5)นายปรีดี พนมยงค์ กับการลอบปลงพระชนม์ ร.8
ยืนยัน ด้วยเอกสารจาก CIA
ยืนยัน ด้วยเอกสารจาก CIA
นายปรีดี ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ ให้การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่เมื่อ 25 ม.ค. พ.ศ. 2485
ด้วยความช่วยเหลือจาก ม.จ. ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ พระเชษฐาต่างพระมารดาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี และผู้นำเสรีไทยสายอังกฤษ อาสาสมัครเสรีไทยทั้ง 36 คนได้เข้าประจําการกับกองทัพบกอังกฤษ เป็นทหารในกองร้อยที่ 253 เหล่าการโยธา (253 Company, Pioneer Corps) เสรีไทยกลุ่มนี้เดินทางถึงอินเดียเมื่อ 26 เม.ย. 2486 เพื่อฝึกเพิ่มเติม บางคนถูกส่งตัวไปปฏิบัติงานกับหน่วยสืบราชการลับ (Secret Intelligence Service - SIS) บางคนถูกส่งตัวไปทำงานให้กับหน่วยโฆษณาการในกระทรวงสารสนเทศ ส่วนอีก 23 คนซึ่งผ่านการฝึกอบรมในการกระโดดร่ม การอ่านแผนที่ และหลักสูตรกึ่งทหารได้รับเลือกเข้าร่วมกับหน่วยบริหารปฏิบัติการพิเศษ SOE, กองกำลังที่ 136 (Force 136) ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พลเรือเอก ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบ็ตเทน ซึ่งเป็นแม่ทัพสูงสุดของกองกำลังสัมพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แห่งกองบัญชาการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia Command - SEAC) ซึ่งอยู่ที่เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา กองกำลังที่ 136 นี้ ก็ได้ร่วมปฏิบัติการกับองค์กรปฏิบัติการลับอื่น เช่น หน่วยสืบราชการลับ SIS, กรมข่าวกรองแผนก 9 (Military Intelligence Section 9 - MI9), และสำนักบริการด้าน ยุทธศาสตร์ (Office of Strategic Services - OSS) ในการปฏิบัติการลับในตะวันออกไกล
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 กับ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงเกื้อหนุนจุนเจือภารกิจของเสรีไทยในประเทศอังกฤษอย่างสม่ำเสมอ
จากซ้ายไปขวา ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช - นายจำกัด พลางกูร - นายไพศาล ตระกูลลี้
'สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี' มีพระนามเดิมว่า 'หม่อมเจ้ารำไพพรรณี' ทรงเป็นพระอัครมเหสีพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 อีกทั้งยังถือเป็นพระราชินีองค์แรกในระบอบประชาธิปไตย ภายหลังการอภิวัฒน์ 2475
.
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ประทับยังประเทศอังกฤษนับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2477 ภายหลังเมื่อรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (นับตามปฏิทินเดิม)
.
ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ สวรรคตนั้น พระองค์ได้มีพระราชหัตถเลขาถึงรัฐบาลในขณะนั้นว่ามีพระราชประสงค์จะเสด็จกลับมาประทับที่จังหวัดตรัง ตามฐานะแห่งพระราชอิสริยยศสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปก ซึ่งพระองค์ได้สงวนไว้ในการสละราชสมบัติ คณะรัฐบาลได้พิจารณาตามพระราชประสงค์นั้น แต่พระองค์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อุบัติในฟากฝั่งทวีปยุโรป ได้ขยายวงกว้างมาสู่ไทย การรุนรานไทยด้วยการยกพลขึ้นบกโดยกองทัพของจักรวรรดิญี่ปุ่นเรียบตามแนวชาวฝั่งต่างๆ ของไทยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ไทยมิอาจหลีกเลี่ยงวิกฤตของชาติครั้งนี้ไปได้
.
