การที่คนรุ่นใหม่ไม่รู้จักพระคุณ ของบรมกษัตริย์ไทยในอดีต เพราะไม่ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และถูกบิดเบือนโดยฝ่ายการเมือง
การที่คนรุ่นใหม่ไม่รู้จักพระคุณ ของบรมกษัตริย์ไทยในอดีต เพราะไม่ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และถูกบิดเบือนโดยฝ่ายการเมือง ลูกหลานไทยไม่รู้ว่า..รากเหง้าตนเองมาได้อย่างไร?
หากไม่มีการเลิกทาส หากไม่มีระบบการศึกษา ป่านนี้ คงไม่ได้ผุดได้เกิด และมาทำร้ายสถาบันสูงสุดตามที่พวกคิดล้มล้าง รับใบสั่งจากเมืองนอกเพื่อหวังทำลายแก้ว 3 ประการ ในสมัยล่าอาณานิคม ของพวกฝรั่ง
ร.4 จ้างแหม่มแอนนามาสอนภาษาอังกฤษ ....
แหม่มแอนนาเป็นชาวอเมริกัน อยู่ในสมัยประธานาธิบดีลินคอนส์
ร.5 ได้เรียนภาษา ตลอดจนได้ไถ่ถามการปกครองในอเมริกา ได้รับรู้เรื่องราวการเลิกทาสของอเมริกา การปกครองระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษและอเมริกา อย่างอังกฤษมีกษัตริย์ อย่างอเมริกามีประธานาธิบดี
การประพาสยุโรปเพื่อเปิดตัวสยามประเทศ พระองค์สามารถสนทนาภาษาอังกฤษได้ ทำให้ชาวยุโรปนักล่าอาณานิคมรู้จักสยาม รู้จักพระองค์ รู้จักคณะผู้ติดตามที่สนทนาภาษาอังกฤษได้
พระองค์ท่านยังได้ไปถ่ายภาพกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสกษัตริย์รัสเซีย
เป็นกุศโลบายปราม อังกฤษ ฝรั่งเศส ที่ล่าอาณานิคมในแถบอินโดจีน
เมื่อพระองค์กลับมาได้หาหนทางเลิกทาสซึ่งสะเทือนเจ้าขุนมูลนาย พระยานาหมื่นที่มีทาสอยู่ในเรือนเบี้ย สำหรับพวกราชสกุลและราชนิกุล พระองค์ได้สนทนาชี้เหตุผลไม่มีการทัดทาน ส่วนพระยานาหมื่นก็ต้องยอมตามการเลิกทาสของ ร.5 โดยไม่เกิดสงครามกลางเมืองอย่างอเมริกา.... ก็ทำให้มหาอำนาจนักล่าอาณานิคมต้องสะดุดกับสยามประเทศ
ในขณะเดียวกัน ร.5 เมื่อเลิกทาสแล้ว พระองค์ห่วงใยทาสที่เป็นไทไม่มีที่ดินทำกิน
ได้ออกโฉนดให้ลูกทาสได้มีที่ทำกิน
เปลี่ยนรูปแบบการจัดการแบบเก่ามาเป็นการปกครองแบบจังหวัด, อำเภอ, ตำบล มีผู้ว่า มีผู้ใหญ่บ้าน, กำนัน
นำสาธารณูปโภคมาให้พสกนิกรเช่น ไฟฟ้า, โทรเลข, ประปา, รถไฟ ให้พสกนิกรได้ใช้ได้ทำงาน
การสนับสนุนให้ไปศึกษาต่อ ที่ต่างประเทศให้แก่ราชสกุลราชนิกุล พระยานาหมื่น
ได้ถ่ายทอดรูปแบบการปกครองประชาธิปไตยให้โอรส ร.6 ในเรื่อง การปกครอง...
เพื่อให้พสกนิกรได้ร่วมปกครองบ้านเมือง
การปฏิวัติยึดอำนาจ ร.7 เกิดจากความไม่พอใจ ในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายไปศึกษาที่ต่างประเทศ...ในรัชสมัยร 6
เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองการสนับสนุนจึงต้องลดตามลำดับ
เป็นเหตุให้พระยานาหมื่นผู้คุมกำลังไม่พอใจ.....สมัย ร.6 พระชนม์มายุไม่มากพระองค์เสด็จสวรรคต
น้องชายพระองค์ขึ้นครองราชย์ ร.7 จึงต้องแบกภาระเรื่องดังกล่าว
ทำให้สมัยนั้นต้องปลดตำแหน่งบางตำแหน่งลงยิ่งทำให้ เกิดกระแสไม่พอใจอย่างมาก พวกเรียนประเทศฝรั่งเศสคิดการเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมคบกับทหารจึงเกิดคณะราษฎร
ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
ความจริงเรื่องปฏิวัตินี่นะ ในหลวง รัชกาลที่ 7 ท่านทรงเดาไว้นานแล้ว"ความจริงเรื่องปฏิวัตินี่นะ ในหลวงท่านทรงเดาไว้นานแล้วว่าจะมีปฏิวัติ... โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันฉลองพระนคร ในหลวงท่านรับสั่งว่า วันนั้นน่ะ ไม่มีหรอกเพราะมีคนรู้กันมาก ถ้าจะระวัง ก็ต้องหลังจากวันงานผ่านไปเสียก่อน" (วันงานคือ วันฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๕)
"เช้าวันนั้น รู้เรื่องกันที่สนามกอล์ฟนั่นแหละ" สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงเล่า
"พอเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว พระยาอิศราฯ เป็นคนไปกราบบังคมทูลให้ในหลวงทรงทราบ ในหลวงก็รับสั่งว่า ไม่เป็นไรหรอก เล่นกันต่อไปเถอะ แต่ฉันกลับก่อนแล้ว"
จึงไม่ทราบเรื่องจนเสด็จกลับมาก็รับสั่งกับฉันว่า "ว่าแล้วไหมล่ะ"
ฉันทูลถามว่า "อะไรใครว่าอะไรที่ไหนกัน"
จึงรับสั่งให้ทราบว่ามีเรื่องยุ่งยาก ทางกรุงเทพฯ ยึดอำนาจ และจับเจ้านายบางพระองค์ ระหว่างนั้นทราบข่าวกระท่อนกระแท่นทางวิทยุ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไร มีเจ้านายอยู่กันหลายองค์ที่หัวหิน เช่น กรมสิงห์ (เสนาบดีกระทรวงกลาโหม)
ต่อมา ในหลวงก็ทรงได้รับโทรเลขมีความว่า ทางกรุงเทพฯ ได้ส่งเรือรบมาทูลเชิญเสด็จกลับ ในหลวงก็รับสั่งว่า "มาก็มาซิ" หลังจากนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงเศษ หลวงศุภชลาศัย ก็มาถึง พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (สมุหราชองครักษ์) สั่งให้ปลดอาวุธเสียก่อนถึงจะให้เข้าเฝ้าฯ ทางวังไกลกังวลก็เตรียมพร้อมอยู่เหมือนกัน ทหารรักษาวัง กองร้อยพิเศษไปตั้งปืนที่หน้าเขื่อน เสร็จแล้วหลวงศุภชลาศัย ก็ขึ้นมาข้างบน มาอ่านรายงานอะไรต่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่มีความสำคัญว่า "ทูลเชิญเสด็จกลับโดยเรือหลวงสุโขทัย" ในหลวงท่านรับสั่งว่า "ไม่กลับหรอกเรือสุโขทัย" พวกนั้นจึงกลับไป ระหว่างนั้นเราก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร บางคนก็กราบทูลว่าให้เสด็จออกไปข้างนอกเสียก่อนแล้วค่อยต่อรองกันทางนี้ ท่านรับสั่งว่า"ไม่ได้ ไม่อยากให้มีการรบพุ่งกัน เพราะจะเสียเลือดเนื้อประชาชนเปล่า ๆ เจ้านายหลายองค์ก็ถูกจับเป็นประกันอยู่ เพราะฉะนั้นจะยังไม่ทำอะไร" แต่ก็รับสั่งว่า "จะต้องมาปรึกษาฉันก่อนว่าจะไปหรือจะอยู่เพราะฉันต้องไปกับท่าน" สมเด็จทรงเล่า
เมื่อฉันได้รู้เรื่องจากในหลวง ฉันก็บอกว่า "ไม่ไปหรอกยังไงก็ไม่ไป ตายก็ตายอยู่แถวนี้"
ท่านรับสั่งว่า "ตกลงว่าจะกลับในตอนนั้น"
ฉันจำได้ว่าเป็นเวลาเย็นแล้ว กรมพระกำแพงฯ ซึ่งหนีจากกรุงเทพฯ ไปได้อย่างไรไม่รู้ ได้ขอเข้าเฝ้าฯ ท่านบอกว่า "ไม่มีประโยชน์หรอกเขาเข้ากันได้หมดแล้ว"
ทุกคนจึงได้แต่ฟังเอาไว้เฉย ๆ แต่ตกลงว่าจะเดินทางกลับโดยรถไฟ
ฉันมาถึงที่สถานีสวนจิตลดาเมื่อประมาณสัก ๗ ทุ่มเห็นจะได้ (ตี ๑) แหมเงียบจริง ๆ พอในหลวงเสด็จพระราชดำเนินจากรถไฟ มีราษฎรคนหนึ่งอยู่ที่สถานี กราบถวายบังคมแล้วก็ร้องไห้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นใคร อายุประมาณ ๓๐ กว่าเห็นจะได้ ในหลวงไม่ได้รับสั่งอะไร เราก็กลับมากันที่วัง ตลอดทางเงียบแล้วก็เศร้า เราผ่านพระที่นั่งอนันตสมาคมก็ไม่มีอะไร มาทราบเอาทีหลังว่า บนพระที่นั่งอนันตฯ เขาตั้งปืนไว้เต็มหมดเพราะรู้ว่าเราจะมาทางนั้น
พระราชบันทึกทรงเล่าในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ จากหนังสือเบื้องแรกประชาธิปไตย
คณะราษฎรใส่ร้าย รัชกาลที่ 7 เพื่อหาเรื่องเปลี่ยนแปลงการปกครอง
“...ในวันนั้น ได้ทรงฟังประกาศของคณะราษฎรทางวิทยุ ทรงรู้สึกเสียใจและเจ็บใจมาก
ได้กล่าวหาร้ายกาจมากมาย อันไม่ใช่ความจริงเลย
ในประกาศของคณะราษฎร ที่กล่าวหาว่าพระองค์ตั้งแต่งคนสอพลอนั้นไม่จริง ได้ทรงปลดคนที่โกงออกก็มาก แต่ลำพังพระองค์ๆ เดียวจะเที่ยวจับคนโกงให้หมดเมืองอย่างไรได้
เมื่อได้เห็นประกาศ แม้ไม่อยากจะรับเป็นกษัตริย์ ต่อไป แต่โดยความรู้สึกดั่งกล่าวมาข้างต้นว่าเทวดาสั่งเพื่อจะให้เปลี่ยนแปลงการปกครองโดยราบคาบ จึ่งจะทรงอยู่ไป จนรัฐบาลใหม่เป็นปึกแผ่น
เมื่อถึงเวลานั้นแล้วจะทรงลาออกจากกษัตริย์ เมื่อเขียนประกาศทำไมไม่นึก เมื่อจะอาศัยกันทำไมไม่พูดให้ดีกว่านั้น และเมื่อพูดดังนั้นแล้ว ทำไมไม่เปลี่ยนเป็น Republic เสียทีเดียว...
