Aura พลังงานของสิ่งมีชีวิต ที่มองตาเปล่าไม่เห็น
ออร่า มันเป็นรัศมีสนามพลังงานไฟฟ้าชีวภาพชนิดหนึ่งที่ล้อมรอบสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไม่เฉพาะคนเท่านั้นครับ
กล่าวคือ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้น ล้วนมีน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญ อยู่ภายใน โดยอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์ที่แผ่ออกมาเป็นคลื่นชีวภาพ ทำให้โมเลกุลน้ำเกิดการสั่นสะเทือน จนเกิดพลังงานในที่สุด
แรงสั่นสะเทือนนี้ ส่งผลทำให้โครงสร้างของอะตอม ที่ประกอบด้วย โปรตรอน อิเล็กตรอน ที่เคลื่อนนี้อยู่นั้น ในร่างกาย จะมี อิเล็กตรอนเป็นประจุลบ และโคจรรอบนิวเคลียส ส่วนโปรตรอน เป็น ประจุบวก ก่อให้เกิดการกระตุ้นเป็นพลังงานออกมา กลายเป็นรัศมี เรืองแสง หรือออร่านั่นเอง ดูแล้ว ละเอียดซับซ้อนน่าดูครับ
นักค้นคว้าสมอง นายแพทย์ สตานิสลัฟ ผู้ค้นคว้า เรื่องสมอง ในงานชื่อ Beyond the Brainเมื่อ ปี 1985 จากมหาวิทยาลัย อัลเบิริต ไอน์สไตน์ อธิบายว่า การสั่นสะเทือนของความถี่ในเซลล์สมองจะกระตุ้นกลีบสมอง เท็มปอรัล หรือการสั่นไหวทางอารมณ์ จะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กที่มี คลื่นความเข้มข้นสูงทำให้เกิดภาวะแสงสีหลากหลายรัสมีออกมานั่นเองครับ
คลื่นไฟฟ้าในสมองมีระดับต่าง ๆ ดังนี้ครับ คือ คลื่น เบดา อัลฟา เตตรา เดลตา และคอสมิก
คลื่นเบตานี้ พบมากใน คนที่มี อาการตึงเครียด พักผ่อนน้อย หงุดหงิดง่าย รวมถึง ผู้ที่สูบบุหรี่ครับ
คลื่นอัลฟา จะมีพลังงานสูงกว่า เบตา เริ่มมีสมาธิกันซะที ส่วนมากจะใช้ เล่นกีฬา มีความคิดสร้างสรรค์ นักเขียน ต่าง ๆ แบบว่ามีอารมณ์ที่ค่อนข้างมั่นคงครับ
คลื่นเดตราจะอยู่ในภาวะที่จิตใจกำลังจดจ่อ หมกมุ่น แน่วแน่ มันคง มีความสงบ พลังงานจะสูงครับ
คลื่นเดลตาอันนี้จะอยู่ในภาวะหลับสนิท หรือ มีสมาธิขั้นสูงครับ ลึกซึ้งเลยทีเดียว พลังงานสูงมากทีเดียวและละเอียดอ่อนด้วย
ส่วนอันสุดท้าย ก็คอสมิกคลื่นนี้ ไม่มีอยู่ในมนุษย์ ทั่วไปครับ เป็นคลื่นพลังจักรวาล สูงสุด จะอยู่ในภาวะจิตใต้สำนึกสูงสุด ถ้าในศาสนาพุทธก็ระดับนิพพานเลยครับ แบบว่า เป็นอาการหลุดพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างมีความรักต่อทุกสรรพสิ่ง เป็นพลังจักรวาลขั้นสุดยอดครับ
รหัสออร่า การทดลองวิทยาศาสตร์ คิดว่าทุกคนรู้กันดีครับ คือการแยกแสงออกจากกัน โดยผ่านแก้ว สามเหลี่ยม หรือ ปริซึม ในการทดลองวิทยาศาสตร์ ตามที่ได้เรียนมา ที่แยกแสงออกเป็น 7 สี หรือที่เห็นทั่ว ๆ ไป ก็คือ รุ้งกินน้ำ ครับ
ท่าน เซอร์ ไอแซก นิวตัน กล่าวว่า แสงขาวเกิดจากการผสมกันของแสงสีต่าง ๆ ทั้ง 7 สี ได้แก่ แดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า คราม และม่วงถือว่าเป็นเป็นพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า โฟโตไบโอติกส์
เรื่องนี้ เขารู้กันมานานตั้งแต่สมัย กรีก และอียิปต์โบราณ โดยแสงสีต่าง ๆ ที่ผ่านร่างกายมนุษย์ผ่านมายังต่อมใต้สมอง และต่อมไอโปธาลามัส ส่งผลเปิดปฏิกิริยาตอบสนองทางอารมณ์ และจิตใจ ทำให้คนที่จิตใจต่างกัน แสงที่ได้ก็ต่างกันด้วยครับ
แสงออร่านี้ ยังเปรียบกับ หยินและหยาง ด้วยครับ โดยหยินจะเป็นสีเย็น และหยาง จะเป็นสีร้อนครับ เอาคร่าว ๆ ละกันครับ ส่วน พลังออร่า ในร่างกาย มีจักระเป็นศูนย์กลาง ไปดูได้ที่ วิชาจักรวาล ครับ
