(เ
(เป็นเพียงตัวอย่างให้อ่านหากต้องการใช้งานจริงคลิกดาวโหลดไฟล์แนบไปใช้งานได้เลย)
โครงงานประวัติศาสตร์
เรื่องประวัติความเป็นมาของบ้านหนองแสน
จัดทำโดย
คุณครูที่ปรึกษาโครงงาน
ภาคเรียนที่๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๓
ก
ชื่อโครงการ ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองแสน
ชื่อนักศึกษา
ระดับชั้น
ชื่อคุณครูที่ปรึกษา คุณครู
วิทยาลัย
บทคัดย่อ
เนื่องจากบ้านหนองแสนมีประชากรอาศัยอยู่จำนวนมาก ซึ่งส่วนมากชาวบ้านจะประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นการทำนาปลูกข้าว ปลูกผักสวนครัวอยู่อย่างพอเพียง เลี้ยงวัว และเลี้ยงกระบือ โดยอาชีพนี้ทำมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณจนมาถึงยุคปัจจุบันนี้ โดยดิฉันมีความประสงค์ที่จะศึกษาประวัติความเป็นมาของ
หมู่บ้านหนองแสน เพื่อศึกษาสถานที่อยู่อาศัยของชุมชนบ้านหนองแสน ตำบลหนองแสน อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
เพื่อศึกษาความเป็นมาของชุมชนจากจุดประสงค์ที่กล่าวมาดังกล่าว จึงได้จัดทำโครงงานศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองแสนแห่งนี้ เพื่อที่จะได้ศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตรที่สำคัญที่เกี่ยวกับหมู่บ้านหนองแสน
เมื่อรูปแบบโครงงานเสร็จสิ้นแล้ว ดิฉันจะนำข้อมูลไปเผยแพร่ให้แก่เยาวชนรุ่นหลังได้ศึกษาประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับชุมชนบ้านหนองแสน วิธีการดำเนินการ ดำเนินการด้วยจุดประสงค์การค้นคว้าข้อมูลชุมชนบ้านหนองแสน จากนั้นวางแผนการทำโครงงานโดยการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลชุมชนบ้านหนองแสน โดยใช้วิธีการศึกษาค้นคว้าตามขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากบุคคลที่รู้จักในท้องถิ่น จากหนังสือของหมู่บ้าน และจากที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน เมื่อได้ข้อมูลที่ครบถ้วนแล้ว ก็สรุปผลการศึกษา
จากการทำโครงงานศึกษาประวัติความเป็นมาของบ้านหนองแสน จากการศึกษาข้อมูลรอง[หลักฐานทุติยภูมิ]ได้จากการศึกษาเอกสารของผู้ใหญ่บ้าน ณ ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน หนังสือประวัติความเป็นมาของบ้านหนองแสน และบุคคลในชุมชมบ้านหนองแสน
ข
กิตติกรรมประกาศ
โครงงานเรื่องนี้เป็นเรื่องประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองแสน ตำบลหนองแสน อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย[๒ooo-๑๕o๗] สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาของอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ได้แก่ ที่ได้ให้คำปรึกษา แนะนำ ชี้แนะในการศึกษาค้นคว้า แนะนำขั้นตอนวิธีการจัดทำโครงงานฉบับนี้ให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ผู้จัดทำจึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ และขอกราบขอบพระคุณ นาย สมนึก ค้าสุกร[ผู้ใหญ่บ้าน บ้านหนองแสน] ที่ให้ความอนุเคราะห์ด้านข้อมูลประวัติความป็นมาของบ้านหนองแสน ที่ผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูล จัดทำโครงงานได้จนสำเร็จ หากมีข้อผิดพลาดประการจึงข้ออภัยไว้ ณ ที่นี้
ผู้จัดทำ
สารบัญ
เรื่อง หน้าที่
บทคัดย่อ ก
กิตติกรรมประกาศ ข
บทที่1 บทนำ……………………………………………………………………………… ๑
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน………………………………………………… ๑
จุดประสงค์ของโครงงาน………………………………………………………….. ๑
สมมุติฐานของโครงงาน…………………………………………………………… ๑
ขอบเขตการศึกษา…………………………………………………………………. ๑-๓
นิยามศัพท์เฉพาะ………………………………………………………………….. ๓
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ……………………………………………………….. ๓
บทที่2 ทฤษฎีและเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
เรื่องที่1 ศึกสามโบก [ศึกชิงราชสมบัติ] ต้นตอการกำเนิดภาคอีสาน ๓-๔
เรื่องที่2 การกำเนิดจังหวัดมหาสารคาม ๕-๘
เรื่องที่3 ประวัติความเป็นมาบ้านหนองแสน ๙-๒๖
บทที่3 วิธีการศึกษา
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา……………………………………………………….. ๒๗
ขั้นตอนการศึกษา…………………………………………………………… ๒๗
เรื่อง หน้าที่
การวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………. ๒๘
บทที่4 ผลการดำเนินการ
ตอนที่1………………………………………………………………………………... ๒๙
ตอนที่2………………………………………………………………………………... ๒๙
บทที่5 สรุปและอภิปรายผล
สรุปผลการศึกษา……………………………………………………………………… ๓๐
อภิปรายผล……………………………………………………………………………. ๓๐
ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษา…………………………………………………….. ๓๐
แนวทางการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน……………………………………………….. ๓๐
แนวทางการเทิดทูลและธำรงศึกษา…………………………………………………… ๓๐
เอกสารอ้างอิง………………………………………………………………………………... ๓๑
ภาคผนวก……………………………………………………………………………………. ๓๒-๓๘
ประวัติผู้จัดทำ………………………………………………………………………………… ๓๙
๑
บทที่๑
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
เนื่องจากดิฉันเกิดในท้องถิ่นที่มีวัฒนธรรมต่างจากที่อื่น จึงทำให้ดิฉันอยากทราบถึงความเป็นมาของแหล่งชุมชนบ้านหนองแสน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ จึงทำให้ดิฉันจัดทำโครงงานประวัติและศึกษาความเป็นมาเกี่ยวกับท้องถิ่นของตนเอง นั่นก็คือ หมู่บ้านหนองแสน ตำบลหนองแสน อำเภอวาปีปทุม
จังหวัดมหาสารคาม เพื่อทราบถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ และนำไปเผยแพร่แก่ผู้ที่สนใจศึกษาต่อไป
จุดประสงค์ของโครงงาน
๑.เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองแสน
๒.เพื่อศึกษาการสร้างที่อยู่ถิ่นฐานในหมู่บ้านหนองแสน
๓.เพื่อศึกษาวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ จารีตประเพณีของคนในหมู่บ้านหนองแสน
สมมติฐานการศึกษา
ทราบถึงประวัติความเป็นมา ฐานที่ตั้ง บทบาทของบุคล ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมของชาวบ้านหนองแสน
