ภายหลังจากที่คณะราษฎรได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 24มิถุนายน พ.ศ.2475 แล้ว ได้มีการถกเถียงกันจากหลายฝ่ายจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เรื่องคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งอาจจะถือได้ว่าชิงสุกก่อนห่าม เนื่องจากว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 ทรงร่างพระราชธรรมนูญไว้อยู่แล้ว ซึ่งในทางประวัติศาสตร์ได้หาข้อมูล มาหักล้างว่าจริงเท็จแต่ประการใด
ปรากฎว่าในการประชุมกรรมารุการพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ ณ. วังปารุสกวัน ในวันที่12มีนาคม 2476 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม คือ หลวงคหกรรมบดี ,หลวงเดชสหกรณ์ ,หลวงเดชาติวงศ์วราวัฒน์,พ.อ.พระยาทรงสุรเดช,นายทวี บุณยเกตุ,นายแนบ พหลโยธิน,หลวงประดิษฐ์มนูธรรม,นายประยูร ภมรมนตรี,พระยามโนปกรณ์นิติธาดา,พล.ร.ท. พระยาราชวังสัน,นายวิลาศ โอสถานนท์ ,พระยาศรีวิสารวาจา,ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ และหลวงอรรถสารประสิทธิ์
ได้เริ่มประชุมเริ่มเวลา 08.20 น. โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือนายปรีดี พนมยงค์ได้เป็นผู้แถลง และในการประชุมวันนั้นได้มีการถกเถียงกันเรื่องว่าเค้าโครงเศรษฐกิจ ที่ประชาชนจะเข้าใจ เพราะมีรายละเอียดลึกซึ่ง อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันหรือไม่ ซึ่งในการถกเถียงดังเกล้า ในที่ประชุมก็เห็นว่าควรที่จะเปิดเผยให้ประชาชนได้รับทราบ แต่การเปิดเผยนั้น จะเป็นในนามรัฐบาล หรือในฐานะส่วนตัวของนายปรีดี หรือไม่นั้นขณะนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียกันอยู่
ทั้งนี้ระหว่างการประชุมนั้น โดยรายงานการประชุมได้บันทึกไว้ว่า นายปรีดีเห็นว่าควรที่จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ โดยยกตัวอย่างเรื่อง"พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้แจ้งให้ประชาชนทราบ จนกระทั้งเป็นเหตุให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้น โดยมีถอยคำที่มีการบันทึกไว้ดังนี้
"พระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำริจะพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ราษฎร ส่งให้พระยาศรีวิสารวาจา แต่ไม่ประกาศให้ประชาชนทราบ จึงเกิดมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้น อย่างเดียวกัน ถ้าเราได้ประกาศโครงการให้ทราบแล้วเรื่องระแวงคงไม่มี..."
