่ไหนๆ เมื่อมีคนมองในมุมนี้ ก็ขอเสริมข้อมูลอีกนิดว่า หลังจากคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองสำเร็จ
กรมพระนครสวรรค์ฯเสด็จออกนอกประเทศ ไปประทับที่บันดุง อินโดนีเซีย ไม่ได้กลับแผ่นดินเกิดอีก
รัชกาลที่ 7 ก็ทรงสละราชสมบัติไปประทับที่ประเทศอังกฤษและสวรรคตที่นั่น
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือคณะผู้ก่อการซึ่งมีบทบาทเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนั้นก็พบชะตากรรมเดียวกัน
ปรีดี พนมยงค์ ถูกขับออกไปอยู่ฝรั่งเศสในปี 2476 แล้วกลับมา และหลังรัฐประหาร 2490 และกบฏวังหลวง 2492 ก็ลี้ภัยที่ต่างแดน ไม่ได้กลับบ้าน
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกฯคนแรก ลี้ภัยที่ปีนัง
สี่ทหารเสือ พระยาพหลฯไม่ได้ลี้ภัย แต่ตายอย่างยากไร้ ไม่มีเงินค่าทำศพ
พระยาฤทธิอัคเนย์ลี้ภัยที่มลายู
พระยาทรงสุรเดชถูกเนรเทศไปอยู่ในกรุงพนมเปญ โดยไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการทำขนมกล้วยขายและรับจ้างซ่อมจักรยาน ถึงแก่อนิจกรรมในปี 2487 ที่กรุงพนมเปญ
พระประศาสน์พิทยายุทธถูกไล่ไปเป็นอัครราชทูตไทยประจำกรุงเบอร์ลิน
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูกรัฐประหาร 2500 ลี้ภัยที่ญี่ปุ่น ไม่ได้กลับบ้าน
ประยูร ภมรมนตรี ถูก ‘เนรเทศ’ ไปอยู่ต่างประเทศ
และอีกหลายท่าน
ตอนรีเสิร์ชประวัติศาสตร์เพื่อเขียนเรื่อง ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ปีกแดง ผมก็ค่อนข้างแปลกใจเมื่อเจอข้อมูลนี้
แน่นอน ถ้าเราจะโยงข้อมูลจริงเหล่านี้กับเรื่องมนตร์ดำหรือกรรม ก็ย่อมทำได้ และมีสีสันมาก แต่ผมไม่เชื่อเช่นนี้เลย
ผมวิเคราะห์ออกด้วยคำคำเดียว - อำนาจ
อำนาจเป็นของร้อน เมื่อได้มาก็ต้องร้อนรุ่ม ต้องแย่งกัน ต้องฆ่ากัน
เหตุการณ์การลี้ภัย เข่นฆ่ากันทางการเมือง ฆ่าเพื่อน ฆ่าพี่น้อง ฆ่าอาจารย์ ก็ล้วนเป็นผลมาจากการแย่งชิงอำนาจทั้งสิ้น
แต่ผมไม่ใช่คนแรกที่วิเคราะห์อย่างนี้
คนแรกที่พูดเรื่องนี้คือกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งคณะราษฎรจับเป็นตัวประกันในวันที่ 24 มิถุนายน 2475
ผู้ที่ไป 'จับตัวพระองค์ท่าน' ก็คือคนสนิท ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี ซึ่งเป็นแกนนำของคณะราษฎร
มีบันทึกเหตุการณ์นี้เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นบทสนทนาระหว่างกรมพระนครสวรรค์วรพินิตกับ ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี
ขอยกมาจากนวนิยาย น้ำเงินแท้
ข้อความทั้งหมดมาจากบันทึก ดังนี้ :
ทรงกริ้ว รับสั่งเสียงหนักแน่นว่า ‘ตาประยูร แกเป็นกบฏ โทษถึงต้องประหารชีวิต’
ร.ท. ประยูรบอกว่า ‘ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นกบฏ ไม่ได้ล้มพระราชบัลลังก์ ถ้าข้าพระพุทธเจ้าทำการสำเร็จ ใต้ฝ่าพระบาทไม่มีอันตรายแต่ประการใดพ่ะย่ะค่ะ’
ทรงมีรับสั่งถาม ‘พวกแกที่ยึดอำนาจนี้ต้องการอะไร? มีความประสงค์อะไร? ต้องการปาลีเมนต์ มีคอนสติติวชั่นใช่ไหม?’