วันที่ 21 ธันวาคมของปีเดียวกัน รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ลงนามร่วมเป็นส่วนหนึ่งของวงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพาของจักรวรรดิญี่ปุ่น และต่อมาได้ประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยความเป็นกลาง ส่งผลให้ชาวไทยในอังกฤษต้องตกอยู่ในสถานะชนชาติศัตรูไปโดยปริยาย เหตุดังกล่าวนำไปสู่การเกิดขึ้นของ "ขบวนการเสรีไทยสายอังกฤษ” ในคราวนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้ทรงร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจสำคัญดังกล่าวนี้ด้วย
.
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงเกื้อหนุนจุนเจือภารกิจของเสรีไทยในประเทศอังกฤษอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาภายหลังสงครามพระองค์ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ว่า
.
"ฉันเป็นเพียงไปลงชื่อกับเขา เป็นกำลังใจให้กับคนที่ทำงาน ฉันเองไปช่วยเขาทางด้านกาชาด แต่ฉันทำอย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างที่พวกเสรีไทยฝึกโดดร่ม ฝึกอาวุธกัน ฉันก็ไปช่วยเขาทำของ..."
.
ภารกิจในครานั้น มิเพียงแต่ช่วยชาติให้พ้นภัย แต่ยังได้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง 'หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน' (หรือที่รู้จักในนาม 'ท่านชิ้น') พระเชษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี กับ 'นายปรีดี พนมยงค์' ผู้นำขบวนการเสรีไทยในประเทศ ให้ลืมความบาดหมางในอดีตและถือเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานับแต่บัดนั้น
.
เมื่อสิ้นสุดสงคราม นายปรีดีได้สถาปนาพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ให้คืนคงเป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยอย่างเต็มที่ ดังปรากฏในลายพระหัตถ์ของหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ และพระกระแสรับสั่งของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
“…สมเด็จขอบพระทัยคุณหลวงและคุณพูนศุขมาก ที่ส่งเครื่องสักการะมาถวายพระบรมอัฐิ และพอพระทัยมากที่คุณหลวงได้ช่วยเหลือ ยังพระเกียรติของสมเด็จพระปกเกล้าฯ ให้คืนคงเป็นกษัตริย์ของประเทศเราอย่างเต็มที่. ทั้งความตั้งใจที่คุณหลวงจะพยายาม justify action ของท่านด้วย. เป็นอันว่าพวกเรานั้น appreciate คุณหลวงอย่างที่ผม appreciate ทุกคน...”
อ่านลายพระหัตถ์ฉบับเต็มได้ที่นี่
https://pridi.or.th/th/content/2022/12/1368
.
หลายบุคคลได้มีการติดต่อสื่อสารและส่งข้าวของต่างๆ จากเมืองไทยไปถวายสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ส่งกุ้งแห้งไปถวาย โดยฝากไปกับ “ท่านชิ้น” ดังต่อมาพระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ได้มีลายพระราชหัตถเลขาจากที่ประทับ (address) ชั่วคราว 11 Manchester Square, London ถึงท่านผู้หญิงพูนศุขเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2489 เนื้อความว่า
.
“แม่ พูนศุข ทราบ
กุ้งแห้งที่ฝากพี่ชิ้นมาให้นั้นได้รับนานแล้ว ขอบใจอย่างมากที่นึกถึง ฉันต้องขอโทษในการที่ไม่ได้ตอบไปให้ก่อนนี้ ไม่มีข้อแก้ตัวว่าอะไรเลยนอกจากว่าเหลวไหล ได้ของรับประทานอะไรที่เปนของไทยแล้วดีใจเสมอเพราะที่เมืองนี้ยาก กุ้งแห้งนั้นเวลานี้ได้รับประทานกันอร่อยและตัวโตดีด้วย เมื่อก่อนนี้ยังพอจะหาซื้อได้บ้างจากร้านเจ๊ก แต่มาบัดนี้หาไม่ค่อยจะได้ และของที่เรารู้สึกขาดที่สุดคือข้าว เวลานี้มีบ้างก็ที่คนส่งมาให้จากเมืองไทย แต่ก็ต้องจำกัดเพราะเอามาทางเครื่องบินยาก และเวลานี้ก็คงจะหายากขึ้นอีกด้วย เพราะได้ทราบว่าที่เมืองไทยก็ไม่ค่อยจะมี”
.