.
การเขียนประกาศกับการที่ทำของคณะราษฎรเปรียบเหมือนเอาผ้ามาจะทำธง แล้วเอามาเหยียบย่ำเสียให้เปรอะเปื้อน แล้วเอามาชักขึ้นเป็นธง จะเป็นเกียรติยศงดงามแก่ชาติหรือ
“...มีพระราชดำรัสว่า กระดาษที่ประกาศออกไปเกลื่อนเมือง ล้วนเป็นคำเสียหายจะปรากฏในพงศาวดาร เมื่อมีดังนี้แล้วถึงจะแก้ไขใหม่ก็ลำบาก เมื่อสิ้นธุระแล้ว ขอให้ปล่อยพระองค์ออกจากกษัตริย์ดีกว่า
เพราะทรงรู้สึกว่า คณะราษฎรเอาพระองค์ใส่ลงในที่ๆ เลวทราม หรือมิฉะนั้น พระองค์ก็ตาขาวเต็มที ซึ่งที่จริงมีถึง 3 ทาง ทั้งสู้ ทั้งหนี คนไม่รู้หาว่าขี้ขลาด…”
คณะราษฎร์ ออกหนังสือข่มขู่ รัชกาลที่ 7
#พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชหัตถเลขาเป็นภาษาอังกฤษพระราชทานไปยังพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ โดยทรงเล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ปรากฏความว่า
"...ฉันรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งที่เขามิได้คิดจะถอดฉัน และฉันยังเสียใจอยู่จนบัดนี้ ความรู้สึกขั้นแรกก็คือจะลาออกทันที แต่สมเด็จกรมพระสวัสดิ์ฯ แนะนำว่าไม่ควรทำ เพราะถ้าทำเช่นนั้นอาจมีการรบกันจนนองเลือดทั้งยุ่งยากต่างๆ จนอาจมีฝรั่งเข้ามายุ่งและชาติเราอาจเสียอิสรภาพได้... ถ้าเราจะรบโดยใช้ทหารหัวเมืองหรือ นั่นเป็นของแน่ที่เราอาจทำได้ แต่ฉันไม่ยินยอมเลยแม้แต่ชั่วขณะเดียว เพราะเจ้านายในกรุงเทพฯ อาจจะถูกฆ่าหมด ฉันรู้สึกว่าฉันจะนั่งอยู่บนราชบัลลังก์ที่เปื้อนโลหิตไม่ได้... สมเด็จกรมพระสวัสดิ์ฯ แนะนำตลอดเวลาให้ยินยอมกลับกรุงเทพฯ และช่วยคณะราษฎรจัดตั้งการปกครอง โดยมีกษัตริย์และรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เป็นของที่ฉันเคยอยากจะทำมานานแล้ว แต่ว่าฉันเสียขวัญ
ในที่สุด มีทางจะทำได้ ๒ ทาง คือ จะหนี หรือจะกลับกรุงเทพฯ ฉันยอมรับว่า ฉันตัดสินใจไม่ได้ทันทีว่าจะทำอย่างไรดี เราเพิ่งได้ยินคำแถลงการณ์ทางวิทยุกระจายเสียงอันรุนแรง ดูราวกับจะไปทางบอลเชวิค
ถ้าเช่นนั้น การที่จะกลับไปให้เขาตัดหัว ดูออกจะไร้ประโยชน์ เป็นการเสียสละอันไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรเลย
แต่นั่นแหละ คำแถลงการณ์นั้น อาจเป็นถ้อยคำของผู้ที่ออกจะคิดสั้น และรุนแรงรวดเร็วจัดคนหนึ่ง และไม่ใช่นโยบายจริงของคณะ
ฉันเลยตกลงใจเสี่ยง โดยให้ผู้หญิงเขาเลือก
ทั้งหญิง (สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี) และหญิงอาภา (พระมารดา) ตกลงเลือกให้กลับอย่างแน่วแน่
และฉันเห็นว่าทั้งสองควรจะได้รับเกียรติอย่างเต็มที่ ในการตกลงใจอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนั้น
เพราะในเวลานั้น เราอาจจะกลับไปสู่ความตายก็ได้
ผู้หญิงเขาเลือกเอาความตายดีกว่าการเสียศักดิ์ เท่านั้นก็พอแล้วสำหรับฉัน..."
(อ้างในเกิดวังปารุสก์ เล่ม 2)
เรื่องเล่าของรอยใบลาน
รัชกาลที่ 7 ทรงพบว่า "การร่างรัฐธรรมนูญของคณะราษฎรเป็นการเขียนตบตา หลอกประชาชน"
พระบาทสมเด็จปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ...
ทรงวิจารณ์การร่างรัฐธรรมนูญของคณะราษฎรว่า...
"เป็นการเขียนตบตาและหลอกกันเล่น"
เพราะอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์...และทรงมอบให้แก่ "ประชาชน"
ไม่ใช่ อำนาจอธิปไตยมาจากประชาชน แต่อย่างทั้งสิ้น...
เพราะ อำนาจอธิปไตย ไม่เคยเป็นของประชาชนมาก่อน...
และ"อำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์" อยู่ก่อน... แต่คณะราษฎรยึดกุมอำนาจไว้ที่คณะตนเอง.. โดยบิดเบือนอำนาจอธิปไตยมาจากพระมหากษัตริย์... ที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบให้ราษฎรทั้งหลาย... ถ้าพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ยินยอม... แม่ทัพนายกองก็จะเข้าปราบปราม"คณะราษฎร"ซึ่งมีหยิบมือเดียว ตามคำกราบบังคมทูลของแม่ทัพนายกองต่อพระปกเกล้า... โดยกราบบังคมทูลให้พระองค์ทรงเสด็จประทับที่ปีนังก่อน... แม่ทัพนายกองก็จะใช้กำลังเข้าปราบปรามคณะราษฎรที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งเป็นกบฎให้ราบคาบ... แต่พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงห้ามไว้ ทรงตรัสว่า... "ต้องเสด็จนิวัติพระนครเพื่อช่วยให้คณะราษฎรจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ เดี๋ยวจะจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้" เพราะพระองค์เข้าใจว่า"คณะราษฎร"จะสร้างประชาธิปไตยเช่นเดียวกับ"พระราชปณิธานของพระองค์"
แต่เมื่อเสด็จนิวัติพระนครแล้ว ได้ช่วยให้"คณะราษฎร"ตั้งรัฐบาลเสร็จแล้ว... ต่อมาเมื่อ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ นายปรีดี พนมยงค์ ได้ทูลเกล้าฯ ร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญปกครองประเทศชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๗๕
พระองค์ก็ทรงตรัสว่า... "หลักการของคณะราษฎรกับหลักการของข้าพเจ้าไม่พ้องกันเสียแล้ว" แต่ก็ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญไปก่อนเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายนองเลือด แล้วค่อยทรงแก้ไขกันภายหลัง หลังจากนั้นพระองค์ทรงตักเตือนให้"คณะราษฎร"สร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่"คณะราษฎร" ก็ไม่ยอมแก้ไขการปกครองที่พระปกเกล้าได้ทรงเรียกว่า... "การปกครองแบบเผด็จการทางอ้อมๆ ไม่ใช่ Democracy จริงๆเลย" ให้เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย(Democratic Government) แต่อย่างใดทั้งสิ้น พระองค์จึงทรงต่อสู้แบบอหิงสาพุทธครั้งสุดท้าย โดยไม่ยินยอมให้"คณะราษฎร"ปกครองแบบเผด็จการในนามของพระองค์อีกต่อไป...
จึงทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗ โดยมีพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติอันลือลั่นตอนหนึ่งว่า... "ข้าพเจ้าสมัครใจสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แ
ก่ราษฎรทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมมอบอำนาจของข้าพเจ้าให้แก่บุคคลใด คณะใดใช้อำนาจสิทธิ์ขาดโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร"...
ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้ อำนาจอธิปไตยก็ยังเป็นของคนส่วนน้อย...ยังไม่เป็นของปวงชนชาวไทย(ราษฎรทั้งหลาย) ตามพระราชปณิธานของพระองค์และตามความต้องการของประชาชนจนกระทั่งบัดนี้.... เราปวงชนชาวไทย...ได้รวมกันขึ้นเป็น... ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ... ได้รับใส่เกล้าฯ ปฏิบัติพระราชปณิธานอันยิ่งใหญ่สูงส่งของพระองค์ที่ว่า... "ข้าพเจ้าสมัครใจสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจของข้าพเจ้าให้แก่บุคคลใด คณะใด".. ให้ปรากฎเป็นจริง ให้จงได้ โดยเร็วที่สุด
#มรดกรัตนโกสินทร์
การเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยกระบอกปืน
ทั้งๆที่คนไทยยังไม่พร้อม
เมื่อครั้งคณะราษฎรยึดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
24 มิถุนายน วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง
วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของสยาม
อยากจะถามคนไทยบางคน ที่ได้อยู่กินหลบร้อนหลบแดดหลบฝน หากินประสบความสำเร็จ
และพอแต่อัทธยาศรัยตามสถานะ ว่า...ไม่รู้สึกถึงการกระทำที่คณะราษฎรทำต่อสถาบันพระมหากษัตริย์....เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย (ไทย= ไท หรือความเป็นอิสระ ที่ต้องถูกควบคุมโดย ยักษ์ เพราะ "ไท" ตามด้วยตัว "ย" )
ในยุค รัชกาลที่ 5 ประเทศสยาม มีความเจริญก้าวหน้ากว่าประเทศข้างเคียงมาก เช่นเจริญก่าเกาหลี 20 เท่า
สถานกาณ์ ประเทศสยามในยุค ใกล้เข้าสู่ สงครามโลกครั้งที่ 2(พ.ศ.2484-2488)
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ศูนย์ข้อมูลการเมืองไทย
วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตรงกับ 24 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันที่คณะราษฎรได้ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และวันนี้ กระปุกดอทคอม ก็มีประวัติความเป็นมาของ วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเล่าให้รู้ค่ะ
ความเป็นมา 24 มิถุนายน วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ได้ใช้นำทหารบก และทหารเรือ ซึ่งทั้งหมดเป็นกองกำลังในพระนคร ให้มารวมตัวกันบริเวณรอบพระที่นั่งอนันตสมาคม ประมาณ 2,000 นาย ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอ้างว่าเป็นการสวนสนาม จากนั้นให้ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้อ่านประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า มีใจความว่า
"เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชสมบัติสืบต่อจากพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรบางคนได้หวังกันว่ากษัตริย์องค์ใหม่นี้จะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การณ์ก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังกันไม่ กษัตริย์คงทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้างและการซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนเงิน ผลาญเงินของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร กดขี่ข่มเหงราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม ดังที่จะเห็นได้จากความตกต่ำในทางเศรษฐกิจและความฝืดเคืองในการทำมาหากินซึ่งพวกราษฎรได้รู้กันอยู่โดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้
การที่แก้ไขไม่ได้ก็เพราะรัฐบาลของกษัตริย์มิได้ปกครองประเทศเพื่อราษฎรตามที่รัฐบาลอื่น ๆ ได้กระทำกัน รัฐบาลของกษัตริย์ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่าไพร่บ้าง ข้าบ้าง) เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่นึกว่าเป็นมนุษย์ เหตุฉะนั้น แทนที่จะช่วยราษฎร กลับพากันทำนาบนหลังราษฎร จะเห็นได้ว่า ภาษีอากรที่บีบคั้นเอาจากราษฎรนั้น กษัตริย์ได้หักเอาไว้ใช้ปีหนึ่งเป็นจำนวนหลายล้าน ส่วนราษฎรสิ กว่าจะหาได้แม้แต่เล็กน้อย เลือดตาแทบกระเด็น ถึงคราวเสียเงินราชการหรือภาษีใด ๆ ถ้าไม่มีเงินรัฐบาลก็ยึดทรัพย์หรือใช้งานโยธา แต่พวกเจ้ากลับนอนกินกันเป็นสุข ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมัน ซึ่งชนชาตินั้นก็ได้โค่นราชบัลลังก์ลงเสียแล้ว
รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่าหลอกว่าจะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอย ๆ ก็เหลวไป หาได้ทำจริงจังไม่ มิหนำซ้ำกล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กิน ว่าราษฎรยังมีเสียงทางการเมืองไม่ได้ เพราะราษฎรโง่ คำพูดของรัฐบาลเช่นนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็โง่เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน ที่ราษฎรรู้ไม่ถึงเจ้านั้นเป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่ เพราะเกรงว่าเมื่อราษฎรได้มีการศึกษา ก็จะรู้ความชั่วร้ายที่พวกเจ้าทำไว้ และคงจะไม่ยอมให้เจ้าทำนาบนหลังคนอีกต่อไป
ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้ประเทศเป็นอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบและกวาดทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? ก็เอามาจากราษฎรเพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั่นเอง บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา เพราะทำนาไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนแล้วก็ไม่มีงานทำ จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม เหล่านี้เป็นผลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย บีบคั้นข้าราชการชั้นผู้น้อย นายสิบ และเสมียน เมื่อให้ออกจากงานแล้วก็ไม่ให้เบี้ยบำนาญ ความจริงควรเอาเงินที่พวกเจ้ากวาดรวบรวมไว้มาจัดบำรุงบ้านเมืองให้คนมีงานทำ จึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่ คงสูบเลือดกันเรื่อยไป เงินเหลือเท่าไรก็เอาไปฝากต่างประเทศ คอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย
เหตุฉะนั้น ราษฎร ข้าราชการ ทหาร และพลเรือน ที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายของรัฐบาลดังกล่าวแล้ว จึงรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรขึ้น และได้ยึดอำนาจของกษัตริย์ไว้ได้แล้ว คณะราษฎรเห็นว่าการที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้ก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลาย ๆ ความคิดดีกว่าความคิดเดียว ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น คณะราษฎรไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้น จึงได้อัญเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร คณะราษฎรได้แจ้งความประสงค์นี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความตอบรับ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมาก็จะได้ชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้น อยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา ตามวิธีนี้ราษฎรพึงหวังเถิดว่าราษฎรจะได้รับความบำรุงอย่างดีที่สุด ทุก ๆ คนจะมีงานทำ เพราะประเทศของเราเป็นประเทศที่อุดมอยู่แล้วตามสภาพ เมื่อเราได้ยึดเงินที่พวกเจ้ารวบรวมไว้จากการทำนาบนหลังคนตั้งหลายร้อยล้านมาบำรุงประเทศขึ้นแล้ว ประเทศจะต้องเฟื่องฟูขึ้นเป็นแม่นมั่น การปกครองซึ่งคณะราษฎรจะพึงกระทำก็คือ จำต้องวางโครงการอาศัยหลักวิชา ไม่ทำไปเหมือนคนตาบอด เช่น รัฐบาลที่มีกษัตริย์เหนือกฎหมายทำมาแล้ว เป็นหลักใหญ่ ๆ ที่คณะราษฎรวางไว้ มีอยู่ว่า
