ชื่ออาชีพท้องถิ่น : การปลูกกระเจี๊ยบแดงเพิ่มราย ได้ในครัวเรือน
ประวัติ ข้อมูลของผู้ประกอบอาชีพ
กระเจี๊ยบแดง มีชื่อทางวิทยาศาตร์ว่า Hibiscus sabdaiffa L. ชื่อภาษาอังกฤษของกระเจี๊ยบแดงคือ Jamaica sorrel หรือ Roselle ส่วนในบ้านเราเรียกกันทั้งกระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบเปรี้ยว ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง ส้มตะเลงเครง ส้มปู เป็นต้น
ถิ่นกำเนิดของกระเจี๊ยบแดงอยู่ในแถบแอฟริกาตะวันตก จากนั้นได้มีการนำกระเจี๊ยบแดงมาปลูกในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรทั่วไป ต้นกระเจี๊ยบจะชอบแดดจัดและจะเติบโตได้ดีในดินที่มีความชุ่มชื้นพอเหมาะ ดังนั้นกระเจี๊ยบจึงปลูกในบ้านเราได้สบาย ๆ กลายเป็นพืชสมุนไพรที่หาง่ายมาก ๆ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของกระเจี๊ยบแดงจะเป็นไม้พุ่ม ความสูงของต้นประมาณ 1-2 เมตร กิ่งก้านของต้นมีสีม่วงแดง มีขนตามกิ่งและก้านรำไร ใบกระเจี๊ยบเป็นใบเดี่ยว รูปทรงไข่หรือรูปนิ้วมือ ขนาดใบกว้างกระมาณ 7-12 เซนติเมตร ยาว 8-15 เซนติเมตร ขอบใบจัก
ส่วนดอกกระเจี๊ยบมีสีเหลือง กลางดอกมีสีม่วงอมแดง ขนาดความดอกกว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร ดอกกระเจี๊ยบจะออกเดี่ยวหรือดอกคู่ตามซอกใบ ในดอกกระเจี๊ยบมีเกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ผลเผ็นผลแห้ง แตกได้ มีกลีบเลี้ยงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มไว้
ลำต้นกระเจี๊ยบแดง จัดเป็นไม้พุ่ม มีลักษณะลำต้นเป็นทรงพุ่ม สูงประมาณ 1-2.5 เมตร (แล้วแต่สายพันธุ์) ขนาดลำต้นประมาณ 1-2 ซม. แตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น ต้นอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่ ลำต้น และกิ่งมีสีแดงม่วง เปลือกลำต้นบางเรียบ สามารถลอกเป็นเส้นได้รากกระเจี๊ยบเป็นระบบรากแก้ว และแตกรากแขนง รากอยู่ในระดับความลึกไม่มาก
ใบกระเจี๊ยบแดง เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตามความสูงของกิ่ง มีลักษณะคล้ายปลายหอก ยาวประมาณ 7-13 ซม. มีขนปกคลุมทั้งด้านบนด้านล่าง ปลายใบแหลม โคนใบมน ส่วนปลายเว้าลึกคล้ายนิ้วมือ 3 นิ้ว หรือ เป็น 5 แฉก ระยะห่างระหว่างแฉก 0.5-3 ซม. ลึกประมาณ 3-8 ซม. มีเส้นใบ 3-5 เส้น เส้นใบด้านล่างนูนเด่น มีต่อมบริเวณโคนเส้นกลางใบ 1 ต่อม มีหูใบเป็นเส้นเรียวยาว 0.8 -1.5 ซม. ใบที่มีอายุน้อย และใบใกล้ดอกจะมีขนาดเล็กรูปไข่ ใบกระเจี๊ยบแดงบางพันธุ์จะไม่มีแฉก มีลักษณะโคนใบมน และเรียวยาวจนถึงปลาย มีก้านใบมีแดงม่วงเหมือนสีของกิ่ง เส้นใบด้านล่างนูนชัด