ออร่า คือ รังสีกายทิพย์ มีสภาพเป็นคลื่นไฟฟ้าห่อหุ้มรอบตัวเราอยู่ คลื่นรังสีนี้มีอยู่เป็นปกติในสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งมนุษย์ สัตว์ หรือแม้แต่พืช แสงออร่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นกับหลายปัจจัย แต่ก็สามารถบ่งบอกนิสัย บุคลิกของคนๆนั้นในช่วงเวลาขณะนั้นอย่างคร่าวๆได้ หรืออาจบ่งบอกถึงโรคภัยไข้เจ็บได้
โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว ก็คิดว่าแสงออร่าก็เป็นเรื่องธรรมชาติ การถ่ายรูปออร่าด้วยกล้องเคอร์เลี่ยน ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยพิสูจน์ให้มนุษย์ได้รู้ในสิ่งที่ปกติไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า...อย่างไรก็ตามก็เชื่อว่า หากคนเราปฏิบัติตนอยู่ในคุณงามความดี แม้ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรมภาวนาอะไร แต่มีสำนึกที่พูดดี คิดดี ทำดี..ก็ไม่ต้องไปสนใจว่าแสงออร่าของตนจะมีสีอะไร
ออร่า คืออะไร
รังสีมนุษย์
ยังมีเรื่องราวของการเรืองแสงของมนุษย์อีกครั้ง คราวนี้มองกันในแง่ที่ไม่ใช่วัตถุธรรม แสงเรืองแห่งมนุษย์ในแง่นี้เรียกว่า “ออร่า” (aura) หรือการเปล่งรังสีแสง หรือรัศมีเรืองรองบางอย่างออกมารอบตัว อาจจะเป็นแสงเรืองสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็น หรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ทิพย์จักษุ” ก็ได้…….กล่าวกันว่าการเปล่งรัศมีเหล่านี้มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏเข้มข้นเฉิดฉายมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง และรองลงมาจะมีรังสีแจ่มกระจ่างในบุคคลที่มีจิตใจอยุ่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอ ๆ ……. ปรากฏการณ์ออร่าจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิต วิญญาณ เสียเป็นส่วนใหญ่…..ดร.แนนดัวร์ โฟดัวร์ นักปรจิตวิทยา หรือ parapsychologis ได้อธิบายไว้ว่า…พวกนักบุญและผู้ชำนาญการศาสนาทางตะวันตกได้จำแนกลักษณะของออร่าไว้ 4 แบบ ด้วยกัน กล่าวคือ:-
๑. แบบ นิมบัส (Nimbus) คือแบบที่มีออร่าแผ่ออกมาในลักษณะคล้ายการ “ทรงกลด” เป็นรัศมีทรงกลมรอบศีรษะ
๒. แบบ ฮาโล (Halo) เป็นแบบการแผ่รังสีที่มีลักษณะคล้ายวงแหลวแผ่ออกมารอบศีรษะเหมือนกัน
๓. แบบ ออรีโอลา (Aureola) เป็นแบบลักษณะแผ่รังสี คล้ายเปลวเพลิงทรงกลด
๔. แบบ กลอรี (Glory) เป็นลักษณะแสงเรืองเปล่งปลั่งเรืองรองแผ่ออกมารอบร่างกาย ส่วนมากบุคคลที่มีออร่าแบบกลอรีนี้มักเป็นคนที่มีบุญวาสนาสูงส่งมาก ๆ หรือไม่ก็พวกศาสดาผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุด
เรื่องออร่ามิใช่มีอยู่เฉพาะทางซีกโลกตะวันตกเท่านั้น ทางซีกโลกตะวันออกอย่างบ้านเมืองเราก็มีเช่นกันและมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าด้วย….ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเข้าฌาน (Theosophists) ของทางตะวันออกได้จำแนกลักษณะของออร่ารังสีของมนุษย์เอาไว้ 5 แบบด้วยกัน กล่าวคือ :
๑. สุขภาวะรังสี (Health aura)
๒. กรรมรังสี (Karmic aura)
๓. ชีวรังสี (Vital aura)
๔. บุคลักษณะรังสี (Aura of Character)