ร.ท. ประยูรกราบทูลว่า ‘ใช่พ่ะย่ะค่ะ’
ทรงนิ่งชั่วครู่ แล้วรับสั่งถามว่า ‘แล้วมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่เวลานี้หรือ ตาประยูร?’
ร.ท. ประยูรกล่าวว่า ‘อารยประเทศทั่วโลกก็มีปาลีเมนต์กันทั่วไป ยกเว้นอาบิสซีเนียพ่ะย่ะค่ะ’
ทรงถามว่า ร.ท. ประยูร อายุเท่าไร
ร.ท. ประยูรกราบทูลว่า 32
ก็รับสั่งว่า ‘เด็กเมื่อวานซืนนี้เอง นี่แกรู้จักคนไทยดีแล้วหรือ แกจะต้องเจอปัญหาเรื่องคน พระราชวงศ์จักรีครองเมืองมาร้อยห้าสิบปีแล้ว รู้ดีว่าคนไทยนี่ปกครองกันได้อย่างไร อ้ายคณะของแกจะเข็นครกขึ้นเขาไหวรึ?’
ร.ท. ประยูร กล่าวว่า ‘ก็ทรงปกครองให้ประชาชนงมงายกันตลอดมานับร้อยนับพันปี จะมาเอาดีหวังการยึดอำนาจการปกครองในวันนี้ให้ลงรูปลงรอยราบรื่นไปทีเดียวคงเป็นไปไม่ได้ คงจะต้องยึดอำนาจกันต่อไปอีกหลายยก เรื่องคอนสติติวชี่นและสภาปาลีเมนต์มันก็เริ่มกันสักวันหนึ่ง ถ้าไม่นับหนึ่งก็ไปนับสิบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับการดำเนินงานวันนี้ ยังไม่มีผู้ใดเสียชีวิตพ่ะย่ะค่ะ’
ทรงถามว่า“‘แกเรียนอะไรมา?’
ร.ท. ประยูรตอบว่า ‘เรียนรัฐศาสตร์จากปารีสพ่ะย่ะค่ะ’
รับสั่งว่า“‘อ้อ! มีความรู้มาก แกรู้จักโรเบสเปียร์ ดันตอง เพื่อนน้ำสบถฝรั่งเศสดีแน่ ในที่สุดมันผลัดกันเอากิโยตีนเฉือนคอกันทีละคน จำได้ไหม?
ฉันสงสาร ฉันเลี้ยงแกมา นี่แกเป็นกบฏ รอดจากอาญาแผ่นดิน ไม่ถูกตัดหัว แต่จะต้องถูกพวกเดียวกันฆ่าตาย แกจำไว้’...”
นี่ก็คือคำที่กรมพระนครสวรรค์วรพินิตตรัสไว้ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 และก็เป็นจริงตามนั้น อำนาจไม่เคยเข้าใครออกใคร
เพราะอำนาจก็คือมนตร์ดำที่ร้ายกาจที่สุด!
ป.ล. ใครอยากส่งต่อบทความนี้ ยกเอาไปทั้งหมดนะครับ กรุณาอย่ายกแค่บางท่อนแล้วสรุปเอาเองว่าผู้เขียนเป็นกลุ่มไหน ผู้เขียนแค่เล่าประวัติศาสตร์ท่อนหนึ่งให้ฟัง อ่านด้วยวิจารณญาณเพื่อจะได้เข้าใจการเมืองไทยโดยรอบด้าน
.………………...