รวมทั้งแสดงความเป็นห่วงมาถึงอาการป่วยไข้ของนายปรีดี ซึ่งยังทรงเรียกขานตามบรรดาศักดิ์เดิมว่า “คุณหลวงประดิษฐ์”
.
“ได้ทราบว่าคุณหลวงประดิษฐ์ไม่ค่อยจะสบาย หวังว่าจะไม่เปนอะไรมากมาย เห็นจะเปนเพราะเหนื่อยมาก และยังจะมีเรื่องกวนใจอีกหลายเรื่องด้วย หวังว่าเวลานี้คงจะหายดีแล้ว. ในที่สุดนี้ขอขอบใจอีกที ฉันเห็นว่าแม่พูนศุขได้บุญมากที่ส่งของมาให้ หวังว่าสบายดีทั้งครอบครัว”
.
ล่วงมา พ.ศ. 2492 รัฐบาลไทยสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เสด็จนิวัตกรุงเทพมหานคร พร้อมกับพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ในพระบรมมหาราชวัง นั่นจึงเป็นการหวนคืนสู่เมืองไทยอีกหนของพระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 หลังแรมนิราศไปเนิ่นนาน
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง :
- "พูนศุขถวายกุ้งแห้งสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี" โดย อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ https://pridi.or.th/th/content/2022/01/944
หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐว่าพวกเขาเห็นอะไรในเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 (ค.ศ.1932)
ความจริงแล้วนายปรีดี นั้นเป็น คอมมิวนิสต์มาตั้งแต่ในวัยเยาว์แล้ว แม้ว่าได้รับทุนหลวงพระราชทานเรียนกฏหมายอยู่ที่ฝรั่งเศส แต่ก็แอบเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส....
นายปรีดี (ซึ่งในตอนนั้น เป็นอดีตผู้สำเร็จราชการแทนรัชกาลที่8 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) เลือกที่จะ เข้าข้างฝ่ายชนะสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งก็คือสหรัฐอเมริกา เพื่อแก้ข่าวว่าตนเองไม่ใช่คอมมิวนิสต์มาตั้งแต่แรกเหมือนที่ แปลก พิบูลสงคราม (ฝ่ายอักษะ) ได้ทำหนังสือทางการทูตฯแฉเอาไว้....การแถลงการณ์ของนายปรีดี เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ รัชกาลที่8 ในวันที่ 9 มิถุนายน 2489 เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น... ก่อนที่นายรีดี จะหลบหนีไปยังประเทศจีนและ ฝรั่งเศส อันเป็นการประกาศตัวตนว่า ตนเองคือ คอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส
กำลังเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากนั่นก็คือ เอกสารราชการลับของสำนักข่าวกรองกลาง สหรัฐฯอเมริกา ซึ่งทางด้านของ “ปราชญ์ สามสี” ได้นำมาสรุปไว้ได้อย่างน่าสนใจ โดยมีรายละเอียดดังนี้:
ข้อมูลนี้ถือว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ผ่านแว่นขยายของหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐว่าพวกเขาเห็นอะไรในเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 (ค.ศ.1932)
อนึ่ง ในเอกสารการข่าวลับ ของCIA ตีหัว confidential ฉบับ RDP82-00457R002500030001-4 ซึ่งถูกเขียนขึ้นในะช่วงปี 2492(ค.ศ.1949) ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองไปแล้วนั้นเอง
ฝ่ายสหรัฐฯซึ่งเวลานั้นเป็นฝ่ายผู้สนับสนุนรัชกาลที่๘และขบวนการเสรีไทย ซึ่งเป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่สองนั้นเอง พวกเขากำลังพูดถึงต้นกำเนิด ของขบวนการคณะราษฎรว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร?