๕. วิญญาณรังสี (Aura of Spiritual nature)
นอกจากนี้แล้วยังระบุไว้อีกด้วยว่าสีสันของออร่าจะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสุภาพของอารมณ์ เช่น สีแสด ส้ม จะเกิดเมื่อมีอารมณ์โกรธ หรือเกลียด หรือถูกกดดัน สีแดงเข้มคล้ำจะเกิดขึ้นเมือมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ อยู่ในโทสะจริตหรือกำลังลุ่มหลงด้วยโลภราคะ สีน้ำตาลจะปรากฏขึ้นเมือเกิดอารมณ์ตระหนี่ หึงหวง หรือเกิดความงก สีแดงดอกกุหลาบเกิดขึ้นเมืองอยู่ในอารมณ์แห่งความรัก ความใคร่ทางกาม สีเหลืองจะเกิดขึ้นถ้าอยู่ในอารมณ์เป็นกลางหรือในขณะใช้ความคิดทางสติปัญญา สีม่วงจะปรากฏออกมาเมื่อเกิดอารมณ์สงบ วิเวก สีน้ำเงิน ปรากฏได้ก็ต่อมเออยู่ในอารมณ์เชื่อมันมีจิตศรัทธาในรสพระธรรมหรือบุญกุศล และสีเขียวจะเกิดขึ้นถ้ามีอารมณ์อิจฉาริษยา …… นอกจากนี้แล้วผู้เชี่ยวชาญทางการเข้าฌานบางคนยังเคยเห็นสีของออร่าสีอื่น ๆ อีก แต่ยังระบุไม่ได้ว่ามีความหมายอย่างไร นอกจากผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคือสตีเฟน อสวิคกิ ในปีพ.ศ. 2443 ยืนยันว่าได้เห็นออร่าของคนใกล้จะตายเปล่งสีออกมาเป็นสีเทาทึบ ๆ คล้ายหมอกควันดำและเขาได้เห็นหลายครั้งเป็นเช่นนั้น จึงเชื่อว่าสีเทาดำนั้นเป็นสีที่เกิดขึ้นก่อนที่จิตจะสละร่างออกไป
อย่างสมเด็กพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ กล่าวกันว่าตอนที่พระองค์ตรัสรู้นั้นทรงเปล่งรังสีออกมารอบพระวรกายเป็นฉัพพรรณรังสีเลยทีเดียว ว่ากันว่าแสงสว่างแห่งรังสีนั้นสว่างวาบกระจายไปทั่วจักรวาล ขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นสูงสุด และลงไปถึงนรกขุมอเวจี พวกสัตว์อเวจีนรกได้เห็นกันแวบเดียว แต่พวกเทวดาและพรหมชั้นสูงต่างได้เห็นรังสีเรืองรองและทำให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้วในพิภพนี้..ว่ากันว่าฉัพพรรณรังสีประกอบด้วยแสงสี 6 สี กล่าวคือ สีเขียวเหมือนดอกอัญชัน เหลืองเหมือนหรดาลทองแดงเหมือนตะวันอ่อน ขาวเหมือนแผ่นเงิน สีหงสบาทเหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่ และสีประภัสสรคือเลื่อมพรายแวววาวคล้ายสีในผลึกแก้ว…
ความหมายของสี...ออร่า
สีของความคิดและอารมณ์ จะมีลักษณะเป็นหมอก มีความไหลปรากฏเป็นหย่อม ๆ จะเห็นได้ชัดเจนบริเวณรอบศีรษะเหนือบ่า มีสีสันต่าง ๆ เช่น
1.สีชมพู หมายถึงพลังที่แจ่มใส เต็มไปด้วยความรัก อารมณ์ขัน ถ่อมตน และสามารถปลอบ ประโลมผู้อื่น โรมแมนติค มักจะพบในเด็กและผู้ใหญ่ที่จิตใจดีมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ หญิงมีครรภ์และมีสีชมพู ออกมามากเช่นกันข้อเสียของคนทีมีแสงสีนี้คือมักจะใจคอโลเล
2.สีแดง เป็นสีที่แสดงถึงความทะเยอทะยาน เต็มไปด้วยพลังงาน มีความกระฉับกระเฉงและพลังทางเพศถ้าเป็นสีแดงมืดอาจหมายถึง อารมณ์ที่รุนแรงถ้าเป็นสีแดงสดใน หมายถึง ความภาคภูมิใจและทะเยอทะยานในทางที่ถูกที่ควร ถ้าสีแดงขุ่นเป็นพวกใจคอโหดร้าย
3.สีส้ม / แสด เป็นสีของความกระฉับกระเฉงว่องไว มีความสุข สุขภาพที่เต็มไปด้วยพลัง ถ้ามีแสงสีนี้มากเกิดไปจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง สีนี้ยังเป็นสีที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อด้วย สีส้มมัวหม่นหรือส้มปนน้ำตาล แสดงถึงปัญญาต่ำ ถ้าสีส้มแดงหมายถึงเย่อหยิ่ง อวดฉลาด