วินทร์ เลียววาริณ
ทบทวนสติกันหน่อย ที่นักกินเมือง นักวิชาเกิน นักศึกษา บอกว่าคณะราษฎร์เป็นตัวแทนประชาชน มันโกหกหน้าตาย
ประชาชนไม่เคยได้มีส่วนร่วมอะไรกับคณะราษฎร์เลยสักขั้นตอนเดียว การยึดอำนาจ ปล้นพระราชอำนาจจากษัตริย์ประชาชนก็ไม่ได้สนับสนุนหรือร้องขอ แต่คณะราษฎร์ทำเองโดยลุอำนาจ จับราชวงศ์พระญาติ จับประชาชนเป็นตัวประกันเพื่อบีบบังคับให้พระเจ้าแผ่นดินสละพระราชอำนาจ รัฐธรรมนูญก็ไม่เคยผ่านความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วนเกิดจากคณะราษฎร์ร่างเองเขียนเองแล้วไปบังคับให้พระมหากษัติย์ลงพระปรมาภืไธยรับรอง คณะรัฐบาลที่บรืหารประเทศก็ไม่ได้มาจากความคิดเห็นจากประชาชนสักคนเดียวจัดหากันเองทั้งนั้น บริหารประเทศก็ปิดหูปิดตาประชาชน แล้วมันจะเรียกว่าประชาธิปไตยได้อย่างไร ร้ายยิ่งกว่าเผด็จการยุคนี้เสียอีก ก่อน ทหารจะมาบริหารแทน อำนาจนักการเมืองหมดลงแม้แต่อำนาจรักษาการตามคำสั่งศาลคือตัวนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญก็ผ่านการเดินสายรับฟังความคิดเห็นทุกภาค ผ่านประชามติยอมรับจากประชาชน การบริหารจัดการบ้านเมืองก็เปิดโอกาสให้ประชาชนตรวจสอบ
____________________________________________________________________________________________________________________________
ถึงเวลาที่คนไทยจะเขียนประวัติศาสตร์ใหม่
ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
โดย : สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม
14 เมษายน "หมุดคณะราษฎร" ฝังไว้ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ถูกถอดหายไป และเอาหมุดใหม่มาแทน "ลูกหลาน" ของ "คณะราษฎร" ออกมาทวงถามหมุดที่หายไป
ในทางกลับกันถ้าอย่างนั้น !!! ทำไม ??? ถึงไม่ถามความรู้สึกของพระบรมวงศานุวงศ์ใน "พระราชวงศ์จักรี" ดูบ้าง ???
ว่าเมื่อครั้งที่ "คณะราษฎร" ได้ทำแถลงการณ์โจมตี "พระราชวงศ์จักรี" อย่างเกินจริง เพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการ "รัฐประหาร" เพื่อยึดอำนาจของตนเองนั้นชอบธรรมหรือไม่ ??
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มีข้อถกเถียงกันเสมอมาว่าเป็นแค่ "รัฐประหาร" หรือ "การปฏิวัติ" หรือที่ "คณะราษฎร"เรียกว่า "การอภิวัฒน์"
"การรัฐประหาร"คือการเข้ายึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองจากผู้มีอำนาจรัฐอยู่เดิมมาสู่ผู้มีอำนาจรัฐคนใหม่หรือคณะใหม่!!!!
"การปฏิวัติ"คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางอำนาจทั้งทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งนั่นหมายความว่า "คนส่วนใหญ่"ในสังคมเห็นพ้องต้องกันในการเปลี่ยนแปลงนั้น
"อภิวัฒน์"แปลว่า"ความเจริญ"ซึ่ง"คณะราษฎร"เลี่ยงที่จะไม่ใช้คำว่าปฏิวัติ มาใช้คำว่าอภิวัฒน์แทนในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475
มาดูข้อเท็จจริงว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 2475 เป็นอะไรกันแน่???
"คณะราษฎร"ประกอบด้วยคณะบุคคลที่เป็นทหารและพลเรือนจำนวนหนึ่งเข้าทำ "การยึดอำนาจ" จาก "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7"
คนไทยส่วนใหญ่อย่าว่าแต่ "เห็นชอบ" เลยแม้แต่ "รู้เห็น" ก็ไม่ได้รู้เห็นด้วย
เพราะ "การยึดอำนาจ" ครั้งนั้น กระทำด้วยความฉับพลัน ในเขตกรุงเทพมหานคร
ด้วยการเข้า"ควบคุมสถานที่สำคัญ" และ "จับตัวประกัน" ซึ่งเป็น "พระบรมวงศานุวงศ์" ที่คุมอำนาจอยู่ในขณะนั้น
เพื่อบีบบังคับให้ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7" ยินยอม!!!
และหลังจากนั้นแม้จะมีแถลงการณ์ออกมาสวยหรูอย่างไร แต่ก็เกิดการ "ช่วงชิงอำนาจ" กันเองใน "หมู่คณะราษฎร" จนถึงขนาดฆ่า จับขังคุกและเนรเทศ!!!