ตามหลักฐานดังกล่าวก็เป็นที่แน่ชัดว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการเตรียมพระราชธรรมนูญจริง
ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7มีแผนพระราชทานรัฐธรรมนูญ ที่เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ โดยให้พระยาศรีวิศาลวาจา ปรึกษาหารือกับ นาย Raymond Bartlett Stevens ชาวอเมริกัน ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศของ พระยาศรีวิสารวาจา ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อร่าง รธน.แล้วเสร็จเป็นรูปร่างปี 2474ได้กำหนดรูปแบบการปกครอง กำหนดความสัมพันธ์อำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติ ตลอดจนกำหนดวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ด้วย ตั้งพระทัยจะประกาศใช้ 6 เมษายน 2475 ในโอกาสฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ครบรอบ 150 ปี แต่เจ้านายฝ่ายไทย และนายสตีเวนส์ เห็นว่าน่าจะชะลออกไปก่อน เพื่อให้เวลาคนไทยได้ศึกษา และมีความเข้าใจ
พระองค์ทรงตระหนักพระราชหฤทัยตั้งแต่ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ว่า จะต้องคิดเตรียมการรับการ ให้สิทธิทางการเมืองแก่ประชาชน ที่จะเกิดขึ้นโดยลำดับ ทั้งนี้เนื่องจากว่า เมื่อวันเวลาผ่านไป ยิ่งมีคนที่ได้รับการศึกษามีความรู้มากขึ้น ย่อมมีความต้องการที่จะมีสิทธิในการปกครองระบบรัฐสภา จะต้องถึงเวลาอันสมควรเปลี่ยนระบอบการปกครอง ในวันหนึ่งอย่างแน่นอน จึงทรงมีพระราชดำริว่า ในขณะที่รอเวลาที่จะมาถึงนั้น ถ้าหากขัดไว้ช้าเกินไปแล้ว ต้องยอมให้ ไม่เหมาะสมและอาจเป็นผลให้เกิดจลาจลขึ้น ในบ้านเมือง เช่นที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ ด้วยเหตุนี้จึงทรงมีพระราชดำริว่า จะต้องคิดเตรียมการไว้
พระราชบันทึก Democracy in Siam นับเป็นหลักฐานเอกสารสำคัญที่สุด ทรงแสดงให้เห็นถึงความจำเป็น ที่จะต้องเตรียมการรับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งแนวทางของการเตรียมการตามพระราชดำริ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสภาองคมนตรีนั้น ได้ทรงแสดงให้เห็นถึงพระราชประสงค์สองประการคือ
1. เป็นการทดลองและเรียนรู้ถึงวิธีการประชุมปรึกษาของรัฐสภา
2. เป็นพลังที่จะใช้ต้านทานการใช้อำนาจในทางที่ผิด
เรียบเรียงโดย
วิลาสินี แววคุ้ม : สำนักข่าวทีนิวส์
ปรีดีให้สัมภาษสื่อต่างประเทศเมื่อ พศ2522ถึงความผิดพลาดเรื่องแผนเศรษฐกิจหลังเปลี่ยนการปกครองปี2475
“...วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕
เวลา ๑๗.๑๕ น. โปรดเกล้าฯ ให้ *พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาศรีวิสารวาจา
พระยาปรีชาชลยุทธ
พระยาพหลพลพยุหเสนา กับหลวงประดิษฐ์ มนูธรรม มาเฝ้าที่วังสุโขทัย"
เรื่อง “เตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนูญ”