ดอกกระเจี๊ยบแดง ออกเป็นดอกเดี่ยว ดอกแทงออกตามซอกใบตั้งแต่โคนกิ่งถึงปลายกิ่ง ดอกมีก้านดอกสั้น สีแดงม่วง ดอกมีกลีบเลี้ยง ประมาณ 5 กลีบ หุ้มดอกบนสุด มีขนาดใหญ่ มีลักษณะอวบหนา มีสีแดงเข้มหุ้มดอก และกลีบรองดอก ที่เป็นกลีบด้านล่างสุด มีขนาดเล็ก 8-12 กลีบ มีสีแดงเข้ม กลีบทั้ง 2 ชนิดนี้ จะติดอยู่กับดอกจนถึงติดผล และผลแก่ ไม่มีร่วง ดอกเมื่อบานจะมีกลีบดอกสีเหลือง หรือ สีชมพูอ่อน หรือ สีขาวแกมชมพู เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 เซนติเมตร บริเวณกลางดอกมีสีเข้ม ส่วนของดอกมีสีจางลง เมื่อดอกแก่กลีบดอกจะร่วง ทำให้กลีบรองดอก และกลีบเลี้ยงเจริญขึ้นมาหุ้ม
ผล ลักษณะของผลเป็นรูปรีมีปลายแหลม ผลมีความยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่จะแห้งแตกเป็น 5 แฉก ในผลมีเมล็ดสีน้ำตาล ลักษณะคล้ายรูปไตอยู่จำนวนมาก ประมาณ 30-35 เมล็ดต่อผล และผลยังมีกลีบเลี้ยงหนาสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มอยู่ เราจะเรียกส่วนนี้ว่ากลีบกระเจี๊ยบหรือกลีบรองดอก (Calyx) หรือที่คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นดอกกระเจี๊ยบนั่นเอง
สำหรับกระเจี๊ยบแดงในอำเภอทุ่งหัวช้าง มักจะมีชาวบ้านในพื้นที่นำออกมาขายตามตลาดนัดหรือนำมาขายตามสถานที่ราชการเพื่อเป็นการสร้างรายได้เสริมให้กับคนในพื้นที่
ที่อยู่ ที่ตั้ง (พิกัด) ของผู้ประกอบการ
กระบวนการขั้นตอนการผลิตหรือองค์ความรู้
การขยายพันธุ์กระเจี๊ยบแดงสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และสามารถปลูกได้ทุกฤดู แต่ที่นิยมจะปลูกมากในช่วงต้นฤดูฝนจนถึงปลายฝน ซึ่งอาจปลูกด้วยการหว่าน หรือ หยอดเมล็ดลงหลุม หรือการเพาะเมล็ดในถุงเพาะชำก่อนย้อยลงแปลงปลูกก็ได้ แต่ทั่วไปนิยมการหว่านเมล็ดหรือหยอดเมล็ดที่สุด เพราะสะดวก ประหยัดเวลา และลดต้นทุนได้มากกว่าซึ่งวิธีการปลูกมีดังนี้
การเตรียมดินการปลูกในแปลงดินจำเป็นต้องเตรียมดินด้วยการไถพรวน และกำจัดวัชพืชก่อน 1-2 ครั้ง ไถแต่ละครั้งควรตากดิน 3-7 วัน ก่อนปลูก การไถครั้งสุดท้ายก่อนปลูก ควรหว่านโรยด้วยมูลสัตว์รองพื้น หรือ ผสมปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 เล็กน้อย ทั้งนี้ อาจปลูกแบบยกร่อง หรือ ไม่ต้องยกร่องก็ได้ แต่หากปลูกในฤดูฝนควรไถยกร่อง เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังต้นกระเจี๊ยบแดง และควรเว้นระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 80-100 ซม. การปลูกการปลูกในแปลงอาจใช้วิธีการหว่านเมล็ด หรือ หยอดเมล็ด หากหว่านเมล็ดจะใช้ปลูกในแปลงที่ไม่ยกร่อง ส่วนการหยอดเมล็ดมักใช้กับแปลงที่ยกร่อง การหว่านเมล็ดจะต้องหว่านให้เมล็ดตกห่างกันในระยะประมาณ 80-100 ซม. ต่อต้น ส่วนการหยอดเมล็ดก็เช่นกัน ควรหยอดให้ห่างกันในแต่หลุมประมาณ 80-100 ซม. เช่นกัน