การเปลี่ยนแปลงการปกครองของ"คณะราษฎร"ได้สร้างประชาธิปไตยขึ้นมาจริงหรือไม่ ??? และนำความเจริญมาสู่ประเทศไทยจริงหรือไม่ ???
25 ปีที่ "คณะราษฎร" ครองอำนาจอยู่นั้น
"จอมพล ป. พิบูลสงคราม" เป็นนายกรัฐมนตรียาวนานถึง 15 ปี
"พระยาพหลพลพยุหเสนา" 5 ปี
"นายควง อภัยวงศ์" 1 ปี 179 วัน นายปรีดี พนมยงค์" 152 วัน
"นายทวี บุณยเกตุ" 46 วัน
"พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์" 1 ปี 77 วัน
"ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช" 136 วัน (ยุคแรก)
มี 2 คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับ "คณะราษฎร"ก็คือ
"ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช"กับ"นายทวี บุณยเกตุ"
ซึ่งเข้ามาเป็นนายกฯเพื่อแก้ปัญหาให้กับประเทศหลังจากเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อให้ไทยรอดพ้นจากการเป็นประเทศแพ้สงคราม!!!!
85 ปีที่ "คณะราษฎร" ยึดอำนาจมาจาก"สถาบันพระมหากษัตริย์"!! ผล ปรากฏว่า ????
ถึงวันนี้ไม่ต้องถามคนไทยทั้งประเทศแล้วว่าความรู้สึก "จงรักภักดี" ที่มีต่อ "สถาบันพระมหากษัตริย์" นั้น มากมายและยิ่งใหญ่ขนาดไหน
แล้วลองหันกลับไปดูความรู้สึกที่มีต่อ "คณะราษฎร" และ "นักเลือกตั้ง" ทั้งหลายที่ได้เสวยผลบุญจาก "การรัฐประหาร"ของ "คณะราษฎร" นั้นเป็นอย่างไร ???
เวลาที่ล่วงเลยมา 85 ปีได้ตอบคำถามของตัวมันเองอย่างชัดเจนแล้ว คนไทยได้ร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศแล้ว
และประวัติศาสตร์นี้จะกำหนดอนาคตของประเทศไทยต่อไป !!!!!
ปรีดีกับคณะโซเชียลลิสต์สยาม (ต.ตุลยากร)
.
ในครั้งอดีต พรรคคอมมิวนิสต์สยามเคยส่งคนไปศึกษาที่มอสโค และได้มีการบันทึกประวัติส่วนตัวเก็บไว้ที่รัสเซีย
ข้อมูลส่วนนี้มาจากหนังสือ กำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์สยาม (เขียนโดย เออิจิ มูราชิมา)
โดย เออิจิ มูราชิมา ได้พบหลักฐาน ของ Rashi หรือ ราศี เป็นคนสยาม ใช้ชื่อหลายชื่อ เช่น พูน ศรีดันรัตน์, Chad Karam ซึ่งเคยศึกษาที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ปัญหาชนชาติและอาณานิคม (NINKP) ตั้งแต่ปี 1934-1936 เคยเข้าร่วมการประชุมใหญ่ครั้งที่ 7 ขององค์การคอมมิวนิสต์สากล และเดินทางกลับสยาม ปี 1938
บันทึกประวัติส่วนตัวส่วนหนึ่งของราศี หรือ พูน ศรีดันรัตน์ (ปัจจุบัน บันทึกด้วยลายมือฉบับนี้เก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองแห่งรัสเซีย-RGASPI) ได้บันทึกไว้ว่า
“...มีพี่ชายอยู่อีกคนหนึ่ง เปน Shauffeur ของห้างห้างหนึ่งในกรุงเทพฯ พี่คนนี้เป็นสมาชิกคณะโซเชียลลิสต์สยาม หลังจากที่หัวหน้าของคณะนี้ พยายามใช้โครงการเศรษฐกิจของตนไม่สำเร็จ มันได้กลับใจไปเข้ากับพวกเศรษฐี รับหน้าที่เปนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แล้วมันก็จัดตั้งให้พี่ชายข้าพเจ้าและสมาชิกคนอื่นๆซึ่งเป็นลูกน้องของมันให้เป็นสายลับ….”