ขอบเขตการศึกษา
สถานที่/แหล่งข้อมูลที่ศึกษา: ประวัติความเป็นมาของบ้านหนองแสน [บ้านหนองแสน หมู่๒ ตำบลหนองแสน อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม]
ขอบเขตประชากร : ขอบเขตประชากรในการศึกษาครั้งนี้คือกลุ่มประชากรในบ้านหนองแสน จำนวน๓๐๙ อ้างอิงจากทะเบียนราษฎร ณ ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน บ้านหนองแสน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒ เข้าสืบค้นเมื่อวันที่ ๕ และ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๓
๒
ขอบเขตตัวแปร: ได้เเก่
ตัวเเปรต้น : ประวัติความเป็นมาของบ้านหนองแสน การค้นหาข้อมูล การศึกษาความเป็นมา
ตัวแปรตาม : ทราบถึงประวัติความเป็นมาของบ้านหนองแสน
’’ในรูปแบบโครงงานประวัติความเป็นมาของบ้านหนองแสน’’
ขอบเขตระยะเวลา : ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา ; ตั้งเเต่วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓
ถึงวันที่๓๐กันยายน๒๕๖๓ [เป็นเวลา๑เทอม]
นิยามคำศัพท์
หมู่บ้าน หมายถึง (กฎ) น. ท้องที่ที่รวมบ้านหลายบ้านให้อยู่ในความปกครองอันเดียวกัน และมีประกาศจัดตั้งเป็นหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวหน้าปกครอง
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
๑.ได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองแสน
๒.ได้ศึกษาการสร้างที่อยู่ถิ่นฐานในหมู่บ้านหนองแสน
๓.ได้ศึกษาวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ จารีตประเพณีของคนในหมู่บ้านหนองแสน
๓
บทที่๒
ทฤษฏีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
เรื่องที่๑ ศึกสามโบก [ศึกชิงราชสมบัติ] ต้นตอการกำเนิดภาคอีสาน
หลังจากสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าชัยวรมันที่๗ อิทธิพลของขอมที่ให้รุ่งเรือง ก็เสื่อมอำนาจลงโดยเฉพาะดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และสลายอำนาจในต้นพุทธศักราชที่๑๙ พอปลายพุทธศักราชที่๑๙ พระเจ้าฟ้างุ้มได้ขึ้นครองราชย์สมบัติในเมืองเชียงคง เชียงทอง แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองหลวงชื่อว่า ‘’หลวงพระบาง’’ พร้อมกับขยายอาณาเขตมาจรดกับ เวียงจันทร์ แล้วผนวกเมืองต่างๆในเขตลุ่มแม่น้ำขอ[แม่น้ำโขง]เข้าป็นอาณาจักรล้านช้างรวมทั้งชุมชนอิสระที่อยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำ ได้แก่ เมืองปากห้วยหลวง เมืองหนองหานน้อย เมืองหนองหานหลวง เมืองหนองบัว และเมืองสามหมื่น
ต่อมาได้มีการอพยพคนจากเมืองล้านช้างมายังที่ราบสูงโคราช [จังหวัดนครราชสีมาของภาคอีสานในยุคปัจจุบัน] ได้มีการอพยพมาเรื่อยๆ เช่น ช่วงพุทธศักราชดังนี้
· พุทธศักราชที่ ๑๙๗-๑๙๙๙
· พุทธศักราชที่ ๒๑๑๕-๒๑๑๗
· และพุทธศักราชที่ ๒๑๗๑-๒๑๗๕
ส่วนบริเวณลุ่มแม่น้ำชีตอนกลาง ผู้อพยพส่วนนี้มีผู้นำที่เข้มแข็งมีหลักกฐานชัดเจน ประมาณปีพุทธศักราชที่๒๒๓๓ คือกลุ่มหลวงพ่อวัดโนนสะเม็ก ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวมหาสารคาม อาณาจักรสัตนาคนหุต ล้านช้างเวียงจันทร์ หลังจากพระเจ้าสุริยาวงษา สวรรณคต ก็เกิดการจลาจลชิงพระราชสมบัติเมืองจันทร์ ขุนนางผู้ใหญ่ยึดอำนาจ ใช้อำนาจบีบบังคับให้พระนางสุทังคละ พระราชธิดาของพระเจ้าสุริยาวงษา มาเป็นพระชายาแต่นางไม่ยินยอมได้ทำการหลบหนี้และเข้าขอความช่วยเหลือจาก หลวงพ่อวัดโนนสะเม็ก ผู้ที่ชาวเวียงจันทร์เคารพนับถือและศรัทธาอย่างสูง และเชื่อว่าท่านได้บรรลุธรรมชั้นสูง เนื่องจาก ปัสสาวะ อุจจาระ ไม่มีกลิ่นเหม็นเลย จึงเรียกว่า ยาคูขี้หอม เมื่อหลวงพ่อเล็งเห็นว่าภัยกำลังจะมาถึง จึงเกณฑ์ญาติโยมอพยพจากนครเวียงจันทร์ และแบ่งผู้คนออกไปตั้งชุมชนราวๆ ๓,๓๐๐ คน ไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองจำปาศักดิ์ ซึ่งมีชุมชนที่มีความสำคัญดังนี้
๔
v จารย์หวด ไปตั้งชุมชนที่ดอนโขง หรือ สีทันดอน [ปากเซ สปป.ลาวในปัจจุบัน]
v ท้าวมั่น ไปตั้งชุมชนที่เมืองสาระวัน [แขวงสาระวัน สปป.ลาวในปัจจุบัน ]
v จารย์โสม ไปตั้งเมืองที่อัตตปือ [แขวงอัตตปือ สปป.ลาวในปัจจุบัน]
v จารย์แก้ว [บุคคลสำคัญในการตั้งเมืองร้อยเอ็ดและเมืองมหาสารคาม] ขอกล่าวถึงโดยละเอียด
จารย์แก้วไปตั้งเมืองที่ท่ง [ทุ่ง] ต่อมาเมืองสุวรรณภูมิ จารย์แก้วเป็นเจ้าเมืองครั้งแรกที่มีประชากรราว๓,๐๐๐ คน และต่อมาก็มีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงได้กระจายผู้คนอกไปตั้งฐินฐานบริเวณลุ่มแม่น้ำชี ดอนกลาง เช่น ร้อยเอ็ด ชนบท ขอนแก่น และมหาสารคาม
ศึกสามโบกที่คนโบราณได้กล่าวถึง เป็นช่วงที่จารย์แก้ว เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ[บ้านท่ง]ถึงแก่กรรม เจ้าสร้อยศรีสมุทร แห่งเมืองจำปาศักดิ์ได้แต่งตั้งท้าวมืดบุตรจารย์แก้ว เป็นเจ้าเมืองท่งแทนบิดา ท้าวทนผู้เป็นน้องเป็นอุปฮาต [อุปหราช] ต่อมาท้าวมืดเจ้าเมืองท่ง ถึงแก่กรรม ความขัดแย้งระหว่างท้าวอุปฮาต กับท้าวเชียงท้าวสูน[บุตรท้าวมืด] ทวีความรุนแรงขึ้น บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย แหว่งก๊ก แบ่งเหล่า ท้าวเชียง ท้าวสูน ได้ขอความช่วยเหลือจากอยุธยาเพื่อขอกำลังมาปราบ ท้าวทนอดทนไม่ได้จึงอพยพหนีไปตั้งบ้านเมืองที่เมืองดงเมืองจอก บริเวณทุ่งกระหมุน ส่วนท้าวเชียงได้เป็นเจ้าเมืองท่ง [สุวรรณภูมิ] และเมืองท่งได้ขาดจากการปกครองเมืองจำปาศักดิ์ และเข้ามาสวามิภักดิ์ ต่อกรุงศรีอยุธยาในปี พุทธศักราช ๒๓๑๐ เป็นต้นมา
ท้าวทนปกครองเมืองดงเมือกจอก ต่อมาย้ายไปบ้านกุมหรือเมืองร้อยเอ็ด ต่อมาท้าวทนได้เป็นพระขัติยวงษาและมีการปักปันเขตแดนป้องกันการทะเลาะวิวาทระหว่างเมืองร้อยเอ็ดกับเมืองสุวรรณภูมิ
