ชื่ออาชีพท้องถิ่น : อาชีพทำเงิน ผักหวานป่า เก็บขายได้ตลอดปี
ประวัติข้อมูลของผู้ประกอบอาชีพ
ผักหวานป่าแท้ ๆ นั้นต้องเกิดในป่าเหมือนชื่อ ซึ่งต้นผักหวานเป็นพืชที่เกิดในป่าเต็งรัง ป่าผสมผลัดใบ และป่าดิบแล้งทั่วไป ยอดผักหวานสีเขียวอ่อนเจือเหลืองเวลาถูกแสงแดดส่องผ่านจะมีสีทองสวย เป็นวัตถุดิบชั้นดีที่นักหาของป่า ทว่าผักหวานป่านั้นมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่กินได้ และชนิดที่มีฤทธิ์เบื่อเมา คนเก็บต้องมีความชำนาญจึงจะไม่เสี่ยงอันตรายต่อผู้กิน
เหตุที่ผักหวานแตกยอดในช่วงฤดูร้อน ก็เพราะว่า เมื่ออากาศเริ่มร้อนหลังจากที่เผชิญความแห้งแล้งในฤดูหนาวมาแล้ว ผักหวานจะทิ้งใบ เมื่อฝนชะดอกมะม่วง (ฝนที่จะตกช่วงต้นปี ประมาณช่วงเดือนกุมภาพันธ์) ตกลงมา ต้นผักหวานที่ทิ้งใบ ก็จะแตกยอดอ่อนให้เราเก็บมากินได้ ด้วยการที่ยอดผักหวานป่านั้นเป็นหนึ่งในวัตถุดิบอาหารที่มีราคาสูง เลยมีคนโลภบางคนที่ใช้วิธีลัดด้วยการจุดไฟเผาต้นผักหวาน เพื่อเร่งให้ใบผักหวานร่วงและแตกยอด สุ่มเสี่ยงให้เกิดไฟป่าขึ้นได้นำไปสู่การสูญเสียทรัพยกรทางธรรมชาติและก่อให้เกิดปัญหามลพิษหมอกควัน เนื่องจากสภาพแวดล้อมก่อนผักหวานป่าในฤดูทิ้งใบนั้นมีความแห้งแล้ง ติดไฟง่ายนั่นเองมันคงดีกว่า หากการหาอยู่หากินตามธรรมชาติเป็นไปตามแบบธรรมชาติจริง ๆ โดยไม่ต้องเร่งเร้าจนทำให้สิ่งแวดล้อมต้องเสียสมดุล เพราะการเผารมต้นผักหวานให้ทิ้งใบนั้น นอกจากจะเสี่ยงทำให้เกิดไฟป่าแล้ว ต้นผักหวานป่าบางต้นทนไม่ได้ แทนที่จะแตกยอดก็ยืนต้นตายลง เรียกได้ว่ามีแต่เสียกับเสีย ไม่เกิดความคุ้มค่าแต่อย่างใดปัจจุบันมีนักวิชการการเกษตรให้ความสนใจกับการวิจัยเพื่อทำให้เราสามารถปลูกผักหวานป่าไว้เก็บกินเองได้ แถมยังมีวิธีเร่งให้ผักหวานแตกยอดโดยไม่ต้องจุดไฟเผาต้นอีกด้ว
มีพืชชนิดหนึ่ง หน้าตาละม้ายคล้ายผักหวานป่ามาก จนคนเก็บที่ไม่ชำนาญมักเก็บมาผิดอยู่ บ่อย ๆ คนอีสานเรียกพืชนิดนี้ว่า เสน หรือ เสม คนภาคเหนือเรียกพืชดังกล่าว่า แก้ก้อง นางแย้ม นางจุม จันทบุรี เรียกว่า ผักหวานเขา กาญจนบุรีและชลบุรี เรียก ผักหวานดง สระบุรี เรียก ผักหวานเมา ประจวบคีรีขันธ์เรียกว่า ดีหมี ต่อไปในหัวข้อนี้จะขอเรียกชื่อพืชดังกล่าวว่า เสน มีลักษณะยอดอ่อนคล้ายกับผักหวานป่าชนิดกินได้มาก หากเก็บมาผิดและรับประทานเสนเข้าไป จะทำให้เกิดอาการเมาเบื่อจุดสังเกตที่ใช้แยกแยะว่า ต้นไหนผักหวานป่า ต้นไหน เสน ดูได้จากใบแก่ โดย ใบแก่ของต้นเสน รูปทรงรีขอบขนาน จะมีความเหนียวนุ่ม ไม่เปราะแตกง่าย ปลายใบแหลมถึงป้านเล็กน้อย มีสีเขียวเข้มและด้าน ขณะที่ผักหวานป่าซึ่งกินได้นั้น ใบจะมีรูปทรงค่อนไปทางกลมกว้าง เนื้อใบกรอบเปราะแตกง่ายเมื่อบีบด้วยอุ้งมือ ปลายใบมนหรือบุ๋มมีติ่งตรงปลาย ผิวใบเขียวเข้มเป็นมัน ใช้เกณฑ์ตามนี้ก็เก็บผักหวานป่าไม่ผิดต้นแล้ว
กินผักหวานป่า ของดีต่อสุขภาพที่ต้องกินให้ถูกวิธี จุดเด่นของผักหวานป่าในเชิงสุขภาพก็คือมี เบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นโปรวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตา การมองเห็น และช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันได้ดี นั่นเองแต่ถึงอย่างนั้นก็มีข้อแม้ที่ต้องใส่ใจคือ การบริโภคผักหวานป่าต้องนำไปปรุงให้สุกก่อน เพราะถ้ากินผักหวานป่าสด ๆ ในปริมาณมาก จะทำให้เมาเบื่อ เป็นไข้และอาเจียนได้ สำหรับยอดอ่อนผักหวานป่าทำอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ลวกจิ้มน้ำพริก ผัดน้ำมันหอย ทำแกงเลียง แกงจืด ฯลฯ แถมเดี๋ยวนี้มีงานวิจัยที่นำเอายอดผักหวานป่ามาทำเป็นชาชงดื่มอีกด้วย ทว่าเมนูเด็ดผักหวานป่าสุดคลาสสิกนั้นยกให้ “แกงผักหวานป่าใส่ไข่มดแดง” ซึ่งจัดว่าเป็นอาหารของฤดูร้อนเลยก็ว่าได้ เพราะวัตถุดิบหลักทั้งสองชนิดหาได้ง่ายในฤดูร้อนนั่นเอง