คณะโซเชียลลิสต์สยาม กับพรรคคอมมิวนิสต์สยาม (พคส.-ต่อมาแปรสภาพเป็น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) นั้นเป็นคนละพวกกัน ในขณะนั้น พคส.เอง ก็มีจุดยืนในการต่อต้านคณะราษฎร
เมื่อปรีดีถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จากการเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจ ก็ได้บอกว่า “ข้าพเจ้าขอปฏิเสธ ในข้อที่ข้าพเจ้าถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมูนิสต์ ข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงโซเซียลลิสต์ต่างหาก”
แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะโซเชียลลิสต์ (สังคมนิยม) หรือ คอมมิวนิสต์ ต่างก็เป็นพวกที่ศรัทธาในแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (พวกมาร์กซิสต์) ทั้งคู่ ต่างกันแค่แนวทางในการผลักดัน “กงล้อประวัติศาสตร์” เท่านั้นเอง
คอมมิวนิสต์ มีแนวทางปฏิวัติด้วยความรุนแรง “อำนาจรัฐจักได้มาด้วยกระบอกปืน” แนวคิดนี้ในประเทศไทยได้หายไปพร้อมกับการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแล้ว
แต่โซเชียลลิสต์ (โดยเฉพาะปัจจุบัน) มีแนวทางในการค่อยๆแทรกซึมปลูกฝังแนวความคิดสังคมนิยม ใช้เวลาในการผลักดันกงล้อประวัติศาสตร์ให้สังคมก้าวสู่ยุคยูโทเปีย (สังคมในอุดมคติของพวกมาร์กซิสต์)
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ ผู้สืบสานอุดมการณ์ปรีดี ปฏิเสธว่า ตนไม่ใช่ผู้ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์
คนที่พูดกล่าวหานั้น เป็นพวกปลุกผีคอมมิวนิสต์ต่างหาก
ก็ใช่ครับ คนเหล่านี้ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ในความหมาย ที่หมายถึงพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
แต่เป็นพวกมาร์กซิสต์อย่างที่ คุณแก้วตา ธิษะณา เคยประกาศไว้ต่างหากครับ
ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า อุดมการณ์ 2475 ไม่ได้มีแค่เสรีประชาธิปไตย อย่างที่เขาหลอกลวงกัน
มันยังมี “สังคมนิยมประชาธิปไตย” ด้วยนะเออ
อ้างอิง
.......
เสมียนอารีย์, หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ขอปฏิเสธ! “ข้าพเจ้าไม่ใช่คอมมูนิสต์”, ศิลปวัฒนธรรม, 11 พ.ค. 2566 สืบค้นจาก https://www.silpa-mag.com/history/article_28640
เออิจิ มูราชิมา, กำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์สยาม (โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์,ผู้แปล), (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2542)
ปรีดีให้สัมภาษสื่อต่างประเทศเมื่อ พศ2522ถึงความผิดพลาดเรื่องแผนเศรษฐกิจหลังเปลี่ยนการปกครองปี2475 https://www.youtube.com/watch?v=eo-PTR5mu6k
ในภาพยนตร์เรื่อง 2475 Dawn of Revolution
เรื่อง ปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์ และ ใช้คำว่า ศรีอารยะเป็นความหมายอำพราง คำว่า"คอมมิวนิสต์ ปรากฎเป็นหลักฐานอยู่หลายที่
หลักฐานชิ้นแรก ปรากฏในแถลงการณ์คณะราษฎรฉบับที่1 ที่นายปรีดี ร่างใช้ขึ้นเอง...
มีการระบุชัดเจนถึงคำว่า ศรีอาริยะ ในแถลงการณ์ฉบับที่1 (โดยข้าพเจ้าใช้ หนังสือ กระเทาะเปลือกธาตุแท้ของการปฏิวัติ โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เป็น หลักฐานอ้างอิง)
และยังมีหลักฐานเพิ่มใน หนังสือชีวิต ๕ แผ่นดินของข้าพเจ้าที่นายประยูรได้เคยเล่าเอาไว้..