การดูแลกระเจี๊ยบแดง เป็นพืชไร่ที่ไม่ต้องการน้ำมาก การปลูกกระเจี๊ยบแดงส่วนมากจะปลูกในช่วงฤดูฝน ดังนั้น การให้น้ำจึงไม่จำเป็นต้องให้น้ำเป็นพิเศษ ส่วนมากมักจะปล่อยให้เติบโตโดยอาศัยน้ำจากฝนเท่านั้น ในระยะ 1-3 เดือนแรก จำเป็นต้องมั่นกำจัดวัชพืชเป็นพิเศษ เพราะการปลูกในช่วงฤดูฝนหญ้าจะเติบโตเร็วมาก หากไม่กำจัดออกจะทำให้หญ้าขึ้นคลุม ต้นกระเจี๊ยบแดง ได้ ทั้งนี้ดอกกระเจี๊ยบแดงจะออกดอกไม่พร้อมกัน มีการทยอยออกตามความสูงของกิ่งจนถึงปลายกิ่ง ดังนั้น เมื่อกิ่งโตยาวเต็มที่ และดอกบริเวณปลายกิ่งแทงออกแล้วให้ทำการเด็ดยอดในแต่ละกิ่งทิ้ง เพื่อให้กระเจี๊ยบแดงเติบโตเฉพาะส่วนดอกได้ดี อนึ่งกระเจี๊ยบแดงเป็นพืชที่มีความทดต่อสภาพแห้งแล้วได้ดี และมีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 120 วัน ซึ่งกระเจี๊ยบแดง 8-10 กิโลกรัม เมื่อตากแห้งแล้วจะได้กระเจี๊ยบแดงแห้งประมาณ 1 กิโลกรัม
กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย ดังนี้
1. กลีบเลี้ยงที่มีสีแดงเข้มรวมถึงกลีบดอกนิยมนำมาต้มทำน้ำผลไม้ที่เรียกว่า น้ำกระเจี๊ยบ ให้รสเปรี้ยว ผสมน้ำตาลเล็กน้อย ดื่ม ทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี
2. ดอกอ่อน นำมาปรุงอาหาร โดยนิยมนำส่วนดอกใส่ในอาหารจำพวกต้มยำเพื่อให้มีรสเปรี้ยว ส่วนใบอ่อน และยอดอ่อนนำมาปรุงอาหารลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใส่ในแกงต้มหรือผสมเป็นผักสลัด
3. ดอกนำมาทำขนมหรือของหวาน อาทิ แยม เยลลี่ ไอศครีม
4. สีแดงเข้มของดอก นำมาสกัดเป็นสีผสมอาหาร เครื่องดื่ม หรือสีย้อมผ้า
5. ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกระเจี๊ยบแดง อาทิ ซอสกระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบผง ไวน์กระเจี๊ยบ เป็นต้น
6. เปลือกของกระเจี๊ยบแดงสามารถลอกใช้ทำเป็นเชือกรัดของได้
7. ลำต้นสามารถใช้ทำเป็นเยื่อกระดาษสาได้
8. สารเพกตินที่พบในดอกสกัดนำไปใช้เป็นสารป้องกันการแยกตัว (emulsifier) ของน้ำมันในเครื่องสำอาง
9. เมล็ดมีน้ำมันสูง ใช้สกัดสำหรับเป็นน้ำมันประกอบอาหารที่มีกรดไลโนเลอิกสูง (linoleic acid)
10. เมล็ดใช้ผสมกับสารส้มสำหรับตกตะกอนน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรม
11. เมล็ดมีรสขมใช้บดผสมในอาหารเพื่อให้ได้รสขมเล็กน้อย
12. เมล็ดที่มีรสขมเหมือนกาแฟบางประเทศนำมาตากแห้ง และบดชงดื่มแทนกาแฟ
13. ทั้งใบอ่อน ยอดอ่อน ดอก และเมล็ดใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์
ด้วยคุณสมบัติ ปลูกง่าย ทนทานต่อภาวะแล้ง และที่สำคัญเป็นที่ต้องการของตลาดทุกฤดูกาล ทำให้กระเจี๊ยบแดงเป็นพืชสร้างรายได้อีกทาง มิตรชาวไร่ลองเปรียบเทียบความคุ้มค่าต่อการลงทุน ลงแรง
สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง
1. ลดไข้
ในกระเจี๊ยบมีสารพฤกษเคมีที่สำคัญ คือ สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสารในกลุ่มฟีนอลิก สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ และสารในกลุ่มแอนโธไซยานิน ซึ่งจากข้อมูลทางวิชาการแสดงให้เห็นว่า สารพฤกษเคมีดังกล่าวมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ลดไข้ และต้านการอักเสบ นอกจากนี้วิตามินซีในกระเจี๊ยบยังมีส่วนช่วยเสริมความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