1.จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
2.จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
3.ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4.จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้)
5.จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
6.จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
ราษฎรทั้งหลายจงพร้อมใจกันช่วยคณะราษฎรให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วดินฟ้านี้ให้สำเร็จ คณะราษฎรขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์เหนือกฎหมายพึงตั้งตนอยู่ในความสงบและตั้งหน้าทำมาหากิน อย่าทำการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎร การที่ราษฎรช่วยคณะราษฎรนี้ เท่ากับราษฎรช่วยประเทศและช่วยตัวราษฎร บุตร หลาน เหลน ของตนเอง ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์ ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย ทุกคนจะต้องมีงานทำไม่ต้องอดตาย ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน และมีเสรีภาพพ้นจากการเป็นไพร่ เป็นข้า เป็นทาสพวกเจ้า หมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า "ศรีอาริยะ" นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า"
ซึ่งเมื่อ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้อ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 จบ ทหารที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวก็พากันโห่ร้องต้อนรับคณะปฏิวัติ เนื่องจากมีความไม่พอใจระบอบการปกครองแบบเก่าอยู่แล้ว แต่บางคนก็จำใจทำไปอย่างสับสนต่อเหตุการณ์ขณะนั้น หลังจากที่คณะปฏิวัติได้ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้เรียบร้อย ก็ได้เชิญเจ้านายและพระราชวงศ์บางพระองค์ที่คุมกำลังทหารมากักไว้ โดยให้ประทับอยู่ภายในพระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อเป็นองค์ประกันของคณะราษฎร โดยเฉพาะสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชอำนาจมากที่สุด โดยคุมกำลังทหารและพลเรือนของประเทศส่วนใหญ่ไว้ และได้ทูลให้ลงพระนามประกาศที่คณะราษฎรนำมาถวายซึ่งมีข้อความว่า
"ด้วยตามที่คณะราษฎรได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินไว้ได้โดยมีความประสงค์ข้อใหญ่ ที่จะให้ประเทศสยามได้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดินนั้น ข้าพเจ้าขอให้ทหาร ข้าราชการ และราษฎรทั้งหลายจงช่วยกันรักษาความสงบ อย่าให้เสียเลือดเนื้อ ของคนไทยด้วยกันโดยไม่จำเป็นเลย"
โดยประกาศของ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ที่ทางคณะราษฎรได้ทูลให้ลงพระนามนั้น ก็ถูกคณะราษฎรนำประกาศฉบับดังกล่าวไปใช้เสมือนเป็นคำรับรองจากผู้มีอำนาจสูงสุดขณะนั้น ในการออกคำสั่งให้ส่วนราชการทุกแห่งทั่วประเทศ รวมทั้งกำลังทหารหัวเมืองให้ปฏิบัติหน้าที่ไปตามปกติ โดยไม่มีการหยุดชะงักใด ๆ เลย และเมื่อเหตุการณ์ภายในพระนครเป็นไปด้วยดี คณะราษฎรก็ได้ทำหนังสือราชการซึ่งลงนามโดย พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระยาฤทธิอัคเนย์ ส่งไปกราบถวายบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน และอัญเชิญในหลวงกลับสู่พระนครเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินซึ่งคณะราษฎรได้ร่างขึ้น
สำหรับใจความในหนังสืออัญเชิญ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
"ด้วยคณะราษฎร ข้าราชการ ทหาร พลเรือน ได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินไว้ได้แล้ว และได้เชิญเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์มีสมเด็จพระพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นต้น ไว้เป็นประกัน ถ้าหากคณะราษฎรนี้ถูกทำร้าย ด้วยประการใด ๆ ก็จะต้องทำร้ายเจ้านายที่จับกุมไว้เป็นการตอบแทน คณะราษฎรไม่ประสงค์ที่จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันใหญ่ยิ่งก็เพื่อจะมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จึงขอเชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จกลับสู่พระนคร และทรงเป็นกษัตริย์ต่อไป โดยอยู่ใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ซึ่งคณะราษฎรได้สร้างขึ้น ถ้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตอบปฏิเสธก็ดี หรือไม่ตอบภายใน 1 ชั่วนาฬิกานับตั้งแต่ได้รับหนังสือนี้ก็ดี คณะราษฎรจะได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินโดยเลือกเจ้านายพระองค์อื่น ๆ ที่เห็นสมควรขึ้นเป็นกษัตริย์"
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร์ ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อ รวมทั้งความเสียหายแก่บ้านเมืองและเนื่องจากพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว จึงไม่ทรงขัดความปรารถนาของคณะราษฎรที่ได้กราบบังคมทูลเชิญเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
สมาชิกคณะราษฎร
การวางแผนการของคณะราษฎร
ในการวางแผนดังกล่าวกระทำที่บ้าน ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี ในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการวางแผนควบคุมสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร โดยมีการเลื่อนวันเข้าดำเนินการหลายครั้งเพื่อความพร้อม หลังจากนั้น ยังได้มีการประชุมกำหนดแผนการเพิ่มเติมอีกที่บ้านพระยาทรงสุรเดช โดยมีการวางแผนว่าในวันที่ 24 มิถุนายนจะดำเนินการอย่างไร และมีการแบ่งงานให้แต่ละกลุ่ม แบ่งออกเป็น 4 หน่วยด้วยกัน คือ
หน่วยที่ 1 ทำหน้าที่ทำลายการสื่อสารและการคมนาคมที่สำคัญ เช่น โทรศัพท์ โทรเลข ดำเนินการโดยทั้งฝ่ายทหารบกและพลเรือน ทหารบกจะทำการตัดสายโทรศัพท์ของ ทหาร ส่วนโทรศัพท์กลางที่วัดเลียบมี นายควง อภัยวงศ์ นายประจวบ บุนนาค นายวิลาศ โอสถานนท์ ดำเนินการ โดยมีทหารเรือทำหน้าที่อารักขา ส่วนสายโทรศัพท์และสายโทรเลขตามทางรถไฟและกรมไปรษณีย์เป็นหน้าที่ของ หลวงสุนทรเทพหัสดิน หม่อมหลวงอุดม สนิทวงศ์ หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์ เป็นต้น ซึ่งหน่วยนี้ยังรับผิดชอบคอยกันมิให้รถไฟจากต่างจังหวัดแล่นเข้ามาได้ โดยเริ่มงานตั้งแต่เวลา 06.00 น.
หน่วยที่ 2 เป็นหน่วยเฝ้าคุม โดยมากเป็นฝ่ายพลเรือนผสมกับทหาร ทำหน้าที่ควบคุมตัวเจ้านายและบุคคลสำคัญต่าง ๆ เช่น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต จากวังสวนผักกาดมายังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระประยุทธอริยั่น จากกรมทหารบางซื่อ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการวางแผนให้เตรียมรถยนต์สำหรับลากปืนใหญ่มาตั้งเตรียมพร้อมไว้ โดยทำทีท่าเป็นตรวจตรารถยนต์อีกด้วย โดยหน่วยนี้ดำเนินงานโดย นายทวี บุณยเกตุ นายจรูญ สืบแสง นายตั้ว ลพานุกรม หลวงอำนวยสงคราม เป็นต้น โดยฝ่ายนี้เริ่มงานตั้งแต่เวลา 01.00 น.