ผักหวานป่าปลูกได้ ไม่ต้องเผา ด้วยความที่ยอดอ่อนผักหวานป่าเป้นที่ต้องการของตลาดและ ผู้บริโภคอย่างมาก ปัจจุบันนี้ นักวิชาการเกษตรและปราชญ์เกษตรหลายท่านเลยคิดค้นวิธีปลูกผักหวานป่ากันได้สำเร็จ ความน่าสนใจอยู่ที่วิธีที่ใช้เร่งให้ผักหวานป่าที่ปลูกนั้นแตกยอดโดยไม่ต้องเผา นั่นเก็คือ การริดใบต้นผักหวานป่าที่โตได้ที่ออกแล้วให้น้ำ เพียงเท่านี้ผักหวานป่าก็จะแตกยอดอ่อนให้เก็บกินเก็บขายกันได้แล้วโดยไม่ต้องจุดไฟเผาให้เกิดมลพิษทางอากาศนับเป็นวิธีที่ได้ประโยชน์หลายทาง เพราะการปลูกต้นผักหวานก็คือการปลูกต้นไม้ที่เกิดประโยชน์ต่อโลกใบนี้อย่างแน่นอน ขณะที่ผักหวานปลูกนั้นสามารถควบคุมปัจจัยการแตกยอดได้โดยไม่ทำลายหรือก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
ส่วนของอำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน ชาวบ้านในพื้นที่จะนำมาวางจำหน่ายตามตลาดนัดของชุมชน
ที่อยู่ ที่ตั้ง (พิกัด) ของผู้ประกอบการ
กระบวนการขั้นตอนการผลิตหรือองค์ความรู้
ผักหวานป่า ชื่อวิทยาศาสตร์ Melientha suavis Pierre จัดอยู่ในวงศ์ OPILIACEAE (เป็นวงศ์พิเศษที่ยังไม่มีผักหรือผลไม้ชนิดใดที่อยู่ในวงศ์นี้)[1] ผักหวานป่า บางครั้งก็เรียกว่า ผักหวาน มีเรียกแปลกไปบ้างเฉพาะจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งจะเรียกผักหวานป่าว่า “ผักวาน” (เข้าใจว่าคงเพี้ยนมาจากผักหวานนั่นเอง)[1] ส่วนประเทศลาวจะเรียกว่า “Hvaan” กัมพูชาเรียกว่า “Daam prec” เวียดนามเรียกว่า “Rau” มาเลเซียเรียกว่า “Tangal” และประเทศฟิลิปปินส์เรียกว่า”Malatado”[8] หมายเหตุ : ผักหวานชนิดนี้เป็นผักหวานคนละชนิดกับผักหวานที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sauropus androgynus (L.) Merr. หรือที่ทั่วไปเรียกว่า “ผักหวานบ้าน“ ผักหวานป่า เป็นผักพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในพื้นที่ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง เนื่องจากเป็นผักที่มีรสชาติหวานอร่อย แต่หารับประทานได้ค่อนข้างยากเพราะผักชนิดนี้จะให้ผลผลิตในบางช่วงฤดูกาลเท่านั้น คือในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน และส่วนใหญ่จะเก็บมาจากป่า แต่ในปัจจุบันได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกผักหวานป่าเพื่อการค้ากันมากขึ้น ทำให้ในหลาย ๆ พื้นที่มีผลผลิตออกจำหน่ายมากขึ้น โดยแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญในประเทศไทยอยู่ที่จังหวัดสระบุรี และพื้นที่ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือผักหวานป่าสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ยอดเหลืองและพันธุ์ยอดเขียว โดยพันธุ์ยอดเขียวจะเจริญเติบโตได้ดีกว่าและเร็วกว่าพันธุ์ยอดเหลือง และลักษณะโดยรวมของทั้งสองสายพันธุ์ก็ดูจะไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นทรงพุ่ม กิ่ง และแขนงใบ หากไม่สังเกตดี ๆ ก็จะมองไม่ออก มีคนสงสัยกันว่าผักหวานป่ากับผักหวานบ้านนั้นเป็นพืชชนิดเดียวกันหรือไม่ คำตอบก็คือพืชทั้งสองชนิดนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือเป็นพืชในตระกูลเดียวกันแม้แต่น้อย เพียงแต่มีชื่อเรียกที่พ้องกันเท่านั้น