2. แก้ไอ ละลายเสมหะ
ในตำรับยาแผนโบราณพบว่าใบกระเจี๊ยบมีฤทธิ์แก้ไอ ละลายเสมหะ ขับเมือกมันในลำคอให้ไหลลงสู่ทวารหนัก ทั้งยังช่วยแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้อีกต่างหาก
3. ขับปัสสาวะ
จากการศึกษาให้ผู้ป่วยดื่มน้ำสกัดกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดง พบว่า กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะได้ดี โดยในการทดลองได้ใช้กลีบเลี้ยงกระเจี๊ยบแดงตากแห้ง บดเป็นผง 3 กรัม ชงน้ำเดือด 1 ถ้วยแก้ว หรือประมาณ 300 มิลลิลิตร ให้ผู้ป่วยดื่มวันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 1 ปี ส่วนในตำราพื้นบ้าน แนะนำให้นำกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดงมาชงกับน้ำร้อนดื่มเป็นยาขับปัสสาวะได้
4. แก้กระหาย ให้ร่างกายสดชื่น
ดอกกระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยว เพราะมีวิตามินซี และกรดซิตริก จึงช่วยขับน้ำลายและแก้กระหาย โดยนำดอกกระเจี๊ยบตากแห้ง ต้มในน้ำเดือดเป็นน้ำกระเจี๊ยบหอมหวานชื่นใจ
5. รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
ดอกกระเจี๊ยบมีสรรพคุณต้านการอักเสบ และมีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร หล่อลื่นลำไส้ และเป็นยาระบายอ่อน ๆ
6. ลดไขมันในเลือด
ส่วนเมล็ดของกระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือด โดยนำเมล็ดกระเจี๊ยบตากแห้งมาบดให้เป็นผง จากนั้นนำมาชงกับน้ำร้อนหรือต้มน้ำดื่ม ช่วยลดไขมันในเลือด บำรุงเลือด ขับน้ำดี แก้ปัสสาวะขัด
7. ป้องกันโรคหัวใจ
สารแอนโธไซยานินที่ทำให้กลีบเลี้ยงของดอกกระเจี๊ยบมีสีแดง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยทำให้เลือดไม่หนืด ช่วยลดไขมันเลวในเส้นเลือด จึงป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันหัวใจขาดเลือด และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ โดยนิยมนำกระเจี๊ยบแดงไปต้มกับพุทราจีน เพื่อบำรุงหัวใจ
8. รักษาแผล
ใบของกระเจี๊ยบมีสรรพคุณในการต้านอาการอักเสบ จากตำรับยาแผนโบราณจะพบว่ามีการนำใบสดของกระเจี๊ยบแดง ล้างให้สะอาด และตำให้ละเอียด จากนั้นนำมาประคบฝีหรือต้มใบแล้วนำน้ำต้มใบมาล้างแผล ก็จะช่วยบรรเทาอาการแผลให้หายเร็วขึ้น นอกจากนี้ ใบยังมีวิตามินเอ สามารถทานบำรุงสายตาได้
9. ป้องกันโลหิตจาง
กระเจี๊ยบแดงมีธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญของฮีโมโกลบิน อีกทั้งความเป็นกรดของสารพฤกษเคมีในดอกกระเจี๊ยบแดงยังช่วยเพิ่มการดูดซึมและการกระจายแร่ธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย ส่งผลให้กระเจี๊ยบแดงช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้
10. ลดน้ำตาลในเลือด
จากการศึกษากับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับชากระเจี๊ยบแดง 3 กรัม ชงกับน้ำร้อน 150 มิลลิลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดของอาสาสมัครลดลงสูงสุดจาก 162.1 เป็น 112.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จากกลไกทางชีวภาพของสารพฤกษเคมีที่ช่วยลดการย่อยและการดูดซึมน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวและโมเลกุลคู่ผ่านการยับยั้งเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส แลแอลฟา-กลูโคซิเดส
11. ลดความดันโลหิต
จากการศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครที่มีความเสี่ยงภาวะความดันโลหิตสูง โดยให้อาสาสมัครดื่มชากระเจี๊ยบแดง 1.25 กรัม ชงกับน้ำร้อน 240 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่า ความดันโลหิตของอาสาสมัครลดลง 7.2 มิลลิเมตรปรอท (ขณะหัวใจบีบตัว) และ 3.1 มิลลิเมตรปรอท (ขณะหัวใจคลายตัว)
12. ปกป้องไต
การศึกษาในคลินิกที่ให้อาสาสมัครดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดง 24 กรัมต่อวัน พบว่า สารพฤกษเคมีในกระเจี๊ยบแดงมีส่วนช่วยขับครีเอตินิน กรดยูริก ซิเตรต ทราเทรต แคลเซียม โพแทสเซียม และฟอสเฟต และในข้อมูลสัตว์ทดลองยังพบว่า กรดของสารพฤกษเคมีในดอกกระเจี๊ยบแดงขนาด 750 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สามารถป้องกันและยับยั้งการพัฒนาของก้อนนิ่วได้ ทว่าผลการยับยั้งนิ่วในคนยังต้องศึกษากันต่อไป
ข้อควรระวังของกระเจี๊ยบแดง
โทษและความเป็นพิษของกระเจี๊ยบแดงก็มีเหมือนกันนะคะ โดยจากการศึกษาพบว่า สารสกัดดอกกระเจี๊ยบแดงในปริมาณที่มากเกินไปมีผลต่อการสร้างอสุจิและจำนวนอสุจิที่ลดลง จึงไม่ควรกินกระเจี๊ยบแดงในปริมาณมาก หรือติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป
นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่องก็ไม่ควรทานกระเจี๊ยบแดง รวมทั้งสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการกินกระเจี๊ยบแดงติดต่อกันเป็นเวลานานเช่นกันค่ะ เพราะผลการศึกษาในหนูทดลองพบว่า อาจทำให้ลูกหนูเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ช้าลง
น้ำกระเจี๊ยบ ใส่น้ำตาลทรายกับเกลือ ต้มจนสีสวยและน้ำตาลละลาย สุดท้ายกรองเอากากและสิ่งสกปรกออกอีกครั้ง จัดเสิร์ฟแบบอุ่น ๆ หรือใส่น้ำแข็งเติมความสดชื่น
ดอกกระเจี๊ยบแห้ง 50 กรัม
น้ำ 2 ลิตร
น้ำตาลทราย 200 กรัม (เพิ่ม-ลด ตามชอบ)
เกลือป่น 1-2 ช้อนชา (เพิ่ม-ลด ตามชอบ)
ล้างดอกกระเจี๊ยบแห้งในน้ำสะอาด เอาเศษฝุ่นออก (อย่าแช่น้ำนานเพราะจะทำให้เสียรสชาติและคุณค่าทางอาหาร)
ต้มน้ำจนเดือดแล้วใส่กระเจี๊ยบลงไปต้ม เคี่ยวจนน้ำเริ่มเปลี่ยนสี เติมเกลือป่นและน้ำตาลทรายลงไป คนผสมให้ละลาย (ชิมรสตามต้องการ) ต้มต่อจนน้ำงวดและดอกกระเจี๊ยบนิ่ม ประมาณ 15 นาที
ยกลงกรองเอากากออก พักไว้จนเย็น เทใส่แก้ว เติมน้ำแข็ง พร้อมดื่ม หรือเทใส่ขวดแช่เย็นเก็บไว้ดื่ม