หน่วยที่ 3 เป็นหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนย้ายกำลัง ซึ่งทำหน้าที่ประสานทั้งฝ่ายทหารบกและทหารเรือ เช่น ทหารเรือจะติดไฟเรือรบ และเรือยามฝั่ง ออกเตรียมปฏิบัติการตามลำน้ำได้ทันที
หน่วยที่ 4 เป็นฝ่ายที่เรียกกันว่า "มันสมอง" มี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ร่างคำแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญ และหลักกฎหมายปกครองประเทศต่าง ๆ รวมทั้งการเจรจากับต่างประเทศเพื่อทำความเข้าใจภายหลังการปฏิบัติการสำเร็จแล้ว
จุดมุ่งหมายในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
คณะราษฎร มุ่งหวังที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศ โดยกำหนดไว้ 3 ประการ ดังนี้
ประการแรก เพื่อวางรากฐานประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและปฏิเสธการสถาปนาสาธารณรัฐโดยเด็ดขาด
ประการที่สอง กำหนดการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยการยึดอำนาจ เพื่อเปลี่ยนจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบบที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การจลาจลนองเลือด ให้งดเว้นการทำทารุณใด ๆ ทั้งสิ้น
ประการที่สาม ให้ตั้งอยู่ในสัจจะ เสียสละเพื่อประเทศชาติ เว้นการหาประโยชน์สร้างตนเองโดยเด็ดขาด
สาเหตุที่ทำให้คณะราษฎรตัดสินใจเปลี่ยนระบอบการปกครอง มีหลายสาเหตุ อาทิ
สาเหตุแรก ได้แก่ สภาพบ้านเมืองในช่วงเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาอภิรัฐมนตรีสภาซึ่งสมาชิกทั้งหมดเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ด้วยเหตุผลที่จำให้แก้สถานการณ์ที่กล่าวว่า พระมหากษัตริย์กับพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่แตกแยกกัน ดังนั้น การยับยั้งข้อเสนอบางเรี่องโดยเฉพาะพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้ประชาชนชาวไทยในวาระราชวงศ์ จึงทำให้คณะราษฎรและกลุ่มหนังสือพิมพ์มองว่า พวกเจ้าหลงกับอำนาจ
สาเหตุที่สอง ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศรายได้ไม่พอกับรายจ่าย สืบเนื่องจากเศรษฐกิจของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และการใช้จ่ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว การแก้ไขคือ การดุลข้าราชการ ยุบเลิกหน่วยงานต่าง ๆ ตัดทอนค่าใช้จ่ายของกระทรวง กรม กอง และเก็บภาษีบางประการเพิ่มการแก้ไขดังนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่ผู้เสียประโยชน์ ในวงการทหารก็เช่นกัน จึงเป็นเหตุให้นายทหารคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในขณะที่มีการดุลข้าราชการออก ก็มีกลุ่มบุคคลมองว่าดุลออกเฉพาะสามัญชน ส่วนข้าราชการที่เป็นเจ้าไม่ต้องถูกดุล แล้วยังบรรจุเข้าทำงานแทนสามัญชนอีก ความแตกต่างทางฐานะด้านสังคมก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
สาเหตุที่สำคัญที่สุด ก็คือ ความล่าช้าในการบริหารราชการแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์จะฝึกข้าราชการในสภากรรมการองคมนตรีให้เรียนรู้วิธีการประชุม ปรึกษาแบบรัฐสภาเพื่อเตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนูญ ก็ทำได้อย่างไม่มีผลเท่าไรนัก พระราชบัญญติเทศบาล ซึ่งจะเป็นรากฐานของการปกครองตนเองก็ยังไม่ได้ประกาศออกใช้ และข้อสุดท้ายคือ ร่างรัฐธรรมนูญที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ผู้ชำนาญการร่างไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ได้พระราชทานแก่ประชาชน
สัญลักษณ์วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง
หมุดทองเหลือง เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนั้น โดยหมุดทองเหลือง ถูกฝังอยู่กับพื้นถนนบนลานพระบรมรูปทรงม้า ด้านสนามเสือป่า มีข้อความว่า
"ณ ที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎร ได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ"
ขอบคุณข้อมูลจาก : Kapook
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เมื่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลง สิ่งที่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้สร้างสมไว้ ก็ถูกเหล่าคณะราษฎรที่เป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในขณะนั้นยึดเอาไปหมดสิ้น
คณะราษฎรหวงแหนอำนาจทางการเมืองมาก จนถึงขนาดมีการจัดตั้ง “สายลับคณะราษฎร” ขึ้นมาสอดแนม สืบข่าวตามวัง ตามหน่วยราชการต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครลุกขึ้นมาต่อต้าน สอดคานขโมยเกี่ยวเอาอำนาจของพวกเขาไป
และวิธีถนัดของพวก “สายลับคณะราษฎร” คือการกุข่าวปลอม หรือ Fake News แล้วยัดเยียดความผิดให้คนที่คิดว่าเป็นศัตรูทางการเมือง ซึ่งเรื่องที่เรียกได้ว่ามโนที่สุดคือการกล่าวหาว่า สมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์ ทรงต้องการกลับมามีอำนาจ โดยมีคนไทยปักษ์ใต้เป็นกำลังหลักในการก่อกบฏ
ทั้งที่ความจริงสมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์ เสด็จลี้ภัยในต่างประเทศ และไม่ได้กลับสยามอีกเลยจนวาระสุดท้ายของพระองค์ เพียงเพราะเห็นถึงความสงบสุขของประเทศ
อ่านเรื่องนี้ดู https://bit.ly/3mjTl4T แล้วจะรู้ว่า การสร้าง Fake News ของสายลับคณะราษฎร ไม่ใช่เรื่องพูดลอย ๆ แต่มีหลักฐานหลายชิ้นในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ที่ยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
https://www.facebook.com/731972834181045/posts/845524796159181/
อีกหนึ่งเหตุการณ์ เมื่อครั้งหลังคณะราษฎรยึดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
"ขอให้เธอไปช่วยบอกจอมพล(ป พิบูลสงคราม)ที ว่า อย่าจับกรมชัยนาทเข้าห้องขัง มีอะไรผิด ส่งมาที่ฉัน ฉันจะขังไว้เอง" พระราชกระแสรับสั่งของ สมเด็จพระพันวัสสาอยิกาเจ้า ที่มีต่อพลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน(อุ่ม อินทรโยธิน) หนึ่งในผู้สำเร็จราชการ เพื่อให้เจ้าคุณอุ่มช่วยไปพูดกับ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ให้ปล่อยตัวกรมขุนชัยนาทที่ถูกกล่าวหา และตกเป็นนักโทษ ในคราวกบฏพระยาทรงสุรเดช
"ฉันตายแล้ว ฉันจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าหลวงได้อย่างไร ท่านอุ้มมาพระราชทานฉันด้วยพระหัตถ์เองเลยทีเดียว เมื่อ12วันแท้ๆ" พระดำรัสของ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ครั้งเมื่อกรมขุนชัยนาท ทรงถูกจับและคุมขังในข้อหากบฏที่คุกบางขวาง สมเด็จพระพันวัสสาทรงร้อนรนพระราชหฤทัย และมีพระราชดำริในการช่วยกรมขุนชัยนาท ที่ท่านทรงเลี้ยงดูมาดังพระราชโอรสแท้ๆ ถึงกับทรงเอ่ยพระโอษฐ์ขอร้อง เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ดังมีพระราชกระแสรับสั่ง ความว่า "เธอกับฉัน ก็เห็นกันมาตั้งแต่ไหนๆ ครั้งนี้ทุกข์ของฉันเป็นที่สุด ขอให้เธอช่วยไปบอกจอมพลทีว่า อย่าจับกรมขุนชัยนาทเข้าห้องขัง มีอะไรผิดส่งมาให้ฉัน ฉันจะขังไว้ให้เอง.."
แต่พระราชกระแสรับสั่งที่ทรงขอร้องนั้น ไม่เป็นผล ศาลพิเศษมีคำสั่งให้ถอด พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ออกจากฐานันดรศักดิ์ เป็น "นักโทษชายรังสิต" และตัดสินประหารชีวิต ภายหลังลดโทษลงเหลือจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากเคยประกอบคุณงามความดีให้กับชาติบ้านเมือง
ไม่เคยมีเลยที่คนธรรมดาสามัญ จะมามีอำนาจกระทำการเหิมเกริม ถอดพระอิสริยยศ พระอิสริยศักดิ์ พระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินลงเป็นนักโทษเช่นนี้
เหตุนี้ได้นำความทุกข์โทมนัสอันแสนสาหัส ดุจดังอสุนีบาตตกลงกลางพระราชหฤทัย จนแหลกละเอียดเป็นจุณ ดังมีพระราชดำรัสรับสั่งไว้ว่า " เขาจะแกล้งฉันให้ตาย ฉันไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ลูกตายก็ไม่ได้น้อยใจ หรือช้ำใจเหมือนครั้งนี้เลย เพราะมีเรื่องหักได้ว่าธรรมดาโลก ครั้งนี้ทุกข์ที่สุดจะทุกข์แล้ว.."
ภายหลังต่อมาอีกหลายปี ในรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ได้คืนความชอบธรรมให้แก่ท่าน กรมขุนชัยนาทได้พ้นข้อครหาต่างๆ ท่านมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ กบฏพระยาทรงสุรเดชเลย และท่านได้พระฐานันดรศักดิ์คืน
เครดิต : พิพิทธประวัติศาสตร์ ,คุณแทน t2539
นี่หรือ..ประชาธิปไตยแบบคณะราษฎร!!?? ...ตัดสินประหารชีวิตพระราชโอรส รัชกาลที่ 5 ด้วยศาลพิเศษ!! ไม่ให้มีทนายความ!?
พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร
พระนามเดิม พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์
(12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2428 - 7 มีนาคม พ.ศ. 2494)
พระราชโอรสองค์ที่ 52 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เนื่อง สนิทวงศ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ดำรงพระชนม์ชีพอยู่เป็นพระองค์สุดท้าย
เมื่อครั้นพ.ศ. 2481 ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม
กรมพระยาชัยนาทนเรนทร พระองค์ทรงถูกกล่าวหาว่า มีส่วนร่วมอยู่ในกบฏพระยาทรงสุรเดช ทำให้พระองค์ถูกคุมขังที่เรือนจำบางขวาง
จากบันทึกของพระโอรส หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทฯ ทรงเขียนถึงเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็น “เคราะห์กรรม” ของครอบครัวพระองค์ไว้ว่า
“...พ.ศ. 2482 ปีมหาอุบาทว์ ปีที่มี 9 เดือนเท่านั้น ใกล้เข้ามาแล้ว
สองเดือนก่อนถึงวันที่ 1 เมษายน 2482 ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยแบบเก่าครั้งสุดท้าย เสด็จพ่อถูกตำรวจของรัฐบาลพลตรีหลวงพิบูลสงคราม จับในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา กับเจ้าพระยาพิชเยนทร์โยธิน สองผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ก็ลงชื่อในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลพิเศษ...