4.สีเหลือง เป็นสีที่มองเห็นง่ายที่สุดในออร่า เป็นสีของความฉลาด ความมีเมตตา มองโลกในแง่ดี รักเพื่อนมนุษย์นอกจากนั้นยังเป็นสีของภูมิคุ้มกันโรค สีเหลืองส้มแสดงถึงความฉลาดปราดเปรื่อง สีเหลืองขุ่นข้นแสดงถึงความอิจฉาริษยา หรือความคลางแคลงใจ
5.สีเขียว เป็นสีของจิตใจที่ละเอียดอ่อน มีความเข้าใจผู้อื่น นอกจากนั้นยังเป็นสีของความรักการเปลี่ยนแปลงการรักษาโรค ความสามารถในการใช้มือ และยังเป็นสีที่แสดงถึงความสมดุล ถ้าเป็นสีเขียวสดใสแสดงว่าเป็นคนปรับตัวเก่ง ใจดี ชอบอิสระ ถ้าเป็นสีเขียวมืดจะเป็นพวกขี้โกงขี้อิจฉา ถ้าเป็นสีเขียวอมฟ้า เป็นพวกชอบช่วยเหลือผู้อื่นไว้วางใจได้เข้าอกเข้าใจผู้อื่นและ แสดงถึงความสามารถ ในการรักษาโรค ถ้าเป็นสีเขียวขี้ม้าเป็น พวกชอบหลอกลวง ต้มตุ๋น ขี้โกง และขี้เหนียว
6.สีน้ำเงิน เป็นสีของความสงบและสัจจะ เป็นสีของการสื่อสาร พลังจิต ความฉลาด ความมีอุดมคติ ขยันขันแข็งและ ความสำเร็จ สามารถยืนหยัดอยู่บนของของตัวเอง มีความเชื่อมมั่นในตนเอง ซื่อตรง จริงใจและชอบช่วยเหลือผู้อื่น มักจะเป็นพวกสมถะ แต่ใจคอหงุดหงิดง่าย สีน้ำเงินขุ่นแสดงว่าทัศนวิสัยถูกปิดกั่น กลายเป็นคนขี้กังวล และขี้ลืม
7.สีคราม เป็นสีของพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิต ความฉลาดล้ำลึก ความคิดสร้างสรรค์และความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีความจริงใจ ชอบค้นหาสัจจะความจริงของชีวิต
8.สีม่วง เป็นพวกจิตใจละเอียดอ่อน เป็นตัวของตัวเอง มีสัมผัสที่ 6 ชองทางสมาธิและโน้มเอียงไปในทางศาสนาชอบเรื่องลี้ลับ คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีสีนี้ ผู้ที่มีสีนี้มักจะมีพลังจิตสูง แต่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับบริเวณท้องเนื่องจากจักระช่วงบนพัฒนา ล้ำหน้าจักระชั้นล่าง
9. สีน้ำตาล เป็นสีที่แสดงถึงความคิดแคบ ๆ ไม่ยอมรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น เห็นแก่ตัว ชอบคุยแต่เรื่องของตัวเอง เป็นคนน่าเบื่อ สีน้ำตาลยังเป็นสีของจักระท้า พลังธรณี และอดีตที่ผ่านมา ข้อดีของสีนี้คือเป็นสีของความขยันขันแข็ง ความมีระเบียบ และอาจหมายถึงความมุ่งมั่นที่จะให้สู่จุดหมายและความสำเร็จ
10.สีดำ หมายถึง การสิ้นสุด ซึ่งในที่นี้อาจหมายถึง การสิ้นสุดของสถานการณ์หนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้สถานการณ์ใหม่เข้ามา อาจหมายถึงการเกิดใหม่ หรือความล่าช้าก็ได้ บางครั้งอาจหมายถึง โรคร้ายแรงหรือเรื้อรัง อิทธิพลมืดบางครั้งอาจหมายถึงการปกป้อง ตัวเองจากพลังภายนอก หรือคนผู้นั้นอาจจะมีความลับ ถ้าสีดำเกิดปะปนอยู่ในสีอื่น ๆ เช่น ปะปนอยู่กับสีแดง แสดงถึงความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ถ้าปนกับสีเหลืองแสดงถึงความคิดชั่วร้าย ถ้าปนกับสีเขียวแสดงถึงความคิดหักหลัง อิจฉา
11.สีขาว เป็นแสงที่มีความสมดุล และสมบูรณ์แบบมากที่สุด จะปรากฏกับพวกนักบุญ พระหรือผู้ฝึกสมาธิวิปัสสนาสม่ำเสมอ ถ้าปรากฏเป็นเส้นแสงสีขาวผ่านเข้ามาในแสงอาจหมายถึง ข่าวสารจากมิติอื่นเข้ามา พวกที่เข้าทรงจะมีสีขาวเข้ามาในแสงในระหว่างการเข้าทรง ผู้ที่มีสีขาวปรากฏอยู่ในออร่า หมายถึงว่า กายแสงได้รับการชำระและฟอกให้บริสุทธิ์ หรืออาจหมายถึงสภาพจิตใจที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และบริสุทธิ์