ต่อมาได้มีการอพยพผู้คนจากเมืองสุวรรณภูมิและเมืองร้อยเอ็ด เพื่อไปสร้างเมืองใหม่โดยแยกเป็นหลายสาย โดยจะขอกล่าวถึงเฉพาะสายท้าวกวด [ท้าวมหาชัย] ผู้สร้างเมืองมหาสารคาม ท้าวกวดเป็นบุตรของ อุปฮาตสิง เป็นผู้มีความคิดดี คิดชอบหลายอย่าง และเฉลียวฉลาดจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นท้าวมหาชัยภูมิ ที่เหมาะสมแก่การไปตั้งเมืองใหม่ เมื่อท้าวมหาชัยเห็นว่าบริเวณตะวันตกกุดยางใหญ่เป็นที่ดอนนา น้ำท่วมไม่ถึงพอถึงหน้าแล้งก็มีน้ำจากกุดยางใหญ่ หนองหัวช้าง ห้วยคะคาง หนองกระทุ่ม ภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์ หลังจากเลือกทำเลที่ตั้งได้แล้ว ท้าวกวดจึงมีใบออกไปยังเจ้าเมืองร้อยเอ็ด เจ้าเมืองร้อยเอ็ดเมื่อรับทราบจากใบสารของท้าวกวดแล้วนั้น จึงนำเรื่องกราบบังทูลต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว [รัชกาลที่ ๔ ] ขอพระราชทานบ้านกุดยางใหญ่เป็นเมืองมหาสารคาม และขอให้ท้าวมหาชัย[กวด] เป็นเจ้าเมืองมหาสารคาม
๕
เรื่องที่๒ การกำเนิดจังหวัดมหาสารคาม
เมืองมหาสารคามถือว่าเป็นแหล่งโบราณคดีที่ได้รับอิทธิพลทางศาสนาตั้งแต่ สมัยคุปตะ ตอนปลาย และปัลลวะของอินเดีย ผ่านเมืองผุกามมาในรูปแบบของศิลปะสมัยทราวดี โดยเฉพาะที่บริเวณ”โคกพระ”นั้นคืออำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคามในปัจจุบันนี้ ได้พบหลักฐานสำคัญๆ เช่น พระพุทธมิ่งเมืองพระพุทธรูปยืนมงคล และกรุพระพิมพ์ดินเผา ส่วน”เมืองนครจำปาศรี”คืออำเภอนาดูนในยุคปัจจุบัน ได้พบกรุ พระพิมพ์ดินเผาและพระบรมสารีริกธาตุ นอกจากนี้แล้วยังได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ผ่านชนชาติขอม ในรูปแบบสมัยลพบุรี เช่น กู่สันตรัตน์ กู่บ้านเขวา กู่บ้านแดง เเละกู่อื่นๆ รวมไปจนถึงเทวรูป และเครื่องปั้นดินเผาของชนชาติขอมอยู่ตามพื้นผิวดินทั่วๆไป ในจังหวัดมหาสารคาม
มหาสารคาม ตั้งอยู่ตอนกลางของภาคอีสาน มีชนหลายเผ่า เช่น ชาวพื้นเมืองพูดภาษาอีสาน ชาวไทยญ้อและชาวภูไท ประชาชนส่วนใหญ่นับถือ พุทธศาสนา ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี “ฮีตสิบสอง” ประกอบอาชีพด้สนกสิกรรมเป็นส่วนใหญ่ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีการไปมาหาสู่กัน ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันตามแบบของคนอีสานทั่วไป
เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคมพุทธศักราช ๒๔๐๘ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล๔ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ยก “ บ้านลาดยางกุดยางใหญ่”ขึ้นเป็นเมืองมหาสารคาม โดยแยกพื้นที่เเละพลเมืองราวสองพันคนมาจากเมืองร้อยเอ็ด และให้ท้าวมหาชัย(กวด ภวภูตานนท์) เป็นพระเจริญราชเดช มีศักดิ์เป็นเจ้าเมืองมหาสารคาม และมีท้าวบัวทองเป็นผู้ช่วยขึ้นกับเมืองร้อยเอ็ด
ต่อมาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ แยกเมือง มหาสารคาม ขึ้นตรงกับกรุงเทพ มหานคร ในปีพุทธศักราช ๒๔๑๒ และเมืองร้อยเอ็ดได้แบ่งพลเมืองราวเจ็ดพันคน พลเมืองเดิมได้อพยพมาจากเมืองจำปาศักดิ์ ท้าวมหาชัยและท้าวบัวทองนั้นเป็นหลานโดยตรงของพระยาขัติยวงศา(สีลัง) เจ้าเมืองคนที่๒ของร้อยเอ็ด เดิมกองบัญชาการของเมืองมหาสารคามตั้งอยู่ที่บริเวณที่สูงเนินแห่งหนึ่งใกล้กุดนางใย ได้สร้างศาลเจ้าพ่อหลักเมือง และมเหศักดิ์ขึ้นเป็นที่สักการะของชาวเมือง
เมืองมหาสารคามได้สร้างวัดดอนเมือง ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น วัดข้าวฮ้าว หรือวัดธัญญาวาสในยุคปัจจุบัน และได้ย้ายกองบัญชาการไปอยู่บริเวณริมหนองกระทุ่ม ด้านเหนือของวัดโพธิ์ศรีในปัจจุบัน ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๖ หม่อมเจ้านพมาศนวรัตน์ เป็นปลัดมณฑลประจำจังหวัด
๖
โดยความเห็นชอบของพระอำมาตยาธิบดี [เส็ง วิริยะศิริ] ได้ย้ายศาลากลางจังหวัดหลังเดิม [ที่ว่าการอำเภอเมืองมหาสารคามเก่าในปัจจุบัน] และในปี พุทธศักราช ๒๔๕๒ ได้มีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังนี้
ลำดับที่ ปี พ.ศ. รายนาม
๑ ๒๔๐๘-๒๔๒๒ พระเจริญราชเดช (ท้าวมหาชัย กวด ภวภูตานนท์)
๒ ๒๔๒๒-๒๔๔๓ พระเจริญราชเดช (ท้าวฮึง ภวภูตานนท์)
๓ ๒๔๔๓-๒๔๔๔ อุปฮาด (เถื่อน รักษิกจันทร์)
๔ ๒๔๔๔-๒๔๕๕ พระเจริญราชเดช (ท้าวอุ่น ภวภูตานนท์)
๕ ๒๔๕๕-๒๔๕๙ หม่อมเจ้านพมาศ นวรัตน์
๖ ๒๔๖๐-๒๔๖๒ พระยาสารคามคณาพิบาล (พร้อม ณ นคร)
๗ ๒๔๖๒-๒๔๖๖ พระยาสารคามคณาพิบาล (ทิพย์ โรจน์ประดิษฐ์)
๘ ๒๔๖๖-๒๔๖๘ พระยาประชากรบริรักษ์ (สาย ปาละนันท์)
๙ ๒๔๖๘-๒๔๗๔ พระยาสารคามคณาพิบาล (อนงค์ พยัคฆันต์)๑๐ ๒๔๗๔-๒๔๗๖ พระอรรถเปศลสรวดี (เจริญ ทรัพย์สาร)
๑๑ ๒๔๗๖-๒๔๘๒ หลวงอังคณานุรักษ์ (รอ.สมถวิล เทพรคำ)
๑๒ ๒๔๘๒-๒๔๘๔ หลวงประสิทธิ์บุรีรักษ์ (ประสิทธ์ สุปิยังตุ)
๑๓ ๒๔๘๔-๒๔๘๖ หลวงบริหารชนบท (ส่าน สีหไตร)
๑๔ ๒๔๘๖-๒๔๘๙ ขุนไมตรีประชารักษ์ (ไมตรี ไมตรีประชารักษ์)
๑๕ ๒๔๘๙-๒๔๙๐ ขุนจรรยาวิเศษ (เที่ยง บุญยนิตย์)
๗
ลำดับที่ ปี พ.ศ. รายนาม
๑๖ ๒๔๙๐-๒๔๙๓ ขุนพิศาลาฤษดิ์กรรม (ทองใบ น้อยอรุณ)
๑๗ ๒๔๙๓-๒๔๙๕ นายเชื่อม ศิริสนธิ
๑๘ ๒๔๙๕-๒๕๐๐ หลวงอนุมัติราชกิจ (อั๋น อนุมัติราชกิจ)
๑๙ ๒๕๐๐-๒๕๐๑ ขุนจรรยาวิเศษ (เที่ยง บุญยนิตย์)
๒๐ ๒๕๐๑-๒๕๐๖ นายนวน มีชำนาญ
๒๑ ๒๕๐๖-๒๕๑๐ นายรง ทัศนาญชลี
๒๒ ๒๕๑๐-๒๕๑๓ นายเวียง สาครสินธุ์
๒๓ ๒๕๑๓-๒๕๑๔ นายพล จุฑางกูร
๒๔ ๒๕๑๔-๒๕๑๗ นายสุจินต์ กิตยารักษ์
๒๕ ๒๕๑๗-๒๕๑๙ นายชำนาญ พจนา
๒๖ ๒๕๑๙-๒๕๒๒ นายวุฒินันท์ พงศ์อารยะ
๒๗ ๒๕๒๒-๒๕๒๓ นายสมภาพ ศรีวรขาน
๒๘ ๒๕๒๓-๒๕๒๔ ร้อยตรีกิตติ ปทุมแก้ว
๒๙ ๒๕๒๔-๒๕๒๖ นายธวัช มกรพงศ์
๓๐ ๒๕๒๖-๒๕๒๘ นายสมบูรณ์ พรหมเมศร์
๓๑ ๒๕๒๘-๒๕๓๑ นายไสว พราหมมณี
๓๒ ๒๕๓๑-๒๕๓๔ นายจินต์ วิภาตะกลัศ
๓๓ ๒๕๓๔-๒๕๓๕ นายวีระชัย แนวบุญเนียร
๘
ลำดับที่ ปี พ.ศ. รายนาม
๓๔ ๒๕๓๕-๒๕๓๗ นายภพพล ชีพสุวรรณ
๓๕ ๒๕๓๗-๒๕๓๘ นายประภา ยุวานนท์
๓๖ ๒๕๓๘-๒๕๔๐ นายวิชัย ทัศนเศรษฐ
๓๗ ๒๕๔๐-๒๕๔๒ นายเกียรติพันธ์ น้อยมณี
๓๘ ๒๕๔๒-๒๕๔๔ นางศิริเลิศ เมฆไพบูลย์
๓๙ ๒๕๔๔-๒๕๔๖ นายสมศักดิ์ แก้วสุทธิ
๔๐ ๒๕๔๖-๒๕๔๘ นายวิทย์ ลิมานนท์วราไชย
๔๑ ๒๕๔๘-๒๕๕๐ นายชวน ศิรินันท์พร
๔๒ ๒๕๕๐-๒๕๕๑ นายรังสรรค์ เพียรอดวงษ์
๔๓ ๒๕๕๑-๒๕๕๒ นายพินิจ เจริญพานิช
๔๔ ๒๕๕๒-๒๕๕๔ นายทองทวี พิมเสน
๔๕ ๒๕๕๔-๒๕๕๕ นายวีระวัฒน์ ชื่นวาริน
๔๖ ๒๕๕๕-๒๕๕๗ นายนพวัชร สิงห์ศักดา