จากเอกสารลับ ตีหัว confidential ฉบับ RDP82-00457R002500030001-4 ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า ความจริงแล้วนายปรีดี นั้นเป็น คอมมิวนิสต์มาตั้งแต่ในวัยเยาว์แล้ว
เพราะมีข่าวสารลับระบุเอาไว้ว่า
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร (ซึ่งเป็นพี่ชาย ของพระองค์เจ้าบวรเดช) ได้รายงานต่อ รัชกาลที่หก ถึงพฤติกรรมของนายปรีดี ซึ่งใช้ทุนหลวงพระราชทานเรียนกฏหมายอยู่ที่ฝรั่งเศสขณะนั้นแอบเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส จึงทำเรื่องร้องขอให้เรียกนายปรีดีกลับมายังสยามเป็นการด่วน
เรื่องนี้กระทบไปถึง ผู้มีอำนาจในเวลานั้นคือ พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) ผู้ซึ่งเป็นพ่อของ คุณหญิง พูนสุข พนมยงค์ (ภริยาของนายปรีดี) ได้เข้าไปแทรกแซง การเรียกนายปรีดี พนมยงค์กลับมาสยามนั้นเอง
จากเหตุการณ์นี้ ฝ่ายราชการลับสหรัฐฯในปี ปี 2492(ค.ศ.1949) มองการกระทำของปรีดีในเหตุการณ์ก่อนปี 2475 (ค.ศ.1932) และ การที่พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร ตั้งใจปลด ปรีดีออกจากทุนหลวง กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ความขัดแย้งและการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี 2475 (ค.ศ.1932)
เรื่องในเอกสารลับ CIAฉบับนี้สอดคล้องกับคำพูดที่เขียนในหนังสือ ชีวิตห้าแผ่นดินของข้าพเจ้า ที่เขียนโดย นาย ประยูร ภมรมนตรี อดีตผู้ก่อตั้งคณะราษฎรนั้นเอง
อย่างไรก็ตาม เอกสารลับฉบับนี้ได้มีความเห็นของเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวลับ ได้ออกความคิดเห็นว่า
- เอกสารการข่าวลับฉบับนี้น่าสนใจ เกี่ยวโยงกกับการข่มขู่ของรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงคราม(ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) ซึ่งกล่าวหาว่า นายปรีดีเป็น”คอมมิวนิสต์” จึงต้องกลับไปดูรายงานความคิดเห็นของปรีดีต่อสหภาพโซเวียตที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อ ในปี2489 (ค.ศ. 1946)
…………..
เมื่อมาค้นหาเอกสารอีกฉบับที่ถูกพูดถึงใน เอกสารลับ ฉบับ RDP82-00457R002500030001-4 ก็พบว่า เป็นเอกสารการข่าวที่คัดลอกมาจากสื่อชื่อ สยามเดลี่ย์ ปี2489 (ค.ศ. 1946)
ซึ่งเอกสารดั่งกล่าว เป็นเอกสาร ประเภท UNEVALUATED INFOMATION ซึ่งหมายถึงข่าวนี้ยังไมไ่ด้ยืนยันความน่าเชื่อถือนั้นเอง ( เพราะปรกติ เอกสารข่าวลับ จะมีการประเมินความน่าเชื่อถือของข่าวตามหลักการข่าวโดย นักการข่าวกรองนั้นเอง)
โดยสำนักข่าวสยามเดลี่ย์ในปี2489 (ค.ศ. 1946) ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพียงหนึ่งปี ได้รายงานความคิดเห็นของปรีดี (ผู้สำเร็จราชการแทน พระองต์อนันต์ฯ)ต่อสหภาพโซเวียต โดยระบุเอาไว้ว่า.....