12.สีน้ำเงิน หมายถึง แรงบันดาลใจ หรือข่าวสารข้อมูลจากโลกวิญญาณ หรือจากมิติอื่น
13.สีทอง เป็นพลังของจักรวาลหรือพลังจากเทพที่เข้ามาช่วยถ่ายโรคออกจากร่างกาย
14.สีเทา เป็นพวกขาดจินตนาการ คร่ำครึ หัวโบราณ ยึดถือความคิดเป็นใหญ่ เจ้าระเบียบ ถ้าเป็นสีเทามืดยิ่งมืดทึบมากยิ่งแสดงถึงอารมณ์ที่เหี่ยวเฉา สลดหดหู่ คนพวกนี้มักจะว้าเหว่ ถ้ามีจุดมืดสีนี้ในแสงแสดงถึงความคิดแง่ลบ ได้แก่ ความเกลียด เคียดแค้น หรือแม้แต่อารมณ์ฆาตกร สีเทาค่อนไปทางสีเงิน แสดงถึงว่าสมองซีกขวาได้รับการกระตุ้นก่อให้เกิดจินตนาการและสัมผัสที่ 6
สีที่ไม่ค่อยปรากฏอยู่ด้วยกันคือ สีน้ำเงินกับสีแสด ถ้าใครมี 2 สีนี้อยู่ด้วยกันจะเป็นคนที่น่าอิจฉาเพราะสีน้ำเงินของความสงบและสีแดงเป็นสีของความสุข คุณจะมีแต่ความสงบสุขทางจิตใจ อันนี้มักจะพบในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบ และในผู้ใหญ่บางรายที่รักษาโรคด้วยพลังจิตพวกนี้มักจะมีความสดดุลทั้ง ร่ายกายและจิตใจทำให้มี 2 สีนี้ปรากฏอยู่ร่วมกัน
22. สีทอง : ไม่มีขอบเขตจำกัด
คุณสามารถทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กหรือทำงานใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องปอกกล้วยเข้าปากคุณจะประสบความสำเร็จไปแทบทุกเรื่อง เป็นคนมีเสน่ห์จูงใจทำงานหนักเอาเบาสู้
มีเป้าหมาย ในการทำงานที่แน่นอน มีอุดมคติและความสามารถสูงเป็นผู้นำสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้
วิธีการฝึกดวงตาคุณให้เห็นแสงออร่า แบบที่1
ดวงตาของเราโดยทั่วไปนั้น รับรู้ถึง ความสั่นสะเทือนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้เพียงแค่ระยะ 0.3-0.7 ไมโครมิเตอร์ จากสีม่วง ถึงสีแดง
ซึ่งสีต่างๆที่เราเห็นนั้นเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งที่ตาเราสามารถที่จะเห็นได้จากความจริงทีซับซ้อนยิ่งกว่านั้น
เพื่อที่จะเห็นรังสีออร่า เราจึงจำเป็นจะต้องเพิ่มระดับความเฉียบไว ให้กับดวงตาของเรา และขยายการรับรู้ระดับการสั่นสะเทือนอันนอกเหนือจากแสงสีทั่วไปที่เห็นกัน
-ฝึกหัดการมองแบบรอบนอก (Peripheral vision)
เพราะโดยทั่วไปเรามักมองจากศูนย์กลาง (Central Part)
-เพิ่มการมองเห็นต่อสิ่งเร้า (Exposure) -โดยการเพ่งไปที่จุดๆเดียวประมาณ 30-60 วินาที
-ส่งเสริมการทำงานของสมอง ในเรื่องการสื่อสารระหว่างสมองซีกขวาและซ้าย
แบบฝึกหัดที่ 1
มองรูปข้างล่างนี้ ห่างจากตัวประมาณ 1.5 เมตร เพ่งไปที่ จุดสีดำตรงกลาง 30 วินาที และสังเกตวงกลมสี ข้างๆด้วยการมองเห็นแบบรอบนอก พยายามอย่ามองไปที่อื่นนอกจากจุดสีดำเท่านั้น
จะเห็นว่าส่วนที่เป็นวงกลมสีนั้น จะมีรังสีออร่าล้อมรอบอยู่ มีหลายสีด้วยกัน นั่นเป็นเพราะว่าจากการมองจับภาพแบบรอบนอก ทำให้เรารับรู้แสงสีได้ดีกว่าการมองจากศูนย์กลาง ยิ่งเพ่งนานเท่าไร แสงออร่ารอบๆก็สวางใสชัดขึ้นเท่านั้น เพราว่าความไวต่อแสงสีที่มากระทบเพิ่มขึ้น แรกๆอาจจะไม่เห็นเลยแม้จะมองเป็นชั่วโมง แต่วันถัดไปอาจจะเห็นมากขึ้น ...ก็ไปลองดูกัน
หัวใจสำคัญของแบบฝึกนี้คือการเพ่งไปยังจุดสีดำเป็นเวลาหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อให้มองเห็นออร่าแต่ประการใด แต่เน้นให้เห็นหลักการมองว่าจะมองอย่างไร เพื่อที่เราจะได้รู้ความสามารถของดวงตาในการรับรู้ได้