๔๗ ๒๕๕๗-๒๕๕๘ นายชยาวุธ จันทร
๔๘ ๒๕๕๘-๒๕๕๙ นายโชคชัย เดชอมรธัญ
๔๙ ๒๕๕๙-๒๕๖๑ นายเสน่ห์ นนทะโชติ
๕๐ ๑ ต.ค. ๒๕๖๑ – ปัจจุบัน นายเกียรติศักดิ์ จันทรา
๙
ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองแสน
บ้านหนองแสน เริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ.2433 หรือประมาณ 122 ปีมาแล้ว และที่มาของชื่อหมู่บ้านตั้งจากชื่อผู้นำกลุ่มที่อพยพมาตั้งหมู่บ้านครั้งแรก คือ พ่อขุนแสนนาวงษ์ และคนกลุ่มแรกที่มาเริ่มก่อตั้งหมู่บ้าน คือ พ่อขุนแสนนาวงษ์ พ่อขุนทิพย์เสนาเวียงคำ และขุนพยัคฆาคำรณ โดยคนกลุ่มแรกที่มาตั้งหมู่บ้านนี้อพยพ มาจากบ้านกุดเก่า อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ดและจากบ้านนาโพธิ์ ร้อยเอ็ดบ้านจันทร์เพลิง และบ้านโท่โล่ ร้อยเอ็ด และมี การแต่งตั้งให้ขุนแสนนาวงศ์ เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เหตุที่แต่ละกลุ่มนี้อพยพมาจากบ้านเดิมเพราะต้องแสวงหา จึงได้มาพบหนองน้ำแห่งนี้สภาพเป็นป่าใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์มากซึ่งมีหนองน้ำอยู่ตรงกลางและมีหนองขนาดเล็กๆเป็นบริวารอยู่รอบป่า จึงได้ปักหลักปักฐานอยู่ที่แห่งนี้เป็นที่ทำกินและแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ อาชีพครั้งแรกของราษฎร์ที่อพยพมาอยู่หมู่บ้าน คือ ทำนา ไร่ฝ้าย ไร่งา มีอาชีพเสริมคือจักสาน ก็จะเป็นการสานหวด สานมวย และล่าสัตว์ เนื่องจากขณะนั้นยังมีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์มากและมีสัตว์ป่ามาก แต่ต่อมาอาชีพบางอาชีพก็ต้องเลิกทำไป เพราะเหตุผลหลายอย่าง
อาชีพไร่ฝ้าย เลิกไปเพราะ ราคาต่ำ ไม่มีความนิยม
อาชีพปลูกงา เลิกไปเพราะ ราคาต่ำ ไม่มีความนิยม
อาชีพปลูกปอ เลิกไปเพราะ พื้นที่ไม้เอื้ออำนวย ผลผลิตไม่ดี
สภาพทางภูมิศาสตร์
สภาพทางภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านนี้ ก่อนที่จะตั้งหมู่บ้านนั้น แต่ก่อนเป็นป่ารกทึบ มีที่ราบลุ่ม แอ่งน้ำ สลับดอน เป็นแนวเนินต่ำจะไม่เป็นที่ราบเรียบขนาดใหญ่ จะมีแอ่งกระจายไปทั่ว แต่ปัจจุบันป่าหรือหนองน้ำ หรือห้วยแอ่งที่เคยมีในอดีตก็ถูกชาวบ้านได้แย่งถางเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ส่วนหนองน้ำบางส่วนก็ได้ขุดลอกเป็นหนองน้ำขนาดกลางและขนาดใหญ่ และมีบางส่วนหายไปกลายเป็นที่ของชาวบ้าน ปัจจุบันบ้านหนองแสนมีบ่อน้ำบาดาล 2 บ่อ สระน้ำ 1 สระ หนองน้ำ 2 แห่ง
ที่ตั้ง
บ้านหนองแสนอยู่ห่างจังหวัดมหาสารคาม 37 กิโลเมตร การเดินทางไปยังหมู่บ้านใช้ถนนทางหลวงสายมหาสารคาม - แกดำ บ้านหนองแสนมีอาณาเขตติดต่อกับตำบลต่างๆ ดังนี้
ทิศเหนือ ติดกับ ตำบลโนนภิบาล อ.แกดำ
ทิศใต้ ติดกับ ต.เสือโก้ก
10
ทิศตะวันออก ติดกับ อ.ศรีสมเด็จ
ทิศตะวันตก ติดกับ อ.แกดำ
การเปลี่ยนแปลงด้านสาธารณูปโภค
1. ถนนเมื่อเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านมีสภาพเป็นถนนแบบดินทราย และเป็นถนนลูกรังเมื่อ พ.ศ.2530
2. มีไฟฟ้าเข้าสู่หมู่บ้าน เมื่อ พ.ศ.2523
3. ประปาของหมู่บ้านสร้างเมื่อ เดือนธันวาคม พ.ศ.2539
การเมืองการปกครอง
บ้านหนองแสนมีการปกครองโดยยึดถือหลักประชาธิปไตยและมีครัวเรือนทั้งหมด 110 ครอบครัว มีบ้าน 110 หลังคาเรือนและแบ่งออกเป็นหมู่บ้าน ได้ 4 หมู่บ้าน คือ หมู่ 1 หมู่ 2 หมู่ 3 และ หมู่ 9 มีประชากรทั้งหมด 680 คน แบ่งออกเป็น ชาย 340 คน และ หญิง 340 คน (ข้อมูลนี้ปี พ.ศ 2547 ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม)
จำนวนประชากร
ประชากรในหมู่บ้านจำนวนประชากร
ประชากรวัย 1 วัน – 3 ปีเต็ม44 คน
ประชากรวัย 6 ปี 1 วัน – 12 ปีเต็ม40 คน
ประชากรวัย 12 ปี 1 วัน – 14 ปีเต็ม63 คน
ประชากรวัย 15 ปี 1 วัน – 18 ปีเต็ม46 คน
ประชากรวัย 18 ปี 1 วัน – 50 ปีเต็ม366 คน
ประชากรวัย 50 ปี 1 วัน – 60 ปีเต็ม76 คน
ประชากรวัย 60 ปี 1 วันขึ้นไป43 คน
ทำเนียบนามผู้ดำรงตำแหน่งกำนันและผู้ใหญ่บ้าน บ้านหนองแสน
1. หลวงสุทธิ ประภาการ
2. ขุนพยัคฆา คำรณ
11
3. หมื่นจันทร์ ธรรมรักษ์
4. หลวงทิพเสนา นาคะรัตน์
5. ขุนเวียงคำ มะยุระยอด
6. นายอิน ประภาศรี
7. หลวงสิทธิ์ สมสะถีสิทธิ์
8. นายดา โทรัฐ
9. นายปืด นาคะรัต
10 นายบาล(นน) ประโพเทติ
11. นายเสาร์ เจิมแสน
12. นายประจักษ์ ประกอบนันท์
13. นายสมศักดิ์ ประดับการ
14. นายประวัติ นาคะรัตน์
15. นายสังคม ประวันตัง
16. นายสมพงษ์ นนทศรี (กำนัน คนปัจจุบัน)
สภาพเศรษฐกิจ
1. ด้านการประกอบอาชีพ
ชาวบ้านในบ้านหนองแสนจะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ และนอกจากนี้ยังมีอาชีพ หัตถกรรม เลี้ยงสัตว์ ผลิตและทอผ้าไหมเป็นอาชีพเสริม
1. มีพื้นที่ทำการเกษตร 2,680 ไร่ แยกเป็น ที่นา 2,468 ไร่ เป็นที่สวน 212 ไร่
2. มีผลผลิตจากการทำนา ทั้งหมู่บ้านปีละ 717.15 เกวียน และขายไปจำนวน 478 กิโลกรัม/
เกวียน และเก็บไว้รับประทาน จำนวน 239.05 กิโลกรัม/เกวียน
3. มีผลผลิตจากอาชีพอื่นๆ อีก เช่น ทำสวน ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ดังนี้
12
อาชีพจำนวน รายได้เข้าหมู่บ้าน
เลี้ยงวัว50 ครอบครัว1,200,000 บาทต่อปี
เลี้ยงควาย20 ครอบครัว520,000 บาทต่อปี
เลี้ยงไก่95 ครอบครัว36,000 บาทต่อปี
ผลิตและทอผ้าไหม14 ครอบครัว115,000 บาทต่อปี
ผลิตหวด10 ครอบครัว50,000 บาทต่อปี
สภาพสังคมการศึกษา
1. การศึกษา
บ้านหนองแสนมีโรงเรียนระดับประถมและมัธยมในหมู่บ้าน ชื่อโรงเรียนบ้านหนองแสน ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2534 มีครูในโรงเรียนทั้งหมด 16 คน
2.การรวมกลุ่มในหมู่บ้าน
2.1กลุ่มสหกรณ์ร้านค้า ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2547 มีสมาชิกในกลุ่มทั้งหมด 102 คน ปัจจุบัน
มีเงินกลุ่ม 16,374 บาท
2.2 กลุ่มธนาคารหมู่บ้าน ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2545 มีสมาชิกในกลุ่มทั้งหมด 142 คน ปัจจุบัน มีเงินกลุ่ม 1,077,998 บาท
2.3 กลุ่มเลี้ยงโค ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2525 มีสมาชิกในกลุ่มทั้งหมด 110 คน ปัจจุบันมีเงินกลุ่ม 700,000 บาท