การสืบสวนของรัฐบาลรัสเซีย ที่กังวลเรื่องการแลกแปลี่ยนเจ้าที่การทูต กับสยาม ปรีดีระบุว่า นี่เป็นผลลัพธ์ และเป็นการยื่นหนังสือประท้วงทางการทูตใหม่อีกครั้ง ของรัฐบาลจอมพล ป. ต่อสหภาพโซเวียต ก่อนเกิดสงคราม เขา (ปรีดี) อธิบายว่า:
นายปรีดีอธิบายต่ออีกว่า: "การเมืองและการทูตเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับความเชื่อทางการเมืองของประเทศอื่นหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางการฑูตของเรา
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าสยามจะไม่มีวันเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ได้เพราะเป็นธรรมเนียมของเรา ประเพณีและประวัติศาสตร์แตกต่างอย่างมากจากรัสเซีย
ก่อนการปฏิวัติโซเวียต ชาวนาและชนชั้นที่ยากจนในยุโรปเป็นเครื่องมือของเจ้าของที่ดินและนายทุน ความลำบากที่คนจนเหล่านี้ต้องทนทุกข์ได้ก่อให้เกิดลัทธิคอมมิวนิสต์
ข้าพเจ้าศึกษามาเพียงพอแล้ว เศรษฐศาสตร์อยู่ในฐานะที่จะบอกว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นในประเทศนี้และเราไม่มีอะไรต้องกลัวเรื่อง
นี้ ข้าพเจ้าขอชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด เพราะข้าพเจ้าเคยถูกตราหน้าว่าเป็นคอมมิวนิสต์"
ความเห็นฝ่ายการข่าวภาคสนามของสหรัฐให้ความเห็นเอาไว้ว่า. ในแง่ของการพัฒนาในสยามและการพัฒนาระหว่างประเทศตั้งแต่การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง และเนื่องจากความขัดสนของงานเขียนและสุนทรพจน์ที่แท้จริงโดยนายปรีดี พนมยงค์ในหัวข้อของโซเวียตรัสเซียและ ความมินิวสต์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ รู้สึกว่ารายงานของ บทสัมภาษณ์ของปรีดีในเดือนพฤษภาคม 2489 อาจเป็นที่สนใจ
‘’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’
เมื่ออ่าน เอกสารข่าว การให้สัมภาษณ์ของนายปรีดีที่ลง สยามเดลี่ย์ในปี2489 (ค.ศ. 1946) ก็จะเห็นได้ว่า นายปรีดี (ซึ่งเป็นอดีตผู้สำเร็จราชการแทนรัชกาลที่8 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) เลือกที่จะ เข้าข้างฝ่ายชนะสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งก็คือสหรัฐอเมริกา และแก้ข่าวว่าตนเองไม่ใช่คอมมิวนิสต์มาตั้งแต่แรกเหมือนที่ แปลก พิบูลสงคราม (ฝ่ายอักษะ) ทำหนังสือทางการทูตฯแฉเอาไว้
ดังนั้น เรื่องในเอกสารลับ CIA ฉบับ RDP82-00457R002500030001-4 ที่พูดถึงปฐมบทของนายปรีดีในช่วงฝรั่งเศส นั้นเป็นเครื่องยืนยันถึงความจริงอันเกี่ยวกับความคิดของนายปรีดีที่ฝักใฝ่พรรค คอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส ซึ่ง สมาชิกผู้ก่อตั้งคณะราษฎร เช่น แปลก พิบูลสงคราม และ นาย ประยูร ภมรมนตรีก็ล่วงรู้มาโดยตลอดนั้นเอง
สิ่งที่น่าสนใจคือ เอกสารข่าว การให้สัมภาษณ์ของนายปรีดี จากสยามเดลี่ย์ นั้น เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ รัชกาลที่8 ในวันที่ 9 มิถุนายน 2489 เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
ทำไมปรีดีต้องโกหก รากเง้าของคณะราษฎรในเวลานั้น หรือว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ ร.8?
!!!!!!!!!!!