ต้นผักหวานป่า มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงของต้นประมาณ 4-11 เมตร เปลือกต้นเรียบ กิ่งอ่อนเป็นสีเขียวเข้ม เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเทาอมสีน้ำตาลอ่อน เนื้อไม้มีความแข็ง เป็นพืชผลัดใบตามฤดูกาล จึงเก็บสะสมอาหารไว้ที่รากและลำต้น นิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด มักจะพบต้นผักหวานป่าได้ตามป่าเบญจพรรณในที่ราบหรือเชิงเขาที่มีความสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล และโดยปกติจะชอบขึ้นอยู่บนดินร่วนปนทราย
ใบผักหวานป่า ใบเป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรูปรียาว ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบสอบเรียว ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 6-12 เซนติเมตร ใบอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน เมื่อแก่แล้วจะเป็นสีเขียวเข้ม มีก้านใบยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร
ดอกผักหวานป่า ออกดอกเป็นช่อยาว ก้านช่อดอกยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร โดยจะออกจากกิ่งหรือตามซอกใบ ใบประดับดอกเป็นรูปไข่ปลายแหลม ดอกเป็นแบบแยกเพศแต่อยู่บนก้านดอกเดียวกัน โดยดอกเพศผู้จะมีกลีบสีเขียวอ่อน เกสรสีเหลือง ส่วนดอกเพศเมียจะมีกลีบดอกเป็นสีเขียวเข้ม และก้านดอกจะสั้นกว่าดอกเพศผู้ โดยจะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม
ผลผักหวานป่า ผลเป็นผลเดี่ยวอยู่บนช่อยาวที่เป็นช่อดอกเดิม ลักษณะของผลเป็นรูปไข่ มีขนาดกว้างประมาณ 1.5-1.7 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2.3-3 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มหรือสีแดง ส่วนก้านผลจะยาวประมาณ 3-5 มิลลิเมตร
สรรพคุณของผักหวานป่า
ผักหวานป่าเป็นอาหารและยาประจำฤดูร้อนที่ช่วยแก้อาการของธาตุไฟได้ตามหลักแพทย์แผนไทย
ใบและรากมีสรรพคุณแก้อาการปวดศีรษะ (ใบและราก)
รากมีรสเย็น เป็นยาแก้ไข้ สงบพิษไข้ (ราก) ส่วนยอดใช้ปรุงเป็นยาเขียวลดไข้ ลดความร้อน (ยอด)
รากเป็นยาเย็น สรรพคุณเป็นยาแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ แก้กระสับกระส่าย (ราก) รากใช้ต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาเย็นแก้พิษร้อนใน (ราก) ส่วนยอดมีรสหวานกรอบช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ระบายความร้อน (ยอด)
ยางใช้กวาดคอเด็ก แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว (ยาง)
ช่วยแก้อาการปวดท้อง (ใบและราก)
รากใช้ต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาแก้อาการปวดมดลูกของสตรี (ราก)
รากใช้ต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาแก้น้ำดีพิการ (ราก)
ช่วยแก้ดีพิการ แก้เชื่อมมัว (ราก)
ใช้รักษาแผล (ใบและราก)
ช่วยแก้อาการปวดในข้อ (ใบและราก)
ใช้แก่นของต้นผักหวาน นำมาต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาแก้อาการปวดตามข้อหรือปานดง (แก่น)
ใช้ต้นผักหวานกับต้นนมสาวเป็นยาเพิ่มน้ำนมแม่หลังการคลอดบุตรได้ (ต้น)
สื่อประกอบ
เขียน / ผู้เรียบเรียงเนื้อหา : นางสาวสุจิตรา ศรีชำนาญ
ภาพถ่ายและบทความโดย : 1. เมดไทย , เมื่อ 29 เมษายน 2020 ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/%e0%b8%9c%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%ab%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%9b%e0%b9%88%e0%b8%b2/ | Medthai
2. สิทธิโชค ศรีโช "ผักหวานป่า ของขวัญหอมหวานจากป่าฤดูร้อน"