2.4 กลุ่มเพาะเห็ด ตั้งขึ้นเมื่อเมื่อปี พ.ศ.2544 มีสมาชิกในกลุ่มทั้งหมด 30 คน ปัจจุบันมีเงินกลุ่ม 16,110 บาท
๑๓
ธรรมเนียบกำนัน บ้านหนองแสน
ลำดับที่ ปี พ.ศ. รายนาม
๑ ไม่ปรากฎ นาย สุทธิ ประภาการ
๒ ไม่ปรากฏ ขุนพยัคฆา คำรณ
๓ ๒๓๘๙-๒๔๐๘ หมื่นจันทร์ ธรรมรักษ์
๔ ๒๔๒๖-๒๔๔๐ หลวงเสนา นาคะรัตน์
๕ ๒๔๔๐-๒๔๗๘ ขุนเวียงคำ มะยุระยอด
๖ ๒๔๗๘-๒๕๐๔ นาย อิน ประภาศรี
๗ ๒๕๐๔-๒๕๒๒ นาย ปืด นาคะรัตน์
๘ ๒๕๒๒-๒๕๓๙ นาย สมศักดิ์ ประดับการ
๙ ๒๕๓๙-๒๕๔๔ นาย ประวัติ นาคะรัตน์
๑๐ ๒๕๔๔-๒๕๔๘ นาย สังคม ประวันตัง
๑๑ ๒๕๔๘-ถึงปัจจุบัน นาย สมพงษ์ นนทศรี (กำนันคนปัจจุบัน)
หมายเหตุ ;กำนันในสมัยก่อนจะดำรงตำแหน่งจนกว่าอายุทางราชการจะเกษียณคือ๖๐ปี หรือจนกว่าจะ
เสียชีวิต
๑๔
ประวัติความเป็นมาของหลวงปู่ชมฐานะธัมโม
นามเดิมหลวงปู่ชื่อ “ชม จันทร์หนองสวง” เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2427 (วัน4ฯ6) ปีระกา ที่คุ้มวัดกลาง อ. สุวรรณภูมิ จ. ร้อยเอ็ด บิดาชื่อ นายพรมราช มารดาชื่อ นาง บัวศรี ชีวิตเยาว์วัยของหลวงปู่เป็น คนตรงไปตรงมา ความซื่อสัตว์ สุจริต รักษาความยุติธรรม เป็นคนกล้าหาญ จิตใจแกร่งกล้า ชอบเล่นเครื่องลาง ของคลังจนเพื่อนๆรุ่นเดียวกันในสมัยนั้นเกิดความยำเกรง หลวงปู่จึงมีมิตรสหายมากมายในระแวกนั้น ในวัยหนุ่มหลวงปู่ท่านใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าเมื่ออายุได้ 25 ปี จึงแต่งงานกับนาง สีดา ตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตครองเรือน ครองรักอยู่กับครอบครัวท่านได้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ประกอบอาชีพ ทำนาเลี้ยงครอบครัวหลังเสร็จจากการเก็บเกี่ยวแล้ว ท่านจะหารายได้พิเศษมาจุนเจือโดยการเป็นพ่อค้าซื้อขาย วัว-ควาย สมัยนั้นเขาเรียกกันว่านาย “ฮ้อย” จะรวบรวมสมัครพรรคพวกต้อนวัว-ควาย ไปขายตามแนวเขตชายแดนเขต เขมร แถวบริเวณอำเภอช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ การต้อนฝูงวัว-ควาย ไปขายตามแนวชายแดนมีทั้งราบรื่น และมีทั้งอุปสรรคทั้งนานัปการ ในปัจจุบันใครได้ดูละครเรื่อง นายฮ้อยทมิฬ ก็พอจะมองภาพออก หลวงป ชม คงจะทำหน้าที่เป็นนาย “ฮ้อยเคน” ในการทำนา-และการค้าขายทำให้หลวงปู่มีฐานะครอบครัวที่ดี อาจพูดได้ว่ามั่งมีพออยู่พอกิน แต่หลวงปู่ขาดอยู่อย่างหนึ่ง คือ ไม่มีทายาทที่จะสืบสกุล ได้อุ้มชูดูแล นี้คือบุญบารมีแต่ปางก่อนของหลวงปู่ ทำให้หลวงปู่ไม่มีบ่วงผูกมัด หลวงปู่ได้อยู่ร่วมครองเรือนกับครอบครัวเป็นเวลานาน 9 ปี การที่หลวงปู่ไม่มีทายาท (บุตร) เงินทองทรัพย์ที่หามาได้นอกจากจะนำไปทำบุญให้ทานแล้ว ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร หลวงปู่จึงขออนุญาติจากนาง สีดา (ซึ่งเป็นภรรยา) ตัดสินใจออกบวช และภรรยาก็ไม่ได้ทัดทานหรือขัดข้องแต่อย่างใด น่าจะเป็น สิ่งที่มองเห็นได้ว่าหลวงปู่ท่านเป็นบุคคลที่มีบุญบารมีมาแต่ปางก่อน ที่ท่านได้ออกบวชมุ่งสู่สายธรรมะ เพื่อที่จะได้ศึกษาพระธรรมวินัยอย่างแท้จริงต่อไป..
หลวงปู่ชม ฐานะธัมโม อุปสมบทเมื่อ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2461 เวลา 07.40 น. ขณะนั้นหลวงปู่ชมมีอายุได้ 34 ปี
พระอุปัชฌาย์-พระครูเหมถาพรมจารีย์
พระกรรมวาจาจารย์-พระครูสีลา
พระอนุสาวนาจารย์-พระปลัดสิงห์
ที่วัดกลาง ตำบลสระคู อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อหลวงปู่ท่านได้บวชได้ 1 พรรษา ก็ได้ ออกธุดงค์
วิปัชนากรรมฐาน เพื่อแสวงบำเพ็ญเพียรศึกษาหลักธรรมอยู่ตามแนวชายแดนอีสานได้ เขตประเทศเขมร เขตจังหวัดอุบลราชธานี,ศรีสะเกษ,สุรินทร์,บุรีรัมย์ จากหลาย ๆ อาจารย์เป็นเวลาหลายพรรษา จนหลวงปู่มีวิชาอาคมแก่กล้าหลายด้าน เช่น วิชาอาคมทางด้านเมตตามหานิยม,คงกระพันชารีแคล้วคลาด,มหาอุต,ป้องกันขับไล่ คุณไสย คุณผี คุณคน หลวงปู่มีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถมาก มีอิทธิปฎิหาริย์นานัปการจนคนเล่าขานกันว่า “หลวงปู่มีวิชา
15
สามารถล่องหนหายตัวได้”เรื่องราวตอนหลวงปู่เดินธุดงค์ไปตามแนวเขตทุรกันดารนั้นมีมากมาย ผจญทั้งสัตว์ร้าย ภูตผี ปีศาจ แต่ท่านสามารถฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นได้โดยตลอด หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ได้เดินทางกลับบ้าน อำเภอสุวรรณภูมิ ผ่านมาทางปรางค์กู่พระโกนาซึ่งในบริเวณปรางค์กู่นั้นไปปกคลุมไป ด้วยแมกไม้นานาชนิดมือมิดจนมองดูน่ากลัว ชาวบ้านไม่กล้าผ่านเข้าไปในเขตปรางค์กู่เพราะเป็นเขตผีดุ มีบรรดาสัมภเวสีเปรตอสุรกาย ตลอดจนสัตว์ดุร้าย แมลงมีพิษนานาชนิด ในบริเวณเขตป่ามีเนื้อที่ ประมาณ 150 ไร่เศษ ซึ่งผ่านไปทางประเทศเขมร (กัมพูชา) จังหวัดศรีสะเกษ-สุรินทร์ (ปัจจุบัน)หลวงปู่เห็นว่าเป็นทำเลที่เหมาะสมหลวงปู่จึงเลือกที่ดังกล่าวพักพาอาศัย ต่อมาได้พาชาวบ้านญาติโยมสร้างวัดขึ้นที่ปรางค์กู่รียกว่า “วัดกู่พระโกนา”จนถึงปัจจุบัน
จากการที่หลวงปู่ชม ท่านมีวิชาอาคมแกร่งกล้าดังที่เล่ามาแล้วทำให้ชื่อเสียงของหลวงปู่ลือกระฉ่อนไปทั่วทุกสารทิศ และมีลูกศิษย์ที่เป็นเกจิอาจารย์อยู่หลายองค์เช่น
1. หลวงปู่ วรพรตวิธาน วัดจุมพล ตำบลก้านเหลือง จังหวัดขอนแก่น (หลวงปู่วรพรต เหยียบรถเดี่ยง)
2. หลวงพ่อ กอง ยโสธโร (พระครูกิติคุณาภรณ์) วัดกู่พระโกนา อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ปัจจุบัน ทั้งสององค์ยังมีชีวิตอยู่
ความผูกพันระหว่างชาวตำบลหนองแสน - ตำบลเสือโก้ก อำเภอวาปีปทุม และชาวอำเภอแกดำเป็นบางส่วนกับหลวงปู่ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพนับถือบูชามาโดยตลอดตราบเท่าทุกวันนี้เนื่องจาก เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2480 เศษ ๆ ได้เกิดอาเพสและสิ่งประหลาดขึ้นภายในหมู่บ้านหนองแสนและหมู่บ้านใกล้เคียงหลาย ๆหมู่บ้าน ได้เจ็บไข้ได้ป่วยโดยไม่รู้สาเหตุเกิดโรดระบาดมีคนล้มตายเป็นประจำมิได้ขาดจนชาวบ้านหวาดผวา กินไม่ได้นอน ไม่หลับ ไม่มีวิธีที่จะแก้ไขได้ ชาวบ้าน คนเฒ่า คนแก่ พระภิกษุสงฆ์ ได้ประชุมปรึกษาหารือกันตกลงเป็นเอกฉันท์ทราบว่าที่วัดกู่พระโกนา อำเภอสุวรรณภูมิ มีพระเกจิอาจารย์ที่มีวิชาแก่กล้า ชื่อ “หลวงพ่อชม” สามารถปราบภูตผี
ปีศาจและรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ตลอดจนป้องกันขับไล่คุณไสย คุณผี คุณคนได้ และตกลงกันว่าส่งตัวแทนไปนิมนต์หลวงปู่มาเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2490 เมื่อหลวงปู่ถึงบริเวณบ้านหนองแสนแล้วหลวงปู่ก็ได้ทำพิธีกรรมของท่านทาง
ไสยศาสตร์ปักหลักเขตเเดนให้เป็นที่เป็นทาง และมีหลักซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางรวมใจอยู่ที่มุมหนองน้ำ ซึ่งเรียกว่า “ว่าหนองใหญ่” ด้านมุมทิศตะวันออกของหนอง คือ หลักบ้านอยู่ทุกวันนี้ หลังจากที่หลวงปู่ได้มานั่งวิปัชนากรรมฐาน แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็คลี่คลายไปในทางที่ดี พี่น้องชาวบ้านหนองแสนได้อยู่ร่วมกันมาด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอด หลังจากนั้นชาวบ้านในเขตระแวกใกล้เคียงทราบข่าวเล่าลือแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ซึ่งมีหลายหมู่บ้านได้ไปนิมนต์ท่านมาทำพิธีกรรมเหมือนกับบ้านหนองแสนและหลวงปู่ก็ได้ผ่านมาทางบ้านหนองแสนอีกเมื่อต้นปี พ.ศ. 2496 และในปีเดียวกันนี้หลวงปู่ได้บอกลูกศิษย์คนสนิทของท่าน คือ หลวงพ่อกอง ว่าในวันที่ 16 เดือน 8 ปีนี้ คือปี พ.ศ. 2496 หลวงปู่จะตายแล้วหลวงปู่ชมก็ได้บอกกล่าวหลวงพ่อกองหลายอย่างหลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือนต่อมา ตรงกับวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2496 หลวงปู่ก็ได้ละสังขาร มรณภาพ อย่างสงบตรงตามวัน
16
เวลาที่ได้บอกลูกศิษย์ไว้ล่วงหน้า แสดงว่าท่านหลวงปู่มีญาณหยั่งรู้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นสิ่งแปลกประหลาดน่าอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง รวมอายุของหลวงปู่ชมได้ 69 ปี (35 พรรษา) แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแล้วหลังจากหลวงปู่ได้มรณภาพไปเป็นเวลาประมาณ 50 ปี บุญบารมีตลอดคุณงามความดีของหลวงปู่ยังสถิตย์อยู่ในใจของลูกหลานชาวตำบลหนองแสนและผู้ที่รู้จัก ให้ความเคารพนับถือมาโดยตลอด ประดุจหนึ่งหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยความอัศจรรย์ในอตีตและความยั่งรู้ในอนาคตด้วยปฎิหารย์ทุกอย่างเป็นไปได้
๑๗
ที่ตั้งบ้านหนองแสน
บ้านหนองแสน ตำบลหนองแสน อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตัวเมืองมหาสารคาม มีระยะทางห่างประมาณ30กิโลเมตร ตั้งอยู่ในอำเภอวาปีปทุม ระหว่างบ้านกลาง บ้านหนองกุง และบ้านแกดำ มีพื้นที่ทั้งหมด ๑๘๔ ไร่
สภาพภูมิประเทศ
บ้านหนองแสนมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบ สภาพทั่วไปเป็นดินทรายและเป็นดินเอียดหรือดินที่ค่อนค้างเค็ม ไม่มีภูเขาและไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน มีเพียงแหล่งน้ำขนาดเล็กซึ่งไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ทั้งปี
18
อาณาเขตติดต่อ
ทิศเหนือ ติดกับ ตำบลโนนภิบาล อ.แกดำ
ทิศใต้ ติดกับ ต.เสือโก้ก
ทิศตะวันออก ติดกับ อ.ศรีสมเด็จ
ทิศตะวันตก ติดกับ อ.แกดำ
๑๗
จำนวนประชากร
จำนวนหลังคาเรือน : ๒๒๗ หลังคาเรือน
จำนวนประชากร : ๙๐๔ คน
จำนวนผู้สูงอายุ : ๗๕ คน
จำนวนเด็กแรกเกิด ถึง ๖ ปี : ๑๘ คน
จำนวนผู้สูงอายุ ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง : ๘๙ คน
จำนวนสตรีตั้งครรภ์ : ๓๖ คน
จำนวนผู้สูงอายุ ที่ช่วยตนเองไม่ได้ : ๙ คน
จำนวนสตรีอายุ ๓๕ ปี ขึ้นไป : ๒๖๙ คน
จำนวนผู้พิการ : ๑๑ คน
จำนวนวัยรุ่น; ๓๙๗ คน
เป็นชายทั้งสิ้น ๔๕๗ คน และเป็นหญิงทั้งสิ้น ๔๔๗ คน
สภาพภูมิอากาศ
บ้านหนองแสนมีสภาพภูมิอากาศแบบภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั่วไป โดยแบ่งได้ดังนี้
v ฤดูร้อน เริ่มต้นแต่เดือน กุมภาพันธ์ ถึงเดือน พฤษภาคม
v ฤดูฝน เริ่มต้นแต่เดือน มิถุนายน ถึงเดือน กันยายน
v ฤดูหนาว เริ่มต้นแต่เดือน ตุลาคม ถึงเดือน มกราคม
๑๘
สภาพทางเศรษฐกิจของชาวบ้านหนองแสน
เศรษฐกิจของชาวบ้านหนองแสนในสมัยก่อนคนแก่ไม่ค่อยมีรายได้ และแทบไม่มีข้าวกิน จึงหันมาเลี้ยงวัวเทียม แต่กลับโดนปล้น และวัวเป็นโรคตาย จนในยุคปัจจุบันนี้ ชาวบ้านได้หันมาทำเศรษฐกิจพอเพียงตามศาสตร์พระราชา โดยการทำไร่ไถนา ปลูกผักสวนครัว ปลูกพืชเศรษฐกิจที่ตลาดรองรับ เลี้ยงสัตว์บกไม่ว่าจะเป็นวัว,ควาย และสัตว์น้ำ จำพวกปลา วางจากการทำไร่ไถ่นาก็มีอาชีพเสริมนั้นก็คือการเย็บปักถักร้อย ทำผ้าสิ้น จากผ้าฝ้ายและไหม ทั้งนี้รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ ๗๐๐,๐๐๐บาท ถึง ๑,๓๐๐,๐๐๐บาทต่อปี
๑๙
สภาพทางสังคม
สังคมสมัยก่อนเป็นการเริ่มอพยพของชาวลาวเวียงจันทร์ คนในสมัยก่อนมีความเอื้ออาทรต่อกัน มีความสัมพันธ์เป็นพี่น้อง คนในชุมชนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีวิถีการดำรงชีวิตที่เรียบง่าย ชุมชนที่เข้มแข็งเมื่อคนในชุมชนเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ จะสามารถแก้ไขปัญหา และ พัฒนาหมู่บ้านด้วยความร่วมมือร่วมใจกันของคนในชุมชน โดยอาศัยภูมิปัญญาและวิถีของชุมชนนั้นๆ จนถึงปัจจุบันชาวบ้านได้มีประชากรเพิ่มมากขึ้น
๒๐
วัฒนธรรม
วัฒนธรรมในสมัยก่อนได้มีการสร้างวัดเพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาและเป็นที่ยึดเหยี่ยวจิตใจของคนในสมัยก่อน เป็นความเชื่อทางศาสนาและเป็นที่ทำให้จิตใจของคนในหมู่บ้านสงบ คนในสมัยก่อนแต่งกายด้วยผ้าซิ่น และมีการอนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรม ดังต่อไปนี้
ประเพณีท้องถิ่นบ้านเอียด ยังยึดถือ และปฏิบัติตามฮีตสิบสอง คำว่า "ฮีต" หมายถึง จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี แบบแผนฮีตที่ถือปฏิบัติกันอยู่ ๑๒ อย่าง ภาษาพื้นบ้านเรียกว่า "บุญ" ดังนี้
๑. บุญเข้ากรรม