โดยพลตรี หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เป็นผู้มีอำนาจตั้งผู้พิพากษาของศาลพิเศษ ทั้งอำนาจตั้งอัยการประจำศาลผู้ทำหน้าที่เป็นโจทก์ (แต่จำเลยไม่มีสิทธิ์ตั้งทนาย) ศาลพิเศษนี้ผู้พิพากษาเป็นนายพลเพื่อนนายกรัฐมนตรีส่วนใหญ่ ตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีเดียว คือคดีที่เสด็จพ่อทรงติดร่างแหไปด้วย
นักกฎหมายทุกคนเห็นว่าเป็นการผิดหลักนิติธรรมที่ประเทศซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญ มีสภานิติบัญญัติ และอยู่ในภาวะปกติไม่มีสงครามหรือการจลาจล ได้ออกกฎหมายพิเศษให้รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมผู้ที่มีอำนาจตั้งโจทก์ ตั้งผู้ว่าคดี และตั้งผู้พิพากษาเองทั้งหมด เป็นเรื่องซึ่งทำให้คนไทยผู้ไม่ได้กระทำผิด เพียงแต่อาจไม่เห็นด้วยกับนโยบายบางประการ"
“...เรื่องมันเห็นได้ตามภูมิปัญญาของข้าพเจ้าว่า การถูกยิงที่ท้องสนามหลวง และลอบวางยาพิษ (ถ้าเกิดขึ้นจริง) ได้ทำให้หลวงพิบูลสงครามหวั่นหวาด “ภัยมืด” มากขึ้น จนสุดที่จะทนทานได้ จึงจำเป็นต้องจัดการลงไปที่จะเป็นการประกันความปลอดภัยอย่างเพียงพอ ... ความสงสัยได้รวมอยู่ที่ความเคลื่อนไหวของพระยาทรงสุรเดช การคิดตั้งโรงเรียนรบที่เชียงใหม่นั้น ถูกสงสัยว่าเป็นแผนการของพระยาทรงฯ ที่จะยึดอำนาจการปกครอง พวกสหายและสานุศิษย์ของพระยาทรงสุรเดช อาทิ พระสิทธิเรืองเดชพล หลวงชำนาญยุทธศิลป หลวงรณสิทธิพิชัย ขุนคลี่ ฯลฯ …
โดยสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยได้ประกาศในคืนวันนั้นว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลได้ควบคุมพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ที่สถานีรถไฟลำปางเพื่อนำส่งกรุงเทพฯ”
“ทำไมหนอรัฐบาลหลายรัฐบาลมาแล้วจึงไม่ยอมที่จะเข้าใจเลยว่า ฉันไม่มีความทะเยอทะยานในเรื่องอำนาจวาสนา ฉันต้องการอยู่ตามลำพังอย่างคนสามัญทั้งหลาย” พระดำรัสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทฯ
โดยพิพากษาศาลพิเศษระบุว่า..
“…คดีเป็นอันฟังได้ว่า จำเลยทั้งหมดในคดีนี้นอกจาก … ได้สบคบกันกระทำการประทุษร้ายเพื่อทำลายรัฐบาล มีความผิดฐานกบฏตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 101…
อาศัยเหตุดังกล่าวแล้ว จึงต้องพิพากษาให้ประหารชีวิต แต่นายพลโท พระยาเทพหัสดินทร กรมขุนชัยนาทนเรนทร และพันเอก หลวงชำนาญยุทธศิลป จำเลยทำความดีมาก่อน ประกอบกับเมื่อได้ระลึกถึงเหตุผลที่ว่าๆ ไปแล้ว ควรได้รับความปรานี จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามมาตรา 59 และมาตรา 37 (1) คงให้จำเลยทั้ง 3 นี้ ไว้ตลอดชีวิต…”
เมื่อถูกพิพากษาตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตแล้ว พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทฯ จึงถูกเชิญเสด็จไปกักขัง ณ เรือนจำกลางบางขวาง และยิ่งนำความเสียพระราชหฤทัยของสมเด็จพระพันวัสสามากยิ่งขึ้น เมื่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีพระราชโองการถอดฐานันดรศักดิ์ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งหมด โดยให้ออกนามใหม่ว่า “นักโทษชายรังสิต”
ต่อมาภายหลังจากที่ "นักโทษชายรังสิต" ถูกกักขัง ณ เรือนจำกลางบางขวาง ในข้อหา "กบฏ" เป็นเวลาเกือบ 3 ปี นับตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2482 ในที่สุดรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงได้ตัดสินใจปล่อยท่านให้เป็นอิสระ และได้ทรงคืนสู่ฐานะ "พระบรมวงศ์" สมเด็จกรมพระยาชัยนาทฯ ก็ได้ทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย
พ.ศ.2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งบรมพิมาน
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นเถลิงราชย์สมบัติ ด้วยเหตุที่ทรงยังไม่บรรลุพระราชนิติภาวะ และต้องเสด็จกลับไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร เป็นประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
พ.ศ. 2493 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานอภิรัฐมนตรีที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน
พระราชทานยศพลเอกนายทหารพิเศษประจำกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 มหากเล็กรักษาพระองค์ และเลื่อนพระอิสริยยศเป็น "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระชัยนาทนเรนทร" และยังคงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับไปรักษาพระอาการประชวรยังต่างประเทศ และเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2494 กรมพระชัยนาทฯ ได้สิ้นพระชนม์โดยปัจจุบันที่วังถนนวิทยุ ด้วยพระโรคหืดและโรคพระหทัยวาย ถือว่าเป็นราชโอรสองค์สุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ที่มีพระชนม์ยืนที่สุด สิริพระชนมายุได้ 65 ปี 4 เดือน
ทั้งนี้ศาลพิเศษ เป็นสัญลักษณ์แห่งความด่างพร้อยของประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย ไม่เพียงแต่การพิจารณาคดีที่ไม่เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น แต่ยังมีการสร้างหลักฐานและพยานเท็จมากมาย เพื่อให้บุคคลที่รัฐบาลสงสัยว่าเป็นปฏิปักษ์ได้รับโทษ
วิลาสินี แววคุ้ม
สำนักข่าวทีนิวส์
เรื่องพระราชวังวินเซอร์
ซึ่งรัชกาลที่ ๕ โปรดฯ ให้สร้าง เพื่อเป็นที่ประทับของสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกของสยาม เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
ซึ่งทรงเป็น "ลุงแท้ๆ" ของรัชกาลที่ ๙ แต่สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์
ถ้าไม่ย้ายสายมกุฏราชกุมารไปทางโอรสสมเด็จพระศรีพัชรินทรฯ รัชกาลที่ ๖
ก็คงเป็น"เจ้าฟ้ามหิดล"พระราชบิดาของรัชกาลที่ ๙
แต่ที่ทำให้คิดก็คือ การรื้อวังซึ่งงดงาม และทรงคุณค่าในหลายๆ ด้าน เพื่อเอามาสร้างสนามกีฬา สะท้อนความอหังการ์ในอำนาจใหม่ของกลุ่มคณะราษฎร์ ก็...เท่านั้นเอง
ที่ใช้คำว่ากลุ่มคณะราษฎร์ก็เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ หลวงศุภฯ คงทำไม่ได้คนเดียว
เพียงแค่การอวดศักดาจึง ทำลายโบราณสถานที่ปัจจุบันประเมินค่าไม่ได้
และทำร้ายจิตใจสมเด็จพระพันวัสสา ผู้ที่ทรงเคยช่วยลงขันไถ่บ้านเมืองหลังจากรบกับฝรั่งเศสเมื่อรศ.112 ถ้าไม่มีตรงนี้ ก็ไม่มีเอกราชไม่มีนักเรียนนอกให้กลับมาปฏิวัติ
และเพราะค่าไถ่สงครามกับฝรั่งเศสคราวนี้แหละ เงินสำรองสะเทือนไปยันรัชกาลที่ ๗ ซ้ำด้วยเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก หุ้นวอลสตรีทตกรูดๆๆ อเมริกันยังต้องเข้าแถวปันอาหาร
แต่คณะราษฎรนี่แหละ เขียนแถลงการณ์ซะราวกับบ้านเมืองเรามันแร้นแค้นอยู่ชาติเดียว
คงเหมือนคนสมัยนี้ที่เรียกประเทศไทยว่ากะลาแลนด์ (สมุนทรราชย์ ทักษิณ) มั้ง ไม่รู้คณะราษฎร์กลับชาติมาเกิดหรือเปล่า