...มีพระราชดำรัสว่าอยากจะสอบถามความบางข้อและบอกความจริงใจ ตั้งแต่ได้รับราชสมบัติทรงนึกว่าถูกเลือกทำไม บางทีเทวดาต้องการให้พระองค์ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง... ทรงเห็นว่าควร จะต้องให้ Constitution (พระธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน) มาตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ แล้ว และเมื่อทรงรับราชสมบัติก็มั่นพระราชหฤทัยว่าเป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะให้ Constitution แก่สยามประเทศ ครั้นเมื่อพระกัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี. แซร์ ปรึกษาด้านการต่างประเทศ) เข้ามา ได้ทรงปรึกษาร่างโครงขึ้น (Outline of Preliminary Draft) ก็ไม่ได้รับความเห็นชอบจากอภิรัฐมนตรี ในส่วนพระราชดำริในขั้นต้น อยากจะทำเป็น ๒ ทางทั้งล่างทั้งบน ข้างล่างให้มีเทศบาลเพื่อสนองราษฎรให้รู้จักเลือกผู้แทน จึงโปรดให้กรมร่างกฎหมายขึ้น ดังที่หลวงประดิษฐ์ฯ ทราบอยู่แล้ว แต่ก็ช้าไป ในส่วนข้างบนได้ทรงตั้งกรรมการองคมนตรีขึ้นเพื่อฝึกสอนข้าราชการ เพราะเห็นพูดจาไม่ค่อยเป็น จึงตั้งที่ประชุมขึ้นหวังให้มีที่คิดอ่านและพูดจา
ครั้นเสด็จไป อเมริกาก็ได้ให้ Interview (สัมภาษณ์) ว่าจะได้ให้ Constitution เมื่อเสด็จกลับมายิ่งรู้สึกแน่ว่าจะกักไว้อีกไม่สมควรเป็นแท้ จึงได้ให้ปรึกษา นายสตีเวนส์ (เรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ) กลับว่ายังไม่ถึงเวลา ฝ่ายพระยาศรีวิสารวาจาที่โปรดให้ปรึกษาด้วยผู้หนึ่งก็ Influence (โน้มน้าว) ไปด้วยกับนายสตีเวนส์ เมื่อพระยาศรีวิสารวาจาและนายสตีเวนส์ขัดข้องเสียดังนี้ก็เลยเหลวอีก
ต่อมาได้เตรียมว่าจะไม่ประกาศก่อนงานสมโภชพระนคร ๑๕๐ ปีแล้ว เพราะจะเป็นที่ขลาด รอว่าพองานแล้วจะประกาศ ได้เสนอในที่ประชุมอภิรัฐมนตรี เนื่องจากนายสตีเวนส์ไม่เห็นด้วย ที่ประชุมก็ขัดข้องว่าเป็นเวลาโภคกิจตกต่ำ ถึงกระนั้นก่อนเสด็จไปหัวหิน ก็ได้ทรงพระราชดำริที่จะให้มี Prime Minister (อัครมหาเสนาบดี) ให้มีสภา Interpellate (กระทู้ถาม) เสนาบดีได้ ให้ถวายฎีกาขอเปลี่ยนเสนาบดีได้ และให้มีผู้แทนจากหัวเมือง แต่ว่าแต่ละอย่าง ๆ จะเป็นได้ก็ลำบากเหลือเกิน หวังว่าจะเห็นด้วยว่าพระองค์ยากที่จะขัดผู้ใหญ่ที่ทำการมานานตั้ง ๒๐ ปีก่อนพระองค์
แปลนที่ ๒ คิดจะให้เสนาบดีมุรธาธร Preside เป็นประธานในที่ประชุมเสนาบดี พระองค์จะไม่ประทับในที่ประชุม และขยายจำนวนกรรมการขององคมนตรี ทำหน้าที่อย่างรัฐสภา ได้ทรงเตรียมไว้ ๒ แปลนใหญ่นี้ เอาติดพระองค์ไปหัวหินด้วย เพื่อจะทำ Memo บันทึกเสนอเสนาบดีสภา ครั้นได้ข่าวเรื่องนี้ (เปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิ.ย. ๒๔๗๕ ) ก็ปรากฏช้าไปอีก ที่คณะราษฎรทำไปไม่ทรงโกรธกริ้วและเห็นใจ เพราะไม่รู้เรื่องกัน พอทรงทราบเรื่องก็คาดแล้วว่าคงจะเป็นเรื่องการปกครอง ...