แบบฝึกหัดที่2
แบบฝึกหัดนี้มุ่งเน้นการกระตุ้นการสื่อสารระหว่างสมองทั้งสองซีก และเพิ่มความสามารถในการมองเห็นแสงออร่า
เริ่มจากวางรูปห่างจากตัวประมาณ 1 เมตร เหยียดแขนไปข้างหน้าจนนิ้วมืออยู่ระหว่างและใต้รูปวงกลม
เปลี่ยนโฟกัสที่ปลายนิ้ว และมองเลยวงกลม ออกไปจนเห็นวงกลมสี่ดวง
จากนั้นพยายามมองให้วงกลมซ้ายและขวาเป็นวงเดียวกัน โดยมีแนวตั้งและแนวนอนรวมกันเป็นเครื่องหมาย บวก +สีขาว
เครื่องหมายบวกนี่แสดงว่าสมองซีกซ้าย (เชื่อมต่อกับตาขวา) กำลังสื่อสารกับซีกขวา (เชื่อมต่อกับตาซ้าย)
เค้าบอกว่าแบบฝึกหัดนี้ จะเป็นประโยชน์มากก็ต่อเมื่อมองให้ได้ต่อเนื่อง 5 นาที แรกๆนั้นเครื่องหมายบวกจะจมๆลอย ไม่ค่อยเสถียร หากคงสภาพนี้ไว้ได้ 3-5 นาทีโดยกระพริบตาให้น้อยที่สุด ก็จะเป็นประโยชน์มาก แต่ถ้าได้ซัก 45 นาทีก็จะเห็นผลอย่างยิ่งยวด เพราจะช่วยเพิ่มทักษะทางสมองและการมองออร่าได้มากควรจะเริ่มจากการฝึกวันละ 1-2 นาทีและค่อยเพิ่มเวลาขึ้นทีละน้อยจะดีกว่านั่งมองนานๆโดยที่ยังไม่มีทักษะอะไรถ้าเก่งแล้วมือมันเกะกะ ก็ไม่ต้องใช้ และในขณะที่ประคองเครื่องหมายบวกไว้นั้น ต้องคอยมองวงกลมรอบนอกด้วยเพื่อเพิ่มทักษะ การมองของประสาทตารอบนอก หากมองเห็นวงกลมรอบนอกชัดเจนโดยที่ยังเห็น เครื่องหมายบวกชัดเจนอยู่ ก็หมายความว่าทักษะการมองออร่าของเราพร้อมที่จะใช้งาน
ในการเพิ่มออร่าผู้จัดทำเคยเข้าอบรมเขาแนะนำให้ตื่นตี5 สวมเสื้อผ้าหลวมๆยืนหันหน้าเข้าหาต้นไม้ใหญ่กางแขนออกลักษณะเหมือนกอดต้นไม้แต่ไม่โดนต้นไม้แล้วทำสมาธิกำหนดจุดที่หน้าผากพร้อมกับยืนขย่มตัวคือทำตัวให้สั่น รังสีออร่าจากต้นไม้จะซึมซับเข้าร่างกายเราเคยทดลองทำก็รู้สึกสดชื่นดี
ฝึกพลังจิต4 พลังออร่า
การตรวจสอบพลังงานด้วยมือ วิธีเป็นดังนี้ครับ
1.ทำPSI BALL แรกๆคุณควรทำแบบนี้เพื่ออุ่นเครื่องให้กับมือของคุณ แต่ถ้าคุณชำนาญมากๆแล้ว คุณอาจข้ามขั้นนี้ไป
2.เปลี่ยนจากผ่ามือหันหากัน เป็นนำฝ่ามือข้างใดข้างหนึ่ง ไปจับพลังงานที่เหนือแขนอีกข้างหนึ่ง เริ่มจากไกลๆก่อน แล้วค่อยๆเลื่อนเข้าหากันช้าๆ เลื่อนมือเข้า-ออกจากแขนแล้วสังเกตความรู้สึก
3.เปลี่ยนไปสัมผัสพลังงานจากจุดอื่นๆบนร่างกาย หัว ลำตัว ขา ฯลฯ ตามแต่จะชอบ สลับมือได้ตามที่ต้องการ
ที่สำคัญ ต้องผ่อนคลายตลอดครับ ในการสัมผัสพลังงานและการใช้พลังจิตทุกชนิดต้องผ่อนคลายเสมอ ยิ่งเกร็งมันยิ่งไม่ได้ผลครับ นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญ
เอาล่ะ จบแบบฝึกหัดที่ 4 แล้ว สังเกตว่าในครั้งนี้คุณได้สัมผัสพลังงานมากขึ้น ดังนั้นใหนๆในบทนี้เรามาเรียนรู้ลักษณะทั่วไปของพลังงานกันดีกว่า
1.ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน
สนามพลังของแต่ละคน จะไม่มีทางเหมือนกันเป๊ะๆเลยครับ อย่างมากก็แค่คล้ายๆ ไม่ว่าจะเสียง สี แสง สัมผัส สนามแม่แหล็ก หรืออื่นๆ ยังไงก็ไม่เหมือนแน่ ทุกคนมี"ความถี่"ของตัวเอง
เวลาที่ความถี่ของใครใกล้ๆกัน มันจะมีความรู้สึกคุ้นเคย รู้สึกเป็นธรรมชาติ เราจะ"ต่อติด"ง่าย ซึ่งบางทีการที่มันสอดคล้องนี่ก็อาจจะมาจากความเกี่ยวข้องหรือคล้ายคลึง ทางอารมณ์ นิสัย วิธีการใช้ชีวิต สภาพแวดล้อม หรือความหลังเมื่อชาติที่แล้วก็ได้!