- โดยเล่าถึงการที่ นายปรีดีไม่สามารถเดินทางด้วยรถไฟชั้นหนึ่งเหมือนนักเรียนทุนหลวงทั่วไป เพราะไป "ก่อเหตุเอาไว้" (โดนส่งกลับ) *** อ้างอิง หนังสือชีวิต ๕ แผ่นดินของข้าพเจ้า หน้า 55)
- และเล่าอีกครั้งเมื่อ พูดวันก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24มิถุนายน เมื่อ นายประยูร และกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ต่างอ่านประกาศใบปลิวที่แทรกขึ้น ในวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง *** อ้างอิง หนังสือชีวิต ๕ แผ่นดินของข้าพเจ้า หน้า 76)
ส่วนเหตุที่กล่าว คำว่า คอมมิวนิสต์ และ ศรีอาริย์ คือเรื่องเดียวกัน นั้นมีหลักฐานปรากฏ ในหนังสือ 100ปีพระยาพหล ที่รวบรวม บทความของ เพื่อนร่วมก่อการเอาไว้
ซึ่งในหนังสือ 100ปีพระยาพหล หน้า 75-84 ได้ ระบุถึง บทความที่นายประยูรเคยบอกเล่าเรื่อง ชีวิตตอนเป็นนักเรียนที่ ต่างประเทศ และได้เล่าถึง (เรื่องที่เคยก่อไว้)
โดย เฉพาะใน หน้า 77 ระบุว่า นายปรีดีเคยได้ชวน นายประยูร
เข้าพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส และนำหนังสือคอมมิวนิสต์กลับมาด้วยเสมอ และด้วยความที่ฝรั่งเศสเวลานั้น ต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ จึงมีการตรวจสอบ ว่ามีพลเมืองใด เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์บ้าง ส่งผลให้นักเรียนทุนหลวง ก็ถูกเพ่งเล็งเช่นกัน... สุดท้ายทางการฝรั่งเศสเองก็ทราบว่า
นายปรีดี เป็นสมาชิก คอมมิวนิสต์ จึงกดดันไปทางสถานทูตไทยในฝรั่งเศสให้ส่งตัวกลับสยามนั้นเอง
หลักฐานสำคัญคือ การที่ปรีดีกลับมาที่สยามนั้นก็ดันส่งหนังสือคอมมิวนิสต์กลับมาสยามเยอะมาก ....
(และแน่นอนว่า อาจจะหมายถึง Utopia ด้วย ของ Thomas More )
ปรีดีได้ปลอมปกชื่อหนังสือ คอมมิวนิสต์เหล่านี้ เอาภายใต้ชื่อ ศรีอาริย์ เพื่อส่งกลับบ้าน โดยใช้ที่หมายของไปรษณีย์ ไปที่บ้าน ตาประยูรนั้นเอง
*** อ้างอิง หนังสือ 100ปีพระยาพหล หน้า 77)
คุณหลวงทำเสียเรื่องแล้ว!!!
รัฐธรรมนูญของราษฎร ที่เขียนโดยปรีดีคนเดียว และสอดไส้โครงสร้างการบริหารแบบคอมมูนิสต์
·
พระศรีอาริย์ กับ โสเชียลลิสม์
เปรียบเทียบผลอันจะพึงมีมาในศาสนาพระศรีอาริย์ กับ โดยทางปกครองตามลัทธิ “โสเชียลลิสม์”
——-
พระศรีอาริย์
1 บ้านเมืองจะราบคาบ เพราะคนจะพากันใจบุญ ไม่รบราฆ่าฟันกันอีกต่อไป
โสเชียลลิสม์
1 เหมือนกัน เพราะจะเป็นสัมพันธมิตรต่อกันและกันหมด โดยเหตุที่จะไม่มีเจ้าแผ่นดินฤาคนมักใหญ่หาอำนาจในทางสงคราม
พระศรีอาริย์
2 จะไม่มีใครต้องได้รับความโทมนัสในทางได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะคนทั้งหลายจะได้รับความเสมอหน้ากันหมด จนกระทั่ง พออออกจากบ้านแล้วจำกันไม่ได้
โสเชียลลิสม์
2 เหมือนกัน คนเสมอกันหมด ไม่มีใครมียศฤาอำนาจสูงกว่าใคร
พระศรีอาริย์
3 ไม่มีเศรษฐีและไม่มีคนจน ใครมีอะไรก็มีเท่ากัน