น้ำกระเจี๊ยบพุทราจีน ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่น รสชาติเปรี้ยวหวานหอม ดื่มแบบใส่น้ำแข็งคลายร้อน
ดอกกระเจี๊ยบแดงแห้ง 50 กรัม
พุทราจีนแห้ง 50 กรัม
น้ำ 2 ลิตร
น้ำตาลทราย 200 กรัม (เพิ่ม-ลด ตามชอบ)
เกลือป่น 1-2 ช้อนชา (เพิ่ม-ลด ตามชอบ)
ล้างดอกกระเจี๊ยบแห้งและพุทราจีนในน้ำสะอาด เอาเศษฝุ่นออก (อย่าแช่น้ำนานเพราะจะทำให้เสียรสชาติและคุณค่าทางอาหาร)
ต้มน้ำจนเดือดแล้วใส่กระเจี๊ยบและพุทราลงไปต้ม เคี่ยวจนน้ำเริ่มเปลี่ยนสี เติมเกลือป่นและน้ำตาลทรายลงไป คนผสมให้ละลาย (ชิมรสตามต้องการ) ต้มต่อจนน้ำงวดและดอกกระเจี๊ยบนิ่ม ประมาณ 15 นาที
ยกลงกรองเอากากออก พักไว้จนเย็น เทใส่แก้ว เติมน้ำแข็ง พร้อมดื่ม หรือเทใส่ขวดแช่เย็นเก็บไว้ดื่ม
น้ำกระเจี๊ยบโซดา รสหวานปรับหรือลดได้ตามชอบ ใส่โซดาอร่อยซาบซ่า เติมน้ำแข็งเพิ่มความชื่นใจ
ดอกกระเจี๊ยบแดงแห้ง 50 กรัม
น้ำ 2 ลิตร
น้ำตาลทราย 200 กรัม (เพิ่ม-ลด ตามชอบ)
เกลือป่น 1-2 ช้อนชา (เพิ่ม-ลด ตามชอบ)
โซดาแช่เย็นจัด
น้ำแข็ง
ล้างดอกกระเจี๊ยบแห้งในน้ำสะอาด เอาเศษฝุ่นออก (อย่าแช่น้ำนานเพราะจะทำให้เสียรสชาติและคุณค่าทางอาหาร)
ต้มน้ำจนเดือดแล้วใส่กระเจี๊ยบและพุทราลงไปต้ม เคี่ยวจนน้ำเริ่มเปลี่ยนสี เติมเกลือป่นและน้ำตาลทรายลงไป คนผสมให้ละลาย (ชิมรสตามต้องการ) ต้มต่อจนน้ำงวดและดอกกระเจี๊ยบนิ่ม ประมาณ 15 นาที ยกลงกรองเอากากออก พักไว้จนเย็น
เทน้ำกระเจี๊ยบใส่แก้วที่มีน้ำแข็ง ค่อย ๆ เทโซดาผ่านช้อนลงไปเพื่อให้เป็นชั้นสวยงาม พร้อมดื่ม
ชากระเจี๊ยบ จับดอกกระเจี๊ยบตากแห้งไปคั่วจนแห้งกรอบ ใส่ลงในแก้วชงดื่มร้อน ๆ ทั้งนี้ อาจเติมน้ำตาลทรายเพิ่มความหวานก็ได้เช่นกัน
ดอกกระเจี๊ยบแดงตากแห้ง
มะนาวหรือเลมอนฝานเป็นชิ้น ๆ
น้ำตาลทราย (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ตามชอบ)
สับดอกกระเจี๊ยบแดงเป็นชิ้นเล็ก ๆ คั่วในกระทะจนแห้งกรอบ ใส่ลงในแก้ว
เทน้ำร้อนใส่ลงไป ชงดื่มเป็นชา (หรือนำไปใส่ในกาสำหรับชงชา) แช่ทิ้งไว้สักครู่ บีบน้ำมะนาว หรือฝานชิ้นเลมอนลงไป หากต้องการความหวานก็เติมน้ำตาลทรายลงไปตามความชอบ
สื่อประกอบ
ผู้เขียน / ผู้เรียบเรียงเนื้อหา : นางสาวสุจิตรา ศรีชำนาญ
ภาพถ่ายและบทความโดย : 1.https://www.disthai.com/16915231/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%8A%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87
2. https://cooking.kapook.com/gallery/279810/928195
คลิป You Tube : 1. ขอขอบคุณ คลิปปลูกกระเจี๊ยบแดงพืชลงทุนน้อย ได้ผลผลิตแน่นอน โดย ฉลาม เกษตรผสมผสาน
2. ขอขอบคุณ คลิป กระเจี๊ยบแดง พืชสมุนไพรประโยชน์ 7 อย่าง โดย ลุงหนุ่ย พาดู
3. ขอขอบคุณ คลิป สร้างงาน สร้างรายได้ ด้วยกระเจี๊ยบแดง โดย เกษตรกรชาวบ้าน
4. ขอขอบคุณ คลิป วิธีการทำน้ำกระเจี๊ยบสด สูตรอร่อย โดย Natcha Channel