ในทางกลับกัน มันก็มีที่แบบว่าพลังงานมีตวามถี่ต่างกันสุดๆไปเลย ซึ่งส่วนใหญ่นี่ทำให้เกิดความอึดอัดหรือไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกพบโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่จริงๆคนคนนั้นอาจไม่มีปัญหาหรือเลวร้ายอะไรหรอกครับ(เอาล่ะ อาจมีคนที่เลวจริงๆอยู่ดี แต่บางคนเราก็ไม่ชอบเพราะออร่ามันขัดกัน ทั้งที่เขาไม่ได้แย่ตรงไหน)
ยังไงก็เถอะ ถ้าออร่ามันขัดกันนะครับ เราอยู่ใกล้ๆกันไปนานๆ มันจะทำปฏิกิริยาบางอย่างทำให้ออร่ามันปรับเข้าหากันเองครับ แล้วจากที่ว่ามานี้ เป็นที่มาของกฏ"การดึงดูดคนแบบเดียวกัน"นั่นเอง หมายความว่า ....เราเป็นยังไง เราก็มีแนวโน้มจะพบเจอคนที่เป็นแบบนั้นแหละครับ
2.ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้
เวลาที่เราไปติดต่อหรือพบปะกับใครพลังงานออร่าของเราจะแลกเปลี่ยนกันไม่มากก็น้อยครับ ขึ้นอยู่กับว่าระดับความถี่มันไกล้กันแค่ไหน แล้วก็ติดต่อกันมากแค่ไหน ซึ่งจะมีทั้งการรับพลังหรือส่งพลังก็ได้
แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราไม่รู้จักวิธีจัดการกับพลังงาน บางครั้ง เราอาจสะสมเอา"ขยะ"พลังงานมาไว้โดยไม่รู้ตัว บางทีเราอาจมีอารมณ์หรือไอเดียแปลกๆ(ที่ปกติเราไม่ได้เป็นแบบนั้น)หลังจากที่คลุกคลีกับคนบางคน บางคนเราอยู่ใกล้ๆแล้วเหนื่อย บางคนอยู่ใกล้ๆแล้วคึกคัก บางคนอยู่ใกล้ๆแล้วอยากจะบ้าโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรต่างจากปกติเลย แต่มันเกี่ยวกับพลังงานรอบๆตัวเราต่างหาก
ทุกอย่าง ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ ต่างก็มีพลังออร่าทั้งนั้น และนั่นทำให้ไม่เพียงคนที่มีผลกระทบต่อเรา สัตว์(โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงที่"ปรับความถี่"แล้ว) สถานที่ และแน่นอน ต้นไม้ ล้วนส่งผลต่อพลังงานของเราทั้งนั้นครับ โดยทั่วไปแล้วต้นไม้มีความสามารถที่จะเอาพลังงานเสียๆของเราไปจากเราแล้วหมุนเวียนใช้ประโยชน์ต่อได้ (ซึ่งในแง่วัตถุหากคนหรือสัตว์ถ่าย shit ลงที่โคนต้นไม้ ต้นไม้ก็นำมาใช้ได้อยู่แล้ว ดังนั้น อย่ารังเกียจการ"คืนพลังเสีย"ไปให้ต้นไม้) และคงไม่ต้องยืนยันว่าการพักผ่อนใต้ร่มไม้จะช่วยทำให้เราฟื้นตัวได้ดีกว่าการนั่งในที่ทั่วๆไปมาก จริงใหมครับ
นอกจากนั้น ยิ่งนานวันผมเองเริ่มค้นพบว่าคริสตัลส่งผลกระทบต่อสนามพลังงานในตัวเราได้อย่างน่าสนใจมาก คริสตัลแต่ละอย่างและแต่ละชิ้นจะส่งผลกระทบต่อเราไม่เหมือนกันเลย(แต่ชนิดเดียวกันก็จะใกล้เคียงกัน) และด้วยความที่มันสามารถขนย้ายได้ง่ายกว่าต้นไม้ คริสตัลจึงเป็นเครื่องมือในการบำบัดฟื้นฟูที่ดีมากครับ
3.ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้