เกี่ยวกับพระภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส ต้องอยู่กรรมจึงจะพ้นอาบัติ ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในระหว่างภิกษุเข้ากรรม ญาติ โยม สาธุชน ผู้หวังบุญกุศล จะไปร่วมทำบุญบริจาคทาน รักษาศีลเจริญภาวนา และฟังธรรม เป็นการร่วมทำบุญระหว่างพระภิกษุ สามเณร และชาวบ้านกำหนดวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนอ้าย"
๒. บุญคูนลาน
๒๑
การทำบุญคูนลาน จะทำที่วัด หรือที่บ้านก็ได้ โดยชาวบ้านจะเอาข้าวมารวมกัน แล้วนิมนต์พระภิกษุมาเจริญพระพุทธมนต์ จัดน้ำอบ น้ำหอมไว้ประพรม วนด้ายสายสิญจน์บริเวณรอบกองข้าว ตอนเช้ามีการถวายอาหารบิณฑบาต และนำเอาน้ำพระพุทธมนต์ไปรดกองข้าว ถ้าทำที่บ้านเรียกว่า "บุญกุ้มข้าว" กำหนดในเดือนยี่ เรียกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนยี่
๓. บุญข้าวจี่
เดือนสามชาวบ้านนิยมทำบุญข้าวจี่ เพื่อถวายพระ เป็นการละทานชนิดหนึ่ง และถือว่าได้รับอานิสงส์มากงานหนึ่ง กำหนดทำบุญในเดือนสาม
๔. บุญพระเวส
๒๒
บุญที่มีการเทศพระเวส หรือบุญมหาชาติ หนังสือมหาชาติเป็นหนังสือชาดกที่แสดงจริยวัตรของพระพุทธเจ้า เมื่อเสวยชาติเป็นพระเวสสันดร กำหนดทำบุญเดือนสี่ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนสี่"
๕. บุญสรงน้ำ
บุญสรงน้ำ มีการรดน้ำ หรือสรงน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ และผู้หลักผู้ใหญ่ มีการทำบุญทำทาน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญตรุษสงกรานต์" กำหนดทำบุญในเดือน ห้า
๖. บุญบั้งไฟ
๒๓
ก่อนการทำนาชาวบ้านในจังหวัดในภาคอิสาน จะมีการฉลองอย่างสนุกสนาน โดยการจุดบั้งไฟ เพื่อไปบอกพญาแถน เชื่อว่าจะทำให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล มีการตกแต่งบั้งไฟให้สวยงามนำมาประกวดแห่ แข่งขันกันในวันรุ่งขึ้น กำหนดทำบุญในเดือน หก
๗. บุญซำฮะ
ซำฮะ คือการชำระล้างสิ่งสกปรก รกรุงรังให้สะอาดหมดจด เมื่อถึงเดือน ๗ ชาวบ้านจะรวมกันทำบุญโดยยึดเอา "ผาม หรือศาลากลางบ้าน" เป็นสถานที่ทำบุญ ชาวบ้านจะเตรียมดอกไม้ธูปเทียน โอน้ำ ฝ้ายใน ไหมหลอด ฝ้ายผูกแขน แห่ทรายมารวมกันที่ ผามหรือศาลากลางบ้าน ตอนเย็นนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ ตอนเช้าถวายอาหาร เมื่อเสร็จพิธีทุกคนจะนำน้ำพระพุทธมนต์ ฝ้ายผูกแขน แห่ทรายของตนกลับบ้าน นำน้ำมนต์ไปรดลูกหลาน ทรายนำไปหว่านรอบบ้าน ฝ้ายผูกแขนนำไปผุกข้อมือลูกหลานเพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลตลอดปี ถ้ามีการเจ็บไข้ได้ป่วยต้องมีการสวดถอด เป็นต้น กำหนด ทำบุญในเดือน ๗
๘. บุญเข้าพรรษา
๒๔
ในเทศกาลเข้าพรรษา เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะต้องบำเพ็ญไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ ส่วนคฤหัสถ์ก็จะต้องบำเพ็ญบุญกริยาวัตถุ ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา ให้เต็มเปี่ยม ตอนเช้าญาติโยมจะนำอาหารมาถวายพระภิกษุ ตอนบ่ายนำดอกไม้ธูปเทียน ข้าวสาร ผ้าอาบน้ำฝน รวมกันที่ศาลาวัด ตอนเย็นญาติโยมพากันทำวัตรเย็นแล้วฟังเทศน์ กำหนด วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือน ๘"
๙. บุญข้าวประดับดิน
ห่ออาหาร และของขบเคี้ยวเป็นห่อๆ แล้วนำไปถวายวางแบไว้กับดิน จึงเรียกว่า "บุญข้าวประดับดิน" ชาวบ้านจะจัดอาหารคาว หวาน และหมากพลู บุหรี่ กะว่าให้ได้ ๔ ส่วน
ส่วนที่ ๑ เลี้ยงดูกันในครอบครัว
ส่วนที่ ๒ แจกให้ญาติพี่น้อง
ส่วนที่ ๓ อุทิศไปให้ญาติที่ตาย
ส่วนที่ ๔ นำไปถวายพระสงฆ์
ทำเป็นห่อๆให้ได้พอควร โดยนำใบตองกล้วย มาห่อของคาว หวาน หมากพลู บุหรี่ แล้วเย็บรวมกันเป็นห่อใหญ่ ในระหว่าง เช้ามืดในวันรุ่งขึ้นจะนำห่อเหล่านี้ไปวางไว้บริเวณวัด ด้วยถือว่าญาติพี่น้องจะมารับของที่นั่น (เชื่อกันว่าเป็นวันยมทูตเปิดนรกชั่วคราว ให้สัตว์นรก มารับของทานในระยะหนึ่ง และยังถือว่าเป็นวันกตัญญู
๒๕
อีกด้วย) ตอนเช้านำอาหารอีกส่วนหนึ่งไปถวายพระ ฟังพระธรรมเทศนา เสร็จแล้วทำพิธีอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว กำหนดทำบุญในเดือน ๙
๑๐. บุญข้าวสาก
การเขียนชื่อลงในพาข้าว (สำรับกับข้าว) เรียกว่าข้าวสาก (สลาก) ญาติโยมจะจัดอาหารเป็นห่อๆ แล้วนำไปแขวนไว้ตามต้นไม้ โดยทำกันในตอนกลางวัน ก่อนเพล เป็นอาหาร คาว หวาน พอถึงเวลา ๔ โมงเช้า พระสงฆ์จะตีกลองโฮม (รวม) ญาติโยมจะนำพาข้าว (สำรับกับข้าว) ของตนมารวมกัน ณ ศาลาการเปรียญ เจ้าภาพจะเขียนชื่อลงในกระดาษม้วนลงในบาตร เมื่อพร้อมแล้วหัวหน้ากล่าวนำคำถวายสลากภัต จบแล้วยกบาตรสลากไปให้พระจับ ถูกชื่อใคร ก็ให้ไปถวายพระองค์นั้น ก่อนจะถวายพาข้าวให้นำพาข้าว ๑ พา มาวางหน้าพระเถระ แล้วให้พระเถระ กล่าวคำอุปโลกน์ กำหนด บุญข้าวสากนิยมทำกันในเดือน ๑๐
๑๑. บุญออกพรรษา
๒๖
การทำบุญออกพรรษานี้ เป็นการเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ได้มีโอกาสว่ากล่าวตักเตือนกันได้ พระภิกษุสงฆ์สามารถเดินทางไปอบรมศีลธรรม หรือไปเยี่ยม ถามข่าวคราว ญาติพี่น้องได้ และภิกษุสงฆ์สามารถหาผ้ามาผลัดเปลี่ยนได้ เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ตั้งแต่เช้ามืดจะมีการตีระฆังให้พระสงฆ์ไปรวมกันที่โบสถ์แสดงอาบัติเช้า จบแล้วมีการปวารณา คือเปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ด้วยกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้ กำหนด บุญออกพรรษาในเดือน ๑๑
๑๒. บุญกฐิน
ผ้าที่ใช้สดึงทำเป็นกรอบขึงเย็บจีวร เรียกว่าผ้ากฐิน ผู้ใดศรัทธา ปรารถนาจะถวายผ้ากฐิน ณ วัดใดวัดหนึ่งให้เขียนสลาก (ใบจอง) ไปติดไว้ที่ผนังโบสถ์ หรือศาลาวัด ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ผู้อื่นจองทับ เมื่อถึงวันกำหนดก็บอกญาติโยมให้มาร่วมทำบุญ มีมหรสพสมโภช และฟังเทศน์ รุ่งเช้าก็นำผ้ากฐินไปทอดถวายที่วัดเป็นอันเสร็จพิธี กำหนด ทำบุญระหว่างวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
๒๗
บทที่๓
วัสดุอุปกรณ์การดำเนินงาน
วิธีการ ดำเนินศึกษาค้นคว้า
§ สอบถามข้อมูลจากผู้ใหญ่บ้านและคนเก่าแก่ในหมู่บ้าน