สมเด็จพระพันวัสสาท่านเป็นพระองค์แรกที่ก่อตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เปิดวังแจกของแจกอาหารช่วยน้ำท่วม
ที่ดินหลายแปลงที่รัชกาลที่ ๙ พระราชทานให้เข้าโครงการปฏิรูปที่ดินเมื่อหลายสิบปีก่อน
ก็น่าจะมาจาก "มรดก" จากพระพันวัสสา
ความ "ช่างกล้า" ของคณะราษฎร์ยังไม่จบง่ายๆ หลังทูลเชิญ "หลาน" ท่านให้เป็นกษัตริย์
(ไม่แปลกหรอกที่แรกๆ พระพันวัสสาท่านจะค้าน จนเมื่อมีการอ้างรัชกาลที่ ๗ ท่านก็จำใจยอม)
ตอนคณะราษฎรโดนโจมตีเรื่องพระคลังข้างที่ ก็หาเรื่องกลบข่าวด้วยการเชิญ รัชกาลที่ ๘ เสด็จนิวัตพระนครครั้งแรก
เชิญกันอยู่สองรอบสามรอบ
เอ้า พอยุวกษัตริย์ รัชกาลที่ ๘ ท่านมา
(ตอนนั้น รัชกาลที่ ๘ ทรงบ่นกับสมเด็จย่าว่า "ตาอ้วนดุ" หมายถึงพระยาพหลฯ) มาแล้ว กลับไปแหม่บๆ
ก็จับ "ลูกเลี้ยง" ของพระพันวัสสา คือกรมหลวงชัยนาทนเรนทร เข้าคุกตะรุเตาในฐานะนักโทษการเมือง
ปลดบรรดาศักดิ์ ให้เป็น"นายรังสิต" เฉยๆ ทั้งที่เจ้าองค์นี้ชีวิตทำแต่เรื่องสาธารณสุข
เป็นคนชวนพระบรมราชชนกของรัชกาลที่ ๙ มาช่วยงานศิริราช ท่านจึงหันไปเรียนหมอ
ก็ไม่รู้สินะ ประวัติศาสตร์อาจมีหลายด้าน คนก็มีหลายแง่มุม คณะราษฎรก็เหมือนกัน
แต่ถ้าจะหาคนที่ "ถูกกระทำ" มาโดยตลอด แต่ก็ยอมเสียสละเพื่อส่วนรวมมาตลอดอีกเหมือนกัน ไม่ได้มีแค่นายปรีดี หรือ ดร.ป๋วยของลิเบอรั่ล
ก็นี่แหละ สมเด็จพระพันวัสสาราชินีสมัยรัชกาลที่ ๕ ย่ารัชกาลที่ ๙
นี่แหละหนึ่งใน "ของแท้"
Pun Da
"ถ้าสยามไม่มีคณะราษฎร"
ปราชญ์ สามสี ๐๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
เนื่องจากก่อนนี้มีคนถามข้าพเจ้ามามากมาย ล่าสุด สองสามวันนี้ก็มีประเด็นถามกันเข้ามาอีก โดยเฉพาะ เรื่องของความสัมพันธ์ของคณะราษฎรที่มีต่อสถาบันฯ
(ส่วนในบทความเก่าๆ ที่เกี่ยวข้องกับ คณะราษฎรไว้จะย้อนมาให้ได้ชมกันนะครับ)
อันนี้สืบเนื่องจากมีกระแสประชาชนซึ่งเริ่มรู้เรื่องความชั่วของปรีดี และเริ่มมีความคิด"ถอนหมุดคณะราษฎร" เมื่อ ปลายเดือนตุลาคม ๒๕๕๙ และแน่นอนว่าแนวคิดนี้กำลังเริ่มแผ่ขยายมากขึ้น นั่นก็เพราะภายหลังการเสด็จสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ เมื่อ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ ประชาชนต่างเริ่มย้อนรอยประวัติศาสตร์ความดีของพระองค์เพื่อรำลึกคุณงามความดีที่พระมหากษัตริย์ทรงทำเพื่อปวงชนชาวไทย
แต่เมื่อประชาชนอย่างเราๆย้อนหลังขุดคุ้ยกลับไปดูประวัติศาสตร์ในอดีตจะเห็นได้ว่า ประวัติศาสตร์การเมืองช่วงหนึ่งของในหลวงรัชกาลที่๙ครั้นเมื่อทรงเยาววัยนั้น จะเห็นได้ว่าพระองค์ถูกกลั่นแกล้งจากนักการเมืองบ่อยครั้ง และหลายๆครั้งก็มาจาก ชายที่ชื่อ ปรีดี พนมยงค์ และพวกพ้องของเขา
สำหรับ ใครก็ตามที่เกิดมาใน ช่วง Gen Y หรือ Gen Z เชื่อว่าจะคงจะได้รับรู้ว่านาย ปรีดี พนมยงค์ คืออดีตนายกรัฐมนตรี ผู้สำเร็จราชการที่มีความดีงาม เช่นเป็นผู้ก่อตั้งประชาธิปไตยแบบไร้กระบอกปืน แต่หารู้ไม้ว่าแท้จริงแล้วประวัติศาสตร์ ที่ดำมืดของ ชายที่ ชื่อ ปรีดี พนมยงค์ และ คณะราษฎรนั้นมีอยู่มากโดยเฉพาะ ช่วงปฎิวัติพ.ศ.๒๔๗๕ พวกคณะราษฎรได้จับพระบรมวงศานุวงศ์เป็นองค์ประกันเพื่อปล้นอำนาจจากในหลวงรัชกาลที่ ๗ จนไปถึงตอนที่ปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการมีอำนาจเหนือรัชกาลที่๘ ก็ยังวางตัวรังแกนายน้อยทั้งสองพระองค์อยู่เสมอ ทั้งเรื่องขโมยรถพระที่นั่งส่วนพระองค์ไปขับเล่นและการวางตัวของปรีดีและ จอมพล ป.ที่ไม่ได้ให้เกียรติดต่อสถาบันฯ ฯลฯ(มีเยอะมากพอสมควร สามารถหาอ่านได้ตามหนังสือที่เจ้านายในวังเขียน)...นี่ยังไม่ได้นับรวมไปถึงการรัฐประหารระหว่างคณะราษฎรด้วยกันเอง ซึ่งเป็นปล้นอำนาจกันไปกันมาหลายครั้ง ในช่วงรอยต่อประวัติศา่สตร์ ระหว่าง รัชกาลที่๗ และ รัชกาลที่๘
ซึ่งถ้าใครได้ติดตาม ประวัติศาสตร์จริงๆเกี่ยวกับคณะราษฎร ก็จะมีความรู้สึก "เกลียดชัง" คณะราษฎร อย่างแน่นอนครับ เพราะเต็มไปด้วยการหักหลัง การหลอกใช้ รวมไปถึงการสาดโคลนไปมาระหว่างพวกเดียวกัน แต่ก็เพราะ อำนาจใต้ระบอบคณาธิปไตยแบบคณะราษฎรที่ปกครองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าการศึกษาไทยหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองทำไมไม่ไ่ด้บอกถึง ความผิดของคณะราษฎรแต่อย่างใดเลย (ลองไปเปิดหนังสือเรียนลูกดูตอนนี้สิ) ** ในสมัยที่ คณะราษฎรปกครอง อย่าเรียกประชาธิปไตยเลย เรียก คณาธิปไตยน่ะถูกต้องแล้วจนกระทั้ง คณะราษฎรล่มสลายแล้วตะหากประชาธิปไตยได้พึ่งเริ่มต้น ไม่นานมานี้เอง **
จึงไม่แปลกใจเลยครับว่า ในวันนี้เมื่อประชาชนต่างเริ่มหันกลับมาศึกษาชีวประวัติของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ก็จะเห็นถึงวิบากกรรมที่ ปรีดีได้กระทำต่อในหลวงบ่อยครั้ง ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะมีใครบางคน จะลุกขึ้นมา ถอดหมุดคณะราษฎร! หมุดยาพิษ!อันเป็นบ่อเกิดประวัติศาสตร์ที่โกหกชาวสยามมาตั้งแต่ ปี๒๔๗๕ ว่าคณะราษฎรคือผู้สร้างประชาธิปไตยในสยาม ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วเป็นการปล้นอำนาจจากราชวงค์จักรี ซึ่งมีเป้าหมายที่จะพัฒนาประเทศไปสู่ความเป็นอารยะมาตั้งนานแล้ว และแน่นอนว่า รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยได้ถูกริเริ่มในสยามมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่๕แล้ว ไม่ไช่ในสมัยของคณะราษฎรอย่างที่เขาหลอกลวง...
ไอ้กระแสถอนหมุดคณะราษฎร ช่วงตุลาคม๒๕๕๙ที่ผ่านมานี่ดังไปไกลพอที่จะไปถึงหู สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่หลบหนีอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส เหมือนกัน และดูเหมือนว่า สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และกลุ่มนิติราษฎรที่ บูชาคณะราษฎรเหมือนดั่งบิดามารดามันนั้น ต่างกระสันดิ้นเดือกออกมาเสนอหน้าปกป้องหมุดคณะราษฎรกันอย่างมาก โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลและพวกสมุน พูดจาดูแล้วเนรคุณมาก! เพราะได้ออกมาทวงถาม"ประชาชนที่ต้องการถอดหมุดคณะราษฎร" ในทำนองว่า
"ถ้าสยามไม่มีคณะราษฎร เจ้านายน้อยทั้งสองพระองค์(หมายถึง ร.๘ และ ร.๙) ก็ไม่ไ่ด้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แน่ๆ"
โดย ล่าสุด นาย สมศักดิ์ อ้างไปว่า "เพราะ รัชกาลที่๗ ทรงมิได้กำหนดรัชทายาท และเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะราษฎรมีอำนาจเต็มที่ เมื่อถึงเวลา จึงเลือกร.๘ ขึ้นครองราชย์แทนที่จะเลือกราชสกุลบริพัตร ซึ่งเป็น candidate หลัก"
สิ่งที่สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลกล่าวเหล่านี้(เมื่อสองสามวันก่อนนี้) ผิดมหันต์ครับ!!!และ โกหกหน้าด้านๆด้วยนะครับ!