นอกจากเรารับผลจากสิ่งแวดล้อมแล้ว ส่งแวดล้อมก็รับผลจากเราด้วยครับ สมมุติเรานอนบนเตียงเดิมนานๆ พลังงานของเตียงนั้นจะถูกปรับให้สอดคล้องกับเราครับ แล้วทีนี้คุณคงเคยเห็นคนที่เวลาไปนอนที่อื่นแล้วนอนไม่หลับ ทั้งที่เตียงสุดแสนจะสบาย ก็เพราะพลังงานมันไม่ตรงกันนั่นเอง
หรือแม้แต่เพื่อน แรกๆอาจจะไม่ค่อยคุ้น แต่นานๆไปจะเริ่มมีความรู้สึกนึกคิดใกล้เคียงกัน หรืออาจเริ่มไปไกลเกินเพื่อน
แล้วเด็กๆบางคนที่กอดตุ๊กตาเน่าๆมานานๆ เวลาใครเอาตุ๊กตาหรือผ้าห่มเน่าๆนั่นไปทิ้งแล้วเอาของใหม่ สบายกว่า นุ่มกว่า สวยกว่ามาให้ เด็กๆส่วนใหญ่จะไม่ชอบครับ เขาชอบอันเก่า เพราะพลังงานของผ้าขี้ริ้วนั่นมันตรงกับเขา เขากอดมันแล้วรู้สึกสบายกว่าอันใหม่เป็นไหนๆ
หลักการนี้เองที่เป็นพื้นฐานให้กับพลังจิต psychometry เวลาที่นักพลังจิตจับสิ่งของที่เคยถูกใครใช้มานานๆ เขาจะรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผู้ใช้ เพราะเขาสัมผัสและตรวจสอบจากร่องรอยของพลังงานที่ตกค้างอยู่บน"หลักฐาน"นั้นๆ ซึ่งแน่นอน ของที่ไม่มีความสำคัญหรือไม่ค่อยได้ใช้ก็จะอ่านยากกว่า
อย่างเวลาทำงานร่วมกับคนอื่น สมมุติเพื่อนร่วมงานสองคนฉลาดเท่าๆกันทุกอย่าง เราจะทำงานได้ดีกับคนที่คุ้นเคยกว่าครับ อันนี้ไม่แปลก แต่เบื้องหลังก็คือพลังงานมันสอดคล้องกันและไม่ตีกันเองนั่นแหละครับ
ยิ่งถ้าสมมุติมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากๆ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางเพศ พลังงานจะกระทบ(ทั้งที่ดีและไม่ดี) ต่อกันมากครับ
อย่างเวลาตายจากกัน ร่องรอยพลังงานของผู้ตายบนตัวของคนที่ยังอยู่ จะสลายตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดความแปรปรวนอย่างมาก การร้องไห้ตีโพยตีพายเป็นกระบวนการปรับพลังงานตามธรรมชาติ ยิ่งพลังงานประทับไว้มาก ยิ่งจำเป็นต้องร้องมากครับ
4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ
สี ความสว่าง ความชัด ขนาดและรูปทรงของออร่า บ่งบอกสภาพของเจ้าของได้เสมอ(แต่ระวัง ต้องตีความสิ่งที่เราเห็นดีๆนะครับ)
ยังไงซะ โดยทั่วไป ออร่าที่ไม่ดีจะดูไม่งาม หมองคล้ำ บิดเบี้ยว ซีด บาง แหว่ง ส่วนออร่าที่ดีก็จะตรงข้ามครับ สดใสสะอาด สวยงามได้รูป ส่องสว่างกว้างไกล(ไม่ใช่แสงสว่างทางฟิสิกส์นะ) ส่วนสีต่างๆก็จะมีความหมายต่างกันออกไป ซึ่งภายหลังหากเราฝึกไปมากๆ เราก็จะรู้ว่าสีแบบไหนหมายถึงอะไรโดยประสบการณ์
แต่ระวัง! สภาพของคนคนหนึ่งไม่คงที่ เดี๋ยวดี เดี๋ยวแย่ได้ ดังนั้นออร่าก็ไม่คงที่เหมือนกัน ดังนั้นสมมุติเรามองเห็นคนหนึ่งเป็นสีแดง แล้วเวลาผ่านไปมองอีกทีเขียว เราอาจไม่ได้กำลังอ่านผิดครับ (เอาล่ะ เราอาจอ่านผิดก็ได้ อิอิ)
สรุป
1.ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน
2.ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้
3.ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้
4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