โสเชียลลิสม์
3 เหมือนกัน และเพื่อจะให้เป็นไปเช่นนี้ ควรบังคับให้ผู้มีทรัพย์เอาทรัพย์ออกเฉลี่ยให้ผู้ไร้ทรัพย์
พระศรีอาริย์
4 มีต้นกัลปพฤกษ์ขึ้น 4 มุมเมือง ใครจะต้องการสิ่งไร ก็ไปปลิดเอาที่ต้น
โสเชียลลิสม์
4 รวบรวมบรรดาทรัพย์สมบัติในแผ่นดินไว้ในปกครองของรัฐบาล เช่น บ่อถ่าน บ่อแร่ เป็นต้น เพื่อจะได้รวบผลประโยชน์อันเกิดมาแต่ย่อนั้นๆไว้อุดหนุนผู้ที่ต้องการความอุดหนุน
พระศรีอาริย์
5 พระสงฆ์จะไม่ผิดกับคนอื่น นอกจากมีแต่ผ้าเหลืองห้อยหู ก็คือ แปลว่าเลิกพระพุทธศาสนา
โสเชียลลิสม์
5 ศาสนาทั้งปวงเลิกหมด เพราะเป็นการขัดแก่ความเจริญของคน เป็นการบังคับจิตใจให้คิดในทางแคบและเป็นบรรทัดให้เดินไปได้เฉพาะทางเดียว เป็นเครื่องบีบสมองคน ไม่ให้ใช้ความคิดของตนเองโดยเต็มที่ๆมีอยู่
(แหล่งอ้างอิง: ชัยอนันต์ สมุทวนิช, บทที่ 2 อุตตรกุรุ: ยูโทเปียของไทย ใน ความคิดทางการเมืองการปกครองไทยโบราณ, พ.ศ. 2519, หน้า 31)
ดูภาพประกอบครับ
ปี พ.ศ. 2481 ในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ได้มีการเปิดสถานกาสิโนถึง 5 แห่ง ที่หัวหิน ลพบุรี พิษณุโลก หนองคาย และเบตง สร้างรายได้มากมายจนมีการขยายเพิ่มอีกเป็น 11 แห่ง คือ หัวหิน เชียงราย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี ตราด สงขลา ภูเก็ต เบตง และสุไหงโกลก ซึ่งไม่ปรากฏรายละเอียดว่าดำเนินการอย่างไรบ้าง เว้นก็แต่ที่หัวหิน และสงขลา ท่านรัฐมนตรีการคลังในสมัยนั้นคือ ปรีดี พนมยงค์ ได้เดินทางไปเปิดด้วยตนเองทีเดียว
แต่สุดท้าย สถานกาสิโนเหล่านี้ก็ได้เงียบหายไป
พ.ศ. 2488 เกิดเหตุภาวะเงินเฟ้อระหว่างสงคราม รัฐบาล นายควง อภัยวงศ์ จึงดำริที่จะดำเนินการดูดเงินคืนออกจากระบบ เพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ จึงได้ปัดฝุ่น พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2478 ออกมาใช้ และจัดตั้งสถานกาสิโนขึ้นในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ – 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2488
ปรากฎว่า เพียง 82 วัน เฉพาะในกรุงเทพ ทำรายได้จากสถานกาสิโนถึง 12.94 ล้านบาท หรือ 22.8% ของงบประมาณรายได้ประจำเดือน ซึ่งถ้ารวมกาสิโนทั้งประเทศ ทำรายได้กว่า 24.13 ล้านบาท เรียกได้ว่าทำเงินถล่มทลาย
แต่สุดท้าย สถานกาสิโนดังกล่าวก็ต้องปิดตัวลง เนื่องจากประชาชนเล่นการพนันกันจนหมดเนื้อหมดตัว บางรายถึงกับฆ่าตัวตาย
พ.ร.บ. การพนันฉบับดังกล่าวจึงต้องยกเลิกไปจวบจนถึงปัจจุบัน เหลือแค่สลากกินแบ่งรัฐบาล (และหวยใต้ดิน) ที่ยังคงเป็นยาหอม คอยย้อมอารมณ์ฮึกเหิมให้ผู้คนทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน
อ้างอิง : บทความ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เมื่อปรีดี ตั้งสถานกาซิโน
https://prachatai.com/journal/2008/03/16059 ดูน้อยลง