ปราชญ์ สามสี
มาต่อ เรื่อง เอกสารCIAเพิ่มเติม กันหน่อยดีกว่า
เมื่อปี ค.ศ. 1999 มีเอกสารลับฉบับหนึ่งซึ่งถูก “ Declassified “ (ยกเลิกความลับ) และถูกเปิดเผยโดย CIA ซึ่งเป็นข่าวลับเกี่ยวเนื่องจาก คดีลอบปลงพระชนม์ รัชกาลที่๘
โดยเอกสารลับ รหัส CIA-RDP82-00457R002100560009-2 ซึ่งถูกเขียนไว้เมื่อวันที่ 8ธันวาคม 2491 (ค.ศ.1948) ระบุถึงการตัดสินใจของ นาย ปรีดี และ ท่านผู้หญิง พูนศุข พนมยงค์ เกี่ยวกับการสู้คดีสำคัญซึ่งตอนนั้นนายปรีดีถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ รัชกาลที่8 แล้ว นายปรีดี ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว( ซึ่งก็คือ ประเทศจีน นั้นเอง)
รายละเอียดภายในเอกสารลับ รหัส CIA-RDP82-00457R002100560009-2 ระบุเอาไว้ดังนี้
1. ท่านผู้หญิง พูนศุข พนมยงค์ ถูกเรียกเงินค่าสู้คดีจากทนายความในฐานะฝ่ายจำเลย ในคดีลอบปลงพระชนม์ ร.๘ เป็นเงิน 200,000 บาท
2. ท่านผู้หญิง พูนศุข ไม่มีเงินมากพอ แต่คุณผู้หญิงมีทรัพย์สิน ก่อนที่จะเปลี่ยนทรัพย์สินเป็นเงินสด คุณผู้หญิงพยายามตามหาสามีของเธอ เพื่อให้ตัดสินใจว่าจะส่งเงินมาให้ หรือ จะอนุญาตให้จำหน่ายทรัพย์สินแล้วยอมรับผลที่เกิดขึ้นกับข่าวที่เผยแพร่สู่สาธารณะ ทั้งนี้คุณผู้หญิงเชื่อว่านายปรีดีอยู่ในประเทศจีน
3. ท่านผู้หญิง พูนศุข ไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของสามี เธอได้รับข้อมูลว่า สามีของเธอได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนในประเทศจีน ข้อมูลนี้เธอได้รับมาจากเพื่อนคนหนึ่งที่กลับมาจากจีน
“”””””””””””””””””””””””””””””””””
สิ่งที่น่าสนใจ และควรพิจารณา
คือเรื่อง การสู้คดี ลอบปลงพระชนม์ร.8 ของปรีดีนั้นเอง จะเห็นได้ว่า เอกสารยืนยันชัดเจนว่า ปรีดีได้หลบหนีไปยังประเทศจีนเรียบร้อยแล้วโดยมีแหล่งข่าวคือ คุณหญิงพูนศุขเอง สิ่งที่น่าสนใจคือ การเรียกเก็บเงิน มูลค่า สองแสนบาท ซึ่งในสมัยนั้นถือว่ามีมูลค่าสูงมากกก เกินกว่าที่คนธรรมดาจะจ่ายไหว นั้นก็เพราะการที่นายปรีดี หลบหนีออกไปนอกประเทศ ปล่อยให้ ฝ่ายท่านผู้หญิงพูนศุข ต้องเผชิญกับภาระหนี้สินล้นพ้นตัวเพราะต้องนำเงินไปใช้จ่ายในค่าคดีความโดยไม่ยอมแม้แต่กลับมาสู้คดี
จะเห็นได้ว่า ท่านผู้หญิงพูนศุข รอคอยการกลับมาของปรีดีให้มารับผิดชอบและตัดสินใจเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ต้องแบ่งไปจ่ายค่าสู้คดี แต่ นายปรีดีก็ไม่ได้กลับมารับผิดชอบกับค่าใช้จ่ายในการสู้คดี อันเกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ ร.8 ซึ่งหากดูในเอกสารซีไอเอ ฉบับนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่า ตัวเลือกที่ นายปรีดีกระทำคือการหลบหนีคดีและยอมรับไปตามไปตามข่าวที่เกิดขึ้นเป็นประเด็นในสาธารณะ (ว่านายปรีดีอยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์) โดยปล่อยให้ ภริยาเผชิญกับการสูญเสียทรัพย์สินจากคดีความที่เกิดขึ้น
มันคือการยอมรับโดยบริยาย