ในความเป็นจริงแล้ว " สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรฯ(พระราชบิดา) และ สมเด็จพระศรีนครินทราฯ(สมเด็จย่า ) นั้นมีความชอบธรรมมาตั้งแต่ต้นครับ เพราะมาจากสาย "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" ส่วน ราชสกุลบริพัตร เป็นสาย "สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี" เป็นเพียง ราชสกุลลำดับรองลงมา เพราะ"สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี"มีพระยศต่ำกว่าอัครมเหสีบางคน จึงทำให้ลำดับการขึ้นครองราชย์ของโอรสพระนางสุขุมาลมารศรี ตามหลังพระพันวัสสา และพระพันปีหลวง นั่นเอง และเมื่อนับในแผนผังราชวงศ์จักรี ก็จะถือว่าเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลที่เคร่งครัด!ซึ่งแปลว่า การที่คณะราษฎรเลือก ร.๘ ซึ่งเป็นลูกของราชบิดาเพื่อขึ้นครองราชย์นั้น เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลอย่างเครงครัดเลยล่ะครับ
และนั้น ก็หมายความว่า "ถ้าสยามไม่มีคณะราษฎร รัชกาลที่๘ ก็ได้ขึ้นครองราช ตามกฎมณเฑียรบาลครับ !!!" เพราะฉะนั้นอย่าทวงบุญคุณกัน!
เรื่องนี้สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล น่ะก็รู้แก่ใจครับ เพราะงานด้านประวัติศาสตร์ช่วงนึงในชีวิตของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็ระบุไว้เองครับว่า "รัชกาลที่๘ ก็ได้ขึ้นครองราช ตามกฎมณเฑียรบาล" แต่ทำไมวันนี้สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลถึงกลืนน่้ำลายตัวเอง โกหกเป็นตุเป็นตะ เพื่อไม่ให้ประชาชน ถอดหมุดคณะราษฎร ... หรือว่าแท้ที่จริงแล้ว กลัวประชาชนจะรู้ว่า " คณะราษฎรนี่เลวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย"
สติค่ะลูกกกก
26 December 2020 ·
สรุปข้อเท็จจริงในวันนี้ ที่ได้บอกแก่คนไทยทั้งประเทศ ว่าคณะราษฎร ไม่ได้ทำเพื่อคนไทย แต่ทำเพื่อจะปล้นอำนาจกษัตริย์ และคลังหลวง
ซึ่งในวันนี้ ‘บุตรชาย’ หนึ่งใน ‘คณะราษฎร’ ทำพิธีขอพระราชทานอภัยโทษ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ร.7-8-9 หลัง ‘บิดา’ สั่งเสียไว้ ก่อนเสียชีวิต และได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจไว้ เจ้จะสรุปให้ว่าทำไมถึงจั่วหัวไว้แบบนั้น
1. พ.ต.เสวก นิรันดร หรือขุนนิรันดรชัย สมาชิกคณะราษฎร ที่ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 ได้กระทำการมิบังควร นำทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาเป็นของตนเองโดยมิชอบ
2. พ.ต.เสวก ได้เป็นอดีต กรรมการตรวจสอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
และ เลขานุการคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน (สมัยรัชกาลที่ 8 ทรงครองราชย์ และยังวัยเยาว์มาก) โดยมี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นแกนนำในกลุ่มคณะทำงานชุดนี้
3. ในยุคนั้นเอง มีการนำที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น ไปให้คณะราษฎรผ่อนซื้อในราคาถูกแสนถูก (พวกเดียวกันเอง) ซึ่งปัจจุบันราคาที่ดินเหล่านั้นมากขึ้นมหาศาล
4. มิหนำซ้ำ ผู้ซื้อแทบทุกคนไม่ได้ผ่อนชำระเลย จากนั้นก็จัดฎีกาขอพระราชทานยกหนี้ให้อีก (เหมือนได้ฟรีๆ)
5. "ตระกูลนิรันดร" ซึ่งเป็นทายาทของ พ.ต.เสวก กลายเป็นมหาเศรษฐีที่ดินใจกลางกรุงเทพมหานคร มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
6. มี ส.ส. คนหนึ่งในสมัยนั้นของจังหวัดอุบลฯ ได้อภิปรายในสภาถึงความไม่โปร่งใสของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พ.ต.เสวก และพรรคพวกก็จับ ส.ส.คนนั้นโยนน้ำหน้าตึกรัฐสภา
7. ที่ดิน (ฟรี) จากการปล้นคลังหลวง พ.ต.เสวก ได้ที่ดินใน กทม. เกือบ 80 แปลง ที่สำคัญๆ คือ ถ.สาทร 3 ไร่กว่า, ที่ดินตรงข้ามพระราชวังสวนจิตรลดาอีก 3 ไร่กว่า และที่ดินติดพระราชวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 3 ไร่ครึ่ง
ท้ายสุด บุตรชายของคณะราษฎร ได้กล่าวว่า
“ผมก็ได้แต่มีความเห็นว่า มีเหตุผลสมควรอย่างยิ่งที่คุณพ่อสำนึกผิด เพราะว่าคุณพ่อเป็นหนึ่งในคณะราษฏร คุณพ่อได้ทำอะไรไว้หลายประการที่ไม่ถูกต้อง และบั้นปลายเมื่อท่านสำนึกผิด และจะขอพระราชทานอภัยโทษ ท่านไม่มีโอกาสแล้ว เพราะท่านเป็นอัมพาต พูดก็ไม่ค่อยจะได้ ได้แต่นอนร้องไห้ ผมเห็นกะตา แล้วคุณพ่อก็พูดกับคุณแม่บอกว่า ที่ท่านเป็นอย่างนี้ เพราะท่านเสียน้ำพิพัฒน์สัตยา แล้วท่านทำสิ่งที่ไม่บังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งรายละเอียดเรื่องเหล่านี้ผมไม่สามารถจะเรียนให้ทราบได้”
8. สรุปจากที่เขาพูด ทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่คณะราษฎร กระทำต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น "เลวร้ายจนไม่อาจจะบอกเล่าได้"
สุดท้าย ขอยกความเห็นของพระยาทรงสุรเดช หนึ่งในคณะราษฎร ว่า
“...ไม่มีความผิดครั้งใดในชีวิตของฉันจะใหญ่หลวงเท่ากับการนำ “คนหิวเงินหิวอำนาจ” เข้าเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนา ๒๔๗๕...”
#ความจริงของคณะราษฎรผู้ปล้นคลังหลวง
#หิวเงินหิวอำนาจ
ปล. ใครรักกันชอบกัน อย่าลืมกดติดตามเพจ เพื่อรับเนื้อหาดีๆนะค้าาา
ฉีกหน้ากากนายปรีดีหัวหอกคณะราษฎร
นอกจากคณะราษฎรจะเป็นเผด็จการลัทธิรัฐธรรมนูญหลอกลวงประชาชน และคอยขัดขวางการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงมาตั้งแต่ต้น คณะราษฎรยังมีเป้าหมายในการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย
งานนี้ต้องขอบคุณนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่ได้นำบันทึกของนายปรีดี พนมยงค์ ออกมาตีแผ่ จนทำให้ประชาชนได้หูตาสว่าง และรับรู้รับทราบอย่างกระจ่างชัด คนอย่างนายปรีดีแท้จริงแล้วเป็นคนเช่นใด
จากบันทึกดังกล่าว พบว่านายปรีดีมีเจตนาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน แถมยังเป็นรากฐานของขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน ยืนยันด้วยข้อความสำคัญตอนหนึ่งจากบันทึกของนายปรีดีในหน้าที่ ๑๙ ความว่า...
"แม้ว่ากษัตริย์ยังมีผู้นับถือ แต่กษัตริย์เปนตัวแทน
สำคัญของปฏิกิริยาและจักร. เม เราต้องสู้เพื่อจุดหมายปลางทาง
คือล้มระบบกษัตริย์ แต่วิธีสู้นั้นต้องใช้ให้เหมาะสม
แก่สภาพท้องที่
......
ข. วิธีสู้ต้องเริ่มจากจิตวิทยา เตรียมทำลาย
ทำให้เสื่อม เมื่อเห็นว่าเสื่อมแล้วก็ล้มได้"
ขบวนการใช้โซเชียลมีเดียเป็นอาวุธปั่นกระแสบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน จึงเป็นการนำแนวคิดของนายปรีดีที่ได้เสนอแผนการใช้จิตวิทยาทำให้เสื่อมแล้วล้มล้าง มาลงมือปฏิบัติเพื่อขยายผลให้เกิดเป็นรูปธรรม
แม้แต่อาชญากรทางความคิดอย่างนายปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งคอยใช้จินตนาการผสมกับการเล่นลิ้นลมปากบิดเบือนให้ร้ายและสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด ก็เป็นผลผลิตจากแนวคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ของนายปรีดีด้วยเช่นกัน
ดร.ศุภณัฐ
๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๕
#ประชาธิปไตยTheseries by ดร.ศุภณัฐ