เรื่อง “คำประกาศของคณะราษฎร”
“...ในวันนั้น ได้ทรงฟังประกาศของคณะราษฎรทางวิทยุ ทรงรู้สึกเสียใจและเจ็บใจมาก ได้กล่าวหาร้ายกาจมากมายอันไม่ใช่ความจริงเลย ในประกาศของคณะราษฎรที่กล่าวหาว่าพระองค์ตั้งแต่งคนสอพลอนั้นไม่จริง ได้ทรงปลดคนที่โกงออกก็มาก แต่ลำพังพระองค์ๆ เดียวจะเที่ยวจับคนโกงให้หมดเมืองอย่างไรได้ แม้คณะนี้ก็คอยดูไป คงจะได้พบคนโกงเหมือนกัน ทรงเชื่อว่าพระราชวงศ์ทุกพระองค์ได้ตั้งพระทัยช่วยราชการโดยจริง ที่ว่าเอาราษฎรเป็นทาษหรือว่าหลอกลวงก็ไม่จริง และเป็นการเสียหายอย่างยิ่ง แต่อาจจะเป็นได้ว่าได้ปฏิบัติการช้าไป ที่ว่าราษฎรช่วยกันกู้ประเทศนั้นก็เป็นความจริง แต่พระราชวงศ์จักรีเป็นผู้นำ และผู้นำนั้นสำคัญ เสียใจที่ได้ทิ้งเสียไม่กล่าวถึงพระคุณควบไปด้วย เป็นการเท่ากับด่าถึงบรรพบุรุษ เพราะฉะนั้นเสียใจมาก
เมื่อได้เห็นประกาศ ไม่อยากจะรับเป็นกษัตริย์ แต่โดยความรู้สึกดั่งกล่าวมาข้างต้นว่าเทวดาสั่งเพื่อจะให้เปลี่ยนแปลงการปกครองโดยราบคาบ จึ่งจะทรงอยู่ไปจนรัฐบาลใหม่เป็นปึกแผ่น เมื่อถึงเวลานั้นแล้วจะทรงลาออกจากกษัตริย์ เมื่อเขียนประกาศทำไมไม่นึก เมื่อจะอาศัยกันทำไมไม่พูดให้ดีกว่านั้น และเมื่อพูดดังนั้นแล้ว ทำไมไม่เปลี่ยนเป็น Republic เสียทีเดียว...
การเขียนประกาศกับการที่ทำของคณะราษฎร เปรียบเหมือนเอาผ้ามาจะทำธง แล้วเอามาเหยียบย่ำเสียให้เปรอะเปื้อน แล้วเอามาชักขึ้นเป็นธง จะเป็นเกียรติยศงดงามแก่ชาติหรือ จึ่งทรงรู้สึกว่าจะรับเป็นกษัตริย์ต่อไปไม่ควร อีกประการ ๑ ประกาศนี้คงตกอยู่ในมือราษฎรเป็นอันมาก ทำให้ขาดเสียความนิยม เมื่อไม่นับถือกันแล้วจะให้เป็นกษัตริย์ทำไม เท่ากับจับลิงที่ดุมาใส่กรงไว้ จึ่งมีพระราชประสงค์จะออกเสีย เพราะรู้สึกว่าเสีย Credit ทุกชั้น ทำให้คนเกลียดหมด แต่จะทรงยอมอยู่ต่อไปจนเหตุการณ์สงบ...”
และมีอีกความตอนหนึ่งว่า
“...มีพระราชดำรัสว่า กระดาษที่ประกาศออกไปเกลื่อนเมือง ล้วนเป็นคำเสียหายจะปรากฏในพงศาวดาร เมื่อมีดังนี้แล้วถึงจะแก้ไขใหม่ก็ลำบาก เมื่อสิ้นธุระแล้ว ขอให้ปล่อยพระองค์ออกจากกษัตริย์ดีกว่า เพราะทรงรู้สึกว่า คณะราษฎรเอาพระองค์ใส่ลงในที่ๆ เลวทราม หรือมิฉะนั้น พระองค์ก็ตาขาวเต็มที ซึ่งที่จริงมีถึง 3 ทาง ทั้งสู้ ทั้งหนี คนไม่รู้หาว่าขี้ขลาด…”
เรื่อง “ริบทรัพย์” และ “ถอดเจ้า”