สิ่งที่น่าสนใจ อีกเรื่องคือ การที่นายปรีดี ตัดสินใจหลบหนีไปประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ แบบ”เหมาอิส” แต่ไม่ใช่รัสเซีย นั้นก็สอดคล้องกับที่ ปรีดีพยายามไม่แสดงตัวเองว่าเป็นคนของพรรคคอมมิวนิสต์แบบ “โซเวียต” ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ การเมืองของประเทศฝรั่งเศส และรัสเซียนั้นมีความขัดแย้งกันมานาน แม้ว่าฝรั่งเศสจะมีพรรคคอมมิวนิสต์ เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ เป็นเหมือนเนื้อเดียวกันกับรัสเซีย จึงเชื่อได้ว่า ทางปรีดีเองก็น่าจะมีความเป็นไปได้ที่ยังรักษาน้ำใจกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศสอยู่
ดังนั้นการลี้ภัยไปที่จีน แล้วเดินทางต่อไปยังฝรั่งเศส ในช่วงบั่นปลายของชีวิตนั้นเป็นเครื่องยืนยันตัวตนและแนวคิดหลักการทางการเมือง ว่าเป็นคอมมิวนิสต์แบบพรรคฝรั่งเศส อีกทั้งปรีดี แม้ว่าจะเป็นอดีตผู้สำเร็จราชการแทนรัชกาลที่8 ซึ่งอยู่ฝ่ายพันธมิตร ในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่นายปรีดีก็เป็นพันธมิตรคนสำคัญที่ทำให้จีนนำลัทธิคอมมิวนิสต์เผยแพร่ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศจนสำเร็จนั้นเอง
ก็ไม่น่าแปลกใจเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นายปรีดี ถูก แปลก พิบูลสงคราม แฉว่าเป็นคอมมิวนิสต์ นายปรีดีถึงพยายาม ปฎิเสธถึงเรื่องต้นกำเนิดของคณะราษฎร และแนวคิดทางการเมืองมาตลอดว่าว่าปรีดีเขาไม่ใช่ คอมมิวนิสต์ นั้นเอง
เมื่อทันทีที่ รัชกาลที8 สิ้นพระชนม์ ในปี 2489 ปรีดีก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังตัวตนของตนเองอีกต่อไป …การหลบหนีไปที่จีน และ ฝรั่งเศสจึงเหมือน เป็นเครื่องบอกกลายๆว่าเขาคือ คอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส เหมือนดั่งที่ แปลก พิบูลสงครามและ ประยูร ภมรมนตรี กล่าวไว้ในหนังสือ ชีวิตห้าแผ่นดินของข้าพเจ้า นั้นเอง
ปราชญ์ สามสี
ตำนานยกย่องปรีดี จนได้รางวัลบุคคลดีเด่นของโลกจากยูเนสโก ก็มาจากคำบอกเล่าของ ส ศิวลักษณ์นี่เอง
///////////////////////////
นิยายที่แต่งโดย ส ศิวลักษณ์ ที่พยายามยกเอาปรีดีมาเป็นวีรบุรุษ (เพื่อเสนอห้ ยูเนสโก ในปี 2540 (ยุควิกฤติต้มยำกุ้ง ของชวลิต+ทักษิณ)ให้ปรีดีได้ตำแหน่ง บุคคลที่ทำความดีให้โลก ) ทั้งที่ ปรีดี และคณะราษฎร์ ปล้นพระราชอำนาจและพระคลังหลวง...และเกี่ยวข้องในการลอบปลงพระชนม์ ร.8 หลังจากกดขี่ราชวงศ์จักรี มายาวนาน ทำให้ ร.8 ทรงวางแผนจะเป็นนายกรัฐมนตรีและให้พระน้องนางเธอเป็นกษัตริย์แทน....
///////////////////////////
ความปลิ้นปล้อนของ ส ศิวลักษณ์ ในช่วงที่ปรีดี ยังมีชีวิตอยู่ จนเรียกนายปรีดีว่า "สวะสังคม"
/////////////////////////
ส.ศิวรักษ์ ผู้ไม่มีสัมมาอาชีพ รับเงินต่างชาติล้วนๆ ส่งเสริมประชาธิปไตย แบบฝรั่งสุดๆ
เฒ่าโง่ๆ ที่หลงกับทฤษฎีตะวันตก ที่ล่าเมืองขึ้น
มันคือ มือสีดำ Black Hand ที่ฝรั่งจ้างมา จ่ายเงินในรูปแบบ NGO เพื่อทำลายชาติ
มาเรียนรู้ เท่าทัน คนชั่ว พวกขายชาติ ครับ
https://www.youtube.com/watch?v=NBW-NyL--CQ
ลอกคราบ ส ศิวรักษ์