§ ขอยืมแผนผังชุมชนหมู่บ้านและหนังสือประวัติหมู่บ้าน
§ นำข้อมูลมาวิเคราะห์
§ ประเมินข้อมูลที่ได้มาจากการศึกษา
§ นำมาเสนอในรูปแบบของโครงงาน
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา มีดังนี้
§ คอมพิวเตอร์
§ เครื่องปริ้น
§ กระดาษสำหรับการปริ้นงาน
§ แผนผังชุมชนหมู่บ้านและหนังสือประวัติหมู่บ้าน
§ โทรศัพท์มือถือ
§ สมุดจดบันทึกข้อมูล
§ แบบสอบถาม
§ รถจักรยานยนต์ และ
§ งบประมาณในการดำเนินงาน (๓๔๐บาท)
การวิเคราะห์ข้อมูล
นำข้อมูลที่ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการสืบค้นจากหนังประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านหนอง การทำแบบสอบถาม เมื่อได้ข้อมูลเบื้องต้นมาแล้วก็ได้จัดทำโครงงานประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านหนองแสน
๒๘
ขั้นตอนการศึกษา
ศึกษาโดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ ดังนี้
๑) กำหนดหัวข้อที่จะศึกษา นั้นก็คือหัวข้อเรื่องประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองแสน
๒) เก็บรวบรวมหลักฐานที่หามาได้ ไม่ว่าจะป็นการสืบค้นข้อมูลหมู่บ้านจากหนังสือประวัติหมู่บ้าน และแบบสอบถามที่ได้ทำการสืบค้นจากคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านหนองแสน
๓) ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา แล้วนำข้อมูลมาจัดตามรูปแบบของโครงงาน
๔) เรียบเรียงเอกสารที่เกี่ยวกับประวัติหมู่บ้านหนองแสน มานำเสนอ โดยการนำเสนอแบบรูปเล่ม”โครงงานประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองแสน” และนำเสนอในรูปแบบวิดีโอ เผยแพร่สู่โลกออนไลน์ เพื่อเป็นการเผยแพร่ข้อมูลให้บุคคลได้เรียนรู้อีกด้วย
๕) สรุปเนื้อหา และประเมินโครงงานประวัติหมู่บ้านหนองแสน
๒๙
บทที่๔
ผลการดำเนินการ
ผลการดำเนินการศึกษา โครงงานประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านหนองแสน ได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ตามแบบแผนข้างต้น ดังข้อมูลที่จะนำเสนอต่อไปนี้
ตารางที่๑สถานที่สำคัญ
จากผลการดำเนินการทำให้ดิฉันรู้ถึง สถานที่สำคัญต่างๆในบ้านหนองแสน ว่าสถานที่นั้นตั้งอยู่ที่ใดบ้างและมีบทบาทที่สำคัญต่อชุมชนบ้านหนองแสนอีกด้วย
ตารางที่๒ แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ
จากตารางข้างต้น ทำให้รู้แหล่งทรัพยากรธรรมชาติของบ้านหนองแสน รู้ถึงประโยชน์และคววามสำคัญของสถาที่แห่งนี้ และยังได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย
๓๐
บทที่๕
สรุปและอภิปรายผล
สรุป
จากการศึกษาประวัติบ้านหนองแสน สามารถใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของบ้านหนองแสน ไม่ว่าจะเป็น สภาพทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง และ ด้านวัฒนธรรมประเพณี รวมไปถึงการศึกษาความเป็นมาของการเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านหนองแสนอีกด้วย
อภิปราย
จากผลการศึกษาเกี่ยวกับบ้านหนองแสน ทำให้ทราบถึงความเป็นมาที่ตั้งชุมชนในอดีต สู่การมาเป็นหมู่บ้านหนองแสนในปัจจุบันนี้ รวมไปถึงการตั้งวัดวาอารามขึ้นเพื่อเป็นที่สงบจิตใจของคนในชาวบ้าน และรวมไปถึงการทำนุบำรุงศาสนาพุทธ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทราบถึงการตั้งหมู่บ้านเมื่อปีพุทธศักราชที่เท่าไหร่ บุคคลตั้งหมู่บ้านคือใคร ต้นตอมาจากไหน จึงทำให้ทราบถึงปัจจัยและองค์ประกอบในการจัดตั้งหมู่บ้านเอียดแห่งนี้อีกด้วย
ประโยชน์ที่ได้จากการศึกษา
๑) ได้มีความรู้เกี่ยวกับชุมชนบ้านหนองแสนมากขึ้น
๒) ได้มีความรู้ และ รู้หลักการเกี่ยวกับจัดทำโครงงาน
๓) ได้แบบโครงงานประวัติหมู่บ้านหนองแสนไว้ให้กับบุคคลที่มีความสนใจจะศึกษาหมู่บ้านหนองแสนแห่งนี้
แนวทางที่นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
สามารถเกิดความเข้าใจเหตุการณ์ในอดีต รู้การเป็นอยู่ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของคนในสมัยก่อน
จนสามารถ นำมาประยุกต์ในการใช้ชีวิติย่างพอเพียงดังเช่นคนในสมัยก่อนของหมู่บ้านหนองแสน
แนวทางการเทิดทูลและธำรงรักษา
อนุรักษ์วัฒนธรรมและรักษาวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของบ้านหนองแสนให้คงอยู่คู่หมู่บ้านหนองแสนและประเทศชาติสืบต่อไป
๓๑
เอกสารอ้างอิง
1) https://www.facebook.com/Pathai.1/posts/595119470588375:0
ในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการกำเนิดภาคอีสานหรือศึกสามโบก ผู้เผยแพร่“ในนามเพจไผท ภูธา เฮือนนักสนใจ ประวัติศาสตร์ทางเลือก เผยแพร่เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ และดิฉันเข้าค้นข้อมูลเมื่อ วันที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๓
2) https://sites.google.com/site/manunitedza/1-prawati-khwam-pen-ma-khxng-canghwad-mhasarkham
ในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเมืองมหาสารคาม ผู้เผยแพร่”เพจจังหวัดมหาสารคาม เผยแพร่เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ และดิฉันเข้าค้นข้อมูลเมื่อ วันที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๓
3) หนังสือประวัติความเป็นมาของบ้านหนองแสน ในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของบ้านหนองแสน ศึกษาได้ที่”แหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหนองแสน ณ ที่ทำการกำนัน (นายสมพงษ์ นนทศรี ) จัดทำเพื่อเผยแพร่ เมื่อ วันที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙ และดิฉันเข้าค้นข้อมูลเมื่อวันที่ ๕ และ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๓
4) การสัมภาษณ์เพื่อสอบถามประวัติคามเป็นมาของบ้านหนองแสนจากผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน
ในการสัมภาษณ์เพื่อสอบถามเกี่ยวกับความเป็นมาของบ้านหนองแสน ดิฉันได้ทำการสัมภาษณ์ เมื่อวันที่๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ กับคุณ สุทธี ประวันนา และได้ทำการสอบถามกำนันอี คือ นายสมพงษ์ นนทศรี