“...มีความอีกข้อ ๑ ได้ทรงทราบข่าวเรื่องจะยึดเงิน ไม่ทราบว่าจะทำจริงหรือไม่เพียงไร ถ้าจะริบ ทรงขอลาออกเสียก่อน เพราะจะยอมเป็นหัวหน้าบอลเชวิคร่วมมือริบทรัพย์ญาติด้วยไม่ได้ เป็นยอมตาย ที่คณะราษฎรจะคิดหาเงินจากคนมั่งมีด้วย Taxation นั้น ทรงยอมได้ แต่ในประกาศของคณะราษฎรที่พูดออกไปนั้นทำให้ต่างประเทศมีความสงสัย ทรงขอบอกว่าเมืองไทยจะทำอย่างเมืองจีนไม่ได้ และจะเปรียบกับอาฟกานิสตานก็ไม่ได้ เพราะภูมิประเทศผิดกัน เมืองไทยประเทศใกล้เคียงเอาเรือรบมาเมื่อไรก็ได้ จึงขอทรงทราบว่า คณะราษฎรได้คิดอย่างนั้นจริงหรือ
พระยาปกรณ์ฯ กราบบังคมทูลว่า คณะราษฎรมิได้คิดอย่างนั้นเลย คิดจะหาเงินโดยทางภาษี กับทาง Internal Loan เท่านั้น
มีพระราชดำรัสว่า เมื่อได้รับคำยืนยันว่าไม่ริบทรัพย์ จะจัดทางภาษีและทางกู้เงินในประเทศจะทรงช่วยได้ พระคลังข้างที่มีอยู่ ๖ ล้านจะยอมให้…”
“...อีกอย่าง ๑ ขอบอกว่าที่มีเสียงต่างๆ ว่าจะให้ถอดเจ้านั้น ทำไม่ได้เป็นอันขาด เมื่อคณะราษฎรจะทำก็ขอให้พระองค์ออกจากกษัตริย์เสียก่อน ทรงเห็นว่าจะทำอย่างนี้ได้คือ ในฝรั่งอย่าให้เรียกหม่อมเจ้าว่า His Highness ให้เรียกแต่ว่าหม่อมเจ้าเฉยๆ และที่จะให้เจ้ามีน้อยก็ทรงเห็นด้วย เพราะเดี๋ยวนี้ก็มีมากนัก แต่จะถอดถอนไม่ได้ ต้องปล่อยให้ตายไปเอง แล้วตีวงจำกัดเสียสำหรับภายหน้า
พระยามโนปกรณ์ฯ กราบบังคมทูลว่า เรื่องถอดเจ้ายังไม่ได้คิด
มีพระราชดำรัสว่า ใน ๒ อย่าง เป็นไม่ยอมทำคือ ‘ริบทรัพย์’ กับ ‘ถอดเจ้า’พระองค์ได้มีพระราชประสงค์อยู่ในการที่จะช่วยราษฎรทุกคนได้ถือที่ดินและมีที่นาเป็นของตนเอง…”
เรื่อง “สืบสันตติวงศ์”
“...อีกอย่างหนึ่ง อยากจะแนะนำเรื่องสืบสัตติวงศ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า และพระพุทธเจ้าหลวงได้เคยทรงพระราชดำริ ที่จะออกจากราชสมบัติ เมื่อทรงพระชราเช่นเดียวกัน ในส่วนพระองค์พระเนตรก็ไม่ปกติ คงทนงานไปได้ไม่นาน เมื่อการณ์ปกติแล้ว จึงอยากจะลาออกเสีย ทรงพระราชดำริเห็นว่า พระโอรสสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเพชรบูรณ์ ก็ถูกข้ามมาแล้ว ผู้ที่จะสืบสัตติวงศ์ต่อไป ควรจะเป็นพระโอรสสมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงสงขลานครินทร์ ฯลฯ...”
ความบางส่วนจากบันทึกลับที่จดโดย เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) อดีตเสนาบดีกระทรวงมุรธาธร ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
การสร้างภาพลักษณ์ให้คณะราษฏร์ เป็นการวางยา มายาวนานมาก
และมันสืบทอดความคิด อย่างต่อเนื่องมา...ในสถาบันการศึกษา จนถึงปัจจุบัน
แก๊งส์ ล้มเจ้า ตามหา "หมุดคณะราษฏร์"